"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม

 

“น่าจะตายมาแล้วประมาณ 7- 8 ชั่วโมง ช่วงห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน”

 

ถึงตอนนี้ปราปยังไม่ปักใจเชื่อว่าการตายของมนัสราหรือเพรียวจะเป็นการฆาตกรรมแบบเดียวกับเสือถึงแม้ว่าสภาพศพจะเหมือนกันแทบจะทุกสัดส่วนก็ตาม แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคดีของเพรียวแทบจะเหมือนกันกับคดีของเสือ ทั้งสถานที่เกิดเหตที่เป็นบ้านของเหยื่อเองและร่างกายถูกพบที่โกงกลางบ้านเหมือนกัน และจากที่เขาเห็นแบบผ่าน ๆ ประตูบ้านก็ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยการถูกงัดแงะ “คุณเสือตายตอนกี่โมง?”

รามหันไปมองเพื่อนอีกรอบพลางยกยิ้มยียวน “ห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน”

ปราปหันขวับไปมองเพื่อนพลางเลิกคิ้วถามอย่างเหลือเชื่อ “เอาดี ๆ”

“กูจะโกหกมึงเพื่อ?! ห้าทุ่มถึงเที่ยงคืนจริง ๆ”

ปราปนิ่งเงียบไปครู่นึงพลางคิดเรื่องเครียดจนมันออกมาทางสีหน้า เสียงในหัวตีกันจนเขารู้สึกปวดกบาล ใจนึงอยากจะจัดให้สองคดีนี้เป็นคดีเดียวกันแต่อีกใจนึงก็ไม่อยากจะตัดสินใจอะไรง่าย ๆ ถึงได้หันไปถามบางอย่างจากเพื่อนเผื่อว่ามันจะทำให้เรื่องราวที่คลุมเครือกระจ่างแจ้งออกมาได้บ้าง “สาเหตุการตาย มึงพอจะรู้ไหม”

รามเงยหน้าขึ้นมาส่ายหน้าตอบเพื่อน “ไม่มั่นใจต้องผ่าดูก่อน”

“เออ รีบ ๆ แล้วกัน กลิ่นไม่ค่อยดีแล้ว”

รามเองก็คิดไม่ต่างจากเพื่อนรักสักเท่าไหร่ ความโรคจิตที่ถูกซ่อนเอาไว้ภายในเหมือนจะถูกปลุกขึ้นมาด้วยสองคดีแปลกของคนดัง จนเนื้อตัวรามเต้นระริกอยากจะชันสูตรศพตรงนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอดเพราะความอยากรู้อยากเห็นมันไม่สามารถกดข่มเอาไว้ได้อีกแล้ว “เออ กูบายพาสให้เลย”

ปราปยกยิ้มมุมปากอย่างพอใจกับสีหน้าและน้ำเสียงของเพื่อนรักที่ดูออกว่าเสี้ยนยาเต็มทีแล้วเหมือนกัน “อยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแล้วซิมึง”

“ติดเชื้อมาจากมึงไง”

ปราปทำท่าทางลอยหน้าลอยตาไม่ปฏิเสธคำพูดประชดประชันของเพื่อน ก่อนจะเดินแยกตัวออกไปคุยกับพยานที่โทรมาแจ้งเหตซึ่งก็คือผู้จัดการส่วนตัวของเพรียว

ปราปยืนดูท่าทีของพยานที่ยังมีอาการช็อกจากเหตุการณ์สูญเสียก่อนจะค่อยเดินเข้าไปแนะนำตัวกับเธอ “สวัสดีครับ ผมสารวัตรปราป ผู้ดูแลคดีนี้ คุณเป็นคนโทรแจ้งเหตุคนแรกใช่ไหมครับ?”

“ชะ ใช่ค่ะ” จุ๊บแจงหญิงสาวร่างเล็กนั่งตัวสั่นเทาอยู่บนเก้าอี้ นัยน์ตาแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนัก

“คุณคือคุณจุ๊บแจง ผู้จัดการส่วนตัวของคุณเพรียวใช่ไหมครับ?”

“ใช่ค่ะ”

“คุณพบศพของคุณเพรียวช่วงประมาณกี่โมงครับ”

“หกโมงกว่าค่ะ เมื่อคืนตอนคุยกันเพรียวบอกให้ฉันมารับไปทำงานวันนี้ เพรียวมันบอกว่าไม่อยากขับรถไปเองเพราะกลัวหลับใน”

“คุณได้สัมผัสกับร่างของเธอบ้างไหมครับ”

จุ๊บแจงพยักหน้าตอบอย่างลนลานกลัวว่าการที่เธอสัมผัสกับร่างกายของเพรียวจะทำให้เธอมีความผิด “ค่ะ ตอนที่ฉันพยายามจะไปปลุกมัน” 

“ไม่เป็นไรครับ แต่เราคงต้องเก็บลายนิ้วมือของคุณจุ๊บแจง” พูดจบปราปก็หันไปเรียกให้เจ้าหน้าที่นิติเวชมาเก็บรอยนิ้วมือและดีเอ็นเอของเธอก่อนจะเอ่ยปากถามต่อในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บตัวอย่าง “ตอนที่สัมผัสร่างของคุณเพรียว มีอะไรผิดแปลกไปจากสภาพตอนนี้บ้างไหมครับ”

“ไม่มีค่ะ ฉันเขย่าเรียกเพรียวเบา ๆ หลังจากนั้นก็รีบโทรแจ้งเลย”

“แล้วครั้งสุดท้ายที่คุณพบคุณเพรียวคือตอนกี่โมงครับ”

“ประมาณหกโมงเย็นค่ะ ตอนนั้นเรากำลังประชุมงานของวันนี้กันอยู่ หลังจากนั้นเพรียวก็โทรหาฉันประมาณสี่ทุ่มกว่า บอกให้ฉันมารับเธอวันนี้ค่ะ”

“คุณเพรียวอยู่บ้านนี้คนเดียวใช่ไหมครับ”

“ค่ะ เพรียวอยู่คนเดียว ก่อนหน้านี้มันอยู่กับยาย แต่ยายมันเพิ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว”

“ขอบคุณมากครับ ยังไงผมต้องขอรบกวนให้คุณเพรียวไปให้ปากคำที่สน. เพิ่มเติมด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ”

ปราปกำชับให้ตำรวจหญิงดูแลเธอก่อนจะปลีกตัวออกไปตรวจตราดูรอบ ๆ สถานที่เกิดเหตุ ภายในบ้านหลังใหญ่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือการถูกงัดแงะ ของทุกอย่างภายในบ้านยังอยู่ในสภาพดี แต่เรื่องของหายคงต้องรอเจ้าหน้าที่ทำรายการและตรวจสอบกับผู้จัดการส่วนตัวอีกที แต่จากสภาพสถานที่เกิดเหตุสามารถสันนิษฐานได้สองอย่างคือเพรียวฆ่าตัวตายหรือไม่ก็ถูกคนที่รู้จักฆ่าตาย

การสำรวจห้องนอนส่วนตัวของผู้ตายถือเป็นการยืนยันได้อีกทางว่าผู้ตายทำการฆ่าตัวตายรึเปล่า ปราปจึงเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสองของบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนส่วนตัวที่มีนายตำรวจคนอื่น ๆ กำลังสำรวจพื้นที่รอบ ๆ ห้องอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องนายตำรวจหลายนายหันมาทำความเคารพเขาก่อนจะหันกลับไปทำตามหน้าที่อย่างเดิม นายตำรวจหน้าคมเข้มเดินสำรวจรอบ ๆ ห้องนอนด้วยการกวาดสายตามอง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกัน

โต๊ะเครื่องแป้งเต็มไปด้วยเครื่องประทินผิวและเครื่องสำอางแบรนด์เนมมากมาย ตู้เสื้อผ้าแบบบิวท์อินที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากสีและดูท่าทางน่าจะเป็นของที่มีราคาไม่น้อย ไหนจะภาพถ่ายตัวเองที่แขวนอยู่เกลื่อนกลาดเต็มบ้านไปหมด บวกกับจะชื่อเสียงที่เพิ่งจะโด่งดังได้ไม่กี่ปีคนแบบนี้ไม่มีทางคิดฆ่าตัวตายแน่นอน

“ไอปราป! กูเก็บของเสร็จแล้ว กูกลับก่อนนะ”

ปราปได้ยินเสียงเพื่อนเรียกจากนอกห้องนอนของเพรียวจึงเดินออกไปดู “มึงจะตรวจของเมื่อไหร่?”

“กูกะว่าจะตรวจเลย ทำไม มึงจะไปดูเหรอ?”

“อือ”

“งั้นไปกับกูเลยไหม”

“เดี๋ยวกูตามไป”

 

รามกลับไปพร้อมกับพยานหลักฐานแวดล้อมที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุและร่างไร้วิญญาณของเพรียว ส่วนปราปก็เร่งทำงานของตัวเองให้เสร็จแล้วรีบขับรถตามเพื่อนไปที่สถาบันนิติเวชโดยไม่ลืมที่จะติดสอบห้องตามลูกน้องคนสนิทไปด้วยในฐานะสารถีจำเป็น สารวัตรใหญ่ในชุดนอกเครื่องแบบเดินเข้ามาในสถาบันนิติเวชพร้อมกับหมวดเมฆ นายตำรวจทั้งสองเดินเข้าไปในสถาบันนิติเวชราวกับบ้านอีกหลังก่อนจะเดินมาเจอรามที่กำลังเดินออกมาจากห้องทำงานส่วนตัวพร้อมด้วยชุดสครับสีเขียวเตรียมพร้อมรบ ทั้งสามจึงเดินเข้ามาในห้องชันสูตรด้วยกันโดยที่ภายในห้องมีเจ้าหน้าที่นิติเวชคนอื่น ๆ ยืนรออยู่ก่อนแล้ว แต่สิ่งที่ผิดแปลกไปคืนภายในห้องมีร่างของศพไร้วิญญาณถึงสองศพนอนอยู่บนเตียงเหล็กที่ร่างกายถูกจัดเตรียมให้พร้อมสำหรับการชันสูตรพลิกศพ

“ผ่าทีเดียวสองศพเลยเหรอวะ” ปราปหันไปถามเพื่อน

“มึงบอกเหมือนกันนิ จะได้รู้กันไปเลยว่าเหมือนกันมากแค่ไหน”

ปราปยกยิ้มมุมปากกับคำตอบของเพื่อนรักสมแล้วที่เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่มัธยม ไม่ต้องพูดให้มากความปราปรีบปลีกตัวออกไปให้รามได้ทำงานของตัวเองส่วนเขากับเมฆก็แยกออกไปยืนดูการชันสูตรที่ห้องตู้กระจกที่อยู่ติดกัน รามตัดสินใจเริ่มชันสูตรศพของเสือก่อน หมอนิติเวชหนุ่มยื่นมือไปพลิกร่างกายตรวจดูข้อต่อต่าง ๆ บนร่างกาย ต่อด้วยการกดดูจ้ำเลือดเพื่อประเมินเวลาตายอีกครั้ง “เวลาตายตามที่เคยประเมินไว้ ช่วงเวลาประมาณห้าทุ่มถึงเที่ยงคืน ก่อนวันพบศพ”

หลังจากการประเมินเวลาการเสียชีวิตแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาพฤติการณ์ที่ตาย นายแพทย์หนุ่มเจ้าของเคสเริ่มตรวจสอบร่างกายภายนอกโดยละเอียด ไม่พบร่องรอยฟกช้ำดำเขียวหรือร่องรอยบาดแผลบนผิวหนังชั้นนอกรอบตัวที่อาจเกิดจากการต่อสู้หรือการถูกทำร้ายร่างกาย “ไม่มีร่องรอยบาดแผลภายนอก” รามพูดในขณะที่ยังไม่ละสายตาไปจากสภาพศพตรงหน้า

รามวนกลับมาสำรวจใบหน้าของเสือก่อนจะเริ่มทำการสำรวจภายในโพรงปาก เขารับคีมหนีบจากผู้ช่วยแล้วใช้มันหนีบบริเวณริมฝีปากเพื่อเปิดให้มันอ้าออก เขาก้มลงไปใกล้แล้วสูดดมกลิ่นจากช่องปากเพื่อประเมินเบื้องต้นจากความชำนาญของตัวเอง

รามยื่นมือไปทางผู้ช่วย “ขอก้านสำลีหน่อยครับ” ผู้ช่วยรีบทำตามคำสั่งส่งก้านสำลีให้รามตามที่ขอ เขาใช้มันปาดเอาสารเคลือบบางอย่างบนริมฝีปากออกมาก่อนจะส่งมันกลับไปให้ผู้ช่วยเก็บไปส่งตรวจ

“อะไรวะ” ปราปเปิดไมค์ในห้องกระจกถาม

“น่าจะเป็นแว็กซ์ทาปาก” รามตอบในขณะที่ใช้ก้านสำลีอีกก้านเก็บตัวอย่างเลือดในปากก่อนจะสั่งให้เจ้าหน้าที่โกนผมบนศรีษะออกทั้งหมดเพื่อผ่าเปิดกะโหลก เมื่อผมถูกโกนออกไปกทั้งหมดแล้วรามจึงก้าวขึ้นไปยืนบริเวณหัวเตียงก่อนจะเริ่มลงมือผ่าเปิดกะโหลก เมื่อมันถูกเปิดออกแล้วรามก็ทำการสำรวจสมองชั้นนอกแล้วค่อยนำสมองออกมาวางไว้บนตาชั่ง “สมองไม่พบบาดแผลภายนอก จะทำการผ่าเปิดสมองเพื่อดูโครงสร้างภายใน”

พูดจบก็หยิบสมองออกมาจากตาชั่งแล้วค่อยใช้มีผ่าตัดกรีดเปิดสมอง เขาตัดมันออกเป็นชิ้นส่วนเพื่อสำรวจสมองส่วนต่าง ๆ แต่ไม่พบร่อยรอยบาดแผล “ไม่พบบาดแผลบริเวณสมอง”

รามปล่อยให้ผู้ช่วยจัดการชิ้นส่วนสมองแล้วเดินกลับไปทำการผ่าเปิดช่องท้อง นายแพทย์ชันสูตรใช้มีดผ่าตัดกรีดผิวหนังเป็นทางยาวตั้งแต่ช่วงคอหอยไปจนถึงท้องน้อย ค่อย ๆ กรีดเลาะชั้นผิวหนังก่อนจะเจอกับช่วงกระดูกซี่โครง ผู้ช่วยส่งคีมขนาดใหญ่ให้รามทำการตัดกระดูกออกทีละซี่คนครบ แผงซี่โครงที่ถูกตัดถูกส่งไปให้ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วค่อยเริ่มทำการสำรวจอวัยวะภายในไปทีละส่วน

“ไม่มีร่องรอยบาดแผลในอวัยวะภายใน”

หมอหนุ่มผิวคมเข้มผ่าเอาหัวใจออกมาจากกลางอกเพื่อเก็บตัวอย่างเลือกที่หลงเหลืออยู่ภายใน ก่อนจะทำการสำรวจอวัยวะส่วนอื่น ๆ ต่อไปแต่ไม่พบร่องรอยที่เป็นสาเหตุให้เสือเสียชีวิตได้เลย รามจึงตัดสินใจสำรวจกระเพาะอาหารเผื่อว่าสิ่งที่อยู่ภายในจะบอกอะไรเขาได้บ้าง อวัยวะที่ช่วยในการย่อยอาหารถูกตัดออกจากร่างกายของเสือก่อนที่รามจะใช้กรรไกรผ่าเปิดมันอีกที ร่างกายของรามราวกับถูกช็อตด้วยไฟฟ้ากำลังแรงสูง ผู้ช่วยที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับผงะก้าวถอนร่นออกไปด้วยความตกใจกลัว เส้นผมสีดำขลับมากมายกระจุกอยู่ภายในกระเพาะอาหารพร้อมกับฟองฟู่บางอย่างที่กัดกร่อนผนังกระเพาะอาหารจนเป็นรอยแผลขนาดใหญ่

พบเส้นผมอยู่ในกระเพาะอาหารไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแต่การพบมันในจำนวนที่มากขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องปกติราวกับเจ้าตัวกินเส้นผมก้อนนี้เข้าไปเอง คนปกติดีที่ไหนจะกินเส้นผมหากไม่มีโรคทางจิตร่วมด้วยจากข้อมูลประวัติส่วนตัวเสือมีภาวะโรคเครียดแต่ไม่ได้มีโรคทางจิตอื่น ๆ ร่วมด้วย

“ไอราม มึงแน่ใจนะว่าคุณเสือเป็นโรคเครียดอย่างเดียว”

รามกดเปิดไมค์ก่อนจะก้มลงไปตอบเพื่อน “เออ คุณอินก็ยืนยันมาแล้วว่าคุณเสือเป็นโรคเครียด ว่าแต่มึงเจออะไร เอามาให้ดูหน่อย”

รามกวาดชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในกระเพาะอาหารใส่ถาดเหล็กก่อนจะเดินเอาไปให้เพื่อนดูใกล้ ๆ

“เชี้ยไรวะนั้น!!” ปราปถบทออกมาด้วยความตกใจพลางเบิกตามองเส้นผมในถาดเหล็กอย่างไม่วางตา

“ผมไงจะอะไรละ ถามมาได้”

“แล้วไอคุณเสือมันแดกเข้าไปทำเชี้ยไรวะ?”

“กูจะไปรู้เหรอ ถ้าเป็นผู้ป่วยจิตเวชก็ไม่แปลกหรอก แต่นี่แม่ง...”

“คุณไสยมนต์ดำ” เมฆที่ยืนอยู่เงียบ ๆ พูดโพล่งขึ้นมาจนรามกับปราปต้องหันไปมองเขาเป็นตาเดียว นายตำรวจหนุ่มที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดจาเพ้อเจ้อออกไปก็รีบยกยิ้มแห้งแก้เขิน “แฮ่ ๆ ผมเดาไปเรื่อย ขอโทษค้าบบ”

คำพูดของเมฆทำให้ปราปนึงถึงคำถามของเด็กหนุ่มผู้ต้องสงสัยแต่เขาก็รีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไปก่อนจะหันไอดุลูกน้องคนสนิท “พูดไปเรื่อยนะมึง ไอเมฆ” เมฆได้แต่ยกยิ้มแห้งตอบเป็นการขอโทษขอโพย

รามเลิกสนใจคู่หูตำรวจนอกเครื่องแบบก่อนจะเดินกลับเข้าไปใกล้เตียงชันสูตร “ชันสูตรต่อกันดีกว่าครับ” นายแพทย์ใบหน้าคมยื่นถาดเหล็กไปให้ผู้ช่วยเก็บชิ้นส่วนเพื่อส่งตรวจ แล้วเรียกให้ผู้ช่วยคนที่เหลือมาช่วยกันเย็บปิดปากแผลหลังจากที่ทำการตรวจสอบทุกส่วนภายในช่องท้องเสร็จ การชันสูตรเหมือนจะจบลงตรงนี้ถ้ารามไม่เกิดรู้สึกตงิดใจอะไรบางอย่าง “ช่วยกันพลิกศพหน่อยครับ”

ผู้ช่วยที่กำลังเก็บอุปกรณ์หันมามองรามตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงงแต่ก็รีบช่วยกันพลิกศพตามที่หมอรามสั่งก่อนที่จะถอยออกกันไปคนละก้าวเพื่อให้รามเข้ามาสำรวจด้วยตัวเอง ฝ่ามือใหญ่สัมผัสไปบนร่างกายไร้วิญญาณของเสือก่อนที่มันจะไปหยุดอยู่บนบั้นท้ายกลมกลึง

“ไอราม มึงโรคจิตได้แม้แต่กับศพเหรอวะ?”

รามหันไปหรี่ตามองเพื่อนก่อนที่มุมปากข้างนึงจะยกขึ้นพร้อมส่งภาษากายไปให้เพื่อนผ่านการชูนิ้วกลาง หมอนิติเวชเลิกสนใจเพื่อนรักแล้วก้มลงมาสำรวจช่องทวารผ่านการแหวกออกเพื่อดูจากภายนอก “หูรูดมีอาการบวมช้ำ” เป็นอย่างที่รามคิดเพราะก่อนหน้าที่เขากำลังสำรวจช่องท้องรามเห็นรอยบวมช้ำบริเวณรูทวารหนัก ทำให้เขาตัดสินใจสำรวจจากภายนอกร่างกายอีกครั้ง

“เกิดจากอะไรวะ” ปราปถามผ่านไมค์

“ไม่มั่นใจ แต่คิดว่าเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์” รามหันไปตอบคำถามเพื่อนก่อนจะหันไปสั่งให้ผู้ช่วยเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอที่อาจจะหลงเหลืออยู่ภายในรูทวารหนัก หลังจากการเก็บตัวอย่างรามก็ปล่อยให้ทีมผู้ช่วยไปพักเบรกก่อนที่จะเริ่มชันสูตรศพของเพรียวต่อ

 

ปราปเดินออกจากห้องกระจกแล้วเดินตรงเข้ามาหาเพื่อนที่อยู่ในห้องชันสูตร “พูดมา กูฟังอยู่” เขาเอ่ยปากถามหลังจากที่ทีมผู้ช่วยทยอยกันออกไปจากห้องจนหมด เหลือไว้เพียงแค่พวกเขาสามคนเท่านั้น

รามหันมายิ้มให้เพื่อนในขณะที่กำลังถอดถุงมือยางใส่ถังขยะ “มึงรีบจังวะ”

“เออกูรีบ! อย่าลีลา!”

“อย่างแรกเลยคุณเสือไม่ได้ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตแน่นอน อย่างที่สองกูไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงแดกเส้นผม อย่างที่สามคุณเสือเป็นเกย์”

“แค่นั้น?!”

รามตอบแบบกระแทกเสียงใส่หน้าเพื่อนด้วยความหมั่นไส้ “เออ ตอนนี้กูก็ตอบมึงได้แค่นี้แหละ อยากได้รายละเอียดมากกว่านี้มึงต้องรอผลแลปครับเพื่อน”

“งั้นเอาความเห็นมึงมา มึงคิดว่าเค้าตายได้ยังไง?”

“ร่างกายของคุณเสือไม่มีรอยฟกช้ำหรือรอยบาดแผลทั้งภายในและภายนอกร่างกาย เรื่องเส้นผมกูตอบไม่ได้เพราะมึงบอกว่าคุณเสือเค้าไม่ได้มีโรคทางจิตอื่นนอกจากโรคเครียด แต่สารที่เคลือบเส้นผมเหมือนจะเป็นกรดอะไรบางอย่างที่กัดกร่อนได้แม้กระทั่งผนังกระเพาะอาหาร นั้นหมายความว่ามันมีฤทธิ์แรงกว่ากรดในกระเพาะอาหารอีก ทางเดียวที่กูคิดออกตอนนี้คือยาพิษ

“มีคนฆ่าเค้า” ปราปถามสวน

“หรือเขากินเอง”

ปราปชะงักไปเพราะคำพูดของเพื่อนรัก จากสภาพศพที่ไม่มีร่องรอยบาดแผลอะไรเลยมีความเป็นไปได้สูงว่าเสือจะฆ่าตัวตาย บวกกับสิ่งที่อินยืนยันกับเขาว่าสิงเป็นเด็กที่มีประสาทสัมผัสดีการที่พี่ชายนอนตายอยู่ที่ชั้นล่างก็อาจจะส่งเสียงอะไรออกมาบ้างถ้าหากว่าเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะตาย

“ทำไมมึงถึงคิดว่าเค้าาฆ่าตัวตาย”

รามส่ายหน้า “กูไม่รู้ กูพูดไปเรื่อย”

ปราบกลอกตามองบนพลางถอนหายใจหนักกับความกวนตีนของเพื่อนรักที่ค่อนข้างผิดเวลา “ไอสัส! เอาดี ๆ ดิ๊!”

“กูไม่รู้ กูเป็นแค่หมอนิติเวช มึงเป็นนักสืบ มึงต้องรู้ป่ะ?!ก็เขาไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย มันก็เป็นไปได้ป่าววะที่เขาจะฆ่าตัวตาย”

“แต่เค้าโดนวางยาโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้ป่ะ”

“ก็เป็นไปได้” รามตอบด้วยท่าทางลอยหน้าลอยตา

“สัส!” ปราปถบท

“เรื่องนี้กูไม่รู้ แต่เรื่องสิงกูรู้”

“เรื่องอะไร?”

“ผลตรวจออกมาแล้ว ไอเด็กสิงมันกินยานอนหลับโดสแรงเข้าไป”

“คุณอินบอกว่าเสือไม่ได้แดกยาอะไรเป็นประจำ”

“เรื่องนั้นกูรู้แล้ว มึงเป็นคนบอกกูเอง กูเลยคิดว่าสิงน่าจะโดนวางยา ไม่งั้น มันก็โกหกเก่งเป็นเลิศ”

“แต่นั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าสิงไม่ได้เป็นฆาตกร”

“แสนรู้จริง ๆ เพื่อนกู” รามแกล้งพูดแซวเพื่อน

“กูฉลาดอยู่แล้ว มึงไม่ต้องห่วง งั้นศพคุณเพรียว มึงจัดการไปก็แล้วกัน กูกลับไปจัดการเรื่องไอสิงก่อน”

“เดี๋ยว ๆ ให้ไอเมฆไปจัดการก็ได้ ไม่อยู่รอผ่าคุณเพรียวก่อนวะ”

ปราปยกยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย “เออ มึงผ่าไปเลย ผลออกมาว่ายังไงโทรบอกกูด้วยแล้วกัน”

รามหรี่ตามองเพื่อนอย่างจับผิด “อะไรยังไง มึงหัดมีความลับกับกูเหรอไอปราป”

“มึงก็อย่าขี้เสือให้มันมากนัก” ปราปพูดกระแทกแดกดันเพื่อนสนิทก่อนจะหันไปมองหน้าลูกน้องคนสนิท “มึงจะไปกับกูไหมไอเมฆ หรือจะรอดูไอรามผ่าคุณเพรียว”

“เดี๋ยวผมรอดูหมอรามชันสูตรคุณเพรียวก็ได้ครับ”

“มึงอยากดูก็ดูไป หาทางกลับเองนะโว้ย”

หมวดเมฆยกยิ้มพลางหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วค่อยยื่นไปให้เจ้าของรถ “นี้ครับกุญแจรถ ขับรถดี ๆ นะครับสารวัตร อย่าหลับในจนเกิดอุบัติเหตุนะครับ”

“เออ รู้แล้ว” 

 

สารวัตรใหญ่ขับรถยิงยาวจากสถาบันนิติเวชยิงยาวไปจนถึงสน. เมื่อรถจอดสนิทอยู่หน้าโรงพักเขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปอย่างเร่งรีบเผื่อว่าจะได้เจอคนที่เฝ้าคิดถึงใบหน้าตั้งแต่เมื่อคืน เดินวนรอบสน. ไปด้วยชะเง้อมองหาเป้าหมายไปด้วยแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา มีเพียงทนายพฤกษ์กับทีมเท่านั้นที่ยืนพูดคุยกันอยู่หน้าห้องรับรอง พอมองทะลุเข้าไปในห้องผ่านช่องหน้าต่างก็เห็นแค่เด็กหนุ่มต้องสงสัยกำลังนั่งเหม่ออยู่คนเดียว จิตใจของนายตำรวจใหญ่ห่อเหี่ยวลงทันควันราวกับถูกสูบวิญญาณ

“จ่า พาสิงไปที่ห้องสอบปากคำที” พอเห็นนายตำรวจคนนึงเดินผ่านไปก็เรียกใช้งาน ก่อนที่ตัวเองจะเดินกลับไปที่ห้องทำงานเพื่อเตรียมเอกสารหลักฐานที่รามส่งให้

เจ้าของโรงพักเดินวนไปทั่วเพื่อถ่วงเวลาเผื่อว่าเขาจะมีโอกาสได้เจอดาราหนุ่มสามีแห่งชาติ แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของใบหน้าคมคายก็ไม่โผล่มาสักทีปราปจึงต้องกลับไปทำหน้าที่ตามเดิม

ปราปที่กำลังเดินตรงไปที่ห้องสอบปากคำเห็นทนายวัยกลางคนกำลังยืนอยู่ที่หน้าห้อง เมื่อสายตาของเจ้าตัวกวาดมาเจอสารวัตรหนุ่มก็ยกยิ้มให้ราวกับว่าเขากำลังรอปราปอยู่ยังไงยังงั้น

“มีอะไรรึเปล่าครับทนายพฤกษ์”

“สวัสดีครับสารวัตร พอดีผมแค่อยากรู้ว่าสารวัตรเจอหลักฐานที่จะชี้ตัวคนร้ายบ้างรึยังครับ” ทนายพฤกษ์เอ่ยทักทาย

ปราปยกยิ้มพลางใช้สายตาอ่านภาษากายของทนายมากประสบการณ์ “ยังหรอกครับ”

ทนายพฤกษ์ยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ เพราะนั้นหมายความว่าสิงกำลังจะถูกปล่อยตัวในไม่ช้า “ถ้าอย่างนั้นลูกความของผมจะได้ออกไปเมื่อไหร่ครับ”

“ไม่นานนี้แหละครับ ว่าแต่ผู้ปกครองเขาไปไหนซะละ”

ทนายพฤกษ์เลิกคิ้ว “สารวัตรหมายถึงคุณอินเหรอครับ”

ปราบพยักหน้า

“คุณอินติดถ่ายงานครับ จะมารับคุณสิงตอนสาย ๆ”

ปราปพยายามปั้นหน้านิ่งทั้ง ๆ ที่ในใจรู้สึกเสียดายที่อุตส่าห์รอเจอตั้งแต่เมื่อคืน ปราปคงบอกได้ไม่เต็มปากว่าอินตรงสเปกเขาทุกอย่าง เพราะคนที่เขาเคยคุยด้วยล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ตัวเล็กกว่าเขาทั้งสิ้นแตกต่างจากอินที่ตัวสูงใหญ่แถมมีกล้ามเนื้อเห็นเด่นชัดเรียกได้ว่ามีร่างกายที่กำยำเลยก็ว่าได้ ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็รู้สึกใจเต้นแรงตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ

“งั้นเหรอครับ” 

“งั้นเราเข้าไปกันเลยไหมครับ”

“เชิญครับ” ปราผายมือเชิญทนายเข้าไปในห้องสอบปากคำก่อนจะเดินตามเข้าไปทีหลัง

เด็กหนุ่มต้องสงสัยยังคงมีท่าทีนิ่งเฉยเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่ถูกนำตัวมาที่นี่จนกระทั่งตอนนี้ที่ปราปกำลังจะปล่อยตัว แตกต่างกันตรงที่วันนี้สิงดันทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนที่กำลังปมพนำอะไรเอาไว้ นายตำรวจใหญ่วางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะก่อนจะลงไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมแล้วค่อยเอ่ยปากทักทาย “ผมไม่ได้ห้ามไม่ให้คุณพูดนะคุณสิง มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ”

สิงมีท่าทีกระอักกระอ่วนไม่กล้าถามนายตำรวจใหญ่ แต่ด้วยความรู้สึกผิดจึงรวบรวมความกล้าถามออกไปตรง ๆ “เธอตายแล้วใช่ไหมครับ?”

ปราปเลิกคิ้วถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ “เธอไหน คุณหมายถึงใคร”

“เอ่อ… ผู้หญิงที่ชื่อเพรียวครับ”

ปราปจำได้ว่าไม่ได้ให้ลูกน้องให้ข่าวกับใครหรือต่อให้ข่าวหลุดออกไปจริงมันก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้ คดีเพิ่งเกิดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเด็กหนุ่มที่ขลุกตัวอยู่แต่ในโรงพักรู้ได้ยังไง หรือมีใครในโรงพักนี้ทำข่าวหลุดไป “คุณรู้ได้ยังไง?”

สิงไม่กล้าแม้แต่จะสบตานายตำรวจใหญ่ ได้แต่ก้มหน้างุดแล้วค่อยตอบคำถามปราปด้วยเสียงตะกุกตะกัก “เอ่อ...จำที่ผมพูดเมื่อวานได้ไหมครับ ว่าจะมีคนตายอีก”

“คุณหมายถึงคุณเพรียวเหรอ”

“ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่าใครจะตาย ผมรู้แค่ว่าจะมีคนตายอีก”

“แล้วตอนนี้คุณรู้ได้ยังไงว่าผู้ตายคือคุณเพรียว ใครเป็นคนบอกคุณ”

“เอ่อ… เรื่องนั้น…”

“ผมว่าเรื่องนี้คุณไม่ตอบไม่ได้นะครับคุณสิง คุณรู้ไงยังไงว่าคุณเพรียวจะตาย แล้วรู้ได้ไงว่าผู้ตายคือคุณเพรียว” ปราปถามด้วยเสียงแข็ง

“ผมพูดไปสารวัตรก็ไม่เชื่อผมหรอกครับ”

“คุณก็ลองพูดมาก่อนซิครับ ไม่แน่ผมอาจจะเชื่อคุณก็ได้น่ะ”

“…”

“ผมจะไม่ถามย้ำเป็นครั้งที่สองนะคุณสิง” ปราปถามด้วยการกดเสียงต่ำเพื่อบอกให้คู่สนทนารู้ว่าเขาไม่ควรที่จะปฏิเสธไม่ตอบคำถามนี้

“จากสิ่งที่มองไม่เห็นครับ” สิงตอบกำกวมเพราะไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธไม่ตอบคำถามของสารวัตรเจ้าของคดีได้ และถึงเขาจะตอบแบบอ้อม ๆ เด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าสารวัตรจะเข้าใจมัน แต่อีกฝ่ายจะเชื่อเขาไหมนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดหวัง

ปราปได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างไม่วางตาพลางลอบมองปฏิกิริยาร่างกายของคนตรงหน้า ดวงตาสีเกือบขาวกำลังสั่นไหว ร่างกายไร้ปฏิกิริยาที่บ่งบอกถึงการโกหกทั้งการหลบตาหรืออาการเลิกลัก แต่ถึงกระนั้นคำตอบของเด็กหนุ่มก็ยากที่จะทำให้ปราปเชื่อได้

“เอาเป็นว่าเราปล่อยเรื่องนั้นไปก็แล้วกัน เอาเรื่องของคุณดีกว่าคุณสิง ทำไมคุณต้องกินยานอนหลับ ในประวัติไม่มีการสั่งจ่ายยาประเภทนี้ในชื่อของคุณเลย คุณไปเอายานอนหลับมาจากไหน”

“ครับ?” สิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจคำถาม

ปราปเลื่อนเอกสารการตรวจปัสสาวะไปให้ทนายพฤกษ์แล้วค่อยหันมาคุยกับสิงต่อ “ผลการตรวจปัสสาวะของสิงมันบอกว่าสิงกินยานอนหลับ”

“ผลเป็นไปตามที่สารวัตรพูดครับคุณสิง ไม่ทราบว่าคุณสิงกินยานอนหลับทำไมเหรอครับ” ทนายพฤกษ์เงยหน้าจากผลการตรวจขึ้นมาถามลูกความที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

“ผมไม่ได้กินนะครับ แล้วผมก็ไม่มียานอนหลับด้วย” สิงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาด้วยความสัจจริง คนพิการอย่างเขาไม่มีเหตุผลหรือโรคประจำตัวอะไรให้ต้องกินยานอนหลับ สิงตอบย้ำเสียงหนักแน่นเมื่อดูท่าว่าสารวัตรใหญ่จะไม่เชื่อ ดูได้จากการที่เขาไม่พูดตอบอะไรหลังจากที่สิงปฏิเสธ “ผมไม่เคยกินยานอนหลับจริง ๆ ครับ”

ทนายพฤกษ์เห็นท่าทีของสิงก็ยังไม่ปักใจเชื่อแต่ในฐานะทนายเขาต้องเข้าข้างลูกความจึงยื่นเอกสารผลการตรวจกลับไปให้ปราปก่อนจะพูดสนับสนุนคำพูดของสิง “ผมว่ามันต้องมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันแน่ ๆ ครับ ลูกความของผมยืนยันว่าเขาไม่ได้กินยานอนหลับ”

“ครับ เราคงต้องตรวจสอบเรื่องนี้กันอีกครั้ง แต่จากผลเลือดทำให้สิงรอดจากการเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะในขณะที่คุณเสือเสียชีวิต สิงเองก็หมดสติไปเพราะยานอนหลับ”

ทนายพฤกษ์ยกยิ้มอย่างเบาใจราวกับยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก “ถ้าอย่างนั้น ผมสามารถพาตัวคุณสิงไปได้แล้วใช่ไหมครับ”

“ครับ แต่เมื่อไหร่ที่ทางเราเรียกตัว ผมหวังว่าคุณสิงจะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี”

“แน่นอนครับ” ทนายพฤกษ์ตอบ

“ผมขอถามเรื่องพี่เสือได้ไหมครับ” สิงพูดแทรก

“การชันสูตรพลิกศพเพิ่งเสร็จเมื่อเช้า ร่างกายของคุณสิงไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย เราจึงยังไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตจนกว่าผลแล็บจะออก แต่หมอชันสูตรให้ความเห็นว่าคุณเสืออาจเสียชีวิตเพราะยาพิษ”

“ยาพิษเหรอครับ?”

“มันก็แค่การคาดเดาเรายังไม่รู้ผลชัดเจน ว่าแต่หลังจากที่คุณขึ้นห้องไปแล้วมีใครมาหาพี่ชายคุณที่บ้านอีกไหม”

สิงส่ายหน้าพลางนึกภาพบรรยากาศในคืนวันที่เสือเสียชีวิต ในวันนั้นสิงลงมาหาเสือที่ชั้นล่างคุยกันอยู่ครู่นึงก่อนที่เสือจะชงนมอุ่นให้เขาดื่มตามปกติที่เสือมักจะทำทุกวันถ้าเขากลับมาแล้วสิงยังไม่หลับไปเสียก่อน หลังจากนั้นก็กลับขึ้นห้องไปแต่ไม่ทันไรเพียงแค่หัวถึงหมอนเขาก็หลับเป็นตายทันที “ผมไม่มั่นใจครับ พอขึ้นห้องผมก็ปิดไฟเข้านอนเลย”

“อือ ในกล้องวงจรปิดก็ไม่มีอะไร ว่าแต่พวกคุณไม่รู้เลยเหรอว่ากล้องวงจรปิดชั้นล่างเสีย”

“เอ่อ ไม่รู้หรอกครับ คนที่ตรวจเช็กมีแค่พี่เสือเท่านั้น ผม…มองไม่เห็น”

“โอเค เรื่องที่ต้องแจ้งให้ทราบก็แจ้งแล้ว ส่วนเรื่องการชันสูตรถ้าแล้วเสร็จเมื่อไหร่ เราจะติดต่อให้คุณไปรับศพพี่ชายเพื่อไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป”

“ครับ”

“คุณหลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีแล้วคุณสิง ถ้าพี่ชายของคุณถูกฆาตกรรมจริง ๆ ผมว่าคุณเองก็ไม่ปลอดภัย ถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อมาหาผมก็แล้วกัน”

“ขอบคุณครับสารวัตร”

“ไม่เป็นไร ยังไงผมขอตัวก่อน” ปราปทำหน้าที่ปล่อยตัวสิงเสร็จก็เก็บเอกสารแล้วเดินออกไปจากห้องสอบปากคำ

“คุณสิงจะให้ผมไปส่งที่บ้านเลยไหมครับ?” ทนายพฤกษ์หันไปถามลูกความที่ยังนั่งเงียบ

“แล้วพี่อินละครับ?”

“เมื่อเช้าตอนที่โทรคุยกันคุณอินบอกว่าติดถ่ายละคร จะมารับคุณสิงได้ตอนช่วงสาย ๆ ครับ คุณสิงจะรอคุณอินที่นี่หรือจะให้ผมไปส่งที่บ้านก่อนดีครับ”

“ผมอยู่รอพี่อินดีกว่าครับ”

“ถ้างั้นเดี๋ยวผมรอเป็นเพื่อนครับ ไปนั่งพักข้างนอกก่อนดีกว่าครับ”

ทนายพฤกษ์พาสิงออกมานั่งรออินที่ห้องรับรอง คนน้องนั่งรอจนนั่งสัปหงกอินถึงได้โผล่มารับเขาพร้อมกับเจตและแฟนที่เป็นผู้ช่วย กลิ่นที่คุ้นเคยทำให้เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งหัวโงนเงนตั้งตรงขึ้นมาทันควัน แถมยังหันไปฉีกยิ้มรอคนพี่ที่กำลังก้าวขาสับ ๆ มาหาเขาด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน ราวกับว่าเจ้าหมายักษ์กำลังกระดิกหางด้วยความดีใจที่จะได้เจอเจ้าของของมันอีกครั้ง

พอเสียงฝีเท้าหนักของอินหยุดลงตรงหน้าประตูสิงก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วเดินฉีกยิ้มหน้าบานไปหาคนพี่พลางร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “พี่อิน”

อินเห็นท่าทางของไอเด็กหมายักษ์ก็อดที่จะยกยิ้มตามไม่ได้ “ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอที่จะได้กลับบ้านสักที” อินแอบแซวเด็กหนุ่มที่ยืนฉีกยิ้มหน้าบานเป็นจานกระด้งก่อนจะหันไปพูดกับทนายพฤกษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง “ขอบคุณมากนะครับทนายพฤกษ์ เดี๋ยวผมดูแลสิงต่อเอง กลับไปพักผ่อนเถอะครับ”

“ครับคุณอิน ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับ” ทนายพฤกษ์และผู้ช่วยโค้งทักทายลูกความวีไอพีก่อนจะปลีกตัวออกไป 

“สิง ตอนออกไปรีบเดินหน่อยนะ นักข่าวยั้วเยี้ยไปหมด” เจตผู้จัดการหนุ่มร่างเล็กที่เดินมาพร้อมกันเอ่ยปากเตือนเด็กหนุ่ม เพราะกว่าพวกเขาจะฝ่าด่านนรกนั้นมาได้ก็เล่นเอาเหงื่อท่วมหลัง ยิ่งไม่ต้องนึงถึงขากลับเพราะดันมีเด็กหนุ่มที่ตกเป็นประเด็นของสังคมพ่วงไปด้วยไม่รู้ว่าจะโดนรุมฉีกรุมทึ้งสักแค่ไหน

“สวัสดีครับพี่เจต” สิงพูดพลางยกมือไหว้เจต

“เป็นไง เหนื่อยไหม” เจตเดินเข้ามาใกล้พลางยกมือขึ้นลูบลาดไหล่ของสิง

“ไม่เท่าไหร่ครับ ขอบคุณนะครับเรื่องงานศพพี่เสือ” สิงไม่ลืมที่จะเอ่ยปากของคุณเจตที่ช่วยจัดการงานศพของพี่ชาย ถึงแม้ว่าทางตำรวจจะยังไม่ได้คืนร่างของเสือก็ตาม แต่จากที่ได้ข่าวมาจากทนายพฤกษ์ดูเหมือนเจตและทีมงานจะจัดการทุกอย่างไว้พร้อมสรรพอยู่แล้วโดยที่ญาติเพียงคนเดียวอย่างเขาไม่ต้องทำอะไรเลย

“ฉันเป็นผู้จัดการมันนะ มันตายฉันก็ยังต้องจัดการอยู่ ไม่ต้องคิดมาก” ผู้จัดการร่างเล็กยกยิ้มพลางมองเด็กหนุ่มอย่างนึกเอ็นดู ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กในสังกัดของตัวเอง “แกจะให้น้องไปอยู่กับแกใช้ไหมอิน?”

“ครับพี่เจต” อินตอบ

“งั้นพาน้องไปเก็บของก่อนแล้วค่อยไปบ้านแก โอเคไหม?”

“ตามนั้นครับ”

“ไปกันเถอะ สิงจะได้ไปพักผ่อน น้องน่าจะเหนื่อย” ยังไม่ทันที่เจตจะได้พูดจบประโยคดีจู่ ๆ ก็มีคนเข้ามาหิ้วปีกทั้งสองข้างของสิง ฝั่งขวาถูกพันธนาการโดยพี่ชายคนสนิทอย่างอินส่วนอีกฝั่งก็มีแขนของแฟนเกี่ยวรัดเอาไว้ซะแน่น เด็กหนุ่มค่อนข้างตกใจในทีแรกแต่ก็เข้าใจในเวลาต่อมาว่าสิ่งนี้ทำไปเพื่อเตรียมความพร้อมในการพาสิงข้ามผ่านฟูงซอมบี้นักข่าวที่คอยจ้องจะกัดกินเขาเพื่อเสาะหาข่าวเรียกเรตติ้งให้กับช่องของตัวเอง

อินกับแฟนลากสิงผ่านฝูงนักข่าว ส่วนเจตก็ทำหน้าที่เป็นทัพหน้าคอยกรุยทางให้เท่าที่ทำได้ เสียงของนักข่าวที่พร่ำถามคำถามเด็กหนุ่มจนจับใจความไม่ได้ดังแข่งกับเสียงรัวเฟลชของบรรดาช่างภาพ แต่ดีที่สิงตาบอดไม่เช่นนั้นกระจกตาคงได้รับความเสียหายไปไม่มากก็น้อย

เจตทำหน้าที่เปิดประตูก่อนจะเบี่ยงตัวออกไปด้านข้างเพื่อให้อินและแฟนเหวี่ยงเด็กหนุ่มเข้าไปก่อนแล้วคนที่เหลือก็ค่อยทยอยกระโดดขึ้นรถ ทุกอย่างถูกกระทำการอย่างรวดเร็วราวกับมันถูกวางแผนและซักซ้อมมาเป็นอย่างดี ดูแล้วแทบไม่ต่างกับการปล้นธนาคาร

“โอย! กว่าจะฝ่ามาได้เล่นเอาเกือบตาย ร้อนโว้ย!” อินร้องโอดครวญพลางใช้มือข้างนึงกระดกเสื้อขึ้นลงเพื่อให้เกิดลมเย็นเบารดบริเวณลำตัวส่วนที่ชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ

สิงได้ยินคนข้างกายพูดแบบนั้นก็รีบหันไปพัดวีให้คนพี่คลายร้อน “พี่อินร้อนมากไหมครับ?”

อินยกมือขึ้นไปจับมือของเด็กหนุ่มที่กำลังแกว่งไปมาเพื่อคลายร้อนให้กับเขา “มึงนั่งไปเถอะ กูก็บ่นไปงั้นแหละ แล้วมึงเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”

สิงส่ายหน้ารัวจนผมหน้าม้าพับปลิวไปตามแรงเหวี่ยง “ไม่เจ็บครับ”

“เดี๋ยวหน้าบ้านมึงน่าจะมีนักข่าวอีกฝูง มึงเตรียมตัวไว้แล้วกัน” อินพูดพลางยกมือขึ้นไปจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของเด็กหนุ่มให้กลับมาเป็นทรงเหมือนเดิมจนทำให้ใบหน้าของไอเด็กหมายักษ์เห่อร้อนขึ้นมาหน่อย ๆ

“ถ้าอย่างนั้น เราไปบ้านพี่อินเลยก็ได้ครับ”

“แล้วของของมึงละ ไม่เอาแล้วเหรอ?”

“ค่อยมาเอาวันหลังก็ได้ครับ สิงมีของใช้ไม่เยอะหรอก”

“เอางั้นเหรอ?”

“ครับ สิงไม่อยากให้พี่อินกับคนอื่นลำบาก”

“ลำบากห่าไร มึงเอาอีกแล้วนะไอสิงเกรงใจอะไรขนาดนั้นวะ ครอบครัวเดียวกันอย่าคิดเยอะ”

อินต้องคอยติติงเด็กหนุ่มทุกครั้งกับความขี้เกรงใจ ทั้ง ๆ ที่เขาพูดไปหลายร้อยรอบพูดจนปากจะฉีกถึงหูแล้วแต่ไอเด็กหนุ่มก็ไม่นำพา เอาแต่เกรงใจคนอื่นพร่ำเพรื่อ แต่ก็ไม่ใช้ข้อเสียเสมอไปเพราะที่มันเป็นแบบนี้ทำให้คนรอบข้างเอ็นดูมันเป็นพิเศษ

อินส่ายหน้าระอากับเด็กดื้อตรงหน้าก่อนจะโน้มตัวไปพูดกับผู้จัดการที่นั่งอยู่แถวหน้า “พี่เจตไปบ้านอินเลย เดี๋ยวอินค่อยออกไปซื้อของใช้ให้น้องเอง”

“เออ เอางั้นก็ได้ส่วนของใช้เดี๋ยวให้ไอแฟนไปซื้อ แกออกไปเดี๋ยวก็โดนนักข่าวรุมอีก”

“ได้พี่ เดี๋ยวแฟนไปซื้อให้ สิงอยากได้อะไรก็จดมานะ” แฟนที่นั่งอยู่แถวหน้ารีบรับคำสั่งอย่างกระตือรือร้นก่อนจะหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“ครับพี่แฟน”

หลังจากนัดแนะกับเสร็จสรรพ อินก็วกกลับมาถามน้องเรื่องคดีเพราะก่อนหน้านี้ทนายพฤกษ์ได้ส่งข้อความหาเขาเรื่องผลการตรวจปัสสาวะของสิงและพบว่ามียานอนหลับอยู่ในนั้น ตอนที่ได้รับข้อความนั้นอินเองก็ไปไม่เป็นเหมือนกันเพราะตั้งแต่อยู่กับสิงมาก ไอเด็กหมายักษ์ของเขาแทบจะไม่แตะต้องยาอะไรเลยอย่างมากก็แค่ยาแก้ปวด

“เออไอสิง มึงไปกินยานอนหลับของใครมาวะ”

สิงส่ายหน้ารัว “ไม่มีนะครับพี่อิน สิงไม่เคยกินยานอนหลับ”

“ทนายพฤกษ์บอกว่ามึงรอดมาได้เพราะในฉี่มึงมีสารประกอบยานอนหลับ ถ้ามึงไม่ได้กินเอง แล้วใคร…” เสียงของอินขาดห้วงไปช่วงหนึ่ง นั้นเพราะเขาเพิ่งนึกขึ้นได้จากสิ่งที่เขาเคยอนุมานไว้ก่อนหน้านี้ เพียงแต่เขาไม่ได้บอกกับใครเรื่องนี้ยกเว้นเจต

“แกคิดว่าเสือให้สิงกินเหรอ” เจตที่นั่งฟังอยู่จำได้ว่าเขาเคยพูดเรื่องนี้กับอินเมื่อวานตอนที่ไปถ่ายซ่อมกันที่กองถ่าย จึงพูดโพล่งขึ้นมาโดยลืมไปว่าน้องชายของเสือนั่งอยู่ข้างหลัง

อินกลอกตาไปมาด้วยท่าทางกระอักกระอ่วนเพราะไม่อยากให้สิงไม่สบายใจ แต่ในเมื่อมันหลุดออกมาแล้วแต่อินเองก็คิดว่าสิงโตพอที่จะคิดวิเคราะห์เรื่องนี้ได้ด้วยตัวเองแล้ว จึงได้เอ่ยปากตอบผู้จัดการส่วนตัวกลับไป “ไม่รู้ดิพี่ แต่ก็มีมันคนเดียวป่ะที่ให้ไอสิงกินยานอนหลับได้”

“แล้วเสือจะทำแบบนั้นไปทำไม?”

“พี่ถามผม แล้วผมจะไปถามใคร?” อินพูดติดกวนตามวิสัย แต่ในใจลึก ๆ ก็แอบคิดแบบนั้นเพราะถึงตอนนี้เขาก็ยังหาคำตอบให้กับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ที่เขาแน่ใจคือคนเดียวที่จะทำให้สิงกินยานอนหลับเข้าไปได้แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้ก็มีอยู่แค่คนเดียวนั้นคือเสือ 

“ไอนี่!” เจตถบทใส่เด็กในสังกัด

“ว่าแต่ทุกคนได้ยินข่าวกันรึยังครับ” แฟนที่นั่งฟังอยู่ก็ได้โอกาสพูดแทรก

“ข่าวอะไรของแกไอแฟน?” เจตถามพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ก็ข่าวที่พริตตี้เงินล้านคนนั้นตายไงพี่เจต น้องมันชื่ออะไรนะ…” แฟนพยายามนั่งนึกชื่อของพริ้ตตี้สาวที่เป็นหัวข้อเรื่องซุบซิบนินทาในหมูนักข่าวสายอาชญากรรม จากการที่แฟนเคยทำงานเป็นนักข่าวสายบันเทิงมาก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้ช่วยของเจตทำให้ยังพอมีเส้นสายในวงการข่าวอยู่บ้างจึงทำให้เขารู้ข่าวจากวงในก่อนที่มันจะกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นหน้าหนึ่งซะอีก

“เพรียว” สิงพูดโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงราบเรียบราวกับไม่ได้ตั้งใจที่จะพูดแต่มันดันหลุดปากออกมาเอง

“ใช้! สิงรู้ได้ยังไง?” แฟนร้องเสียงหลงด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าสิงจะรู้ข่าววงในเร็วพอ ๆ กับเขา

“เอ่อ…คือ…” 

อินเห็นท่าทางอึกอักของเด็กหนุ่มแล้วก็พอจะรู้ว่ามันไม่อยากจะตอบคำถามนี้ จึงได้พูดแทรกขึ้นมาเพื่อเบี่ยงประเด็น “แล้วน้องเขาตายได้ยังไง?”

แฟนที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อถูกดาราที่เขาดูแลอยู่ดึงความสนใจไปจากคนน้องด้วยการลากให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่รู้ออกมา แฟนที่คันปากอย่างเล่าอยู่นานแล้วจึงไม่รีรอที่หันไปพูดกับอิน “ยังไม่รู้เลยพี่อิน แต่เห็นเค้าเมาท์กันว่าผู้จัดการที่ชื่อจุ๊บแจงเป็นคนเจอศพคนแรก ทีมงาน Moto Expo หาพริตตี้คนใหม่กันให้วุ่นเลย ไม่รู้ป่านี้มีคนไปแทนแล้วรึยัง”

“ทำไมคนตายเยอะจังวะ” อินบ่น

“ปล่อยให้เป็นเรื่องของตำรวจเหอะ ตอนนี้มาจัดการเรื่องของเสือก่อนดีกว่า”

“จัดการอะไรอีก พี่จัดการไปหมดแล้วไม่ใช้เหรอ?” อินถาม

“ก็ใช้ ฉันหัวหมุนจนไม่มีเวลาร้องไห้เลย”

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับพี่เจต?” สิงถามด้วยความรู้สึกผิดทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนในครอบครัวของเสือก็ควรจะจัดการเรื่องงานศพของพี่ชายด้วยตัวเองแต่เพราะเขาต้องติดแหง็กอยู่ที่โรงพักเจตจึงเข้ามาดูแลเรื่องงานศพให้แทน

“เรื่องงานศพพี่เตรียมหมดแล้วสิง ไม่เป็นไร เหลือแค่เรื่องงานของเสือนั่นแหละที่พี่ต้องจัดการ สิงพักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องโรงเรียนพี่โทรไปคุยกับผอ. ให้แล้วนะ แกให้สิงพักงานไปก่อนได้”

“ขอบคุณครับพี่เจต” สิงได้แต่ยกยิ้มแห้งเพราะนอกจากจะจัดการเรื่องงานศพให้แล้วยังจัดการเรื่องงานของเขาให้อีก อินที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นอาการน้องแล้วก็อดจะส่ายหน้าระอาไม่ได้

“ลาออกไปเลยไหม?” อินถามด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อกึ่งจริง จนคนฟังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วดาราหนุ่มต้องการให้เขาลาออกจริงหรืออยากจะประชดกันแน่

สิงที่คิดว่าตัวเองเป็นภาระของทุกคนรีบตอบสวน “ลาออกแล้วผมจะเอาอะไรกินละครับพี่อิน” 

“เงินไอเสือเยอะจะตายไหนจะบ้านหลังนั้นอีก แล้วอีกอย่างกูก็อยู่มึงจะเอาอะไรก็มาบอกกู ไม่ต้องไปทำงานให้ลำบากหรอก” ประโยคที่พูดด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำทำให้สิงรู้ว่าประโยคคำถามก่อนหน้าอินพูดจริง เด็กหนุ่มที่คิดว่าตัวเองเป็นภาระคนอื่นกำลังตบตีกับความคิดส่วนร้ายในใจ ถึงแม้จะไม่อยากเป็นภาระของใครแต่ที่อินพูดแบบนี้ก็ทำให้เด็กหนุ่มมีหวังว่าจะได้ใช้ทั้งชีวิตอยู่กับคนที่เขาแอบรัก

“นี้แกติดโรคหวงน้องจากไอเสือมาเหรอ” เจตพูดประชด

“หวงอะไรพี่เจตอินก็แค่ไม่อยากให้น้องมันลำบาก ไหนจะต้องนั่งรถเมย์ไปกลับบ้านกับโรงเรียน พอกลับบ้านมาก็ต้องเตรียมสอนของวันพรุ่งนี้อีก เหนื่อยตายชัก”

“งานแกไม่เหนื่อยเลยว่างั้นเถอะ”

“ก็เหนื่อยไง อินเลยไม่อยากให้น้องเหนื่อยเหมือนอิน”

“เผื่อแกไม่รู้นะอิน แบบนั้นเขาเรียกว่าอาการของคนหวงน้องโว้ย! ติดเชื้อไอเสือมาชัวร์!”

อินกลอกตาไปมาพลางทำปากมุบมิบประชดประชัน ก็ใครใช้ให้สิงน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันละ แล้วอีกอย่างไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้นที่หวงน้องจนออกนอกหน้า คนที่พูดประชดก็ไม่ต่างอะไรจากเขาเลยถึงแม้จะไม่ได้หวงเบอร์แรงเท่าเขาก็ตาม

“ผมทำได้ครับพี่อิน ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ”

“กูรู้ว่ามึงทำได้ก็มึงทำมาตั้งหลายปี แต่กูแค่คิดว่าถ้ามึงอยู่บ้านเฉย ๆ น่าจะสบายกว่า ไม่ต้องออกไปทำงานให้เหนื่อยเปล่า”

“ผมอยู่บ้านเฉย ๆ ก็เบื่อตายซิครับ”

“ก็ทำงานบ้าน ทำกับข้าวแบบที่มึงอยากทำไง เรื่องนี้กูไม่ห้ามมึงเหมือนไอเสือหรอก ไม่ต้องห่วง”

“พี่อินจะให้ผมเป็นพ่อบ้านเหรอครับ” สิงแกล้งถาม

“แกไม่อยากเสียงเงินจ้างแม่บ้าน เลยหลอกให้สิงไปอยู่ด้วย เพื่อที่จะให้น้องทำแทนใช้ไหม” เจตแกล้งแซวบ้าง

“โอย! พูดไปเรื่อย! ผมจ้างแม่บ้านให้มาดูแลสิงแล้วเหอะ” อินถลึงตาใส่ผู้จัดการ “ส่วนมึงไอสิง มึงจะเป็นพ่อบ้าน หรือ จะอยู่เฉย ๆ กูก็ไม่ว่าหรอกแล้วแต่มึงเลย กูก็พูดไปงั้นแหละแค่ไม่อยากให้มึงเหนื่อย”

“ผมทำได้ครับพี่อิน ไม่ต้องห่วงนะครับ”

“เออ แล้วแต่มึงละกัน แต่ช่วงนี้มึงก็หยุดพักอยู่บ้านนั่นแหละ ไม่ต้องไปไหนหรอก”

“ครับ”

บทสนทนายังคงดังเจื้อยแจ้วไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่หน้าโรงพักยิงยาวไปจนถึงหน้าบ้านหลังใหญ่สไตล์อินดัสเทรียลสีคอนกรีตเปลือยราวกับว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกแล้วหากไม่คุยกันตอนนี้ ทันทีที่รถจอดสนิทก็เป็นหน้าที่ของแฟนและเจตที่นั่งแถวหน้าในการกดเปิดประตูอัตโนมัติให้กับทุกคน 

“ถึงแล้ว ไปกัน” อินเรียกให้สิงลุกออกไปก่อนแล้วเขาค่อยตามออกไปทีหลัง พอเห็นหัวคนน้องกำลังจะลอดผ่านกรอบประตูก็รีบยกมือขึ้นไปป้องเอาไว้เพื่อไม่ให้หัวของน้องกระแทกกับขอบประตูตามสัญชาตญาณ พอออกมาจากรถก็รีบคว้ามมือของสิงแล้วลากจูงน้องเข้าบ้านราวกับว่าเด็กหนุ่มจะเดินหลงในบ้านที่เคยมาอาศัยอยู่ไม่ต่างจากบ้านหลังที่สอง ส่วนสิงก็เดินตามอย่างว่าง่ายไม่ต่างอะไรจากหมายักษ์ที่กำลังเดินตามเจ้าของ “มึงจะไปนอนพักที่ห้องไหม กูให้คนเตรียมไว้ให้แล้ว”

“งั้นผมขออาบน้ำหน่อยได้ไหมครับ เหนียวตัวไปหมดแล้ว”

“เหม็นด้วย ไม่ได้อาบน้ำตั้งสองวัน สกปรกวะ” อินแกล้งแซวน้องพลางแสร้งทำท่าทีรังเกียจ

สิงทำหน้ายู่พลางพูดเสียงอ่อย “พี่อินรังเกียจผมเหรอครับ”

“กูแกล้งเล่นโว้ย! ไป! เดี๋ยวกูพาไป” อินเดินจูงมือพาน้องขึ้นไปบนชั้นสอง ดาราหนุ่มลอบมองด้วยหางตาอย่างระอาเมื่อเดินผ่านโถงกลางบ้านแล้วเห็นผู้จัดการและผู้ช่วยส่วนตัวนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาหนังสีดำตัวใหญ่กลางบ้านที่เปิดโล่งรับลมโกลก

“ห้องเดิม โอเคไหม?”

“ครับ” 

อินลากคนน้องเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขา ก่อนจะพาคนน้องไปสำรวจห้องนอนที่เขาเพิ่งให้ช่างมาตกแต่งใหม่ทั้งหมด แถมยังใช้อุปกรณ์สมาร์ตโฮมเพื่อสิงใช้งานมันได้ง่าย ๆ

“ปุ่มพวกนี้กูสั่งมาใหม่ มีอักษรเบรลล์ด้วย” อินโฆษณาสวิตช์ไฟที่ทำใหม่ก่อนคนน้องจะถูกปล่อยตัวแค่วันเดียวให้เจ้าของห้องคนใหม่ได้รู้ ก่อนจะลากมือสิงมาสัมผัสปุ่มอักษรเบรลล์บนสวิตช์ไฟหัวเตียง

“อักษรเบรลล์เหรอครับ” สิงหันมาถาม

“เออ กูสั่งทำใหม่ให้มึงเลย”

“ขอบคุณนะครับพี่อิน”

“เออ ไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรก็กดปุ่มตรงหัวเตียงนี้นะ มันส่งสัญญาณไปที่มือถือกูกับพี่เจต”

“ครับ”

“เออ เดี๋ยวกูไปเอาเสื้อผ้ากูมาให้เปลี่ยนก่อน รอตรงนี้นะ”

คนพี่รีบเดินจ้ำอ้าวไปหยิบเสื้อผ้าไซต์ที่คนน้องพอจะสวมใส่ได้ก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องข้าง ๆ พลางทำทีจะเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างที่เคยทำตอนที่น้องยังเป็นเด็ก สิงรีบหลบทันควันเขินอายเกินกว่าจะแก้ผ้าต่อหน้าคนที่แอบชอบ

“มึงเขินอะไรไอสิง ทำเหมือนกูไม่เคยเห็นไปได้” 

“แต่ผมโตแล้วนะครับพี่อิน” สิงร้องท้วง

“เออ! ไม่ช่วยก็ได้ งั้นมีอะไรก็เรียกกูน่ะ”

“ครับ!”

อินแอบแบะปากใส่คนน้องที่ตอบรับเสียงดังฟังชัดจนน่ารำคาญ อะไรมันจะเขินขนาดนั้นทีตอนเด็กวิ่งทั่วบ้านไอจ้อนห้อยโทงเทงไม่เห็นจะอาย ขนาดมันก็แค่ใหญ่ขึ้นตามขนาดตัวแถมเขาก็มีเหมือนกับมันไม่รู้จะอายอะไรนักหนา อินได้แค่คิดหมั่นไส้หมายักษ์อยู่ในใจจนลืมไปว่าน้องอายุยี่สิบสามปีแล้ว

เด็กหนุ่มอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินลงมาที่ชั้นล่าง อินที่นั่งรออยู่บนโซฟาหันไปเห็นคนน้องที่กำลังเดินลงบันไดมาอย่างคล่องแคล่วก็อดที่จะแซวไม่ได้ “เดินตัวลอยขนาดนี้ คงไม่ต้องมีกูก็ได้แล้วม้างงง”

“น้องมันเดินวนรอบบ้านแกเป็นร้อยรอบละ จะมีแกไปเพื่ออะไรหะ?!” เจตที่กึ่งนั่งกึ่งนอนค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่งหลังตรงพลางพูดแซะเด็กในสังกัด

“แต่ไอสิงตาบอด มันอันตราย”

“หึ มีแกอยู่ใกล้ ๆ อันตรายกว่าอีก” 

“ใคร ๆ ก็อยากมีคนหล่ออย่างผมอยู่ใกล้ ๆ เหอะพี่เจต”

เจตกลอกตามองบนให้กับความหลงตัวเองของคนตรงหน้าที่กำลังนั่งเก็กหน้าหล่อกวนส่วนล่างของเขาอยู่ “จ๊ะ! หล่อมากกก หล่อไปหมด!”

“อย่าทะเลาะกันเลยครับ” สิงรีบห้ามทัพก่อนที่การกัดกันเป็นเด็ก ๆ จะกลายเป็นสงครามน้ำลายระหว่างผู้จัดการกับดาราในสังกัดแทน

“จริง กัดกันเหมือนเด็กเลย โต ๆ กันแล้วนะพี่เจตพี่อิน” แฟนพูดเสริม

“เออ ๆ ไปกินข้าว! เดี๋ยวแกต้องไปกองอีกนะไออิน”

“พี่อินต้องกลับไปทำงานเหรอครับ”

“เออ กูขอออกมารับมึง แต่เดี๋ยวต้องกลับไปทำงานต่อ มึงอยู่บ้านกับแฟนไปก่อนนะ เดี๋ยวดึก ๆ กูกลับมา”

“ครับพี่อิน”

อาหารเที่ยงที่แฟนสั่งเอาไว้ถูกจัดเตรียมเอาไว้บนโต๊ะอาหารรอให้คนทั้งสี่ไปเขมือบมันลงท้อง อินและเจตรีบยัดห่ามันลงท้องด้วยความเร็วเพราะใกล้จะถึงเวลาไปกองเต็มทีไหนจะต้องผ่าด่านรถติดอีก พอคนทั้งคู่กินเสร็จก็รีบกุลีกุจอกันออกไปขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่หน้าบ้าน สิงที่เห็นแบบนั้นก็รีบเดินตามไปส่งคนพี่ขึ้นรถราวกับภรรยาส่งสามีไปทำงาน

“ฟีลภรรยาโบกมือลาสามีไปทำงานเหรอ” แฟนแซวสิงที่กำลังโบกมือรอให้รถตู้ขับออกไปพ้นสายตา

สิงแอบอมยิ้มใบหน้าเห่อร้อนขึ้นสีระเรื่อ “ทำไมผมถึงเป็นภรรยาละครับพี่แฟน”

“โห่สิง! ดูสารร่างของพี่อินด้วย กล้ามใหญ่หยังกะโลโก้มิชลิน จะเป็นเมียได้ไง”

สิงหัวเราะขำขันในลำคอ “ผมว่าพี่อินออกจะน่ารัก”

“จ๋า จ๋า น่ารัก น่ารักที่สุด” แฟนพูดประชดเพราะตั้งแต่เด็กจนโตอินสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่งสำหรับสิงเสมอ ก่อนจะเปลี่ยนไปถามเรื่องที่อินฝากฝังเอาไว้ “พี่ว่าจะออกไปซื้อของให้สิง กลัวออกไปเย็น ๆ แล้วฝนตก ว่าแต่สิงอยู่บ้านคนเดียวได้ใช้ไหม?”

“ได้ครับพี่แฟน ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”

“โอเคงั้นบอกพี่มาว่าเราอยากได้อะไรบ้าง พี่จะได้ซื้อถูก”

แฟนเตรียมกระดาษแผ่นใหญ่เพื่อจดรายการของใช้ที่สิงต้องการ แต่ดูเหมือนมันจะสิ้นเปลืองไปหน่อยเพราะสิ่งที่สิงต้องการมีเพียงไม่กี่อย่างและดูเหมือนว่ามันจะสามารถหาได้แค่ที่หน้าปากซอย คงจะมีแค่เสื้อผ้าสองสามชุดที่เขาต้องไปหาซื้อที่ห้างใหญ่

“เออ! พี่ลืม นี้โทรศัพท์สิงนะ พี่ได้มาจากหมวดเมฆ” แฟนหยิบโทรศัพท์ของสิงออกมาจากถุงซิปล็อกใส่ของกลางก่อนจะจับมันยัดลงไปบนมือของน้อง เผื่อมีอะไรเกิดขึ้นน้องจะได้โทรขอความช่วยเหลือได้

 

‘ช่วยด้วย ช่วยด้วย ช่วยผมที’

ในขณะที่สิงกำลังนอนกลางวันจู่ ๆ สิงก็ได้ยินเสียงของชายหนุ่มคนนึงดังขึ้นมานั้นทำให้เปลือกตาของสิงเปิดโพลงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ

‘ช่วยผมด้วย ผมยังไม่อยากตาย’

เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งสิงจึงรีบก้าวลงจากเตียงและรีบเดินไปตามทางของเสียง ก่อนจะเห็นชายวัยรุ่นคนนึงอายุอานามไม่น่าจะต่างจากเขามากำลังนอนดิ้นอย่างทุรนทุรายอยู่บนพื้น เด็กหนุ่มจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปช่วยเขาคนนั้นทันทีตามสัญชาตญาณ พลางมองหาความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ แต่กลับไม่พบใครเลย

‘คุณช่วยผมที ผมยังไม่อยากตาย’

ชายหนุ่มร้องขอความช่วยเหลือพลางเขย่าตัวสิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกลัวสุดขีด สิงที่เป็นคนดีโดยสันดานรีบหาทางช่วยเหลืออีกฝ่ายแม้จะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับอะไร ในระหว่างที่พยายามหาทางออกจากที่นี่จู่ ๆ เขาก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนนึงที่ดูคุ้นตา

เธอยืนมองพวกเขาสองคนอยู่ไม่ใกล้มากนัก ริมฝีปากของเธอกำลังแสยะยิ้มออกมาด้วยความอาฆาตพยาบาท

สิงที่ไม่ทันเห็นได้ชัดเจนว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครก็ทำท่าจะอ้าปากขอความช่วยเหลือ แต่ทันทีที่เขาเห็นภาพของเธอเต็มสองลูกตา มันทำให้ร่างกายของเด็กหนุ่มหยุดนิ่งและรู้สึกชาวาบตั้งแต่ปลายเท้าไปจนถึงศีรษะ

ใบหน้าของเธอขาวซีดไร้เลือดฝาดและเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำเต็มกรอบหน้า ดวงตาไร้นัยน์ตาดำทำให้สิงรู้ว่าเธอไม่สิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจอีกต่อไป เธอสวมชุดนางรำประดับไปด้วยลูกปัดหลากสีบนศีรษะสวมชฎาสีทองที่ปลายยอดหัก นิ้วมือทั้งสิบสวมปลอกนิ้วนางรำที่เต็มไปด้วยคราบเลือดกำลังชี้ตรงมาที่ชายปริศนา

“มันเป็นของกู”

เสียงของเธอเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่เขาได้ยินในวันที่เสือถูกพบเป็นศพ และวิญญาณของมันก็กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขาเรื่อง ๆ ริมฝีปากสีดำคล้ำของมันแสยะยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนมุมปากของมันฉีกยาวเกือบจะถึงใบหู นัยน์ตาขาวโพลนจ้องมองมาที่ใบหน้าของสิงอย่างไม่วางตา ให้ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนอ่อนลุกชันอย่างฉับพลัน ความเย็นยะเยือกทำให้เนื้อตัวของสิงเริ่มสั่นเทา

 

เพี๊ย!

 

ความเจ็บแปล๊บแล่นไปทั่วใบหน้าของสิงราวกับมีบางอย่างฟากใส่ใบหน้าซีกขวาเต็มแรง ลมหายใจของเขาขาดห้วงไปช่วงหนึ่งก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างสัมผัสไปรอบ ๆ กายก่อนจะพบว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงหลังเดิมในห้องนอนของตัวเอง

แค่ฝันไป…

เมื่อสติกลับคืนมาและรับรู้ได้ว่าเขาแค่ฝันไปสิงก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาด้วยความโล่งใจ แต่ทำไมเขายังรู้สึกเจ็บข้างแก้ม ทั้ง ๆ ที่เขาสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตอย่างอื่นภายในห้องไม่ได้เลยนอกจากเขาคนเดียว เด็กหนุ่มยกมือขึ้นมาลูบแก้มปอย ๆ พลางนึกถึงภาพความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้น เขานั่งครุ่นคิดจนหน้ายับยู่ยี่แต่ไม่ว่าจะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าชายในฝันคนนั้นคือใคร แต่ไม่ใช้กับวิญญาณนางรำตนนั้นเพราะเขาเคยเจอเธอมาก่อน...

 

ดวงตาของสิงเบิกกว้างขึ้นเมื่อมีความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในหัว “มันยังไม่จบ”

“มันตายแน่ มึงช่วยมันไม่ได้หรอก”

แต่ยังไม่ทันที่สิงจะได้ทำอะไรจู่ ๆ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นข้างหู เสียงแหบแห้งที่เป็นความหวังเดียวของเขาในการคลี่คลายสิ่งที่ติดอยู่ในใจ

“เขาเป็นใครครับ”

“...” ไร้เสียงตอบกลับ

“ขอร้องละครับ ผมช่วยพี่เสือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ผมช่วยชีวิตของเขาเถอะนะครับ”

“มึงช่วยมันไม่ได้ อย่าแส่หาเรื่อง”

“ผมขอร้องละครับ บอกผมเถอะว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”

“...”

สิงคิดว่าจะไม่ได้รับคำตอบจากสิ่งนั้นเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากมันเลย แต่ในอีกเสี้ยววินาทีหนึ่งเขากลับรู้สึกอุ่นวาบในดวงตาทั้งสองข้างก่อนที่ภาพบางอย่างจะเผยออกมาให้เห็นในหัว

 

เด็กหนุ่มไม่รอช้ารีบพุ่งตัวออกไปจากบ้านโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากคนที่อยู่ในกองถ่าย ถึงแม้จะรู้ดีว่าจะโดนอะไรเมื่ออินรู้ว่าเขาออกจากบ้านโดยไม่บอกกล่าว แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายทำให้สิงรีบก้าวเท้าเดินตรงไปยังหน้าถนนใหญ่เพื่อเรียกรถแท็กซี่ เมื่อมีรถจอดรับเด็กหนุ่มก็ไม่รอช้ารีบสั่งให้โชเฟอร์ขับตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเสือสักเท่าไหร่

เด็กหนุ่มนัยน์ตาเกือบขาวรีบจ่ายเงินค่าโดยสารแล้วรีบเดินข้ามถนนตรงไปยังบ้านหลังใหญ่หลังนึงที่มีป้ายป้ายบริษัท เจเจมีเดีย จำกัดสลักไว้บนประตูรั้วบานสูงเลยศีรษะ สิงพยายามคลำหากริ่งที่อยู่หน้าบ้านเพื่อเรียกให้คนในบ้านออกมารับแขกไม่ได้รับเชิญ เขารออยู่ไม่นานก็มีชายคนนึงที่มีกลิ่นน้ำหอมฉุน ๆ เดินมาต้องรับเขาแบบเป็นกันเอง

“มาหาใครครับ?”

สิงหันไปมองตามทางของเสียงก่อนจะถามหาใครคนนึงที่เขาต้องการเจอตัวอย่างเร่งด่วน “เอ่อ ผมมาหาคุณเจเจครับ ไม่ทราบว่าคุณเจเจอยู่รึเปล่าครับ”

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ?”

“ผมชื่อสิงครับ”

“ขอพบเจด้วยเรื่องอะไรครับ?” ชายหนุ่มยังไม่วางใจถามย้ำไปอีก

“เอ่อ…บูชา…”

“อ๋อ! เรื่องมูเตลูของไอเจ เข้ามาก่อนครับเดี๋ยวผมไปตามมันให้” ชายหนุ่มที่รอบกายตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมแบรนด์เนมสุดฉุนจูงมือสิงให้เดินตามเขาเข้าไปในบ้าน ชายคนนั้นให้สิงนั่งรอที่โต๊ะรับแขกก่อนจะเดินหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน

เด็กหนุ่มสัมผัสพิเศษรออยู่ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ สองเสียงกำลังเดินเข้ามาใกล้ ฝีเท้าที่เบากว่าเป็นของชายหนุ่มคนเดิมส่วนฝีเท้าที่หนักกว่าเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งไปทั่วตัวจนสิ่งต้องยกมือขึ้นมาป้องจมูกเอาไว้ตามสัญชาตญาณ

“คุณเป็นใครครับ” ดวงตาของสิงเบิกโตขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายในห้วงความฝันกล่าวทักทายอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่

“เอ่อ…ผมชื่อสิงครับ”

“เพื่อนผมบอกว่าคุณมาเรื่องของบูชา แต่ผมไม่เคยเจอคุณมากับอาจารย์เลย คุณเป็นใครครับ”

 

“คุณกำลังจะตายนะครับ คุณเจเจ”