หลังประตูบานนั้นคือโลกอีกโลกหนึ่งที่แพรนวลไม่คุ้นเคย หล่อนได้พบกับบุรุษผู้หนึ่ง สังกัดกองอาทมาต เขาเอาดาบมาพาดคอหล่อนในครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน

ย่ำทวิกาล - บทที่ 1 ข้ามกาล โดย เอมวดี @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ชาย-หญิง,รัก,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,ไทย,,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ย่ำทวิกาล

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

ชาย-หญิง,รัก,ข้ามเวลา,ย้อนยุค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รายละเอียด

หลังประตูบานนั้นคือโลกอีกโลกหนึ่งที่แพรนวลไม่คุ้นเคย หล่อนได้พบกับบุรุษผู้หนึ่ง สังกัดกองอาทมาต เขาเอาดาบมาพาดคอหล่อนในครั้งแรกที่ได้พบหน้ากัน

ผู้แต่ง

เอมวดี

เรื่องย่อ

สารบัญ

ย่ำทวิกาล-1 บทนำ,ย่ำทวิกาล-บทที่ 1 ข้ามกาล,ย่ำทวิกาล-บทที่ 2 บุรุษก็มิใช่ สตรีก็มิคล้าย

เนื้อหา

บทที่ 1 ข้ามกาล

“มึงเป็นใคร” เสียงที่ได้ยินทุ้มกังวาน ดังสะท้อนในอก แพรนวลอยู่ในอาการตกตะลึง ไม่ทันได้ตอบคำถาม ประกายดาบพลันสะท้อนใส่ดวงตาทั้งสอง ก่อนคมดาบจะพาดลงมาบนลำคอ สะกิดผิวเนื้อผุดผาดจนเลือดซิบ


เบื้องหน้าคือเงาดำทะมึน น่ากลัวดุจดั่งมัจจุราชผู้พร้อมจะปลิดชีวิตหล่อนในดาบเดียว แสงจากดวงจันทร์สาดกระทบเสี้ยวหน้าส่วนหนึ่งของคนผู้นั้น เห็นรอยแผลเป็นเป็นทางยาวชวนให้ครั่นคร้าม หน้าผากโค้ง จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักลึก คล้ายว่าจะหน้าตาดีอยู่บ้าง หากเป็นสถานการณ์ปกติเจ้าหล่อนคงเพ่งพินิจนานกว่านี้ ทว่าตอนนี้ เวลานี้ ยิ่งมองนานก็ยิ่งขาสั่นใจสั่น เจ้าตัวจึงรีบหลบสายตาเมินมองไปทางอื่น เห็นแต่เพียงความสลัวราง ไม่มีสิ่งใดเด่นชัดเท่ารอยแผลเป็นกับดวงตาคมดุวาววามของคนตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว


“มึงมาจากไหน” อีกฝ่ายยังคงถามอย่างคาดคั้น ทั้งยังก้าวเท้าเข้ามาใกล้อีกหนึ่งก้าว ปลายคมดาบจึงทิ่มลงไปในผิวเนื้อจนหล่อนสะดุ้ง “มาโผล่ที่นี่ได้เยี่ยงไร”


คำถามชวนให้งุนงง ที่นี่คือที่ไหน มิใช่เรือนไทยของหล่อนหรืออย่างไร เพียงก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาก็พบบุคคลแปลกหน้าที่เอาดาบมาจ่อคอหล่อนผู้นี้แล้ว พูดให้ถูกก็คือ หล่อนเป็นเจ้าของบ้าน ส่วนเขาเป็นผู้บุกรุกต่างหาก!


แต่ทว่า...ยามเมื่อสายตาคุ้นชินกับความมืด แพรนวลจึงมองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบกายอยู่ราง ๆ


จากห้องอับชื้นมืดทึบและบรรยากาศอบอ้าวในยามบ่ายกลับกลายเป็นยามกลางคืนที่มีลมเย็นพัดโชย จันทร์กระจ่างอยู่กลางฟ้าแจ่มชัดเสียจนเกินกว่าจะเป็นภาพลวงตา ยังมีต้นไม้ใหญ่น้อยที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าวนั่นอีก บนเรือนไทยจะมีต้นไม้สูงใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร


แพรนวลเงยหน้ามองท้องฟ้า เบิกตาโพลางอย่างต้องการให้เห็นเต็มตา


นี่มิใช่เพราะหล่อนตาฝาด มิใช่ฝันกลางวัน มิได้จินตนาการเอาเอง สมจริงเพียงนี้จะเรียกว่าเป็นเพียงภาพที่หล่อน ‘มโน’ ขึ้นมาเองได้อย่างไร


หญิงสาวมองประกายดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า สดับฟังเสียงลมพัดโหม แว่วเสียงใบไม้เสียดสีเป็นท่วงทำนองวังเวง หากนี้ไม่ใช่ฝันแล้วมันคืออะไร คนตรงหน้าเล่า...เป็นคนหรือผีกันแน่!


พลันที่ความคิดนั้นผุดขึ้นมา เท้าข้างหนึ่งก็ก้าวถอยไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่าระหว่างคนกับผี หล่อนย่อมกลัวผีมากกว่า!


ผีที่มีอิทธิฤทธิ์อำนาจบันดาลภาพลวงตาให้ผู้คนตื่นตระหนกได้ใช่หรือไม่?!


แม้เป็นความคิดเลื่อนเปื้อนแต่ยามนี้เจ้าตัวคิดอื่นใดไม่ออกแล้ว ไร้สาระเพียงใด ชวนให้ขบขันแค่ไหน แพรนวลก็ขำไม่ออก ทั้งยังคิดเป็นจริงเป็นจังเสียด้วย


เจ้าตัวเห็นท่าไม่ดี เตรียมตัวจะเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทว่าเพียงขยับเท้าได้สองก้าว ร่างระหงก็ถูกวงแขนล่ำสันรวบเอาไว้ทั้งตัว เป็นผีไม่ก็คน...คนนั้นนั่นแหละที่คว้าเอวหล่อนเอาไว้ รวบกอดจนเท้าหล่อนลอยเหนือพื้น เรี่ยวแรงที่มากกว่าหล่อนเป็นเท่าตัวทำให้แพรนวลกระเสือกกระสนดิ้นรนอย่างไรก็มีแต่เหนื่อยเปล่า สุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นยกมือไหว้ปลก ๆ


“คุณผีปล่อยฉันไปเถอะ” เพราะความกลัวเกาะกุมจิตใจทำให้เสียงของหล่อนทั้งแหบและเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ฉันสัญญาว่าจะทำบุณอุทิศส่วนกุศลไปให้”


‘คุณผี’ เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ วงแขนยังกอดรัดจนแผ่นหลังของหล่อนแนบชิดกับแผ่นอกบึกบึนของเขา กล้ามเนื้อที่สัมผัสหนั่นแน่นแข็งแกร่ง เสียดสีจนผ่าวร้อน


...ดูท่าจะไม่ใช่ผีหรอกมั้ง แพรนวลเบาใจไปเปลาะหนึ่ง ถ้าเป็นคนก็คงพอพูดกันรู้เรื่องบ้างแหละ!


“คำพูดคำจามึงประหลาดนัก ไม่ใช่พม่า ไม่ใช่มอญ แล้วมึงเป็นคนที่ใด แอบมาสืบอันใดที่นี่” เขาไม่หายสงสัย


ดาบยาวโค้งถูกประทับลงบนคอหอย กระตุกเบา ๆ เพียงครั้ง คอของหล่อนคงได้ขาดวิ่นเป็นแน่ แพรนวลกลืนน้ำลายดังเอื้อก หน้าซีดเป็นไก่ต้ม เพิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้สุ่มเสี่ยงต่อชีวิตเพียงใด คงได้แต่ทิ้งความสงสัยของตัวเองเอาไว้ก่อน ตั้งหน้าตั้งตาเอาชีวิตให้รอดเสียก่อนดีกว่า


“ฉันเป็นคนไทย เหมือนคุณผี เอ๊ย!เหมือนคุณไง”


“อย่ามาปด สำเนียงมึงแปร่งหูถึงเพียงนี้ยังจะบอกว่าเป็นคนไทยอีกรึ มึงเป็นใครสารภาพมา!”


คนดาบสะกิดผิวเนื้ออีกหน แพรนวลเบะปากอยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ยิ่งกลัวก็ยิ่งไม่แรง ถึงกระนั้นสมองก็ยังทำงานได้ แม้สติจะกระเจิดกระเจิงไปบ้างก็ตาม


เท่าที่พูดคุยกันมา แม้เพียงไม่กี่ประโยคแต่แพรนวลก็พอเข้าใจราง ๆ ว่าหล่อนเป็นพวกอื่น ประมาณสายลับละมัง ดังนั้นหากจะรอดจากคมดาบก็ต้องทำให้เขาเชื่อว่าหล่อนเป็นพวกของเขา มิใช่คนต่างชาติต่างภาษาแต่อย่างใด


“ฉันเป็นคนไทยจริง ๆ นะคุณ แต่ว่ามาโผล่ที่นี่ได้ยังไงฉันก็ไม่รู้ ฉันไม่ใช่สายลับจริง ๆ อย่าฆ่าฉันเลยนะฉันไหว้ละ”


ไม่รู้เพราะคำใดหรือประโยคไหนที่ทำให้คมดาบเบนห่างออกจากลำคอของหล่อนคืบหนึ่ง


“ผู้ชายอย่างมึงทำไมมันอ่อนปวกเปียกขนาดนี้วะ”


คนถูกเรียกว่าผู้ชายกะพริบตาปริบ ๆ พยายามทำความเข้าใจกับคำพูดนั้นอยู่


หล่อนกลายเป็นผู้ชายไปเสียแล้วหรือนี่?!ก็ดีเหมือนกัน!สถานการณ์เช่นนี้ เป็นผู้ชายน่าจะปลอดภัยกว่าผู้หญิงไม่มากก็น้อย


ชั่วอึดใจหลังจากนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองก็ทำให้หล่อนตระหนักว่าสิ่งที่คิดกับความเป็นจริงนั้นอาจจะตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง!

“มึงตัวเหม็นฉิบหาย ไปอาบน้ำก่อนไป”


อาบน้ำของหล่อนคือยืนอยู่ใต้ฝักบัวปล่อยให้น้ำอุ่นไหลลงมารินรดตัว แต่อาบน้ำของเขาคือการจับหล่อนโยนลงบึงน้ำที่เย็นยะเยือกจนบาดผิว


ตูม!


เสียงร่างของหล่อนตกลงไปในน้ำดั่งสนั่นในความเงียบสงัด


จากนั้นหล่อนก็จมดิ่งสู่ก้นบึ้งของบึงน้ำ สองมือเอื้อมคว้าแสงจันทร์ด้วยความสิ้นหวัง โธ่!...ชีวิตของหล่อนคงถึงคราวจบสิ้นเสียแล้วกระมัง!