"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์

เนื้อหา

กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย

ไม่มีคำไหนที่สิงพูดแล้วอินจะเข้าใจมันเลยสักคำ ไม่รู้ว่าไอเด็กที่อยู่ในความดูแลของเขามันพูดอะไรของมันยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจยิ่งฟังยิ่งหงุดหงิด คนแก่กว่าพยายามจะไม่กดดันเด็กหนุ่มเพราะสถานการณ์ที่น้องเผชิญอยู่ตอนนี้ก็แย่พออยู่แล้ว แต่พอสิงพูดว่าเพื่อนรักของเขาถูกฆ่าตายทั้ง ๆ ที่ฝั่งตำรวจยังไม่รู้สาเหตุการตายเลยด้วยซ้ำ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าไอเด็กตรงหน้าต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน

“สิง มึงพูดอะไรวะ กูไม่เข้าใจ วิญญงวิญญาณอะไร”

“...”

“ไอสิง มึงรู้อะไร มึงบอกกูมา”

“พี่เสือเขาเลือกเองพี่อิน”

“เลือกอะไร! มึงพูดให้มันเคลียร์ ๆ ดิ๊!” อินแทบจะอดรนทนไม่ไหวอยากจะยื่นมือไปง้างปากไอเด็กหนุ่มตรงหน้า แต่ละอย่างที่มันพูดออกมาเขาไม่เข้าใจมันเลยสักนิด เหมือนมันพยายามจะบอกอะไรเขาแต่ก็ไม่กล้าบอกออกมาตรง ๆ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างทำให้มันไม่สามารถพูดออกมาตรง ๆ ได้

สิงผงะไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความโกรธจากน้ำเสียงของอิน เขาก้มหน้างุดจนคางชิดอกเบ้าตาเริ่มร้อนผ่าวก่อนที่อีกเสี้ยววินาทีต่อมาน้ำตาหยดใส่ ๆ หยดนึงจะหยดแหมะลงบนหน้าตักแล้วตามมาด้วยอีกหลาย ๆ หยดที่ไหลอาบแก้มขาว ไหล่กว้างสั่นไหวเล็กน้อยจนคนพี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับรู้สึกผิดที่เขาเผลอไปขึ้นเสียงใส่มัน

ฉิบหาย...

อินรีบพุ่งตัวเข้าไปกอดปลอบพลางใช้ฝ่ามือนุ่มลูบหลังคนน้อยปอย ๆ “กูขอโทษ มึงอย่างร้องดิวะ กูแม่งปลอบใครไม่เป็นด้วย” อินพูดปลอบคนน้องอย่างเงอะๆ งะ ๆ พลางคิดว่าเขาไม่ควรขึ้นเสียงใส่น้องในสถานการณ์ที่อารมณ์ของมันไม่ปกติ

สิงส่ายหน้ารัวทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของคนพี่ น้ำตาน้ำมูกที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนเสื้อที่คนพี่สวมอยู่ “พี่อินไม่ผิด สิงผิดเอง สิงขอโทษ”

อินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะยิ่งสิงพูดมันก็ยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจแต่ต้องเก็บมันเอาไว้ในใจเพราะไม่กล้าถามอะไรอีก พร่ำด่าตัวเองในใจที่ไม่ยั้งคิดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ช่างมัน ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เดี๋ยวปวดตา” พูดจบก็ผละคนน้องออกจากอ้อมกอดแล้วค่อยใช้ท้องนิ้วเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของเด็กหนุ่มตรงหน้า

สิงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเอง “ขอโทษนะครับพี่อิน” เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้านิ่วคิ้วขมวด คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

“อือ หยุดร้องไห้รึยัง” พูดพลางมองซ้ายมองขวาสำรวจใบหน้าของคนน้อง

สิงช้อนสายตามองอินด้วยท่าทางเคอะเขินที่ดันเผลอร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าคนที่แอบชอบ “หยุดแล้วครับ”

ท่าทางไร้เดียงสาของสิงทำให้อินรู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ ในใจแบบที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร อาจจะเป็นความรู้สึกเอ็นดูที่เขามีต่อเด็กหนุ่มตรงหน้า อินเลิกสนใจความรู้สึกของตัวเองเพราะคิดว่ามันก็เป็นความรู้สึกที่เขามีให้น้องตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ร่างโปร่งยื่นมือทั้งสองข้างไปพยุงใบหน้าคนน้องให้เงยขึ้นมามองเขา “สิง ถ้ามึงไม่อยากพูดกูก็จะไม่บังคับ แต่กูอยากให้มึงรู้ว่ากูอยู่ตรงนี้ ข้าง ๆ มึงเสมอ กูพร้อมรับฟังทุกเรื่องของมึงไม่ว่ามันจะไร้สาระแค่ไหนกูก็จะฟัง อย่างที่กูเคยทำมาตลอด”

สิงยกยิ้มบางพลางพยักหน้าตอบ “ขอบคุณนะครับพี่อิน” อินเป็นเหมือนแสงสุดท้ายในชีวิตที่แสนมืดมน เป็นที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตของเขามาตลอด ภาพเรื่องราวสมัยเด็กย้อนกลับเข้าในหัว ช่วงเวลาในสมัยเด็กที่เขาได้เจอและใช้เวลาร่วมกับอินยังคงทำให้เขายิ้มได้แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิต

 

“สารวัตรใจร้ายจังเลยครับ” หมวดเมฆอดไม่ได้ที่จะแกล้งแซวผู้บังคับบัญชาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ภายในห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ติดกัน หลังจากที่ได้ยินบทสนทนาของสองพี่น้องในห้องสอบปากคำ

ปราปที่กำลังยืนกอดอกมองคนทั่งคู่ผ่านกระจกทึบกั้นห้องอย่างครุ่นคิดถูกลูกน้องกวนอารมณ์จนต้องเหลือบไปมองลูกน้องด้วยหางตาอย่างตำหนิ

เมฆยกยิ้มแห้งร่างกายรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ “แฮ่ ~ เดี๋ยวผมไปดูหลักฐานก่อนดีกว่า” พูดจบก็รีบปลีกตัวออกไปเพราะกลัวจะโดนเจ้านายสั่งซ่อมแล้วจะได้ไม่คุ้มเสีย

ปราปเลิกสนใจเมฆแล้วค่อยหันกลับมาสนใจภาพตรงหน้าพลางคิดวิเคราะห์คำพูดของสิง เขาคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ปล่อยให้อินได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มเพราะมันทำให้เขามั่นใจมากขึ้นไปอีกว่าสิงต้องมีข้อมูลอะไรบางอย่าง และตอนนี้เขาก็ได้ข้อมูลสำคัญมาแล้วหนึ่งอย่างนั้นคือ เสือถูกฆ่าตาย

จากคำพูดบางช่วงที่บอกว่าเสือถูกฆ่าตายแต่สิงไม่ใช้พยานที่เห็นเหตุการณ์ สิ่งนี้ปราปยังไม่ปักใจเชื่อเพราะหากสิงไม่เห็นเหตการณ์แล้วเขาจะรู้ได้ยังไงว่าเสือถูกฆ่าตาย เว้นเสียแต่ว่าสิงจะรู้เรื่องราวบางอย่างที่เป็นสาเหตุให้เกิดเหตสะเทือนขวัญในครั้งนี้ แต่ในขณะที่ปราปกำลังใช้ความคิดกับคดีของเสือจู่ ๆ เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาขัดสมาธิของเขาเสียก่อน

“มีอะไรวะราม”

[ตายแล้วยังหล่อ สมเป็นดาราดังดีเน๊อะ] คำพูดติดเล่นของรามแผดออกมาให้ปราปได้ยิน ทำเอาคนที่ถูกขัดสมาธิถึงกับกลอกตามองบนด้วยความรำคาญ

“เอาดี ๆ มึงโทรมาทำเหี้ยไร”

[ไปถามมาให้หน่อย ว่าช่วงนี้เด็กนั้นกินยาอะไรอยู่บ้าง]

“ทำไมวะ”

[จะเอามาประกอบผลการตรวจฉี่ไงไอห่า]

“เออ เดี๋ยวกูถามให้”

[ว่าแต่ มึงเป็นไรวะ ทำไมเสียงหงอยแบบนั้น]

“เสียงกูก็ปกติ”

[ปกติที่ไม่ปกติ]

“เชี้ยไรของมึง พูดจาเหมือนไอเด็กเวรนี้เข้าไปทุกที”

[เด็กไหน น้องชายคุณเสือเหรอ]

“อือ พูดห่าไรก็ไม่รุ๊ ฟังไม่รู้เรื่อง วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนห่าไรก็ไม่รุ๊!”

[พูดเหี้ยไรของมึง น่ากลัวพิลึก]

“กูก็อยากรู้เหมือนกัน ไอเด็กนี้เหมือนจะรู้ว่าพี่ชายมันตายได้ยังไงแต่แม่งไม่ยอมบอกอะไรใครเลย แม้กระทั่งกับคุณอิน”

[อินไหนวะ]

“อิน ดาราคู่จิ้นของนายเสือไง”

[อ้อ แล้วทำไมไอเด็กนั้นต้องพูดเรื่องนั้นกับเค้าด้วย]

“คุณอินเป็นเพื่อนสนิทของนายเสือ เท่าที่ดูคุณอินเขาเอ็นดูไอเด็กเวรนี้ไม่น้อยเลย”

[ถ้ากับคนสนิทยังไม่พูด ต่อให้มึงทรมานเด็กนั้นปางตายมันก็ไม่พูดหรอก ทำไมมึงไม่ลองร่วมมือกับมันดูละ]

“ร่วมมือกับผู้ต้องสงสัย มึงโง่หรือมึงซื่อวะไอราม”

[ยังไงมันก็ไม่ใช้ฆาตกร ร่วมมือกับมันผิดกฎหมายข้อไหนวะ]

“มึงรู้ได้ไงว่ามันไม่ใช้ฆาตกร”

[ฟังจากเสียงมึงไง ไอควาย! ถ้ามันเป็นฆาตกรจริง ๆ นู้น! มึงคงวุ่นวายอยู่กับการตามหาหลักฐานเอาผิดมัน ไม่มานั่งบ่นกับกูแบบนี้หรอก]

“สัส! กูก็นึกว่ารู้อะไร กูไปทำงานดีกว่าคุยกับมึงแล้วแม่ง เสียเวลา”

[งั้นของไว้ค่อยผ่าเน๊อะ] รามพูดประชด

“มึงผ่าตอนนี้ กูจะได้ผ่ามึงต่อ แค่นี้นะ!”

ปราปกดตัดสายเพื่อนทันทีไม่รอให้ปลายสายได้มีโอกาสต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อ ปราปกลับมายืนมองสองพี่น้องคุยสารทุกข์สุกดิบกับครู่นึงก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องของทีมสืบสวน สภาพบรรยากาศภายในวุ่นวายไม่แตกต่างจากตลาดยามเย็น นายตำรวจหลายนายกำลังวุ่นวายอยู่กับการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดในบริเวณรอบบ้านของนายเสือ

“ไอเมฆ ภาพรอบบ้านเป็นไงบ้างวะ” ปราปถามหมวดเมฆที่กำลังนั่งจ้องเขม่นอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่กำลังฉายภาพกล้องวงจรปิดบริเวณหน้าหมู่บ้าน

“คืนที่คุณเสือตาย เขากลับบ้านมาคนเดียวครับไม่มีใครเลย ส่วนสิงก็เป็นไปตามที่เขาบอกครับ กลับมาช่วงหกโมงสี่สิบ”

“นายเสือกลับมาถึงบ้านกี่โมง”

“นี้ครับสารวัตร กลับมาถึงบ้านตอนสี่ทุ่มห้านาทีครับ”

“อย่าลืมที่กูสั่ง หลังงานอีเว้นท์จนถึงช่วงเวลากลับบ้าน ไปหามาว่าคุณเสือเค้าไปไหน

“ให้ผมออกไปเลยไหมครับ”

“ไปพักก่อนเหอะ นี้ก็ดึกมากแล้ว”

“ครับสารวัตร”

ปราปก้มลงไปมองจ้องใกล้หน้าจอ ก่อนจะสั่งให้หมวกเมฆกรอภาพกลับไปในช่วงที่เสือกลับบ้าน จากภาพเสือขับรถสปอร์ตยุโรปสีขาวแบรนด์สี่ห่วงคันที่จอดอยู่บริเวณลานจอดรถหน้าบ้านตอนที่ปราปไปถึงในช่วงเช้า ส่วนเสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดเดียวกันกับตอนที่ถูกพบร่าง “รายการทรัพย์สินไม่มีอะไรสูญหายใช้ไหม”

“ครับ ตรวจสอบกับสิงแล้ว ไม่มีอะไรสูญหายครับ”

หากเป็นอย่างที่สิงพูดว่าเสือถูกฆาตกรรมนั้นหมายความว่าคนร้ายต้องการเพียงชีวิตของเสือเท่านั้น ไม่ได้ต้องการทรัพย์สินอื่น ๆ เพราะข้าวของในบ้านก็ไม่มีอะไรเสียหายหรือสูญหาย ประตูบ้านก็ไม่มีร่องรอยการงัดแงะ นั้นหมายความว่าเสือต้องรู้จักกับฆาตกรและอาจจะเป็นคนเชิญฆาตกรเข้ามาในบ้านด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเหตุจูงใจก็น่าจะมาจากความแค้นส่วนตัว

“จ่า กล้องในบ้านไม่มีเลยเหรอ” ปราปเงยหน้าขึ้นไปถามลูกน้องอีกคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ

“มีครับสารวัตร แต่…” นายตำรวจชั้นประทวนพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จนปราปต้องถามย้ำ

“แต่อะไร พูดมา”

“ภาพไม่ชัด ทำให้เรามองอะไรไม่เห็นเลยครับ”

ปราปไม่หวังให้กล้องวงจรปิดภายในบ้านทำงานได้ดีอยู่แล้ว เพราะถ้าคนร้ายเป็นคนรู้จักจริงก็ย่อมต้องรู้ว่ามีกล้องวงจรปิดถูกติดตั้งเอาไว้ภายในบริเวณบ้าน แต่ด้วยความสงสัยเขาจึงรีบเดินไปดูให้เห็นด้วยตาของตัวเอง เวลาตรงมุมล่างขวาของภาพกล้องวงจรปิดยังคงเดินไปเรื่อย ๆ นั้นหมายความว่ากล้องวงจรปิดไม่ได้เสีย แต่ภาพบนหน้าจอกลับเห็นเพียงภาพเงาดำบดบังภาพบรรยากาศภายในบ้านทำให้ไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบวกกับเสียงที่ซ่าคล้ายคลื่นวิทยุ “เอาไปให้ไซเบอร์ดูที”

“หมวดเมฆสั่งแล้วครับสารวัตร”

“โอเค ดีมาก แล้วมีกล้องตรงอื่นอีกไหม”

“มีทั้งหมดห้าตัวครับสารวัตร สามตัวที่ชั้นล่าง ส่วนชั้นสองมีหน้าห้องสิงหรหนึ่งตัว หน้าห้องทำงานคุณศรัทธาหนึ่งตัวครับ”

“ชั้นล่างมีที่ห้องรับแขกแล้วที่ไหนอีก”

“มีที่ทางเข้าบ้าน แล้วก็บริเวณหลังบ้านครับสารวัตร”

“มีตัวไหนมีภาพบ้าง”

“ชั้นล่างสามตัวไม่มีตัวไหนดูได้เลยครับ ส่วนชั้นบนยังทำงานได้ปกติครับสารวัตร”

“ภาพหน้าห้องสิงละ มีใครดูรึยัง”

“ดูแล้วครับสารวัตร สิงออกจากห้องมาประมาณยี่สิบนาทีช่วงที่นายเสือกลับมาถึงบ้านครับ”

“ออกไปไหน”

“จากภาพกล้องหน้าห้องทำงาน สิงลงไปชั้นล่างครับ แล้วขึ้นมาหลังจากนั้นประมาณยี่สิบนาที”

“เปิดไฟล์หน่อย”

“ครับ”

ภาพกล้องวงจรปิดฉายให้เห็นว่าสิงที่สวมชุดนอนเดินออกมาจากห้องนอนในช่วงที่รถของเสือขับมาจอดที่หน้าบ้าน ก่อนจะเดินลงบันไดไปที่ชั้นล่าง หลังจากนั้นก็เดินกลับขึ้นมาบนชั้นสองแล้วเดินตรงเข้าไปที่ห้องนอนของตัวเองทันที แต่สิ่งที่ผิดสังเกตคือใบหน้าของสิงที่เห่อแดงขึ้นมาเล็กน้อย

“ซูมเข้าไปหน่อยได้ไหม” ปราปชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของสิงเพื่อให้นายตำรวจทำการซูมภาพเข้าไปได้ถูกจุด

“ได้ครับสารวัตร”

กล้องวงจรปิดคุณภาพดีจึงทำให้ภาพที่ถูกขยายไม่แตกเหมือนกับกล้องสมัยก่อนสามารถเห็นดีเทลเล็ก ๆ ได้ นั้นทำให้ปราปเห็นว่าใบหน้าของสิงเห่อแดงขึ้นเล็กน้อยตามที่เขาคาด คราบน้ำตาจากการถูกเช็ดอย่างลวก ๆ ก็ยังคงมีให้เห็นบนใบหนาเนียน ส่วนเสื้อผ้าที่สวมยังคงเหมือนเดิมไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือคราบเลือด

‘ร้องไห้ทำไม ทะเลาะอะไรกันรึเปล่า’

ปราปบ่นพึมพำในใจ พลางคิดถึงสภาพศพของเสือที่เขาเห็นตอนที่ไปถึงสถานที่เกิดเหตุ เขาไม่ได้เข้าไปดูใกล้ ๆ เหตุเพราะไม่อยากเข้าไปรบกวนการทำงานของทีมนิติเวช แต่เท่าที่เขาเห็นเสือมีคราบเลือดเลอะมุมปากบนพื้นมีคราบเลือดกองนึง คาดว่าน่าจะออกมาทางช่องปาก เสือสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงสแล็คขายาวจึงทำให้เขามองไม่เห็นร่องรอยในส่วนอื่น ๆ

‘ยาพิษเหรอ’

หลังจากตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดปราปก็เดินตรงมาที่ห้องสอบปากคำ แต่ยังไม่ทันที่จะเดินเข้าไปเขาก็เกิดอาการลังเล …เห็นทีว่าคำพูดของรามจะไม่เกินจริง ทรมานให้ตาย ไอเด็กนั้นก็ไม่ยอมบอกอะไรเขาอยู่ดี “ไอเด็กเหี้ย ตกลงมึงฆ่าหรือไม่ได้ฆ่าวะ” ปราปบ่นกับตัวเองโดยที่ไม่ได้สังเกตว่ามีใครกำลังเดินเข้ามาใกล้

“คุณมีคำตอบอยู่ในใจแล้วนิครับ สารวัตรปราป”

ปราปหันไปตามเสียงก่อนจะเอ่ยปากทักทายผู้มาเยือนด้วยอาการตกอกตกใจ “คุณอิน!”

“คุณอาจจะมองว่าผมเป็นญาติของเขาเลยพยายามพูดเข้าข้าง แต่สิงไม่ได้เป็นเด็กแบบนั้นหรอกครับ เขาฆ่าใครไม่ได้หรอกโดยเฉพาะพี่ชายของตัวเอง”

“แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของเขานะครับ”

“แล้วก็ยังไม่มีหลักฐานเอาผิดเค้าด้วยใช่ไหมครับ”

ปราปยกยิ้มบางอย่างพอใจกับฝีปากของร่างโปร่งตรงหน้า “นั้นก็ถูกครับ แต่ผมเป็นตำรวจ ทุกอย่างต้องพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐาน”

“ครับ ผมเข้าใจ”

“คุณอินพอจะรู้ไหมครับ ว่าสิงกินยาอะไรอยู่บ้าง”

“ยาเหรอครับ ไม่มีนะครับ สิงแข็งแรงดี ไม่มียาอะไรที่ต้องกินเป็นประจำ”

“แล้วคุณเสือละครับ”

“ไอเสือมันเป็นโรคเครียดครับ ยาที่กินเป็นประจำก็พวกยาจิตเวช แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามียาอะไรบ้าง”

“ครับ งั้นผมขอตัวเข้าไปคุยกับเค้าหน่อยนะครับ จะให้ทนายเข้าไปด้วยไหมครับ”

“งั้นเดี๋ยวผมไปตามทนายพฤกษ์ก่อนนะครับ” อินยกยิ้มบางให้สารวัตรปราปแล้วค่อยปลีกตัวออกไป

ปราปจึงทำได้แค่ยืนรออยู่หน้าห้องเพื่อรอเข้าไปสอบปากคำสิงพร้อมกับทนายพฤกษ์ พอเห็นทีมทนายเดินมาปราปก็เปิดประตูรอให้ทีมทรายเข้าไปก่อนแล้วจึงค่อยเดินตามเข้าไป เขาเข้าไปนั่งประจำที่ก่อนจะเริ่มทำการสอบปากคำเมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมแล้ว

“เมื่อวานคุณได้ลงไปหาพี่ชายตอนที่เขากลับมาถึงบ้าน ถูกไหม?”

“...” สิงพยักหน้า

“คุยเรื่องอะไรกัน ทำไมคุณถึงร้องไห้”

“...”

ปราปถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความปากแข็งของไอเด็กตาขาวตรงหน้า “สิง ผมพยายามช่วยคุณอยู่นะ คุณช่วยให้ความร่วมมือกับผมหน่อยได้ไหม?”

“พี่เสือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตรายด้วยความเต็มใจครับ”

“หมายความว่ายังไง”

“คือ…”

“มีคนขู่จะฆ่าเขาเหรอ?”

“…” สิงส่ายหน้า

“แล้วสิงรู้ได้ยังไงว่าคุณเสือเค้าเข้าไปยุ่งเรื่องอันตราย เค้าเคยพูดอะไรกับสิงเหรอ?”

“ไม่เคยครับ”

“แล้วสิงรู้ได้ยังไง?”

“…”

“สิง?” ปราปถามย้ำเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มอมพะนำข้อมูลสำคัญเอาไว้ แต่ดูจากท่าทีแล้วต่อให้เขาจะถามอีกฝ่ายอีกกี่ร้อยคำถามเขาก็ไม่มีทางได้คำตอบ

“ผม… ผม...” เป็นอีกครั้งที่เขาพูดไม่ออก และทุกครั้งมันต้องวนกลับมาจบลงตรงเรื่องความสามารถที่เขาไม่พึงปรารถนา การสื่อสารกับวิญญาณไม่ใช้เหตผลที่ฟังขึ้นและเขาก็ไม่เชื่อด้วยว่าปราปจะยอมรับฟังเหตุผลนี้ “สารวัตรเชื่อเรื่องวิญญาณไหมครับ”

ปราปเลิกคิ้วด้วยความสงสัยกับคำถามที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับคดี “หมายถึงว่าบนโลกนี้มีวิญญาณไหมอะเหรอ?”

“ครับ”

“ก็คงมี แต่ฉันไม่เคยเจอ แล้วมันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังไง?”

สิงถอนหายใจบ้าง “ถ้าผมบอกว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวิญญาณ สารวัตรจะเชื่อผมไหมครับ?”

ปราปหัวเราะในลำคอพลางยกยิ้มมุมปากอย่างดูแคลน “หึ มีแค่คนเท่านั้นแหละสิงที่จะสามารถฆ่าคนได้ วิญญาณไม่สามารถทำให้ใครตายได้หรอกน่ะ แล้วอีกอย่างสิงคิดว่าศาลท่านจะฟังเราไหม ถ้าเราบอกว่าวิญญาณเป็นคนฆ่าคุณเสือ”

นั้นเป็นคำตอบชั้นดีว่าสิงไม่ควรพูดเรื่องที่เขาสามารถสัมผัสถึงโลกหลังความตายให้ปราปรู้ เพราะต่อให้เขาจะพูดจนปากเปียกปากแฉะยังไงนายตำรวจใหญ่ก็ไม่มีทางเชื่อเขาอย่างแน่นอน

“แล้วตกลงสิงรู้ได้ยังไงว่าคุณเสือเค้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันตราย แล้วเรื่องอันตรายที่ว่านั้นคืออะไร?”

“...” 

“อย่าให้ผมต้องถามย้ำได้ไหมสิง ถือว่าผมขอละ”

“ผมขอโทษครับ แต่ผมไม่รู้จริง ๆ”

ปราปยอมถอยให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะเปลี่ยนเรื่องสอบปากคำ “โอเค ไม่เป็นไร ถ้าอย่างงั้นช่วยบอกได้ไหมว่าคุณเสือพานายไปฝากไว้กับคุณอินช่วงไหนบ้าง พอดีเราพบว่าคุณเสือเช่าคอนโดย่านชานเมืองเอาไว้ อาจเป็นที่นัดพบระหว่างคุณเสือกับคนรัก”

 

“เท่าที่ผมจำได้ เดือนมีนาช่วงปลายเดือนประมาณวันที่ 27-29 เดือนเมษาวันที่ 16-18 เดือนพฤษภาแล้วก็เดือนนี้ผมไม่ได้ไปครับ” 

“คุณเสือเค้าไม่ได้ออกไปข้างนอกเหรอ?”

“เปล่าครับ แต่พี่อินไปทำงานที่ต่างจังหวัดผมเลยต้องอยู่บ้านคนเดียว”

“ทั้ง ๆ ที่คุณเสือเค้าไม่เคยปล่อยให้สิงอยู่คนเดียวมาก่อนนะเหรอ?”

“พี่เสือโทรมาหาผมครับ ผมบอกว่าผมอยู่ได้ แล้วพี่เสือก็ไม่อยู่แค่คืนเดียว”

“ถ้าอย่างงั้นเดือนนี้คุณเสือได้ออกไปค้างแรมที่อื่นไหม?”

“ไม่มีครับ พี่เสือกลับมานอนที่บ้านทุกวัน”

“ถ้างั้นสิงก็ไปอยู่กับคุณอินบ่อยนะซิ ถูกไหม?”

“ช่วงสองสามปีนี้ก็ใช้ครับ แต่ก่อนหน้านี้ก็แค่ปีละสามสี่ครั้ง ส่วนใหญ่พี่แฟนจะมาอยู่เป็นเพื่อนผมซะมากกว่า”

“ถ้างั้นสิงพอจะรู้ไหมว่าช่วงไหนคุณเสือเค้าไปหาแฟน หรือช่วงไหนเค้าไปทำงาน”

“รู้ครับ ผมมีตารางงานของพี่เสือ แล้วอีกอย่างทุกครั้งที่พี่เสือติดงานกลับบ้านไม่ได้พี่แฟนจะมาอยู่เป็นเพื่อนผม แต่ช่วงไหนที่พี่เสือไม่มีงานและดูเหมือนว่าจะออกไปทำธุระส่วนตัว พี่เสือจะเป็นคนพาผมไปฝากไว้กับพี่อินเสมอครับ” 

“ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะ ยังไงผมขอตัวก่อน” ปราปพูดจบก็เดินออกไปจากห้องเห็นอินนั่งรออยู่ข้างหน้าจึงบอกให้ร่างโปร่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งหน้าหมาหงอยอยู่ในห้อง “น้องชายคุณอินเป็นผู้ต้องสงสัยที่สอบปากคำยากมากคนนึงเลยนะครับ”

อินยิ้มแห้งพลางกลอกตาไปมา “ไอสิงมันก็เป็นแบบนั้นแหละครับ พูดน้อยเหมือนกลัวดอกพิกุลร่วง แต่จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก ยังไงผมจะลองถามมันดูให้นะครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าสารวัตรจะได้อะไรจากคำตอบของมันไหม”

ปราปยกยิ้มกับมุกตลกร้ายของคนตรงหน้า “แต่อย่างน้อยสิงก็ยอมตอบคุณอิน”

“ผมไม่มั่นใจเลยว่าแบบนั้นเรียกว่าตอบ”

นายตำรวจใหญ่หัวเราะร่วน “ฮ่า ฮ่า งั้นฝากด้วยนะครับ”

“ผมจะพยายามครับ”

 

อินเดินเข้าไปในห้องหลังจากที่แยกกับปราปแล้ว ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็เห็นสิงกำลังทำหน้าเครียดก้มหน้างุดไม่ยอมตอบคำถามอะไรบางอย่างที่ทนายพฤกษ์ถาม “มีอะไรรึเปล่าครับทนายพฤกษ์”

ทนายพฤกษ์เงยหน้าขึ้นมามองอินด้วยสีหน้าลำบากใจ “ผมพยายามสอบถามคุณสิงเรื่องคดีครับ เผื่อว่าเราจะได้ช่วยกันตามหาหลักฐาน”

“หลักฐานอะไรกันครับ?” อินถามพลางเดินไปโอบไหล่คนน้องเอาไว้เพื่อให้สิงคลายความกังวล

“ในระหว่างการให้ปากคำ คุณสิงพูดว่าคุณเสือเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องอันตรายด้วยตัวของคุณเสือเอง ผมคิดว่าถ้าคุณสิงมีข้อมูลส่วนนี้เราอาจจะช่วยกันตามหาหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของคุณสิงได้”

อินเห็นว่าสิ่งที่ทนายพฤกษ์พูดมามีเหตุผล ประจวบเหมาะกับที่เด็กน้อยของเขาอยากถูกปล่อยตัวก่อนเวลาจึงได้ก้มตัวลงไปพูดโน้มน้าวสิงอีกแรก “ที่ทนายพูดก็ถูกนะมึง ไหนมึงบอกว่าอยากออกไปช่วยใครสักคนไง ถ้าเราหาหลักฐานเจอ มึงอาจจะถูกปล่อยตัวเร็วกว่าเดิมก็ได้นะเว้ย”

สิงส่ายหน้ารัวจนผมเผ้ายุ่งเหยิง “ผม...ผมไม่รู้จริง ๆ ครับ” เขาตอบเสียงตะกุกตะกักพลางเผลอนั่งแกะเล็บโดยไม่รู้ตัว

อินเห็นท่าไม่ดีกลัวจะได้เลือดจึงยื่นมือไปห้าม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปส่งสัญญาณบอกให้ทนายพฤกษ์รู้ว่าเขาต้องการเวลาส่วนตัวกับสิง เมื่อในห้องเหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนอินจึงเดินไปนั่งข้าง ๆ สิงพลางดึงมือทั้งสองข้างของมันมากุมเอาไว้ “กูไม่ได้กดดันมึงนะ ถ้ามึงไม่อยากบอกกูก็ไม่อยากรู้ แต่ที่ทนายพฤกษ์พูดมาก็มีส่วนถูกถ้ามึงอยากถูกปล่อยตัวก่อนเวลามึงต้องมีหลักฐานมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง สารวัตรเค้ามีสิทธิ์ที่จะสงสัยมึงเพราะมึงอยู่ในสถานที่เกิดเหตุที่ไอเสือตาย แต่ยังไงกูก็เชื่อว่ามึงไม่ได้ฆ่ามัน คนอย่างมึงทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้หรอก แค่กูแกล้งดุมึงนิดหน่อยมึงก็ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้ว”

สิงนั่งมองหน้าอินในขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดตาแป๋ว ราวกับกำลังตั้งใจฟังทุกคำพูดของคนพี่ “แล้วถ้าสิงพูดเรื่องที่ไร้สาระมาก ๆ พี่อินยังจะเชื่อสิงอยู่ไหมครับ”

“เชื่อ!” อินตอบทันควันแบบที่ไม่เว้นช่องไฟให้สมองได้ประมวลผล “กูเชื่อทุกอย่างที่มึงพูด เพราะกูรู้ว่ามึงไม่มีทางโกหกกูแน่ ๆ กูเลี้ยงมึงมาตั้งแต่มึงตัวเท่าเอวกูนะไอสิง ทำไมกูจะไม่เชื่อมึง”

สิงระบายยิ้มอ่อนสายตามองจ้องหน้าคนที่เขาหลงรักมาตั้งแต่ตัวเท่าเอวของอีกฝ่าย “หลักฐานสิงไม่มีหรอกครับ ขอโทษนะครับที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย แต่สิงจะตามหามันให้เจอ”

คิ้วอินกระตุกวูบเมื่อได้ยินอะไรที่ไม่ค่อยจะเข้าหูสักเท่าไหร่ จึงจำเป็นต้องถามย้ำให้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย “หมายความว่าไงที่บอกว่ามึงจะตามหามันให้เจอ นี้มึงจะออกไปตามหาหลักฐานที่ฆาตกรทิ้งไว้เหรอ?”

“ครับ”

“ไม่ได้! มันอันตราย!” อินตะโกนเสียงแข็งพลางถลึงตาใส่น้อง

“ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เราก็ไม่รู้นะครับว่าใครเป็นคนฆ่าพี่เสือ”

“แล้วไหงมึงพูดเหมือนมึงรู้ว่าใคร”

“สิงไม่รู้หรอกครับ”

“เอาไงแน่ ตกลงมึงรู้หรือไม่รู้ ตกลงเพื่อนกูถูกฆ่าแน่เหรอ?”

“สิงรู้ว่าพี่เสือไม่ได้ฆ่าตัวตายครับ แต่สิงไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าพี่เสือ”

“แล้วมึงจะไปหาหลักฐานจากที่ไหน ถ้ามึงไม่รู้”

“สิงรู้วิธีที่จะตามหามันครับ”

“วิธีอะไร?แล้วทำไมไม่บอกสารวัตรปราป?”

“เพราะว่า...สารวัตรใช้วิธีที่สิงรู้ในการตามหาหลักฐานไม่ได้ครับ”

“วิธีอะไรของมึง ยิ่งพูดยิ่งงง... แต่ก็ช่างเหอะ! ยังไงกูก็ไม่อนุญาตให้มึงไปตามหาหลักฐานคนเดียว มันอันตราย!” 

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่! เผื่อมึงลืมนะไอสิง มึงตาบอด! มึงจะไปหาหลักฐานคนเดียวได้ยังไง แล้วถ้ามึงไปเจอกับไอฆาตกรโรคจิตนั้นมึงจะทำยังไง?! มองเหี้ยไรก็ไม่เห็น ไม่ได้! ยังไงก็ไม่ได้! ในฐานะที่กูเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของมึง กูยื่นคำขาด ห้ามมึงไปตามหาไอหลักฐานบ้านั้นตัวคนเดียวเด็ดขาด เข้าใจไหม?!” 

“...” สิงทำปากคว่ำที่ถูกคนพี่ขัดใจ

หากเป็นเวลาปกติอินคงใจอ่อนไปแล้วใครจะไปกล้าขัดใจไอเด็กหน้าตาน่ารักตรงหน้าได้ เขาเลี้ยงมันมาตั้งแต่เด็กไม่เคยตีไม่เคยขัดใจอะไรสักอย่าง แต่เรื่องนี้มันอันตรายเกินไปต่อให้จะทำหน้าออดอ้อนสักแค่ไหนเขาก็ไม่มีทางใจอ่อน “เข้าใจไหมสิง?!” อินกดเสียงต่ำถามย้ำ

“ครับ” สิงจำต้องตอบตกลงตามที่อินบังคับ แม้ในใจลึก ๆ จะกำลังหาวิธีหว่านล้อมให้คนพี่ยอมเห็นด้วย ปกติแล้วสิงมักจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แต่บทจะดื้อขึ้นมาก็ฉุดรั้งยากเอาการอยู่เหมือนกันเพราะดันดื้อเงียบ!

“แล้วไอวิธีที่มึงบอกว่าสารวัตรเค้าใช้ไม่ได้ ทำไมมึงไม่ลองบอกออกมาดูก่อนละ บางทีสารวัตรเค้าอาจจะทำได้ก็ได้น่ะ”

“ไม่ได้หรอกครับ สิงมั่นใจ” จะมีใครโชคร้ายเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการสื่อสารกับผีได้อีก คล้ายกับการที่เกิดมาแล้วต้องเผชิญกับโรคร้ายที่จะพบได้หนึ่งในล้านและยังไม่มีวิธีรักษาให้หายได้นั่นแหละ

“เออ แล้วแต่มึงละกัน แต่ถ้ากูรู้ว่ามึงแอบไปหาหลักฐานด้วยตัวเอง มึงเจ็บตัวแน่ไอสิง” อินพูดจาข่มขู่น้องจนพอใจแล้วถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเด็กน้อยของเขายังไม่ได้กินข้าวเย็น “มึงยังไม่ได้กินข้าวเลย อยากกินอะไร? เดี๋ยวกูไปซื้อมาให้”

“อะไรก็ได้ครับพี่อิน”

“เออ รออยู่นี้แหละ เดี๋ยวกูมา” 

จากดาราดังกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก หลังจากที่ขับรถออกมาหาซื้อของกินให้คนน้องจู่ ๆ ก็ได้รับสายจากผู้จัดการส่วนตัวที่บอกว่าวันนี้ตอนกลางคืนเขาต้องเข้าไปที่กองเพราะต้องถ่ายซ่อมและไม่สามารถย้ายคิวได้ ด้วยความรับผิดชอบในหน้าที่อินจึงบ่นกระปอดกระแปดใส่ผู้จัดการส่วนตัวเพราะฉากที่ต้องถ่ายซ่อมในวันนี้คือฉากเลิฟซีน ‘เพื่อนผมตายทั้งคนผู้กำกับยังจะอยากให้ผมไปถ่ายฉากจูบอีกเหรอพี่?!’ แต่ก็ทำได้แค่บ่นเพราะเขาทำอะไรไม่ได้ เพราะชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญหากอย่างอยู่ยาวในวงการบันเทิง

“กูซื้อของโปรดมึงมาให้ รีบแดก” อินพูดพลางเตรียมอาหารการกินให้คนน้องได้กินง่าย ๆ ก่อนจะจับช้อนซ้อมยัดใส่มือ

“พี่อินจะรีบไปไหนเหรอครับ?”

“ผู้กำกับแม่งอยากให้กูไปถ่ายซ่อม ซ่อมเหี้ยไรตอนนี้วะ ใครจะไปมีกะจิตกะใจถ่าย...” เมื่อมีคนพร้อมรับฟังอินก็พร้อมจะบ่น สิงจึงต้องรับหน้าที่ผู้รับฟังที่ดีนั้นคือการนั่งฟังไปเงียบ ๆ โดยไม่ต้องพูดอะไร รอจนกว่าอินจะเหนื่อและหยุดไปเองแล้วค่อยพูดปลอบตบท้ายด้วยคำว่า

“ไม่เป็นไรนะครับพี่อิน”

“กูทำเหี้ยไรได้อีกนอกจากช่างแม่ง! แล้วข้าวอะทำไมไม่แดก นั่งฟังกูบ่นไปแดกไปก็ได้ป่ะ!” 

ความใจร้อนของอินเป็นที่เลื่องลือในหมู่คนสนิทอยู่แล้ว แค่โดนด่านิด ๆ หน่อย ๆ เด็กหนุ่มแทบจะไม่รู้สึกสะเทือนใจก็แค่แบะปากเตรียมร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อก็เท่านั้น “ครับ” สิงพูดเสียงอ่อยพลางก้มหน้าก้มตากินข้าวตามที่คนพี่จัดแจงไว้ให้

อินเห็นหน้าไอ้เด็กหมายักษ์ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ การง้อเป็นหนึ่งในคุณสมบัติการเป็นพี่เลี้ยงเด็กอ่อน “ขอโทษ กูมันปากหมา มึงก็รู้อะ”

“สิงไม่ได้โกรธพี่อินสักหน่อยครับ”

“แต่มึงน้อยใจ”

“…”

“เออ กูผิดเองกูขอโทษ แล้วข้าวแดกได้ไหม?”

“อร่อยมากเลยครับ” พูดพลางเคี้ยวข้าวในปากตุ้ย ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยกยิ้มจนตาหยีให้คนพี่ดู

ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในสถานที่ราชการอินจะจับไอเด็กหมายักษ์นี้ฟัดซะให้หายมันเขี้ยว! ไม่เข้าใจว่ามันจะน่ารักอะไรขนาดนั้นตั้งแต่เด็กจนโต “สิง คืนนี้มึงอยู่กับทนายพฤกษ์ไปก่อนได้ไหม กูต้องไปกองถ่าย”

“ได้ครับพี่อิน ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”

“ไอหมายักษ์” อินพูดพลางยื่นมือไปยีหัวน้องจนผมเผ้ายุ่งเหยิง ไอคนที่ถูกเรียกว่าหมาก็นั่งนิ่งก็ยอมให้เจ้าของเล่นหัวจนพอใจแถมยังส่งยิ้มหวานให้เป็นของแถมเพิ่มไปอีก

“พี่อินกินอะไรบ้างรึยังครับ มาอยู่กับสิงตั้งแต่บ่ายแล้ว”

“ก่อนมาหามึงกูแดกไปละ ส่วนข้าวเย็นค่อยไปแดกที่กอง ตอนนี้กูยังไม่หิว”

“พี่เสือตายไปแบบนี้ พี่อินกับพี่เจตรับมือนักข่าวยังไงครับ”

“มึงไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องรับมือนักข่าวปล่อยให้เป็นหน้าที่กูกับพี่เจต ส่วนมึงก็รออยู่ที่นี่ เป็นเด็กดี เดี๋ยวพรุ่งนี้กูกับพี่เจตจะมารับ”

“ผมขอโทษนะครับ ที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด”

“เอาอีกแล้วนะมึง เลิกโทษตัวเองได้แล้ว ไม่มีใครเค้าพูดเลยว่ามึงเป็นตัวปัญหา”

“ครับ”

อินยกมือขึ้นไปโยกหัวคนน้องด้วยความเอ็นดู พลางตะล่อมถามเกี่ยวกับคดีในระหว่างที่สิงกินข้าวเผื่อว่าจะช่วยให้สารวัตรปราปปิดคดีนี้ได้โดยเร็วเพราะเขาเองก็อยากรู้ว่าเพื่อนสนิทตายได้ยังไง “เออ แล้วตอนที่มึงหลับมึงได้ยินเสียงอะไรบ้างไหมวะ?”

เสือส่ายหน้า “ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมหลับลึกขนาดที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แต่ผมไม่ได้ยินอะไรเลยนะครับ” 

แปลก...ปกติแล้วสิงหูดีจะตาย อินยังจำได้ดีตอนสิงยังเด็กเขาต้องกล่อมอยู่นานกว่าน้องจะนอนหลับเพราะมันบอกว่าได้ยินเสียงดังมาจากฝั่งถนน ถึงแม้หมู่บ้านของเขาจะอยู่ติดถนนใหญ่แต่บ้านของเขาอยู่เกือบท้ายหมู่บ้านจึงทำให้บรรยากาศรอบบ้านค่อนข้างเงียบสงบนั้นจึงเป็นสาเหตุที่เขาเลือกซื้อบ้านหลังนี้ แต่สิงกลับได้ยินเสียงจากที่ไกล ๆ เขาเลยต้องจ้างช่างให้มาทำผนังเก็บเสียง แต่พี่ชายตายทั้งคนสิงจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเหรอ?! “ก่อนที่มึงจะไปนอน มึงได้ทำหรือกินอะไรแปลก ๆ เข้าไปรึเปล่า”

“ไม่มีนะครับพี่อิน ผมก็ดื่มนมที่พี่เสืออุ่นให้เป็นประจำทุกวันนั่นแหละครับ นอกจากนั้นก็ไม่ได้ดื่มอะไรอีกเลย”

ถ้าทุกอย่างเป็นปกติจริงทำไมสิงถึงไม่ได้ยินเสียงอะไร อินนั่งครุ่นคิดจนสมองแทบแตกแต่ก็คิดออกมาได้เพียงแค่เหตุผลเดียวและเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดจากสาเหตุนั้นจริง ๆ แต่ก็พลันนึกถึงคำถามที่สารวัตรปราปเพิ่งถามเขาไปเกี่ยวกับยาที่สิงกินเป็นประจำ

“มีอะไรรึเปล่าครับพี่อิน” สิงเห็นหนุ่มรุ่นพี่เงียบไปนานจึงเอ่ยปากถามย้ำ

“มึงว่ามันจะเป็นไปได้เหรอวะที่พี่มึงจะถูกฆ่าแล้วมันจะไม่ร้องออกมาสักแอะ แล้วถ้ามันไม่ร้องออกมาจริง ๆ มันจะเป็นไปได้เหรอที่มึงจะตื่นสาย ทั้ง ๆ ที่มึงตื่นเวลาเดิมทุกวัน”

“...”

“ตอนตำรวจไปถึงบ้านก็แปดโมงกว่าแล้วไม่ใช้เหรอ วันนี้วันพฤหัสมึงมีสอนปกติมึงต้องตื่นแล้วดิ ถูกไหม?”

สิงพยักหน้าคล้อยตามคำพูดของคนพี่

“แต่นี้แปดโมงกว่าแล้วมึงยังไม่ตื่น กูว่ามันแปลก ๆ”

“ผมอาจจะหลับลึกเกินไปก็ได้มั้งครับ”

“ไม่มีทาง ตอนที่พี่มึงเอามึงมาฝากไว้กับกู ต่อให้มึงจะหลับลึกแค่ไหนมึงก็จะได้ยินเสียงอะไรอยู่ดี บ้านไอเสือกับบ้านกูเลยต้องทำผนังเก็บเสียงไง”

“ถ้างั้นพี่อินคิดว่าอะไรทำให้ผมไม่ตื่นเหรอครับ”

อินลำบากใจที่จะพูดในสิ่งที่คิดเพราะไม่อยากให้เด็กหนุ่มไม่สบายใจทางที่ดีเขาควรรอให้ปราปสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างก่อนจะพูดออกไปก็ยังไม่สาย “ช่างแม่งเหอะ กินข้าว!” อินเบี่ยงประเด็นก่อนจะชี้นิ้วสั่งให้น้องลงมือกินข้าวเย็นต่อเพราะหลังจากที่สิงกินข้าวเย็นเสร็จเขาต้องรีบไปถ่ายซ่อมที่กองถ่าย 

 

พอกินอาหารเย็นเสร็จอินก็แยกตัวออกไปทำงาน ปราปที่ถูกอินฝากฝังน้องชายเอาไว้แลกกับข้อมูลที่เขาเพิ่งได้มาจึงต้องทำตามที่รับปากเอาไว้อย่างดี บวกกับข้อมูลที่เขามีตอนนี้ทำให้เขามั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าสิงไม่ใช้คนร้ายในคดี หากมีใครมารู้ว่าเขาให้ผู้ต้องสงสัยไปพังที่ห้องรับรองมีหวังเขาต้องถูกร้องเรียนแน่ ๆ

ทนายพฤกษ์ที่ต้องอยู่กับลูกความจนกว่าสิงจะถูกปล่อยตัวจึงใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ในการสอบถามข้อมูลจากพยานปากเอกในคดี “ผมรับปากกับคุณอินแล้วว่าถ้าคำถามไหนคุณไม่อยากตอบ ผมจะไม่คะยั้นคะยอ แต่ช่วยตอบคำถามที่ตอบได้เพื่อช่วยในการต่อสู้คดีด้วยนะครับ”

“คะ ได้ครับ”

“คุณสิงช่วยยืนยันกับผมได้ไหมครับ ว่าคุณสิงไม่ได้ฆ่าคุณเสือ”

“ครับ ผมไม่ได้ฆ่าพี่เสือ แล้วก็ไม่มีวันทำแบบนั้นด้วย” เสือตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นสายตามองตรงไปยังทนายพฤกษ์ด้วยความแน่วแน่ เพื่อย้ำชัดว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงจากใจของเขา

ทนายพฤกษ์ได้คำตอบที่อยากฟังก็ถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งใจ “ครับ ดีแล้วครับ แล้วก่อนหน้านี้คุณเสือมีท่าทางแปลก ๆ บ้างไหมครับ”

“พี่เสือก็เป็นปกตินะครับ ไม่มีอะไรแปลกไปเลย”

“ถ้าอย่างงั้นคุณเสือได้พูดอะไรกับคุณเสือก่อนที่จะเสียชีวิตบ้างไหมครับ”

สิงส่ายหน้าตอบช้า ๆ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวันเกิดเหตุ “ไม่มีนะครับ พี่เสือไม่ได้พูดอะไรเลย”

“งั้นคุณเสือก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แล้วคุณสิงเคยเห็นคนร้ายบ้างไหมครับ”

“ไม่เคยเลยครับ”

 

หมวดเมฆที่เพิ่งเสร็จงานเดินผ่านห้องทำงานของปราปจึงถูกใช้งานให้นำผ้านวมมาให้เด็กหนุ่มกับทนายที่อยู่ในห้องรับรอง เขาเดินหอบผ้านวมผืนใหญ่มาถึงหน้าห้องรับรองเห็นว่าสิงกำลังนั่งคุยกับทนายประจำตัวจึงได้เคาะประตูขัดจังหวะบทสนทนาของทั่งคู่

“ยังไม่นอนกันอีกเหรอ ดึกแล้วนะ” เมฆกล่าวทักทายคนในห้องก่อนที่จะยื่นผ้านวมไปให้ผู้ช่วยทนายคนนึงที่เดินเข้ามารับผ้านวมไปจากเขา “ผ้าห่ม สารวัตรให้เอามาให้”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไร ว่าแต่ทนายจะนอนที่นี่กับสิงรึเปล่าครับ” เมฆหันไปถามทนายพฤกษ์ที่นั่งอยู่ข้างสิง

“ผู้ช่วยของผมจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนสิงครับ ผมมีงานต้องทำนิดหน่อย คงไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ยังไงฝากลูกความผมด้วยนะครับ”

“เดี๋ยวผมจะฝากเจ้าหน้าที่เวรไว้ให้ก็แล้วกันนะครับ” 

“ขอบคุณครับ ยังไงผมขอตัวก่อน” 

ทนายเมฆและผู้ช่วยหนึ่งคนกลับไปก่อนในห้องจึงเหลือเพียงแค่เมฆ สิง และทนายผู้ช่วยอีกหนึ่งคน เมฆจึงหันมาช่วยเด็กหนุ่มที่ได้รับการดูแลดีกว่าผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ จัดเตรียมที่นอนไปพลางคุยเล่นไปพลางตามนิสัยช่างจ้อของตัวเอง

“ได้ข่าวว่าหูดี แล้วคืนนี้จะนอนหลับไหมเนี่ย”

สิงยกยิ้มบางตามมารยาท “ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”

“พี่มีที่อุดหูอยู่ ไม่รู้ว่าจะช่วยได้ไหม แต่เดี๋ยวเอามาให้ละกัน”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่รบกวนดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว”

“เห้ย! ไม่เป็นไรไม่ต้องเกรงใจ”

“แล้วหมวดเมฆเข้าเวรเหรอครับ ทำไมยังอยู่ที่สน.”

“เปล่าหรอก แต่ติดพันงานที่สารวัตรสั่ง นี้ก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน”

“กลับดึกเลยนะครับ”

“สารวัตรแกบ้างาน คืนนี้แกก็น่าจะนอนที่นี่อีกตามเคย”

“ปกติสารวัตรจะนอนที่สน. ตลอดเลยเหรอครับ”

“เรียกว่าลืมทางกลับบ้านไปแล้วดีกว่า”

สิงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “เหนื่อยแย่เลยนะครับ”

“พี่ชินแล้ว เป็นลูกน้องแกมาสี่จะห้าปีละ ไม่มีวันไหนที่พี่ได้กลับบ้านเร็วสักวัน”

“งั้นรีบกลับไปพักผ่อนไหมครับ พรุ่งนี้น่าจะต้องมาแต่เช้า”

“เช้ามืดต่างหาก งั้นพี่กลับก่อนน่ะ ถ้าอยากได้อะไรก็เรียกเจ้าหน้าที่เวร”

“ขอบคุณครับ”

 

สิงเดินไปส่งหมวดเมฆที่หน้าห้องรับรองก่อนจะเดินกลับมาล้มตัวลงนอนบนฟูกที่หมวดเมฆปูเอาไว้ให้ พอห้องมืดก็ดูเหมือนสิงจะมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้นภาพของเสือก็วนกลับเข้ามาในห้วงความคิด สิงนอนลืมตามองดวงไฟที่อยู่นอกหน้าต่างพลางคิดถึงคำเตือนจากสิ่งนั้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมก่อนเสือตายถึงไม่มีคำเตือนเหมือนคนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้สิ่งนั้นมักจะสื่อสารกับเขาเสมอว่ามีอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง และการที่สิงรู้ว่าเสือเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันตรายพวกนั้นก็เป็นเพราะสิ่งนั้นเตือนเขา

เด็กหนุ่มคิดฟุ้งซ่าน พร่ำโทษตัวเองในใจที่ไม่สามารถช่วยพี่ชายได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีความสามารถที่แตกต่างจากคนอื่นเมื่อจินตนาการถึงขณะที่เสือกำลังจะตายและอาจกำลังร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากเขา น้ำตาหยดนึงก็ค่อย ๆ ไหลอาบแก้มขาว

พี่ทำแบบนั้นทำไม พี่ทิ้งผมไปทำไม

 

“หรือมึงอยากจะไปอยู่กับมัน?” 

“ไปไหม?!”

 

สิงกำลังนอนประจันหน้ากับชายร่างสูงใหญ่ผิวเข้มนัยน์ตาสีแดงฉานราวกับสีเลือด มันกำลังมองจ้องสิงราวกับอยากจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว ใบหน้าของมันอยู่ห่างจากใบหน้าของสิงไม่ถึงหนึ่งคืบ มุมปากสีเข้มของมันถูกยกขึ้น นัยน์ตามองจ้องเข้าไปในดวงตาสีขาวซีดของเหยื่อที่อยู่ตรงหน้า เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นอยู่ใกล้เขามาก มากจนแทบจะหายใจรดต้นคอถ้าหากว่ามันยังมีลมหายใจอยู่ แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือสิงไม่มีท่าทีเกรงกลัวเหมือนตอนที่เขายังเป็นเด็ก

“พี่เสืออยู่ไหนครับ”

“...”

“ตอบผมมาเถอะครับ พี่เสืออยู่ไหน”

“รับกู” 

สิงส่ายหน้า “ไม่ได้ครับ”

“หึ อย่าตายเหมือนพี่มึงแล้วกัน”

วิญญาณตนนั้นพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย้อหยันก่อนที่จะมหลายหายไปภายในชั่วพริบตา ปล่อยทิ้งให้สิงนอนเคว้งกับคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ ตั้งแต่วินาทีที่เขารู้ว่าพี่ชายเพียงคนเดียวจากโลกนี้ไปแล้ว สิงที่ไม่เคยพึงใจกับการมีความสามารถพิเศษถึงกับงัดมันออกมาใช้เพื่อตามหาวิญญาณของพี่ชายแต่กลับพบเพียงวิญญาณเร่ร่อนตนอื่นเท่านั้น

 

เสียงโหวกแหวกโวยวายจากบรรดาผู้เสียหายในคดีต่าง ๆ ปลุกให้สิงลืมตาตื่นขึ้นมาแต่เช้าถึงแม้ว่าเขาจะเพิ่งหลับไปได้แค่ไม่กี่ชั่วโมงก็ตาม ก่อนที่ในอีกไม่กี่นาทีต่อมาเขาจะได้ยินเสียงไซเรนชัดจนสามารถปลุกให้ทนายผู้ช่วยสะดุ้งตื่นตาม

นายตำรวจหลายนายทั้งในและนอกเครื่องแบบกำลังวิ่งกรูกันออกไปยังลานจอดรถก่อนจะทยอยกันกระโดดขึ้นรถเพื่อตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุ สารวัตรปราปที่ยังไม่ได้กลับบ้านตั้งแต่เมื่อวานก็เป็นหนึ่งในกลุ่มตำรวจที่กำลังวิ่งตรงไปยังลานจอดรถก่อนจะโยนกุญแจรถของตัวเองให้หมวดเมฆที่วิ่งตามมาข้างหลัง

“เมฆ ขับที”

“ครับสารวัตร” หมวดเมฆคว้ากุญแจที่ลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะกดปุ่มปลดล็อกประตูอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าเจ้าของรถอยู่ไม่ห่างจากตัวรถมากนัก ก่อนจะรีบพุ่งตัวตามเข้าไปในรถรับหน้าที่สารถีอย่างที่ทำเป็นประจำ ปราปที่เข้ามานั่งประจำที่รัดเข็มขัดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบล้วงเอาโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากดโทรหาเพื่อนสนิท

“ไอราม มึงอยู่ไหนวะ”

[จะอยู่ไหนได้ ถามอะไรแปลก ๆ]

“กูกำลังออกไปที่สถานที่เกิดเหตุ มึงตามออกมาให้ไวเลย”

[ใครตายอีกวะ ตายเก่งจริงวุ้ย!]

“ไม่รู้ เห็นบอกว่าเป็นพริตตี้เงินล้าน”

[คนดัง…อีกแล้วเหรอวะ?!เทรนใหม่ของคนบันเทิงงี้?!]

“มึงเลิกประชดก่อน รีบตามมา!”

ปราปกดวางสาย แล้วจึงค่อยหยิบแฟ้มประวัติของผู้ตายขึ้นมาอ่าน

“ใครคือคืนที่โทรมาแจ้งวะ”

“ผู้จัดการของเธอครับ ชื่อจุ๊บแจง”

“กี่โมง”

“ครึ่งชั่วโมงก่อนครับ”

 

ขบวนรถตำรวจขับด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดเพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังสถานที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด แม้จะเปิดเสียงไซเรนแล้วก็ตามแต่เพราะการจราจรที่ติดขัดในตัวเมืองทำให้ขบวนรถติดแหง็กอยู่บนท้องถนนในยามเช้า ปราปจึงสั่งการผ่านวิทยุให้รถตำรวจทุกคันขับตามเขามาในตรอกซอกซอยเล็ก ๆ เพื่อหลีกหนีความแออัดบนท้องถนน

เมื่อขบวนรถตำรวจมาถึงหน้าสถานที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่กลุ่มแรกก็รีบพุ่งตัวออกไปขึงเชือกกั้นสถานที่เกิดเหตุเพื่อกันไม่ให้ฝูงชนที่ยืนออจับติดสถานการณ์สดกันอยู่ถอยห่างออกไป และเปิดทางให้เจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เข้ามาทำงานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

เมฆที่เพิ่งใช้ฝ่าเท้าเหยียบเบรกได้ไม่เท่าไหร่คนที่นั่งอยู่เบาะข้างก็รีบเปิดประตูแล้วพุ่งพรวดออกไปทันที ปราปเดินดุ่ม ๆ เข้าไปภายในบ้านของพริตตี้สาวโดยไม่ลืมที่จะใส่ถุงครอบรองเท้าและถุงมือที่พกมาด้วย เขานำทีมตำรวจสืบสวนเข้าไปสำรวจพื้นที่ภายในบ้านก่อนจะเดินมาพบศพของผู้ตายนอนเสียชีวิตอยู่กลางห้องรับแขก

“ให้ตำรวจหญิงไปดูเธอหน่อย” ปราปหันไปสั่งนายตำรวจคนที่เดินตามหลังเขามา เมื่อเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึงนั่งร้องไห้เนื้อตัวสั่นเทาอยู่บนพื้นห้อง

“ครับ สารวัตร” พอได้รับคำสั่งก็รีบหมุนตัวไปตามหาตำรวจหญิงตามคำสั่ง

ปราปเดินเข้าใกล้ศพของผู้ตายพลางใช้สายตามองสำรวจบริเวณโดยรอบก่อนจะลงไปนั่งชันเข่าอยู่ข้าง ๆ ร่างของผู้ตายเพื่อมองสำรวจรายละเอียดเล็ก ๆ บนร่างกายของเธอ พริตตี้สาวสวมเสือแขนกุดสีน้ำเงินเข้มและกางเกงขาสั้นสีขาวทำให้ปราปสามารถมองเห็นผิวหนังสีขาวซีดของเธอได้อย่างชัดเจน สภาพร่างกายของเธอไม่มีรอยฟกช้ำหรือร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกาย มีเพียงเลือดกองใหญ่ที่น่าจะไหลออกมาจากช่องปากของเธอ นั้นทำให้สีหน้าของนายตำรวจหนุ่มเปลี่ยนไป

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ” เสียงเข้มดุดันเอ่ยทักทายเสียงหนักจนปราปต้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทลอยเข้ามาใกล้ เขาพเยิดหน้าทักทายเพื่อนรักด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะก้มลงไปสนใจร่างกายไร้วิญญาณตรงหน้าต่อ หมอรามเดินนำหน่วยนิติเวชเข้าใกล้ศพของผู้ตาย เขาสั่งการให้ทีมงานเดินไปทำงานตามจุดต่าง ๆ ก่อนจะเดินมานั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ เพื่อนรัก ก่อนจะหันไปเปิดกล่องอุปกรณ์ทำถือติดมือมาด้วย

“มึงได้ดูของเมื่อวานยัง” ปราปถามเพื่อนโดยไม่ได้ละสายตาไปจากร่างของพริตตี้สาว

“ดูแล้วดิ แต่ยังไม่ผ่า มึงเสือกโทรเรียกกูมาที่นี่ซะก่อน”

ปราปเงยหน้ามามองเพื่อนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เหมือนกันเลยวะ”

รามเลิกคิ้วถาม “อะไรเหมือน” พูดจบก็ก้มลงไปสำรวจสภาพศพ แต่ทันทีที่สายตาของเขาเหลือบไปเห็นใบหน้าขาวซีดของเธอดวงตาของรามก็เบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ รามเอื้อมมือข้างหนึ่งไปจับพลิกใบหน้าของเธอพลางก้มมองสำรวจร่างกายส่วนอื่น ๆ ประกอบ “เหมือนจริงด้วย”

ใบหน้าของมนัสรา หรือ เพรียว พริตตี้เงินล้านที่โด่งดังในโลกโซเชียลอยู่ตอนนี้ซีดเผือดราวกับแผ่นกระดาษ ร่างกายนอกร่มผ้าไร้ร่องรอยการถูกประทุษร้าย บริเวณริมฝีปากเต็มไปด้วยคราบเลือด บนพื้นที่อยู่ติดกับร่างของเธอเจิ่งนองไปด้วยเลือดกองหนึ่ง

จากสภาพศพที่มองเห็นจากภายนอกยังไม่เพียงพอที่รามจะสามารถบอกถึงพฤติการณ์ที่ตายได้ แต่ที่สามารถบอกได้คร่าว ๆ จากการสัมผัสร่างกายของศพคือช่วงเวลาเสียชีวิตโดยประมาณ รามจึงเรียกให้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนมาเป็นผู้ช่วยของเขา ส่วนอีกคนก็คอยถ่ายรูปตามระเบียบเบื้องต้น 

 

“น่าจะตายมาแล้วประมาณ 7- 8 ชั่วโมง ช่วงห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน”