"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์

เนื้อหา

กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย

“ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง”

น้ำเสียงดุดันจากชายผิวสีแทน รูปร่างสูงใหญ่ บวกกับหนวดเครารุงรังเล็กน้อยจากการทำงานจนไม่มีเวลาได้ดูแลตัวเองมากนัก ดังขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟดวงหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะเท่านั้น และมันทำให้บรรยากาศภายในห้องเต็มไปด้วยความกดดันและตึงเครียด เด็กหนุ่มผิวขาวซีดราวกับชีวิตนี้ไม่เคยได้รับแสงแดดเลยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้ามองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง เคว้งคว้าง และกลัวอย่างสุดหัวใจ แต่น่าเสียดายที่คนตรงหน้ากลับมองไม่เห็นมันเพราะทิฐิบังตา

“...”

เจ้าของใบหน้าคมคายถอนหายใจเสียงหนัก สาเหตุมาจากเด็กชายต้องสงสัยที่เอาแต่นั่งเงียบไม่ยอมเปิดปากมานานหลายชั่วโมงตั้งแต่เขานำตัวมาจากสถานที่เกิดเหตุจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรออกมาเลย

 

กรี๊ดด

 

หญิงสาวคนนึงกรีดร้องเสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำเอาผู้คนที่อยู่ในละแวกแถวนั้นตกอกตกใจ ต่างพากันออกมาเกาะขอบรั้วประตูบ้านของตัวเองชะเง้อมองดูด้วยความสนใจใคร่รู้

 

หญิงวัยกลางคนหอบหายใจถี่รัวด้วยความตกอกตกใจ ภาพตรงหน้าทำให้เรียวขาของเธออ่อนแรงจนเธอแทบจะฝืนยืนต่อไปไม่ไหว แต่จนแล้วจนรอดเธอก็พยายามตั้งสติก่อนจะพยายามคลานเข่าไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะใกล้ประตูทางเข้า เธอเอื้อมมือที่สั่นระรัวไปหยิบมันขึ้นมากดโทรติดต่อหาหน่วยฉุกเฉิน

รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที แต่หลังจากนั้นก็ต้องโทรติดต่อหาตำรวจในพื้นที่เพราะพวกเขาไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกหลังจากที่ตรวจพบว่าผู้ประสบเหตุสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว ทันทีที่ทีมตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุก็มีเจ้าหน้าที่สองสามนายช่วยกันลากเส้นกั้นสถานที่เกิดเหตุ ก่อนที่อีกทีมจะกระจายกำลังกันตรวจค้นรอบ ๆ บ้าน ส่วนทีมนิติเวชที่ตามมาทีหลังเดินมุ่งหน้าตรงเข้าไปในบ้านพร้อมกับกระเป๋าอุปกรณ์ในมือเพื่อเก็บหลักฐานให้ได้มากที่สุด

“สวัสดีครับสารวัตรปราป” ตำรวจนอกเครื่องแบบคนหนึ่งทำความเคารพผู้บังคับบัญชาที่เพิ่งจะก้าวลงจากรถยุโรปสีดำเงาคันงาม

ชายผิวเข้มหน้าตาดุดันหันไปพยักหน้าตอบ “เข้าไปกันเถอะ” นายตำรวจนอกเครื่องแบบที่ถูกเรียกขานว่า สารวัตรปราป เดินนำทีมตำรวจทีมนึงเข้าไปในบ้านก่อนจะหันมาพูดกับนายตำรวจที่เพิ่งกล่าวทักทายเขาไปเมื่อครู่ “เมฆ พยานละ” ปราปหันไปพูดกับลูกน้องคนสนิทด้วยสีหน้าเรียบเฉย

หมวดเมฆ ผายมือไปยังหญิงสาววัยกลางคนที่นั่งหน้าซีดเนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องรับแขก โดยมีตำรวจหญิงคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เพื่อตอบคำถามของผู้บังคับบัญชา

สารวัตรปราปมองตามก่อนจะเดินเข้าไปทักทายเธอ “สวัสดีครับ ผมสารวัตรปราป เป็นผู้ดูแลคดีนี้”

“สะ สวัสดีคะ ฉันเป็นแม่บ้านที่คุณเสือจ้างมาคะ” เธอพยายามตอบแม้จะยังช็อกกับเหตุการณ์อยู่

“คุณเข้ามาทำงานที่นี่ทุกวันรึเปล่าครับ”

เธอส่ายหน้า “เปล่าคะ คุณเสือจะให้ฉันเข้ามาทำเดือนละครั้งเท่านั้นค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น คุณพอจะรู้รึเปล่าครับว่าคุณเสืออาศัยอยู่ที่นี่กับใคร?”

“กับน้องชายสองคนค่ะ”

“น้องชายเหรอครับ?” สารวัตรปราปถามย้ำ

เธอพยักหน้าตอบ “คะ กับน้องชายแค่สองคน”

“ขอบคุณครับ” เขายกยิ้มให้เธอเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนจะส่งสัญญาณให้เมฆเดินตามเขาออกมาให้ห่างจากเธอเล็กน้อยเพื่อถามข้อมูลอะไรบางอย่าง “คุณเสือเขามีน้องชายด้วยเหรอ?”

“โถ่! สารวัตรได้ดูข่าวบันเทิงบ้างรึเปล่าครับ คุณเสือเขามีน้องชายตาบอดคนนึงไงครับ”

ก็ไม่แปลกที่เขาจะไม่รู้เรื่องราวในวงการบันเทิงมากนัก เพราะแม้แต่ข่าวการบ้านการเมืองเขายังไม่สนใจที่จะดูมันเลย เพราะเวลาในแต่ละวันของเขาหมดไปกับการทำคดีจะเอาเวลาไหนไปสนใจเรื่องของคนอื่น ขนาดเรื่องที่ผู้ตายในคดีนี้เป็นดาราดังเขายังรู้มาจากปากของลูกน้องคนสนิทที่โทรมารายงานตอนที่เขากำลังขับรถมุ่งหน้าตรงมาที่นี่

“แล้วน้องชะ…” ปราปยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามข้อมูลจากเมฆ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ในทีมดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“สารวัตรครับ! มีคนนอนอยู่ในห้องนี้ครับ!!!”

นายตำรวจทั้งสองรีบพุ่งตัวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านทันทีก่อนจะพบว่ามีชายวัยรุ่นคนนึงกำลังนั่งขยี้ตาด้วยอาการสะลึมสะลือหลังถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับลึก แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาก็ทำให้คนทั้งห้องถึงกับตกตะลึงกันไปตาม ๆ กันเพราะนัยน์ตาที่ควรเป็นสีดำมันกลับกลายเป็นสีเทาซีดจนเกือบขาวคล้ายนัยน์ตาผียังไงยังงั้น

“นายเป็นน้องของคุณเสือใช่ไหม?” สารวัตรปราปถามขึ้นท่ามกลางความเงียบงันภายในห้องนอนขนาดใหญ่

เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบ “ครับ มีอะไรรึเปล่าครับ?”

“คุณชื่ออะไร?”

“สิงหรครับ เรียกผมว่าสิงก็ได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอครับ เข้ามาในบ้านนี้ได้ยังไง”

“ผมสารวัตรปราป เป็นผู้ดูแลคดีของพี่ชายคุณ”

“พี่เสือเหรอครับ?”

“ใช่ คุณเสือ…เสียชีวิตแล้ว”

เปลือกตาของสิงเปิดกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง ก่อนที่ในอีกเสี้ยววินาทีต่อมาหูทั้งสองข้างจะเกิดอาการอื้อจนแทบไม่ได้ยินเสียงรอบกายลมหายใจของเขาขาดห่วงไปช่วงหนึ่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเมื่อเขาสามารถดึงสติกลับมาได้ด้วยตัวเองหลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างในหัว “ตะ ตายได้ยังไงครับ”

“เรื่องนั้นผมยังไม่ทราบ แต่ทำไมคุณถึงนอนอยู่ในห้องนี้ คุณไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเหรอ?” สารวัตรปราปถาม

สิงส่ายหน้าตอบ “...”

หัวคิ้วหนายุ่นเข้าหากันด้วยความแปลกใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างกับเด็กหนุ่มตรงหน้า “คุณเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ผมขอเชิญคุณไปให้ปากคำในฐานะผู้ต้องสงสัยหลักในคดีนี้ด้วย จ่าเอาตัวไป” เมื่ออธิบายสถานการณ์ตรงหน้าให้คนที่เป็นทั้งผู้ต้องสงสัยหลักและญาติของผู้เสียชีวิตได้รับทราบแล้ว ปราปถึงค่อยหันไปออกคำสั่งให้ตำรวจนายหนึ่งในทีมกุมตัวเด็กหนุ่มไปที่โรงพัก

สิงที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกตำรวจจับสวมกุญแจมือโดยไม่สามารถค้านอะไรได้ เขาถูกจับกุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัย และถูกลากตัวออกไปจากห้องนอนในทันที เด็กหนุ่มก้าวเดินตามแรงลากจูงของนายตำรวจนายหนึ่งจากชั้นสองของบ้านจนมาถึงชั้นล่าง ในช่วงที่เขาต้องเดินผ่านห้องรับแขกเขากลับได้กลิ่นอะไรบางอย่างคล้ายกลิ่นเหม็นเน่าของซากศพ แต่กลิ่นมันฉุนมากเกินกว่าจะเป็นศพใหม่ที่เพิ่งตาย

 

“เป็นของกู มันเป็นของกู ฮิ่ ฮิ่ ฮิ่”

 

การก้าวเดินของสิงหรสะดุดลงพร้อม ๆ กับเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นจากที่ที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเขามากนัก มันคือเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังหัวเราะชอบใจกับอะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็น แต่สัมผัสได้จากน้ำเสียงของเธอที่เต็มไปด้วยความสะใจเจืออาฆาตพยาบาท

สิงรู้ดีว่านั้นไม่ใช่เสียงของสิ่งที่ยังมีชีวิตอยู่เพราะเขาคุ้นเคยกับเสียงพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก ความสามารถเหนือธรรมชาติ ที่ไม่ค่อยมหัศจรรย์เท่าไหร่นักและคิดว่าคงไม่มีใครต้องการความสามารถในการได้ยินหรือสัมผัสถึง โลกหลังความตาย อย่างเขา

 

“มึง กูก็จะเอา”

 

เสียงของเธอดังขึ้นในระยะประชิดราวกับเธอกำลังพูดอยู่ข้างหูของเขา ความรู้สึกขนลุกซู่ไปทั้งตัวทำให้เด็กสัมผัสพิเศษอย่างสิงรับรู้ได้ในทันทีว่าเธอกำลังยืนจ้องมองเขาอยู่ และเหมือนเธอจะรู้ว่าเขาสัมผัสถึงเธอได้เพราะนอกจากจะไม่ยอมละสายตาไปจากใบหน้าของสิงแล้วเธอยังใช้บางอย่างที่เล็กและแหลมลูบไล้ไปบนผิวหน้าของเขา สิงยืนนิ่งแข็งเหมือนทุกครั้งที่เหล่าวิญญาณพยายามเข้าใกล้ตัวเขา ไม่รู้ว่าอากัปกิริยาพวกนี้เขาทำไปเพื่อหลอกผีหรือหลอกตัวเองกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ขาทั้งสองข้างของสิงสั่นผับ ๆ จนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว

นายตำรวจที่กุมตัวสิงลงมาจากชั้นบนหันกลับไปมองเขาด้วยความสงสัย เมื่อจู่ ๆ ผู้ต้องสงสัยเกิดหยุดเดินไปเสียดื้อ ๆ แถมยังยืนแข็งเป็นหิวราวกับถูกสาป “หยุดทำไม”

เสียงของนายตำรวจดึงให้สิงหลุดออกจากภวังค์ “ปะ เปล่าครับ” เขาตอบเสียงตะกุกตะกักด้วยความกลัวก่อนจะก้าวเดินต่อตามแรงดึงของคนข้างหน้า

 

สิงถูกพามายังสภ.ในท้องที่ และทันทีที่มาถึงเขาก็ถูกนำตัวไปขังเอาไว้ที่ห้องขังชั่วคราวเพื่อรอให้สารวัตรปราปมาสอบปากคำเขาด้วยตัวเอง

‘กลิ่นนั้น…’ สิงบ่นพึมพำในใจเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยได้กลิ่นนั้นจากที่ไหนมาก่อน เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะจำได้ว่าเขาเคยได้กลิ่นนั้นหลายครั้งหลายคราและทุกครั้งที่เขาได้กลิ่นนั้นมันมักจะเป็นตอนที่เขาอยู่ใกล้เสือ พี่ชายและครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขา

สิงรออยู่เกือบสองชั่วโมงในห้องขังโล่งแคบที่มาพร้อมกับกลิ่นตุ ๆ โชยมาจากส้วมแบบเปิดที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่นายหนึ่งมาพาตัวเขาไปที่ห้องสอบปากคำ ในวินาทีที่บานประตูถูกเปิดออกเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่สารวัตรหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาเยือน ปราปพเยิดหน้าให้เจ้าหน้าที่นำตัวสิงมานั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อเด็กหนุ่มนั่งประจำที่แล้วปราปก็ไม่รีรอที่จะเริ่มการสอบปากคำผู้ต้องสงสัยทันที

“ชื่ออะไร?”

“สิงหร มณีรัตนา ครับ”

“อายุ?”

“23 ครับ”

“ทำงานอะไร?”

“เป็นครูผู้ช่วยที่โรงเรียนสอนคนตาบอดครับ”

“เมื่อวานไปไหนมาบ้าง?”

“ไปโรงเรียนตั้งแต่เช้า เลิกงานก็ตรงกลับบ้านเลยครับ”

“ออกจากบ้านกี่โมง?”

“ออกจากบ้านตอนเจ็ดโมงเช้า กลับถึงบ้านประมาณหกโมงกว่าครับ”

“มีใครเป็นพยานให้นายได้บ้าง”

สิงส่ายหน้า “ไม่มีครับ ตอนที่ผมกลับถึงบ้าน พี่เสือยังไม่กลับมา”

ปราปนั่งมองหน้าสิงอย่างพินิจพิจารณาอยู่ครู่นึงก่อนจะเอ่ยปากถามคำถามที่ตรงเข้าประเด็นแบบที่เขาเองก็ไม่คาดหวังให้ผู้ต้องสงสัยตอบมันตามความจริง เพียงแต่เมื่อไหร่ที่เขาถามคำถามแบบนี้ออกไปผู้ร้ายตัวจริงจะเผยไต๋อะไรบางอย่างออกมาคล้ายกับว่ามันเป็นการยืนยันตัวตนในอีกรูปแบบหนึ่ง

“ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง” 

“...” สิงนั่งนิ่งไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง

สายตาที่จับจ้องทุกสัดส่วนบนร่างกายของเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตาไม่สามารถอ่านหรือบอกอะไรจากท่าทางนิ่งเงียบของอีกฝ่ายได้เลย นับเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ปราปไม่ประสบความสำเร็จกับการเลือกใช้วิธีนี้ในการกดดันผู้ต้องสงสัย นายตำรวจที่สอบปากคำผู้ร้ายมาแล้วนับไม่ถ้วนถึงกับถอนหายใจ เขายอมรับได้อย่างเต็มปากว่าปฏิกิริยาของสิงอ่านได้ยากพอ ๆ กับฆาตกรที่ฆ่ามาแล้วหลายศพ หากไม่ใช่เพราะเด็กพิการตรงหน้าฆ่าคนจนติดเป็นนิสัย ก็คงเป็นเด็กที่อ่อนต่อโลกมากจนไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองยังไงกับคำถามที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ

“ฆ่าพี่ชายแล้วไปนอน เป็นไง หลับสบายไหม?”

“...”

“นายฆ่าเขายังไง?”

“...”

แม้ว่าจะถามไปอีกกี่คำถามปราปก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย มือทั้งสองข้างที่ประสานกันไว้บนตักก็นิ่งจนแทบไม่สั่นไหว นัยน์ตาขาวซีดไม่มีอาการล่อกแล่กไปมาเหมือนอาการของคนร้อนตัวที่กำลังโดนจับผิด

“ก็จริงอยู่ ที่การเงียบเป็นสิทธิ์ทางกฎหมายของนาย แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะส่งผลดีกับนายนะ” ปราปเริ่มเบี่ยงประเด็น ในเมื่อไม่สามารถอ่านปฏิกิริยาของคนตรงหน้าได้และไม่มีอะไรการันตีได้ว่าเด็กคนนี้เป็นคนร้าย งั้นเขาก็ต้องเปลี่ยนแผนให้การสอบปากคำในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือให้เด็กหนุ่มพ้นผิดแทน เผื่อว่าเขาจะได้ข้อมูลอะไรกลับมาบ้าง

“...”

ไอเด็กเวรนี้จะไม่พูดไม่ขยับตัวอะไรเลยรึไงวะ?!

“ได้ ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ”

ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดปราปก็เช่นกัน ในเมื่อไม่มีแผนไหนได้ผลเขาก็คงต้องถอยทัพกลับไปตั้งหลักก่อน ปราปปิดแฟ้มเอกสารในมือก่อนจะลุกออกไปจากห้องสอบปากคำซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่หมวดเมฆเดินออกมาจากห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ติดกัน

“เอาไงดีครับสารวัตร” เมฆเอ่ยถามผู้บังคับบัญชาเผื่อว่าอีกฝ่ายจะมีแผนสำรองในการง้างปากผู้ต้องสงสัย เพราะจากการที่เขานั่งสังเกตการณ์อย่างใจจดใจจ่อแล้วสิงไม่มีทีท่าว่าจะยอมปริปากพูดอะไรออกมาเลย

“ในเมื่อคนน้องไม่ตอบ งั้นก็ไปถามคนพี่” ปราปเหลือบสายตาไปมองเมฆก่อนจะเดินตรงไปยังประตูทางออกจากสน. ทิ้งให้ลูกน้องคนสนิทยืนเกาหัวแกรก ๆ ด้วยความงุนงงกับคำพูดทิ้งท้ายที่บอกว่าจะไปถามเอากับคนตาย

 

- สถาบันนิติเวชวิทยา -

 

เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ปราปคุ้นชินจนแทบจะหลับตาเดินได้ หลังจากจอดรถคันงามของตัวเองไว้ที่ลานจอดรถใกล้ทางเข้าออกแล้ว ปราปก็มุ่งหน้าตรงขึ้นไปบนชั้นสามของอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานรองศาสตราจารย์นายแพทย์ รามณรงค์ เพื่อนสนิทที่สามารถทนกับนิสัยขวางโลกของเขาได้เพียงคนเดียว เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องเขาไม่แม้แต่จะเคาะประตูขออนุญาตเจ้าของห้องแต่กลับใช้ฝ่ามือผลักประตูเข้าไปราวกับว่าเขาลืมมารยาทไว้ที่สน. “ไอราม ได้ของแล้วใช่ไหม?”

นายแพทย์หนุ่มกำลังสาละวนกับงานกองพะเนินที่อยู่ตรงหน้าละสายตาขึ้นมามองแขกที่ไม่ได้รับเชิญพลางเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้ายียวน “อือ แล้วที่มาหากูถึงนี้ คือ?!”

“กูรีบ! ขอใช้บายพาสได้ป่ะ?” ปราบพูดพลางยกก้นขึ้นไปนั่งบนโต๊ะอย่างถือวิสาสะ

รามจ้องมองการกระทำของเพื่อนก่อนจะกลอกตามองบนด้วยความระอา “มึงคิดว่ากูมีของของมึงอย่างเดียวมั้ง! กูมีอีกสองคดี มึงรอก่อน”

“กูมีเยอะกว่ามึงเหอะ แต่คดีนี้กูรีบจริง ๆ ขอเหอะ!” ปราปพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งอ้อนวอนกึ่งบังคับ

“หึ! ได้คดีดาราดัง เลยกะทำผลงานขยับตำแหน่งเหรอวะ” รามพูดประชดให้พอหอมปากหอมคอ กระแทกแดกดันเพื่อนกลับไปบ้างนับเป็นอีกสีสันหนึ่งของชีวิต

“สัส! มึงเห็นกูเป็นคนแบบนั้นเหรอ?”

รามยกยิ้มมุมปาก “เมื่อก่อนไม่ใช่ ตอนนี้…”

“ตอนนี้ก็ไม่ใช่โว้ย! กูแค่รู้สึกว่าคดีนี้มันแปลก ๆ” ปราปพูดสวนทันควัน

“แปลกยังไง?”

“มึงว่าคนตาบอดสนิทจะฆ่าคนได้ป่ะ?”

“ได้ดิ ขนาดคนพิการยังทำได้เลย”

“กูก็คิดงั้น แต่ไอเด็กเวรนั้นแม่ง! กูอ่านเหี้ยไรมันไม่ได้เลย”

“เด็กที่ไหน?”

“น้องชายไอดารานั้นนะแหละ แม่งนอนหลับอย่างสบายใจ ทั้ง ๆ ที่พี่ชายนอนตายอยู่กลางบ้าน”

หมอรามเลิกคิ้วอย่างนึกแปลกใจ เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพบคดีแปลก ๆ แบบนี้ ปกติแล้วคนร้ายมักจะหนีไปหลังจากลงมือฆาตกรรมไม่เว้นแม้แต่คนใกล้ชิด “นอนเนี่ยนะ?!”

“เออดิ ฆ่าคนตายเสร็จ แม่งไปนอน ได้เหรอวะ?”

“กูยังไม่ได้เช็คของ แล้วมึงเช็คของของมึงยัง?”

“พวกกูค้นตัวมันแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติ”

“งั้นมึงรีบส่งตัวอย่างปัสสาวะมันมาให้กูตรวจ”

“เออ เดี๋ยวกูให้ไอเมฆเอามาให้”

รามพยักหน้ารับ “ดี ส่วนเรื่องของของมึง เดี๋ยวกูเร่งให้แล้วกัน เลี้ยงเหล้ากูด้วย”

มุมปากถูกยกขึ้นทันควันเมื่อได้ยินคำที่อยากได้ยินจากปากของเพื่อนรัก “ขอบใจนะจ๊ะที่รัก เดี๋ยวกูให้ไอเมฆเอาเยี่ยวมาให้ โอเค๊!”

“อือ มึงจะไปไหนก็ไปปะ เสียเวลากูทำงานฉิบหาย” รามรีบไล่เพื่อนออกไปให้พ้นหูพ้นตาเพราะหากปราปอยู่นานกว่านี้มีหวังไอคำขอบายพาสที่มันต้องการอาจล่าช้าไปมากกว่าเดิมเพราะงานตรงหน้าไม่เสร็จสักที

“จ้า ไม่กวนแล้วจ้า ได้เรื่องแล้วโทรหากูนะ” ปราปดีดตัวลงจากโต๊ะในขณะที่พูดกับเพื่อน ก่อนจะก้าวขาเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาโบกมือกวน (ตีน) เพื่อนอีกรอบก่อนกลับไปทำงานของตัวเอง

 

ทันทีที่ปราปก้าวเข้ามาในสน. ลูกน้องตัวดีก็รีบมาลากเขาให้เดินตามไปยังห้องรับรองแขกเพราะผู้จัดการดาราดังมาเยือนถึงที่หลังจากได้รับการติดต่อไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง เมื่อมาถึงหน้าห้องเมฆที่ทำท่าจะเดินตามเขาเข้าไปในห้องกลับถูกสารวัตรหนุ่มดึงตัวเอาไว้เสียก่อน

“กูไปคุยกับเค้าเอง มึงเอาตัวอย่างฉี่ของสิงไปให้ไอรามที”

“ไม่ต้องให้ผมเข้าไปด้วยเหรอครับ?”

“ไม่เป็นไรกูคุยได้ ส่วนมึงรีบไปเลย ไอรามรออยู่”

หมวดเมฆแอบทำหน้าเสียดายที่ไม่ได้เข้าไปคุยกับพยานในคดี แต่กลัวปราปจะไม่พอใจจึงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วหันไปรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา “ได้ครับสารวัตร” 

ปราปรอให้เมฆเดินออกไปก่อนที่เขาจะยื่นมือไปเปิดประตูห้องรับรอง แต่ยังไม่ทันที่บานประตูจะถูกแง้มออกทั้งหมด เขากลับได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นเล็ดลอดออกมาจากข้างในแต่มันก็หยุดลงภายในอีกไม่กี่วินาทีต่อมาเมื่อปราปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชายหนุ่มร่างเล็กหน้าตาน่ารักคนนึง

ปราปปรับสีหน้าให้เรียบเฉยและดูสงบนิ่งที่สุดเพื่อให้เกียรติญาติผู้เสียชีวิต “สวัสดีครับ ผมสารวัตรปราป เป็นผู้รับผิดชอบคดีของคุณศรัทธาครับ”

ชายผิวขาวร่างเล็กรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดน้ำตาออกอย่างลวก ๆ ก่อนจะฝืนยิ้มทักทายนายตำรวจใหญ่กลับไป “สวัสดีครับ ผม เจตนา เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเสือ”

ปราปยิ้มทักทายกลับในขณะที่ลงไปนั่งบนโซฟาตัวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เพื่อให้ง่ายต่อการพูดคุยรายละเอียดในคดี “ผมขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ด้วยนะครับ ไม่ทราบว่าผมสามารถสอบปากคำคุณเจตนาในฐานะพยานได้รึเปล่าครับ”

“เรียกผมว่าเจตก็ได้ครับ เรื่องสอบปากคำผมไม่ติดอะไร แต่ก่อนจะเริ่มผมขอถามเรื่องการตายของเสือก่อนได้ไหมครับ?”

“ถ้าคุณเจตอยากรู้สาเหตุการตายของคุณเสือ ผมเองก็ยังตอบเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกันครับ ต้องรอผลจากสถาบันนิติเวชก่อน”

“แล้ว...เรื่องของสิงละครับ ผมได้รับสายจากทางตำรวจว่าจำเป็นต้องจับกุมสิงในฐานะผู้ต้องสงสัย มันหมายความว่ายังไงกันแน่ครับ?”

“เราพบนายสิงหรกำลังนอนหลับอยู่บนชั้นสองของบ้าน จึงได้ทำการจับกุมและนำตัวมาสอบปากคำที่นี่ครับ”

“แต่สิงไม่มีทางเป็นคนร้ายได้หรอกนะครับ” เจตเถียงกลับทันทีเพราะสำหรับเขาที่รู้จักเสือและสิงมานานกว่าสิบปี รู้ดีว่าเด็กหนุ่มไม่มีทางลงมือฆ่าพี่ชายของตัวเองได้แน่ และตอนนี้น้องอาจจะกำลังขวัญเสียเพราะจู่ ๆ ก็สูญเสียพี่ชายที่เป็นครอบครัวเพียงคนเดียวไปอย่างกะทันหัน

“คุณเจตใจเย็น ๆ นะครับ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนการสืบคดี หากเราไม่พบหลักฐานเอาผิดสิงภายใน 48 ชั่วโมง ทางเราก็ต้องปล่อยตัวเขาออกไปตามระเบียบครับ”

เจตพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงไปบ้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าสิงจะถูกปล่อยตัวภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนี้ เพราะเขามั่นใจว่ายังไงสิงก็ไม่ใช่คนร้ายอย่างแน่นอน “ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มสอบปากคำกันเลยไหมครับ”

“ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมขออนุญาตอัดเสียงไว้เป็นหลักฐานหน่อยนะครับ”

“เชิญเลยครับ” 

ปราปหยิบโทรศัพท์มือถือส่วนตัวขึ้นมากดอัดเสียงในขณะที่สอบปากคำพยาน ก่อนจะเริ่มต้นด้วยคำถามที่เป็นข้อมูลส่วนตัวแล้วค่อยต่อด้วยการถามรายละเอียดในช่วงวันเกิดเหตุ “เมื่อวานช่วงกลางคืนคุณเจตอยู่ที่ไหนครับ?”

“ผมเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศครับ เพิ่งแลนด์เมื่อเช้า พอทราบข่าวก็รีบมาที่นี่เลย”

“มีพยานบ้างไหมครับ”

“ก็มีอินกับพวกทีมงาน พอดีผมไปออนทัวร์ซีรีส์เรื่องใหม่ของอินที่ต่างประเทศมาครับ”

“ถ้าอย่างนั้นช่วงนี้คุณเสือมีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมบ้างไหมครับ”

เจตเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อใช้ความคิดนึกย้อนกลับไปว่าเด็กในสังกัดของเขามีอะไรผิดแผกไปตามที่สารวัตรปราปว่ารึเปล่าก่อนจะส่ายหน้าตอบสองสามที “เท่าที่นึกออกก็ไม่มีครับ ทุกอย่างดูปกติดี เสือเป็นคนเงียบ ๆ อยู่แล้วเป็นทุนเดิม ถ้าจะมีเรื่องอะไรที่แปลกไปผมก็คงจะรู้ได้ไม่ยาก”

“ถ้าไม่เป็นการรบกวน ผมขอตารางงานของคุณเสือในช่วงสองสามเดือนนี้ได้ไหมครับ”

เจตพยักหน้าตอบก่อนจะหันกลับไปหยิบไอแพดที่เขาไว้ใช้สำหรับทำงานออกมาจากกระเป๋าเพื่อส่งไฟล์ตารางงานของเสือให้กับปราป หลังจากที่ส่งอีเมลกันเรียบร้อยปราปก็เริ่มซักไซ้ไล่เลียงต่อ

“คุณเสือมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับใครบ้างไหมครับ”

เจตยกยิ้มบาง “เรื่องนั้นผมไม่สามารถให้ข้อมูลที่แน่ชัดได้หรอกครับเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเสือ แต่ผมคิดว่ามีนะครับ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเค้าคนนั้นคือใคร”

“คุณเสือไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณเจตเลยเหรอครับ”

“ถ้ามันไม่ได้ระบุไว้ในสัญญา ศิลปินก็ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวเรื่องนั้นให้ทางเรารับทราบครับ เว้นเสียแต่ว่าเขาอยากจะบอกด้วยตัวเอง และเสือคือคนที่เก็บเรื่องนั้นเป็นความลับ แม้กระทั่งกับอินที่เป็นเพื่อนสนิท”

“แล้วคุณเจตคิดว่าสิงจะรู้เรื่องนี้ไหมครับ”

“ไม่แน่ใจครับแต่คิดว่าน่าจะรู้ เค้าสองคนเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก เสือคงไม่ปิดบังเรืองพวกนี้กับน้องขาย”

“แล้วความสัมพันธ์ระหว่างคุณเสือกับน้องละครับ เป็นยังไง”

“อย่างที่บอกครับว่าเค้าสองคนสนิทกันมาก เสือแทบจะกระเตงน้องไปด้วยทุกที่ เรียกว่าเข้าขั้นหวงน้องจนออกนอกหน้า ผมถึงบอกไงครับว่าสิงไม่มีทางเป็นคนร้ายในคดีนี้แน่ ๆ”

ปราปยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจตกำลังหว่านล้อมให้เขาเชื่อว่าสิงไม่ได้เป็นคนร้ายในคดีนี้ แต่ถึงอย่างนั้นด้วยจรรยาบรรณตำรวจ เขาเองก็ไม่สามารถละเลยจุดเล็ก ๆ พวกนี้ไปได้เพราะมันอาจมีเบาะแสสำคัญที่สามารถสาวไปถึงตัวคนร้ายได้ “คุณเสือเคยโมโหคุณสิง หรือเคยทะเลาะกันบ้างไหมครับ”

“ถึงจะเป็นพี่น้องที่สนิทกันมากแต่สองคนนี้ก็เคยทะเลาะกันครับ เรื่องที่ทะเลาะกันส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหยุมหยิม”

“เรื่องอะไรบ้างครับ”

“ก็เรื่องทั่ว ๆ ไปครับ อย่างเรื่องการเดินทาง หรือ การเข้าครัวของสิง”

“ไม่ใช่ว่าสิงพิการทางสายตาเหรอครับ ทำไมถึงทำอาหารได้”

“เรื่องนั้นไม่น่าแปลกเท่าการที่สิงเดินไปไหนมาไหนโดยไม่มีไม้เท้าเหมือนคนตาบอดคนอื่น ๆ หรอกครับ แต่พวกผมเห็นจนชินตาแล้ว เรื่องทำอาหารเลยดูเป็นเรื่องเล็กไปเลย”

คำพูดของเจตทำให้ปราปฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่เขาเจอสิง ไอเด็กนั้นก็ไม่ได้ใช้ไม้เท้าอย่างที่เจตว่าจริง ๆ แถมยังเดินเหินไปไหนมาไหนราวกับตาเห็น คดีนี้มันมีอะไรแปลก ๆ เต็มไปหมดเพราะยิ่งสืบก็ยิ่งมีอะไรที่เขาคาดไม่ถึง

“แล้วทั้งคู่เคยทะเลาะกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกันบ้างไหมครับ”

“ไม่เคยหรอกครับ เสือมันเลี้ยงน้องราวกับไข่ในหินจะไปลงมือตีน้องได้ยังไง ส่วนสิงมันก็ฟังทุกอย่างที่เสือพูด สั่งให้ไปซ้ายก็ไปซ้าย สั่งให้ไปขวาก็ไปขวาไม่เคยขัดคำสั่ง”

“แล้วคุณเสือมีคู่อริบ้างไหมครับ”

“เรื่องนั้นตอบยากครับ เสือเป็นดารา ต้องมีทั้งคนรักและคนเกลียดเป็นธรรมดา”

“พวกคนในวงการละครับ มีใครไม่ชอบคุณเสือบ้างไหมครับ”

“ก็พอมีครับ เพราะเสือเค้าเป็นคนเงียบ ๆ อาจจะมองว่าดังแล้วหยิ่ง แต่จริง ๆ แล้วเขาแค่มีโลกส่วนตัวสูง เท่าที่ผมรู้ก็น่าจะมี ดาราคนนึงที่เสือเคยเล่นเป็นนักแสดงสมทบในเรื่องที่เขาเคยแสดงนำ แต่ตอนนี้เขากลับได้บทนักแสดงสมทบในเรื่องที่เสือแสดงนำแทน”

“ใครเหรอครับ”

“ไมเคิลครับ เจอกันทีไร จ้องจะกัดกันตลอด”

ข้อมูลที่ได้มายังไม่เพียงพอให้สรุปได้ว่าสิงไม่ใช่คนร้ายในคดีนี้ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่มีแรงจูงใจอะไรให้ฆ่าพี่ชาย ในเมื่อผู้ต้องสงสัยไม่มีแรงจูงใจก็มีเปอร์เซ็นต์สูงที่จะไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง ถึงปราปจะสามารถคลี่คลายปมไปได้อีกหนึ่ง แต่คดีนี้เหมือนกับน้ำลดตอผุด เพราะมีอีกหลายปมที่ยังไม่เคลียร์โดยเฉพาะปมความสัมพันธ์ลับของเสือที่น่าสงสัยที่สุด “ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้า หรือ ถ้าทางเราต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เดี๋ยวผมจะติดต่อกลับไปนะครับ”

เจตพยักหน้า “ได้ครับ ว่าแต่ผมสามารถรับร่างของเสือไปประกอบพิธีทางศาสนาได้เมื่อไหร่ครับ?”

“ผมกำลังเร่งให้ทางนิติเวชรีบชันสูตรพลิกศพ คิดว่าอีกสองสามวันก็น่าจะเสร็จแล้วครับ”

“ได้ครับ งั้นผมขอตัวก่อน ฝากคดีของเสือด้วยนะครับ”

“ครับ”

ปราปเดินออกมาส่งเจตที่หน้าประตูทางเข้าสน. เพื่อขึ้นรถตู้ส่วนตัวที่มารอรับอยู่แล้ว เมื่อรถขับออกไปแล้วเขาถึงได้กลับเข้ามาดูตารางงานที่ผู้จัดการส่วนตัวร่างเล็กส่งมาให้ จากการเช็คข้อมูลดูแบบผ่าน ๆ ตาแล้วก็ยิ่งไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงถ้าไม่ออกอีเวนต์ก็อยู่กองถ่าย แต่จุดที่เขาสงสัยคือโน้ตที่เจตเขียนเอาไว้ว่าเสือจะต้องพักในช่วงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่งหากมีตารางงานในช่วงเวลานั้น

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“เข้ามา!” ปราปพูดเสียงดังในขณะที่ยังไม่ละสายตาไปจากตารางงานบนหน้าจอ ก่อนที่บานประตูจะถูกผลักเข้ามาพร้อมกับนายตำรวจคนหนึ่งในทีม เขาเดินเข้ามาวางเอกสารบางอย่างไว้บนโต๊ะด้วยท่าทางสำรวม ก่อนจะหันไปพูดสรุปรายงานที่เขานำมาส่ง “รายการหลักฐานที่เก็บมาจากสถานที่เกิดเหตุครับสารวัตร ส่วนภาพกล้องวงจรปิดตอนนี้เรากำลังเช็กกันอยู่ครับ”

ปราปละสายตาขึ้นมามองลูกน้อง มือข้างนึงเอื้อมไปหยิบแฟ้มรายงานขึ้นมาดูประกอบ “จ่า ผมขอภาพกล้องวงจรปิดตอนที่เสือเข้าและก็ออกจากบ้านในวันเกิดเหตุก่อน เร่งให้ผมหน่อย”

“ได้ครับสารวัตร”

“อ๋อ แล้วก็ถ้าแม่บ้านคนนั้นพร้อมให้ปากคำแล้วก็พาไปที่ห้องรับรองเลยนะ”

“ครับสารวัตร”

หลังจากนายตำรวจคนนั้นออกไป ปราปก็ตรวจสอบเอกสารเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปรอแม่บ้านที่โทรมาแจ้งเหตุที่ห้องรับรอง ในระหว่างนั้นก็กดดูภาพกล้องวงจรปิดทางเข้าออกบ้านของเสือพบว่าเขาออกจากบ้านไปในช่วงเวลาสิบโมงเช้าตามตารางงานแต่สิ่งที่แปลกคือช่วงเวลาที่เสือกลับ ตามตารางงานแล้วเขาควรจะเสร็จงานช่วงหกโมงเย็นน่าจะกลับบ้านไม่เกินสองทุ่มแต่จากภาพกล้องวงจรปิดเสือกลับบ้านมาในช่วงสี่ทุ่มเศษ แต่ยังไม่ทันที่ปราปจะได้ส่งข้อความสั่งงานลูกน้องคนสนิท จู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน

“เชิญครับ”

นายตำรวจคนเดิมพาพยานมาส่งที่ห้องรับรองตามคำสั่ง ก่อนจะขอตัวกลับออกไปทำให้ในห้องเหลือเพียงปราปและแม่บ้านวัยกลางคนเท่านั้น “สวัสดีครับ พร้อมให้ปากคำเพิ่มเติมแล้วใช่ไหมครับ?”

“คะ” เธอพยักหน้าตอบปราปพลางพูดเสียงอ่อยซึ่งเป็นอาการปกติของคนที่เพิ่งผ่านเรื่องสะเทือนขวัญมา ปราปจึงจำเป็นต้องพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบและนุ่มนวลกว่าเดิมเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกกดดันมากจนเกินไป

“ผมขออนุญาตบันทึกเสียงในระหว่างที่เราคุยกันนะครับ”

“ได้คะ”

ปราปหยิบโทรศัพท์เครื่องเดิมออกมาบันทึกเสียงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายกยิ้มบางให้เธอ “ผมขอแนะนำตัวอีกครั้งนะครับ ผมสารวัตรปราบ ผู้ดูแลคดีของคุณเสือ คุณชื่อนิลา เป็นชาวพม่าใช่ไหมครับ”

เธอพยักหน้า “ใช่คะ เรียกฉันว่าเมียะก็ได้คะ”

“ครับ คุณเมียะพบศพของคุณเสือช่วงประมาณกี่โมงครับ”

“ประมาณเจ็ดโมงครึ่งค่ะ”

“พอจะอธิบายเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่คุณเมียะพบศพของคุณเสือได้ไหมครับ”

ลูกกระเดือกเล็ก ๆ ในลำคอของเมียะขยับขึ้นลงตามจังหวะการกลืนสารคัดหลั่งในร่างกาย เธอข่มตาหลับครู่นึงเพื่อทำให้จิตใจของเธอสงบนิ่งขึ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองสารวัตรปราป “ฉันไปถึงบ้านก่อนเวลางานประมาณครึ่งชั่วโมง ฉันใช้กุญแจสำรองที่คุณเสือเคยให้เอาไว้เปิดประตูเข้าไปค่ะ ตอนแรกฉันกะจะเดินตรงไปเก็บของที่ห้องครัวแต่พอเดินผ่านห้องรับแขก หางตาฉันเหลือบไปเห็นคนนอนอยู่บนพื้นเลยเดินเข้าไปดูก็เห็นว่าเป็นคุณเสือค่ะ ฉันพยายามร้องเรียกให้เธอตื่นแต่เธอไม่ตื่น ฉันเลยรีบโทรแจ้งเหตุ”

“คุณเมียะได้แตะต้องศพของคุณเสือบ้างไหมครับ”

“ก็ตอนที่พยายามปลุกให้คุณเสือตื่นนั่นแหละค่ะ”

“โอเคครับ ถ้ายังไงผมจะให้เจ้าหน้าที่เข้ามาเก็บรอยนิ้วมือของคุณเมียะนะครับ”

“ได้ค่ะ”

“คุณเมียะทำงานกับคุณเสือมานานรึยังครับ แล้วทำช่วงเวลาไหนบ้าง”

“ทำมาเกือบสองปีแล้วค่ะ จะเข้าไปทุกเดือน เดือนละครั้งสองครั้งค่ะ แล้วแต่คุณเสือจะเรียก”

“คุณเสือติดต่อคุณเมียะทางไหนครับ ผมขอดูได้ไหม”

แม่บ้านชาวพม่าพยักหน้ารับก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดช่องแชทที่เธอใช้พูดคุยงานกับเสือมาให้ปราปดู “ทางไลน์ค่ะ คุณเสือไลน์หาฉันเมื่อวานตอนสิบเอ็ดโมงกว่า” ปราปรับโทรศัพท์มือถือมาจากมือของเธอ ก่อนจะเลื่อนดูบทสนทนาที่ทั้งคู่คุยกันแล้วพบว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเรื่องงาน ไม่มีจุดไหนที่น่าสงสัยจึงส่งมือถือกลับไปให้เจ้าของตามเดิม

“ขอบคุณครับ ว่าแต่คุณเมียะพอจะบอกได้ไหมครับว่าความสัมพันธ์ของคุณเสือกับน้องชายเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดูปกติดีนะคะ เหมือนคู่พี่น้องทั่วไป แต่คุณเสือเธอค่อนข้างเป็นห่วงคุณสิง อาจเป็นเพราะว่าคุณสิงตาบอด”

“แล้วทั้งคู่เคยทะเลาะกันบ้างไหมครับ”

“เท่าที่ฉันรู้ก็ไม่ค่อยมีนะคะ คุณเสือแกจะดุคุณสิงซะมากกว่าอย่างเรื่องที่คุณสิงเธอเข้าครัว ฉันเองก็แอบแปลกใจเหมือนกันที่คนตาบอดทำอาหารได้ แต่คุณสิงเธอทำได้ดี อาจเป็นเพราะเธอหูดีก็ได้มั้งคะ”

“หูดีเกี่ยวอะไรกับการทำอาหารเหรอครับ?”

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่เธอสามารถเปิดปิดหรือหยิบจับข้าวของได้เพียงแค่การสัมผัสกับการฟังเสียงค่ะ อาหารที่เธอทำก็รสชาติก็ใช้ได้เลยนะคะ”

หัวคิ้วหนาย่นเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เขาเองก็ไม่เคยมีญาติพี่น้องหรือคลุกคลีกับคนพิการทางสายตาเลยไม่รู้ว่าประสาทสัมผัสด้านอื่นจะดีกว่าคนปกติทั่วไปไหม คงต้องเก็บเรื่องพวกนี้ไปถามเพื่อนรักนิติเวชเผื่อว่ามันจะช่วยให้เขากระจ่างในเรื่องนี้ได้ “แล้วคุณเมียะเคยเจอแฟนของคุณเสือบ้างไหมครับ”

“คุณเสือมีแฟนด้วยเหรอคะ?” สีหน้าและนัยน์ตาว่างเปล่าของเมียะเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าเรื่องความสัมพันธ์ของเสือเป็นความลับจากคนใกล้ชิด นั้นยิ่งทำให้ปราปอยากจะขุดคุ้ยเรื่องนี้มากขึ้นไปทุกที

“ถ้าอย่างนั้น นอกจากคุณกับคุณเจตที่เป็นผู้จัดการแล้ว มีใครเข้าออกบ้านหลังนั้นบ่อย ๆ บ้างไหมครับ”

“มีคุณอิน กับ คุณแฟนอีกสองคนค่ะ นอกจากนั้นก็ไม่เห็นมีแล้วนะคะ”

“คุณแฟนคือใครเหรอครับ?”

“คุณแฟนเป็นผู้ช่วยของคุณเจตค่ะ”

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะครับ เดี๋ยวผมให้ลูกน้องไปส่งที่บ้านครับ”

“ขอบคุณค่ะ”

 

ปราปเดินออกมาเรียกนายตำรวจที่อยู่แถวนั้นเพื่อให้พาเมียะไปส่งที่บ้าน ส่วนตัวเองก็รีบเดินไปสั่งงานทีมสืบสวน เสียงเจี๊ยวจ๊าวดูวุ่นวายคล้ายตลาดสดดังออกมาจากห้องของทีมสืบสวน แต่ทันทีที่ปราปผลักประตูเข้าไปเสียงก็เหมือนจะเงียบลงในทันทีราวกับว่าเขาเป็นเครื่องดูดเสียง

“สวัสดีครับ! สารวัตร!” 

นายตำรวจที่อยู่ในห้องรีบหันมาทำความเคารพผู้บังคับบัญชาด้วยความพร้อมเพรียง แต่หลังจากที่ปราปพยักหน้ารับทุกคนก็หันกลับไปทำงานตามเดิม เขาจึงเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของนายตำรวจนายนึงที่อยู่ในห้องเพื่อขอเอกสารหลักฐานในคดี เผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาสาวไปถึงตัวคนที่เป็นความลับของเสือได้

“หมวดต้น ผมขอเอกสารการเงินของคุณเสือหน่อย แล้วก็เร่งเรื่องกล้องวงจรปิดให้ผมด้วย”

“ได้ครับสารวัตร”

ปราปยืนรอรับเอกสารการเดินบัญชีของเสือจากลูกน้องในทีมสืบสวนก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง หลังจากที่เขาใช้เวลาอ่านเอกสารอยู่เกือบชั่วโมงก็พบว่าเสือมักจะโอนเงินไปให้นิติคอนโดแห่งหนึ่งทุก ๆ เดือน

“มีบ้านอยู่แล้วจะไปเช่าคอนโดทำไมวะ”

“สารวัตรพูดว่าอะไรนะครับ”

ปราปบ่นพึมพำกับตัวเองจนไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูจนกระทั่งผู้มาเยือนเข้ามาทักทายเขาถึงในห้องแล้วถึงได้เพิ่งรู้ตัว เขาเงยหน้าขึ้นไปมองลูกน้องคนสนิทก่อนจะถอนหายใจแล้วหยิบเอกสารการเงินให้เมฆดู “กูเจอคนที่น่าสงสัยกว่าไอเด็กสิงละ”

เมฆรับเอกสารจากปราปไปดูพลางเอ่ยปากถามโดยไม่ได้ละสายตาไปจากข้อมูลในมือ “ใครเหรอครับสารวัตร”

“คนรักของคุณเสือ”