ใครคนหนึ่งที่เจอโดยบังเอิญ ผมเรียกเขาว่า "พี่" จนกระทั่งเขาบอกผมว่าเขาอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น...
ชาย-ชาย,ตลก,ยุคปัจจุบัน,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Get the ball rolling ผมจะไม่ยอมใครคนหนึ่งที่เจอโดยบังเอิญ ผมเรียกเขาว่า "พี่" จนกระทั่งเขาบอกผมว่าเขาอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น...
"กลับมาแล้วหรอครับพี่ชาย~"
เสียงนุ่มเล็กและมีร่างของเด็กน้อยวิ่งออกมาจากห้องหนึ่งในบ้าน เด็กชายตัวน้อยวิ่งมากอดอลาริก หรือก็คือชายหนุ่มผู้ที่ได้ฉายาว่า 'เทวดา' นั่นเอง ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและลูบหัวน้องชายของเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม
"พี่กลับมาแล้วครับ~ หิวรึยัง หืม?"
"ผมหิวแล้ว! อยากกินอาหารฝีมือพี่ชาย!"
"ขอพี่เตรียมของแปปนึงนะครับ เดี๋ยวพี่ทำมื้อเย็นให้กิน"
คนพี่หยุดลูบหัวคนที่เด็กกว่า แต่ยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มดุจเทวดาที่สามารถให้ความรักกับทุกๆคน
'เอ...แล้วแบบนี้ผมจะเดินยังไง'
คนน้องยังเกาะขาทั้งสองข้างของเขาแน่น ดูเหมือนจะเกาะติดพี่ชายของตนมาก ดุจโคอาล่าตัวน้อย สีหน้าของเด็กชายยิ้มอย่างมีความสุข และยังคงไม่อยากปล่อยเขาไปเร็วๆนี้
"ถ้าไม่ปล่อยพี่ พี่ก็ไปทำอาหารให้นายไม่ได้นะ"
"พี่ชายทำงานมาทั้งวันเลย~ ผมแค่คิดถึงพี่เท่านั้นเอง"
"ทำให้พี่อยากตามใจอีกแล้ว...ดูเหมือนนายจะรู้ว่าทำยังไงให้พี่ตามใจใช่มั้ย"
"อื้อ! ก็พี่ชายน่ารัก และพี่ชายก็ใจดี พี่ไม่ชอบปฏิเสธคำขอของคนอื่น~"
"ไม่อยากกินมื้อเย็นที่พี่ทำแล้วหรอ ถ้าไม่ปล่อยขาพี่ พี่ก็ไปไม่ได้หรอกนะครับ~"
"มุ...ก็ได้ครับ"
"เด็กดี~ เดี๋ยวพี่รีบกลับมานะครับ"
พี่ชายลูบหัวน้องชายของเขาอีกเล็กน้อย และเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำมื้อเย็นให้อีกฝ่าย
เด็กน้อยนั่งรอพี่ชายของเขาอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี จากสีหน้าที่มักจะมีรอยยิ้มที่ร่าเริง...กลับกลายเป็นสีหน้าที่นิ่งและเยือกเย็น
ณ โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่งในเวลาเลิกเรียน เสียงรูดซิบและสะพายกระเป๋าภายในห้อง บ่งบอกว่านี่ถึงเวลาที่พวกเขาจะได้กลับบ้าน พร้อมกับเสียงเดินหรือเสียงวิ่งออกจากห้องของนักเรียนที่อยากกลับบ้าน
เด็กชายกำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน ด้วยความคิดที่ว่า ต่อให้รีบกลับบ้านไป พี่ชายของเขาก็คงยังไม่กลับจากการทำงานอยู่ดี...
"ไปเล่นเกมกันป่าวไลอ้อน~"
เสียงร่าเริงของเพื่อนผู้ชายกลุ่มหนึ่งในห้องดังขึ้น เป็นน้ำเสียงแห่งความตื่นเต้นและดีใจที่ถึงเวลาพักผ่อน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบเพื่อนกลุ่มนี้
"อืม แต่ห้ามเย็นเกินไปนะ"
"ทำไมๆๆ~ เป็นลูกแหง่ติดแม่หรอถึงไปไม่ได้"
"อ่า~ลืมไป...นายไม่มีแม่นี่นา~"
"ถ้าไม่มีแม่ ผมจะเกิดมายังไง? กระบอกไม้ไผ่เหมือนในนิทานหรอครับ?"
"หัวหน้าครับ! มันย้อนคุณ ยอมได้หรอครับ!?" หนึ่งในกลุ่มของชายคนนั้นกล่าว พลางมองหัวหน้าของพวกเขาด้วยสายตาคาดหวัง
"แน่นอน ก็ต้องไม่ปล่อยอยู่แล้ว!"
ไลอ้อนถูกเพื่อนที่ได้ตำแหน่งว่า 'หัวหน้า' ของกลุ่มนี้ยกคอเสื้อขึ้น ตัวของเขาแทบจะลอยจากพื้นแบบง่ายๆ เนื่องจากน้ำหนักเบาและตัวเล็ก
"จ่ายค่าชดเชยไหวหรอครับ ค่ารักษาพยาบาล หากผมกระดูกหักขึ้นมาอาจราคาเยอะกว่าเดิม..."
"ใครจะจ่ายกันเล่าไองั่ง! ไม่ไปก็ได้~ แต่ถ้าไม่อยากโดนซัดก็อย่าลืมทำการบ้านให้ด้วย ไปล่ะ!"
หัวหน้าโยนคนตัวเล็กลงอย่างแรงและไร้ความปราณี ทำให้ศีรษะของเขากระแทกกับตู้ด้านหลัง
สีหน้าของพวกเขาตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากหัวของคนที่ถูกโยนจากด้านหลัง พวกเขารีบโยนกระเป๋านักเรียนพร้อมการบ้านของตนไว้ และรีบวิ่งออกจาห้องไปเพื่อไปร้านเกม
'ผมเจ็บ...ช่วยผมด้วยพี่ชาย...'
เขานั่งคิดกับตัวเองก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา เขานั่งแบบยกเข่าขึ้นมาด้านหน้า พลางก้มหน้าลงและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา พร้อมกับเสียงหายใจฟึดฟัดเหมือนคนที่พยายามเข้มแข็งและไม่ร้องไห้
'แม่เคยบอกว่าถ้ายิ้มเราจะมีกำลังใจ...แต่ทำไมมันกลับรู้สึกเจ็บปวดกว่าเดิมกันนะ?'
"มื้อเย็นเสร็จแล้ว~ เด็กดีของพี่หิวรึยังครับ~"
น้ำเสียงแสนนุ่มละมุนดุจเทวดา ดึงสติของเขาให้กลับมาสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง ทำให้เด็กชายรีบเปลี่ยนโหมดตัวเองอย่างรวดเร็ว
"ผมหิวจะแย่แล้วพี่ชาย~!"
น้ำเสียงเล็กที่ร่าเริงพร้อมรอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง เขารีบไปหาพี่ชายของเขาในห้องครัวอย่างรวดเร็ว
"สเต็กเนื้อหรอครับ!? มันแพงมากเลยนะพี่..."
"พอดีวันนี้พี่ได้ค่าแรงจากที่ทำงานเป็นพิเศษ พี่เลยอยากทำสิ่งพิเศษให้นาย ถือซะว่าแทนคำขอโทษที่พี่ไม่ค่อยมีเวลาให้นายนะ"
"ทำไมหลานของปู่ชอบทำหน้าเบื่อโลกกันจัง~ ชีวิตยังมีอะไรให้ทำสนุกอีกเยอะนะรู้มั้ย! คิดดูสิ...ถ้าเราเอาไฟฉายมาส่องรอบๆอาจจะเจอผีก็ได้นะ!"
เสียงก้องกังวานปนกับอารมณ์ที่ดูมีความสุขของคนพูด หากไม่รู้อายุจริง...คงไม่รู้เลยว่าเขาคือคนรุ่นปู่แล้ว เขาเหมือนกับพวกวัยรุ่นคะนึกคะนองไม่มีผิด
ปู่หยิบไฟฉายขึ้นมาพลางเปิดมันและแทบจะวิ่งไปรอบบ้าน ราวกับว่าเขาลืมไปแล้วว่าตนแก่ขนาดไหน เขาเอาไฟฉายไปส่องหน้าหลานคนหนึ่งหรือก็คือ 'เคลิธ'
"ทำหน้าเหมือนผีเลยเคลิธ!"
"เห้อ...ผมไม่ว่างมาเล่นกับปู่หรอกนะ~"
"อ้าวๆ! หลานรู้มั้ยว่าคนฉลาดเขามักจะทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันได้! หลานไม่ลองบ้างหรอ...มันน่า..."
ยังไม่ทันที่คุณปู่จะพูดจบประโยค ก็มีหนึ่งในหลานของเขาพูดแทรก
"ปู่พูดยาวๆแบบนี้ทั้งวัน คงไม่ลืมแล้วว่าตัวเองแก่ขนาดไหน"
"เห้อ~เด็กพวกนี้นี่มันใจร้ายซะจริง... แต่ปู่ชอบนะเวลาที่มีคนมาท้าทาย ชีวิตจะได้มีสีสันและไม่น่าเบื่อเกินไป! หลานไม่ชอบเหมือนกันหรอ~"
"ปู่ชอบไปคนเดียวเถอะครับ ผมขอไปพักดีกว่า"
เคลิธกล่าวด้วยน้ำเสียงรำคาญปนเบื่อหน่าย เขากำลังจะเดินขึ้นบันไดกับพี่ชายคนโตของเขาอย่าง 'ลูไทส์' แต่ปู่กลับไม่ลดความพยายามแต่เพียงเท่านี้
คนพี่ที่ไหวตัวทันและรีบวิ่งหนีขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คนน้องโดนคุณปู่ดึงคอเสื้อและยกตัวอย่างง่ายดาย
"ปู่~! ปล่อยผมนะ!"
หลานแทบจะดิ้นอยู่บนอากาศในขณะที่ปู่ยกตัวเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น
"มาเล่นกับปูมาก่อนสิ~ ปู่อยากได้คนมาร่วมหาผีด้วยกัน!"
"เพ้อเจ้อน่าปู่~ เคยเห็นหรอถึงรู้ว่ามีจริง..."
"นี่ถึงเป็นภารกิจของเราที่จะออกตามหาผียังไงล่ะ! มาสนุกกันดีกว่า!"
ในขณะที่หลานถูกคนที่แก่กว่าจับตัวอยู่ เสียงประตูคฤหาสน์ของพวกเขาก็ถูกเปิดออก มีคนอีกคนเดินเข้ามาในบ้าน
"ปู่ครับ~ อย่าแกล้งเคลิธแบบนั่นสิ..."
"พี่~ ช่วยด้วย!"
"รักกันดีจริงๆนะพี่น้องคู่นี้! สนใจมาล่าท้าผีกับปู่มั้ยวิเรโอ!"
"ผมว่างอยู่ครับ แต่ปล่อยน้องไปเถอะ สีหน้าน้องคงกัดหน้าปู่ได้แล้ว55"
"ลูกหมาตัวนี้นี่มันดุจริงๆนะ~ ปล่อยก็ปล่อย~..."
น้ำเสียงของคนแก่ดูเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยหลานคนเล็กไปแต่โดยดี
เคลิธทำหน้างอนให้คุณปู่ของเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมายิ้มให้พี่ชายคนกลางของเขา จนทำให้คนแก่ในดงของเด็กๆอดจะพูดแซวไม่ได้
"อะไรกัน~ ทีกับปู่ไม่เห็นจะยิ้มแบบนั้นเลย มันน่าอิจฉานะรู้มั้ย! เคลิธไม่ยิ้มให้ปู่แบบนั้นบ้างหรอ~"
"ถ้าไม่ติดว่าเป็นปู่ ผมคงกัดไปนานแล้ว!"
"55...อย่าพูดกับคุณปู่แบบนั้นสิ"
"พี่ก็อย่าตามใจคนแก่มากไป~ ดูสิเสียคนหมดแล้วครับ ผมไปนอนดีกว่า~"
"อื้อ ฝันดีนะเคล"
"ขอบคุณครับ"
ณ ห้องทำงานของอลาริก ห้องทำงานเน้นเป็นโทนขาวดำเหมือนห้องนอนของแวมไพร์ เขากำลังทำบัญชีแยกประเภท ให้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งอยู่ เสียงกดแป้นพิมพ์ดังเป็นระยะๆแสดงถึงความตั้งใจของเขา
'ใกล้เสร็จแล้ว...จะได้พักผ่อนซะที~'
หลังจากนั้นไม่นานงานของเขาก็สำเร็จลุล่วง เขาส่งไฟล์งานให้หัวหน้าของเขา นี่เป็นงานรองที่เขาทำเพื่อหารายได้เสริม
หน้าจอขึ้นแจ้งเตือนแชทของหัวหน้าของเขา บ่งบอกว่างานของเขาเสร็จแล้วในวันนี้ เขาเลื่อนหาของน่าสนใจสำหรับซื้อให้น้องชายของเขา เจ้าตัวรู้ว่าน้องของเขาอยากได้ของเล่นชิ้นหนึ่งมานานแล้ว แต่ตอนนั้นเขายุ่งและกดดันกับการพยายามค้ำจุนเงินของครอบครัว
เสียงนาฬิกายังคงผ่านไปอย่างช้าๆ ความเงียบเหงาปะปนกับสีโทนขาวดำในห้อง ทำให้ห้องนี้มีบรรยากาศที่ดูวังเวียงและโดดเดี่ยวมากขึ้น
หลังจากการเลื่อนหาของเล่นให้น้องชายของตน ในที่สุดเขาก็หามันเจอแล้ว แต่ของมันหมดไปสักระยะแล้ว และยังไม่เติมสต็อกเร็วๆนี้...เขารู้ว่าตนเองสามารถเงียบและเป็นเทวดาที่มีแต่รอยยิ้มพร้อมความมั่นใจ ให้กับน้องชายของเขาหรือแม้แต่คนอื่นๆ แต่เขากลับรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ราวกับว่ายิ่งยิ้มออกมา ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดลึกๆอย่างไร้เหตุผล...
'ผมอยากมั่นใจในตัวเอง...เหมือนกับคุณแม่...แต่ทำไมมันถึงยาก ทั้งที่ผมก็ปั้นหน้ายิ้มได้ทั้งวันแท้ๆ...'
'ทั้งที่ผมบอกให้น้องเข้มแข็ง...แต่กลับเป็นผมเองที่อ่อนแอ'
เขาไม่ชอบความเศร้า ตั้งแต่การร้องไห้ รวมถึงการเล่าความเครียดของเขาให้ผู้อื่นได้ยิน เขาไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นมาก่อน เขาแค่อยากมีรอยยิ้มที่งดงาม มั่นใจในตัวเองและเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่น เหมือนกับคุณแม่ของเขา
อารมณ์ภายในตัวของเขาเริ่มขัดแย้งกันเอง และความเศร้าที่เก็บมานานก็ล้นทะลักออกมา น้ำตาของเขาไหลอาบแก้มของเขา เขาไม่ชอบเลยและไม่อยากให้ใครรู้ว่าร้องไห้อยู่
สิ่งที่ชายหนุ่มมักจะทำเวลาเป็นแบบนี้...ก็คือการกัดมือตัวเอง เพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้หรือสัญญาณใดๆ ที่อาจทำให้ผู้อื่นรู้ถึงความเศร้าของเขา รู้ว่าเขาเจ็บปวดแค่ไหน ตอนนี้เขาเริ่มกัดนิ้วชี้จากมือข้างซ้ายของเขา พลางปล่อยให้น้ำตาค่อยๆไหลลงมาเรื่อยๆ
'เมื่อไหร่ผมจะมีรอยยิ้มที่สวยและมั่นใจเหมือนกับคุณครับ...คุณแม่'