"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์ โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์

“เจ้าหน้าที่ที่ผมส่งไปสลบไม่ได้สติ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลครับ”

 

ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ภายในห้องทำงานส่วนตัวของสารวัตรหนุ่ม แขกคนพี่มองหน้าคู่สนทนาด้วยความตกใจ ส่วนคนน้องได้แต่นั่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยินจนคำถามหลากหลายที่เตรียมมาถูกกลืนหายลงท้องไปจนหมด

“สิงรู้ได้ยังไงว่าคุณเจเจจะเสียชีวิต” นี้เป็นสิ่งเดียวในตอนนี้ก็ว่าได้ที่ปราปอยากจะรู้มากที่สุด หากจะบอกว่าเรื่องเพรียวเป็นเรื่องบังเอิญก็อาจจะเป็นไปได้ แต่คงไม่มีใครเดาถูกได้ถึงสองครั้งติด 

คำถามของนายตำรวจยศใหญ่ทำให้สิงกลอกตาไปมาด้วยความลังเล “ผมบอกไปแล้วไงครับ ว่าต่อให้ผมพูดไปสารวัตรก็ไม่เชื่อผมอยู่ดี”

ปราปถอนหายใจเสียงหนัก “ใช้ที่คุณเคยบอกผมว่าจากสิ่งที่มองไม่เห็นรึเปล่า?” ปราปถามเสียงเรียบ

อินที่นั่งอยู่ตรงกลางค่อย ๆ หันไปมองคนน้องที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าตึงเครียดจนคิ้วหนาผูกกันเป็นปมใหญ่อยู่กลางหน้าผาก แต่ก็ทำเพียงแค่มองโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

“...”

“สิง เรื่องนี้สำคัญมากน่ะ ถ้าผลการชันสูตรของคุณเจเจออกมาแล้วมันเหมือนกับของคุณเสือและคุณเพรียว นั้นหมายความว่าพี่ชายของคุณคือหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง และคุณคงรู้ว่ามันร้ายแรงมากแค่ไหน”

“ดะ...เดี๋ยวนะครับสารวัตร” อินพูดแทรกด้วยเสียงตะกุกตะกัก ตอนนี้เขารู้สึกสับสนมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนสมองของเขาหยุดการประมวลผลไปชั่วครู่ “ไอเสือถูกฆาตกรรมจริง ๆ เหรอครับ?”

“ตอนนี้ผมยังไม่มั่นใจ แต่คิดว่าใช้ครับ”

“อะไรทำให้คุณคิดแบบนั้นครับ?”

“ผมเพิ่งได้รายงานการชันสูตรจากนิติเวชเมื่อช่วงค่ำของเมื่อวานครับ สาเหตุการเสียชีวิตของคุณเสือและคุณเพรียวเหมือนกัน แต่สิ่งทำให้เรายังสรุปไม่ได้ว่าเป็นการฆาตกรรมหรือการฆ่าตัวตายเพราะสภาพศพของทั้งคู่ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้ายหรือการต่อสู้”

“ถ้างั้นสาเหตุการตายเกิดจากอะไรครับ?”

“เราเจอของบางอย่างที่ไม่ควรอยู่ในร่างกายของทั้งคู่ครับ ตอนนี้เรากำลังรอผลแล็บอยู่ แพทย์ชันสูตรคิดว่ามันเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตครับ” ปราปหันไปตอบคำถามของอินก่อนจะหันมาถามคำถามที่ค้างคาเอาไว้กับเด็กหนุ่มตาขาว “ทีนี้คุณจะตอบผมได้รึยังคุณสิง ว่าคุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเขากำลังจะตาย”

สิงก้มหน้าต่ำพลางชั่งน้ำหนักในใจถึงการฝ่าฝืนคำสั่งของพี่ชายผู้ล่วงลับ เพราะตั้งแต่สิงได้รับคำขาดจากพี่ชายเขาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ใช้เพราะกลัวคนอื่นมองว่าเขาบ้าแต่เขาไม่อยากให้เสือต้องเดือดร้อนจนกลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน “...”

ในระหว่างที่สิงกำลังนั่งคิดไม่ตกจู่ ๆ บ่าของเขาก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาจากการสัมผัสด้วยฝ่ามือเรียวยาวของคนพี่ “เรื่องนั้นใช้ไหม?”

สิงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจบนแปลกใจ ไม่คิดว่าอินจะยังจำเรื่องนี้ได้ “เอ่อ...พี่อินรู้เหรอครับ”

“อือ กูจำได้...ว่าแต่มึงยังได้ยินอยู่อีกเหรอ?” 

สิงพยักหน้าตอบ “ได้ยินมาตลอดครับ”

อินทำสีหน้าหนักใจก่อนจะตบบ่าน้องเบา ๆ แล้วหันมาเจรจาเรื่องนี้กับปราปด้วยตัวเอง “มันอาจจะฟังดูเพี้ยน ๆ แต่ผมอยากให้สารวัตรลองเปิดใจฟังดูก่อนจะได้ไหมครับ”

หัวคิ้วเข้าขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะค่อยปรับสีหน้าให้เป็นปกติตามเดิม “ครับ”

“สิงมันได้ยินเสียงวิญญาณครับ”

ปราปไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้จากปากของคนตรงหน้า เขาจ้องหมอหน้าอินอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสลับไปมองหน้าเด็กหนุ่มตัวต้นเรื่อง “คุณอินไม่ได้อำผมเล่นใช่ไหมครับ”

“ผมบอกแล้วไงครับ ว่ามันอาจจะฟังดูเพี้ยน ๆ ส่วนเรื่องเชื่อหรือไม่เชื่อก็ขึ้นอยู่กับสารวัตรแล้วละครับ”

“แล้วคุณอินเชื่อเหรอครับ?!”

“ครับ เพราะตั้งแต่รู้จักมันมา สิงไม่เคยโกหกผมแม้แต่ครั้งเดียว” อินตอบโดยไม่เว้นช่องไฟและยังพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำหนึ่งเพื่อย้ำชัดในจุดยืนของตัวเอง สองเพื่อแสดงให้ปราปเห็นว่าเขาไม่ได้คิดจะล้อเล่นกับเรื่องการตายของเพื่อนสนิท

ปราปนั่งประมวลผลคำพูดของร่างโปร่งตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน จริงอยู่ว่าเขาสนใจดาราหนุ่มหน้าคมที่นั่งอยู่ตรงหน้าแต่คำตอบของอีกฝ่ายดูจะทำให้เขาคล้อยตามด้วยยากไปเสียหน่อย จากวิสัยเดิมที่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์และโลกหลังความตาย “คุณอินครับ ถ้าผมเชื่อว่า… วิญญาณเป็นคนบอกเรื่องนี้กับสิง แต่ศาลคงไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้หรอกนะครับ”

“เรื่องนั้นผมรู้ครับ แต่สิงก็ได้ตอบคำถามของสารวัตรอย่างตรงไปตรงมาแล้ว”

บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความเงียบก่อนจะถูกทำลายด้วยลูกน้องคนสนิทที่ถือถาดเครื่องดื่มเข้ามาอย่างไม่รู้จังหวะ หมวดเมฆที่เพิ่งเดินเข้ามาพบกับบรรยากาศอันน่าอึดอัดก็ทำตัวไม่ถูก กรอกสายตามองคนทั้งสามอยู่อึดใจนึงก่อนจะทำลายความเงียบด้วยการนำเสนอของในมือจนเกินราคา “ดื่มกาแฟหอม ๆ กันก่อนดีกว่าครับ รับรองตื่นยันเย็น แฮ่ ๆ” 

หลังจากเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ทุกคนเสร็จเมฆก็เดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามอิน “คุยกันไปถึงไหนแล้วครับ”

“คุณอินกับสิงพอจะทราบไหมครับ ว่าพอจะมีอะไรเป็นสาเหตุให้คุณเสือคิดฆ่าตัวตายบ้างไหม?” ปราปพูดเปลี่ยนเรื่อง

“ไอเสือมันเป็นโรคเครียดไม่น่าจะถึงขั้นซึมเศร้า ผมเลยไม่คิดว่าคนอย่างมันจะคิดฆ่าตัวตาย แล้วอีกอย่างไอ้สิงก็ยังอยู่มันคงไม่ทิ้งให้คนที่มันรักและหวงที่สุดในชีวิตอยู่คนเดียวหรอกครับ”

“แต่คุณเสืออาจจะมีเรื่องเครียดจนอาจเป็นสาเหตุให้เขาคิดสั้นก็ได้นะครับ” ปราปแย้ง

“ก็อาจจะมีครับ แต่มันไม่คิดฆ่าตัวตายแน่นอนเพราะผมกับมันเรามีสัญญาระหว่างกัน”

“สัญญาอะไรเหรอครับ?”

“สัญญาว่าถ้ามันตายก่อนผม ผมจะจับไอสิงทำเมีย”

“ห๊ะ?!” เสียงร้องลั่นห้องด้วยความตกใจของนายตำรวจสองคนไม่ได้ทำให้อินสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย คงจะมีแต่หนุ่มน้อยวัยขบเผาะที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ที่ใบหน้า ลำคอ และใบหูกำลังเห่อร้อนจนขึ้นสีแดงเถือก

“ต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” อินหันไปเอียงคอถามนายตำรวจทั้งสองนายด้วยใบหน้ายียวน

“เอ่อ... ก็...” ปราปถึงกับพูดไม่ออก ถึงจะแอบรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจอยู่บ้างแต่ความตกตะลึงมันดันมีมากกว่า ใครจะไปคิดว่าสามีแห่งชาติแท้จริงแล้วเป็นคนแบบนี้...หน้าด้าน

“จะจับน้องชายเพื่อนสนิททำเมียเลยเหรอครับคุณอิน” เป็นหมวดเมฆที่ถามขึ้นก่อน

“ก็ไม่เห็นแปลกตรงไหนนิครับ อีกอย่างผมแค่ขู่เพื่อนของผมเท่านั้น”

ปราปที่ได้ยินประโยคหลังก็ค่อยหายใจหายคอคล่องขึ้นก่อนจะเอ่ยปากถามต่อด้วยความสงสัยตามสัญชาตญาณนักสืบ “ทำไมต้องขู่ด้วยละครับ?”

“คนที่ไอเสือห่วงที่สุดในชีวิตคือน้องชายหัวแก้วหัวแหวน มันหวงมากจนถึงขั้นมาขอให้ผมช่วยดูแลสิงต่อถ้ามันเป็นอะไรไป ผมเลยขู่มันกลับไปว่าถ้ามันตายก่อนผม ผมจะจับไอเสือทำเมีย คนที่หวงน้องจนขึ้นหัวแบบไอเสือ มีเหรอจะยอมให้ผมเคลมน้องมัน เพราะฉะนั้นยังไงมันก็ไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์” 

“คุณอินคิดว่าแค่เรื่องคำขู่ก็จะทำให้คุณไม่ฆ่าตัวตายแล้วเหรอครับ”

“ไม่หรอกครับ ผมก็ขู่มันออกบ่อย กวนตีนมันทุกครั้งที่เจอหน้า มันคงชินแล้ว แต่ที่ผมพูดเรื่องนี้ให้ฟังก็เพื่อจะยืนยันกับสารวัตรว่าไอเสือมันไม่ยอมทิ้งให้น้องชายมันให้อยู่คนเดียวหรอกครับ หากสารวัตรสืบข้อมูลของไอเสืออีกหน่อยก็จะรู้ว่ามันยอมทำทุกอย่างได้เพื่อไอสิง และมันทำแบบนั้นมาตลอด”

“แล้วพอจะรู้ไหมครับว่าทำไมคุณเสือถึงฝากฝังคุณสิงกับคุณอินแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่คุณเสือก็ดูแข็งแรงดี”

“หึ มันพูดออกบ่อยครับ คล้ายพวกย้ำคิดย้ำทำ ยิ่งช่วงหลัง ๆ ที่มันมีปัญหากับแฟนมันยิ่งพูดบ่อยจนผมรำคาญ”

“ถ้าอย่างงั้น นอกจากคุณไมเคิลแล้ว คุณเสือมีคู่อริที่ไหนอีกบ้างครับ?” 

“เท่าที่ผมรู้ก็ไม่มีแล้วครับ แต่ไอไมเคิลก็ไม่ได้นับเป็นคู่อรินะครับ เพราะมีแต่มันที่ดิ้นพล่านอยู่คนเดียว ไอเสือไม่เห็นจะไปต่อล้อต่อเถียงอะไรกับมันเลย”

“คุณเสือเคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใครบ้างไหมครับ?”

อินนิ่งเงียบไปชั่วครู่พลางนั่งนึกเรื่องราวต่าง ๆ ของเพื่อนรักก่อนจะหันไปถามน้องชายของมันแทน “พี่มึงเคยต่อยตีกับใครบ้างไหมไอสิง?”

“สิงว่าไม่น่าจะมีนะครับ”

“เออกูก็คิดงั้นพี่มึงแม่งอ่อน! กูบอกมันหลายรอบละให้เปลี่ยนชื่อเป็นแมว”

สิงยกยิ้มอ่อน “ถ้าพี่เสือเป็นแมวแล้วสิงละครับ”

“หมาไง ไอเด็กหมายักษ์!”

สองพี่น้องหัวเราะร่วนจนลืมนายตำรวจสองคนที่นั่งมองทั้งคู่ตาปริบ ๆ

ปราปนั่งมองอินกับสิงหยอกเย้ากันต่อหน้าต่อตา ในใจรู้สึกคันยุบยิบแปลก ๆ “ถ้าไม่มีทั้งเหตุให้ฆ่าตัวตายและไม่มีการทะเลาะวิวาท งั้นคงต้องมุ่งไปที่การฆาตกรรม” ไม่รู้ทำไมถึงไม่อยากมองภาพตรงหน้า ปราปเลยหันไปคุยกับลูกน้องที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แทน

“คงต้องเป็นแบบนั้นครับสารวัตร”

“แต่ว่า...” เสียงของอินเรียกความสนใจของนายตำรวจทั้งสองจากการวิเคราะห์รูปคดี

“มีอะไรเหรอครับคุณอิน?” ปราปรีบหันกลับไปถามร่างโปร่ง

“ผมไม่มั่นใจเหมือนกันนะครับ แต่เมื่อช่วงหลายเดือนก่อนผมเห็นมันมีรอยแผลเหมือนโดนใครทำร้ายมา มันบอกผมว่ามันหกล้มแต่ผมดูยังไงมันก็รอยถูกต่อยตีมาชัด ๆ”

“จำวันเวลาแน่ชัดได้ไหมครับ?”

อินส่ายหน้ารัว “จำไม่ได้หรอกครับ แต่ที่แน่ ๆ มันเกิดขึ้นก่อนที่ไอเสือจะเซื่องซึมไปพักใหญ่ ๆ ผมกับพี่เจตเลยคิดว่ามันน่าจะมีปัญหากับแฟน ก็เป็นช่วงนั่นแหละครับที่มันฝากฝังน้องมันกับผมบ่อยจนผมรำคาญ”

“หมายถึงถูกคนรักทำร้ายเหรอครับ?”

“เอาจริง ๆ มันเป็นแค่การอนุมานเท่านั้นครับ ไอเสือมันบ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกพวกผมเลยคิดกันไปเอง”

“แล้วอะไรทำให้คุณอินคิดว่ารอยแผลพวกนั้นเกิดจากการถูกทำร้ายละครับ?”

“ผมเห็นรอยฟกช้ำเล็ก ๆ บนแขนทั้งสองข้างที่โผล่ออกมาจากเสื้อที่มันสวม ผมดูแล้วไม่น่าจะเป็นรอยที่เกิดจากการหกล้ม แต่แผลมันไม่ใหญ่มากผมเลยไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรมันมาก”

“เป็นไปตามที่สารวัตรสงสัยเลยนะครับ” หมวดเมฆที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ พูดแทรกขึ้น “ตอนนี้เหมือนทุกอย่างจะชี้ไปที่คนรักของคุณเสือนะครับ”

“ใช้ เราต้องเร่งหาตัวมันให้เจอ”

ในช่วงที่ปราปกำลังคุยเรื่องคดีกับเมฆอยู่ สิงก็เอ่ยปากถามแทรกขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ไม่อยากจะปล่อยผ่านความอยากรู้อยากเห็นนี้ไป “เอ่อ… ผมขอถามเรื่องคดีคุณเพรียวหน่อยได้ไหมครับสารวัตร”

ปราปละความสนใจจากลูกน้องก่อนจะหันมามองตามเสียงของเด็กหนุ่ม “อย่างที่ผมบอกรายงานการชันสูตรของพี่ชายคุณและคุณเพรียวไม่แตกต่างกัน นอกจากนั้นสภาพสถานที่เกิดเหตุก็แทบจะเหมือนกันราวกับก๊อปวาง มันเลยทำให้เราสงสัยว่าสองคดีนี้อาจเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง แต่เราก็ยังไม่สามารถสรุปคดีแบบนั้นได้”

 

วันที่พบศพเพรียว

 

ปราปเดินเข้าไปในห้องรับรองที่จุ๊บแจงกำลังนั่งรอให้ปากคำอยู่เธอนั่งสั่นขาด้วยสีหน้าและท่าทางกระวนกระวายใจ “สวัสดีครับคุณจุ๊บแจง ถ้าคุณยังไม่โอเค เราเลื่อนการให้ปากคำไปก่อนได้นะครับ”

เธอฝืนยิ้มให้ปราป “ไม่เป็นไรค่ะฉันไหว แค่ยังตกใจไม่หาย”

“ถ้าไม่ไหวบอกผมได้นะครับ ไม่ต้องกดดันตัวเอง” ปราปพูดย้ำอีกรอบเพราะเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เพิ่งเจอกับสถานการณ์แล้วร้ายกับคนใกล้ตัว คงเป็นเรื่องยากในการทำใจให้สงบ

“ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตบันทึกเสียงในขณะที่เราพูดคุยกันนะครับ” ปราปเอ่ยปากขอตามระเบียบและได้รับการอนุมัติจากอีกฝ่าย จึงเริ่มกดอัดเสียงจากในโทรศัพท์มือถือเครื่องเดิม

“ช่วงเวลาที่คุณจุ๊บแจงพบศพของคุณเพรียวเป็นช่วงเวลาประมาณกี่โมงครับ”

“ช่วงเช้าประมาณหกโมงกว่า เพรียวมีงานตอนแปดโมง เลยให้ฉันมารับคะ”

“ก่อนที่คุณเพรียวจะเสียชีวิต ไม่ทราบว่าคุณเพรียวอยู่ที่ไหน พอจะรู้ไหมครับ”

“เมื่อวานเพรียวไม่มีงานค่ะ แต่เรามีประชุมกันช่วงหกโมงเย็นเกี่ยวกับงานวันนี้ ส่วนช่วงก่อนหน้านั้นฉันไม่ทราบว่าเพรียวไปไหน”

“ประชุมเสร็จช่วงกี่โมงครับ”

“ประมาณสองทุ่มค่ะ”

“ยังไงผมรบกวนคุณจุ๊บแจงช่วยส่งตารางงานของคุณเพรียวให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

“ได้คะ” จุ๊บแจงพยักหน้ารับปราปจึงส่งนามบัตรของตัวเองไปให้เธอก่อนจะเริ่มสอบปากคำต่อ

“ตามที่คุณจุ๊บแจงบอกว่าคุณเพรียวอยู่บ้านคนเดียว แล้วคุณเพรียวไม่มีคนรักเหรอครับ?”

“พอจะรู้จักชื่อ เพรียวมันเคยหลุดปากพูดชื่อแฟนมัน แต่ไม่เคยเจอกันเลย”

“ชื่ออะไรเหรอครับ?”

“นนท์ค่ะ ส่วนเรื่องอื่น ฉันไม่ทราบเลย เพรียวมันไม่อยากบอก ส่วนฉันก็ไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว เราเลยไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันเลย”

“แล้วคุณเพรียวคบกับแฟนคนนี้มานานรึยังคับ?”

“เพรียวคบกันแฟนก่อนที่ฉันจะเข้ามาเป็นผู้จัดการของมันอีกค่ะ ฉันรู้เพราะมันเผลอหลุดปากพูดออกมา”

“คุณจุ๊บแจงเข้ามาทำงานกับคุณเพรียวเมื่อไหร่ครับ?”

“ประมาณปีกว่าแล้วค่ะ ตั้งแต่ที่มันเริ่มดังส่วนก่อนหน้านั้นมันรับงานเอง”

“ช่วงนี้คุณเพรียวทำอะไรแปลกไปจากเดิมบ้างไหมครับหรือคุณเพรียวมีปัญหาอะไรกับใครบ้างไหม?”

“ไอเพรียวมันแปลกของมันตั้งแต่แรกแล้วค่ะ มันเป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ทำงานเสร็จก็กลับ แยกย้าย ส่วนเรื่องปัญหาก็มีปกติในหมู่พริตตี้แหละคะ ผู้หญิงสวย ๆ รวมตัวกันพอมีคนนึงโดดเด่นขึ้นมาก็อิจฉานินทากันเป็นเรื่องปกติ”

“มีใครที่มีปัญหากับคุณเพรียวบ้างครับ พอจะบอกชื่อได้ไหม?”

“ถ้าคนอิจฉานินทาก็เยอะแยะไปค่ะ แต่ถ้าจะออกตัวแรงก็มีไม่กี่คนคะ มีน้ำฝนกับเบญที่คอยเขม่นกันตลอด”

“มีปัญหาเรื่องอะไรกันเหรอครับ?”

“สองคนนั้นเคยเป็นตัวท็อปของวงการพริตตี้มาก่อน ตอนแรกน้ำฝนก็มีปัญหากับเบญ พอต่อมาเพรียวมันดังขึ้นมาสองคนนั้นเลยรวมตัวกันเขม่นไอเพรียวแทน อารมณ์ศัตรูของศัตรูคือเพื่อนอะไรประมาณนี้ค่ะ”

“ทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหนครับ?”

“ก็เขม่นกันปกติแหละคะ เคยจะลงไม้ลงมือกัน แต่มีคนมาเห็นซะก่อนเรื่องเลยไม่เลยเถิด ส่วนจะฆ่าแกงกันนั้นฉันว่าไม่น่าจะถึงขั้นนั้น”

“คุณเพรียวอยู่บ้านหลังนั้นคนเดียวตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

“ก่อนที่ฉันจะเข้ามาทำงานกับมัน ยายมันเสียช่วงก่อนที่มันจะดังไม่นาน”

“แล้วพ่อกับแม่ของคุณเพรียวละครับ”

“พ่อกับแม่หย่าร้างกันไปตั้งแต่เพรียวมันยังเด็ก ตอนแรกมันอยู่บ้านหลังนั้นกับแม่แล้วก็ยายค่ะ แม่เสียหลังจากหย่ากับพ่อได้สองสามปี”

“คุณเพรียวได้ติดต่อพ่อบ้างไหมครับ?”

“ไม่เลยค่ะ”

“งั้นผมขออีกคำถามนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเพรียวมีโรคประจำตัวหรือต้องกินยาอะไรเป็นประจำรึเปล่าครับ?”

“มีค่ะ เพรียวเป็นโรคซึมเศร้าต้องกินยาตามที่หมอสั่งเป็นประจำ นอกจากนั้นก็มีพวกอาหารเสริมความงาม”

“ขอบคุณมากครับ ถ้ามีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมสามารถติดต่อเข้ามาที่เบอร์ของผมได้ตลอดเลยนะครับ”

“ได้ค่ะ” 

หลังจากการสอบปากคำปราปก็สั่งให้เมฆไปส่งจุ๊บแจงที่รถและแอบกระซิบกำชับให้ลูกน้องสังเกตอาการของจุ๊บแจงก่อนจะปล่อยเธอกลับบ้าน เพราะจากที่เขาสังเกตเธอยังมีอาการผวาอยู่บ้าง

 

 

ปราปเดินกลับเข้ามาในสน. ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดหลังจากเดินไปส่งสองพี่น้องที่มาให้ปากคำที่ลานจอดรถก่อนจะเดินมาเจอเมฆที่หน้าห้องรับแจ้งความ

“สารวัตรเป็นอะไรรึเปล่าครับ” เมฆถามหัวหน้าหนุ่มด้วยความเป็นห่วง สีหน้าปกติของปราปก็ถือว่าเป็นคนที่ดูจริงจังมากอยู่แล้วยิ่งทำหน้าเครียดเข้าไปอีกยิ่งทำให้คนที่อยู่รอบ ๆ แทบจะไม่มีใครอยากเข้าใกล้ คงมีแค่ลูกน้องคนสนิทเท่านั้นที่ชินชาไปซะแล้ว

“ไม่เป็นไร คดีเจเจไปถึงไหนแล้ว?”

“ทีมกำลังตรวจดูภาพกล้องวงจรปิดอยู่ครับ ส่วนพยานคนอื่น ๆ ติดต่อไปแล้วครับ อีกสักพักคงจะเข้ามาให้ปากคำ”

“แล้วพวกนั้นฟื้นรึยัง หมอได้บอกไหมว่าเป็นอะไร?”

“ยังเลยครับ ส่วนอาการเบื้องต้นน่าจะเกิดจากการพักผ่อนน้อย เลยหมดสติไปครับ”

“พักผ่อนน้อยเนี่ยนะ?!” ปราปถามเสียงสูง ใครจะไปเชื่อว่าลูกน้องของเขาจะพักผ่อนน้อย ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองน่าจะพักผ่อนน้อยกว่ายังเดินลอยไปลอยมาอยู่ได้

เมฆได้แต่ยกยิ้มแห้ง “ครับ”

“อือ มีอะไรก็ไปตามกูที่ห้อง กูขอพักสายตาหน่อย”

“ครับสารวัตร”

 

ปราปเดินกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนโซฟายาวรับแขก เตรียมพร้อมสำหรับการงีบหลับสักชั่วโมงสองชั่วโมงเพื่อให้ตัวเองกลับมากระปรี้กระเปร่าในการทำงานต่อ แต่ในขณะที่เปลือกตากำลังจะปิดจู่ ๆ มารที่เรียกว่าเพื่อนสนิทก็มาผจญเสียก่อน

ปราปถอนหายใจอย่างเหลืออดแต่ก็ยอมยกโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหูเผื่อเพื่อนของเขาจะมีข้อมูลเกี่ยวกับคดี “ฮัลโหล”

[ไอเชี้ยปราป มึงส่งของมาเยอะอะไรขนาดนั้นวะ กะจะไม่ให้กูนอนเลยดิ]

“หึ มึงก็โทรหากู กะจะไม่ให้กูนอนเลยดิ๊”

[เออ! กูไม่ได้นอน มึงก็ไม่ต้องนอน]

“กูตื่นละ แล้วคือมึงโทรมาเพื่อบ่นกู แค่นี้?!”

[ถ้าแค่บ่นมึง กูไม่โทรมาหรอก กูไปด่ามึงที่สน. ง่ายกว่า]

ปราปยกยิ้มมุมปาก “แล้วโทรมาทำเหี้ยไร”

[เรื่องสำคัญไว้ค่อยพูดทีหลัง แต่ที่กูอยากรู้คือมึงไปเจอศพนายธีรภพได้ไง]

“ผีบอกกู”

[ไอสัส เอาดีดีดิ๊]

“ไอเด็กสิงมันโทรมาบอกกูว่าเจเจจะตายให้กูส่งคนไปช่วยดูหน่อยกูเลยส่งคนไปดูให้ กูบอกให้พวกมันเฝ้ากันถึงแค่เที่ยงคืนตีหนึ่งแล้วก่อนกลับให้โทรมารายงานกู แต่เสือกไม่มีใครโทรมาสักคนกูโทรหาแม่งก็ไม่มีใครรับ กูเลยไปหาพวกมันที่บ้านไอคุณเจเจแล้วเจอแม่งนอนตายห่าอยู่กลางบ้าน”

[ผีบอกมึงจริงด้วย]

“แล้วเรื่องสำคัญที่มึงพูดคือเรื่องไรวะ”

[กูชันสูตรคุณเพรียวเสร็จแล้ว]

“กูรู้แล้ว มึงบอกกูแล้ว”

[เรื่องนั้นกูบอกแล้ว แต่มีอีกเรื่องที่กูเพิ่งได้ผลจากแล็บ]

“เรื่องไรวะ”

[เป็นไปตามที่กูคิด เส้นผมที่อยู่ในกระเพาะของคุณเสือกับคุณเพรียวมีสารพิษชนิดเดียวกันเคลือบอยู่ มันเป็นเหตุที่ทำให้พวกเค้าตาย]

“ตอนนี้ก็เหลือแค่ว่าพวกเค้ากินเข้าไปเอง หรือมีคนทำให้พวกเค้ากิน”

[ยังไม่หมด]

“มีเหี้ยไรอีก”

[ขี้ผึ้งบนริมฝีปากของคุณเสือกับคุณเพรียวเป็นสารชนิดเดียวกัน]

“...”

[ไอเชี้ยปราป! ตายแล้วเหรอวะ] รามเห็นเพื่อนเงียบหายไปจึงหาเรื่องพูดประชด

“มึงรีบชันสูตรคุณเจเจด่วนเลย” ปราปไม่สนใจคำพูดประชดประชันของเพื่อนเพราะข้อมูลที่ได้รับมาดึงดูดความสนใจของเขาไปจนหมดและตอนนี้เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะงีบหลับแล้วเหมือนกัน

[เออ กูรู้แล้ว ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวกูโทรไปบอก]

 

ตลอดทางสิงสัมผัสได้ถึงพลังอำมหิตบางอย่างจากอินที่หันมามองจ้องหน้าเขาสลับกับการมองถนนโดยไม่พูดไม่จา เด็กหนุ่มรู้ดีว่านี้ไม่ใช้สถานการณ์ปกติแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงจึงได้แต่นั่งนิ่งมาตลอดทางจนตัวเกร็งจนตะคริวขึ้น

รถสปอร์ตสีดำด้านคันงามจดสนิทลงที่ลานจอดรถหน้าบ้าน แทนที่คนในรถจะลุกออกไปแต่คนขับกลับนั่งนิ่งดวงตามองตรงออกไปนอกรถคนน้องที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เองก็ไม่กล้าลุกทำได้แค่นั่งนิ่งไม่ไหวติงตามเดิม

อินพ้นลมหายใจออกจากปากเสียงหนักเพื่อบอกให้คนน้องรู้ว่าเขาไม่พอใจอย่างมากแถมตอนนี้เขายังต้องพยายามกดข่มอารมณ์คุกรุ่นเอาไว้เพราะต่อให้โมโหแค่ไหนเขาก็ไม่อยากจะตวาดใส่น้อง อินค่อย ๆ หันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าเรียบเฉย นั่งมองจ้องหน้าสิงอยู่เกือบห้านาทีโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา คนน้องที่เห็นแบบนั้นก็ประหม่าทำตัวไม่ถูก ภาพหมายักษ์ทำหน้าหงอยหูลู่หางตกตรงหน้าทำให้อินอารมณ์เย็นลงไปได้เล็กน้อย

“ไอสิง ก่อนหน้านี้กูไม่อยากจะคาดคั้นมึงนะเพราะเห็นว่ามึงยังช็อกกับเรื่องไอเสือ แต่มึงดูสิ่งที่เกิดขึ้นดิ มันเริ่มไปกันใหญ่แล้ว กูถามจริงมึงจะบอกกูเมื่อไหร่วะ ไอสิ่งที่อยู่ในใจมึงอะ”

“พี่อิน” สิงเรียกชื่อพี่เสียงอ่อย

“กูไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้มึงปิดปากเงียบขนาดนั้น แต่กูว่าตอนนี้มันไม่ใช้เวลาที่จะเงียบ มันคือเวลาที่มึงควรพูดทุกอย่าง และช่วยกันหาทางออก มึงเข้าใจที่กูพูดไหม?”

สิงนั่งก้มหน้าคางชิดอกอย่างรู้สึกผิด

“มึงกลัวอะไรวะสิง มึงกลัวกูจะไม่เชื่อมึงหรือเพราะไอเสือสั่งไม่ให้มึงพูด มึงบอกกูได้ป่ะกูขอร้อง”

“ผม… ผมกลัว…”

“มึงกลัวอะไรมึงบอกกู หรือที่มึงไม่บอกกูเพราะคิดว่ากูจะปกป้องมึงไม่ได้เหรอ?”

“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับพี่อิน” สิงพูดสวนขึ้นมาทันควัน

“ถ้างั้นมึงกลัวอะไร มึงบอกกู” อินถามอย่างชัดถ้อยชัดคำเพื่อย้ำชัดให้น้องรู้ถึงความตั้งใจ

“ผมกลัวว่าพี่และคนอื่น ๆ จะเป็นอันตราย ถ้าเราเข้าไปยุ่งเรื่องนี้”

“พี่มึงโดนฆ่าตายใช้ไหม?” อินเลือกที่จะถามออกไปตรง ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

สิงพยักหน้า

อินถอนหายใจยาวเหยียดพลางยกมือขึ้นมาเสยผมที่ปรกหน้าอยู่ “ใคร?”

“ผมไม่รู้ครับ”

“ลงไปรอกูในบ้าน เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว”

อินออกคำสั่งพลางชี้นิ้วไปตรงทางเข้าบ้านทำให้สิงพยักหน้ารับก่อนจะรีบเดินลงไปจากรถแล้วไปนั่งรอคนพี่บนโซฟาหนังอย่างสงบเสงี่ยม รอให้อินได้สงบสติอารมณ์และมีเวลาส่วนตัวสักพัก

หลังจากสิงลุกออกไปจากรถอินก็หยิบโทรศัพท์โทรตรงไปหาผู้จัดการส่วนตัวทันที

“พี่เจต อินขอพักงานช่วงนี้ก่อนได้ไหม ผมมีเรื่องต้องจัดการ”

[ฉันยกเลิกงานช่วงนี้ของแกไปหมดแล้วน่ะ]

“ผมหมายถึงของวันนี้แล้วก็พรุ่งนี้ด้วยพี่”

[เดี๋ยวพี่ขอดูตารางก่อนว่าพอจะยกเลิกได้ไหม ว่าแต่แกมีเรื่องอะไรรึเปล่า?]

“เรื่องไอเสือไอสิงนี้แหละพี่เจต พี่ช่วยผมหน่อยเหอะ”

[เออ ๆ มันก็พอยกเลิกได้ แต่ฉันขอลองคุยดูก่อนแล้วกัน ได้เรื่องยังไงแล้วจะโทรไปบอก]

“ขอบคุณครับพี่ งั้นแค่นี้ก่อนนะ”

วางสายจากผู้จัดการส่วนตัวก็เดินลงจากรถก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสติแล้วค่อยเดินตามเข้าบ้านไป อินเดินไปนั่งข้างเด็กหนุ่มก่อนจะเริ่มซักถามอีกครั้ง

“สิง มึงเป็นเด็กดีมาตลอดกูรักมึงเหมือนมึงเป็นน้องชายแท้ ๆ ของกู เพราะฉะนั้นมีอะไรปิดปังกูอยู่กูขอให้มึงพูดกับกูตรง ๆ มึงเข้าใจไหม”

คำพูดย้ำชัดสถานะของเขาในใจอินทำให้สิงรู้สึกเจ็บแปล๊บ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินแต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังไม่ชินชาสักที เด็กหนุ่มทำได้แค่ปลอบใจตัวเองและคิดว่าสถานที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ดีมากพอแล้วสำหรับเขา “ต่อให้เรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ฟังดูเพ้อเจ้อเหรอครับ”

“ใช้ กูเชื่อมึงทุกคำที่มึงพูดเลย” อินตอบกลับด้วยเสียงหนักแน่นอย่างทันควันโดยไม่ต้องเว้นช่วงให้คิดอะไร เพราะความเชื่อมั่นและความเชื่อใจของเขาที่มีต้องคงตรงหน้ามันก็ไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย

“พี่อินจะไม่มองว่าสิงเพ้อเจ้อเหมือนสารวัตรปราปเหรอครับ”

“กูรู้จักมึงมากี่ปีสิง กูเชื่อใจมึงพอ ๆ กับที่กูเชื่อตัวเองนั่นแหละ”

สิงคลี่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันหน้าแทบทุกซี่ “อย่างที่พี่อินพูดกับสารวัตรนั่นแหละครับ ผมได้ยินเสียงวิญญาณ”

“มึงได้ยินจริง ๆ ซินะ”

“พี่อินรู้เหรอครับ?”

“มึงเคยบอกกูนิ จำไม่ได้เหรอ”

 

เด็กหนุ่มกางเกงน้ำเงินเดินเข้ามาในกองถ่ายพร้อมกับเจตที่เพิ่งปลีกตัวออกไปรับมาจากหน้าโรงเรียนเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน

สิงในชุดนักเรียนเดินยิ้มร่าเข้ามาในกองถ่ายอย่างร่าเริงตามนิสัยของเจ้าตัวพลางยกมือไหว้ผู้คนในกองถ่ายที่กล่าวทักทายเขาอย่างคนคุ้นเคย

เด็กหนุ่มได้กลิ่นเย็นสดชื่นที่เป็นกลิ่นน้ำหอมประจำของเพื่อนสนิทพี่ชายรีบเอ่ยปากทักทายก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างออดอ้อน “พี่อิน”

อินเงยหน้าขึ้นมาจากบทละครในมือก่อนจะรับเด็กน้อยเข้ามาในอ้อมแขน “เรียนเป็นไงบ้างวะ”

“สนุกดีครับ พี่อินเหนื่อยไหม วันนี้ถ่ายเยอะรึเปล่า”

“ก็ถ่ายเท่าพี่มึงนะแหละ” อินเอ่ยปากตอบเด็กหนุ่มก่อนจะเหลือบไปมองคนพี่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทางหางตาแล้วยกยิ้มมุมปากอย่างยียวนกวนอารมณ์ “เชื่อกูยังว่าไอสิงมันรักกูมากกว่า มึงอะหมาหัวเน่าแล้วไอเสือ”

เสือยกยิ้มมุมปากโดยไม่ได้ละสายตาไปจากบทซีรีส์ “หึ เพราะแกตามใจมันไง มันเลยชอบแกมากกว่าเรา”

“สิงก็ชอบพี่เสือนะครับพี่อิน” เด็กน้อยในกางเกงน้ำเงินรีบแก้ตัวทันควันกลัวพี่ชายแท้ ๆ น้อยใจ

“แต่มึงทักกูก่อนมันอีกนะ” อินแกล้งเย้าแหย่น้องเล่นตามประสา

“ก็สิงได้กลิ่นพี่อินก่อนพี่เสือนิครับ อีกอย่างสิงพูดกับพี่อินเสร็จ สิงก็จะถามพี่เสือเหมือนกัน”

“มึงเป็นหมาเหรอไอสิง”

สิงแสร้งทำหน้ายู่ “ก็สิงมองไม่เห็นนิครับ สิงก็ต้องฟัง ไม่ก็ดมเอาซิครับ”

“เวร! น้องมึงดึงดราม่าใส่กูแล้วไง” อินหันไปฟ้องคนกลาง

“พอกันทั้งคู่ เสือมานั่งนี้มา แกก็หยุดแกล้งไอสิงได้แล้วรู้อยู่ว่ามันขี้น้อยใจ” เสือใช้วิธีจบปัญหาโดยการแยกตัวปัญหาทั้งสองออกจากกัน ข้อมือของสิงถูกลากให้เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ถัดจากเก้าแคมป์ปิ้งของเสือ

สิงสูดจมูกไปมาจนเกิดเสียงดังฟุดฟิด คนที่สนุกกับการแกล้งคนอื่นอย่างอินได้ยินจึงเห็นช่องให้ได้แกล้งเด็กน้อยอีกรอบ “หมาสิงได้กลิ่นอะไรละคราวนี้ หรืออยากคาบห่วงไหม กูโยนให้”

สิงหันไปทำหน้างอใส่ต้นเสียง “สิงไม่ใช้หมานะครับพี่อิน!”

“อ้าว! เหรอวะ?!กูเห็นมึงดมจังเลย ก็นึกว่าเป็นหมา”

“สิงแค่ได้กลิ่นอะไรเหม็น ๆ เลยพยายามดมหาที่มาเท่านั้นครับ”

“นิสัยหมาชัด ๆ ยังบอกไม่ใช้หมาอีก”

“พี่อิน!” สิงร้องท้วง พลางทำหน้ายู่อย่างกับเด็กน้อยถูกขัดใจ

“โอย! วันนี้จะได้อ่านบทไหมเนี่ย! แกเลิกล้อมันได้แล้วอิน ไปต่อบทกับเราดีกว่า” เสือที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กน้อยที่ชอบถูกแกล้งกับคนที่ชอบแกล้งคนอื่นจนติดเป็นนิสัยถึงกับหมดความอดทน รีบลุกขึ้นยืนแล้วลากอินออกไปต่อบทเพื่อเข้าฉากต่อไป

“หวงน้องจังวะ แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็ไม่ได้” อินโอนครวญในขณะที่ถูกลากออกไปต่อบท

สิงจึงได้แต่นั่งอยู่คนเดียวอย่างเหงา ๆ เพราะคนอื่นแยกย้ายกันไปทำงานกันหมด ทำให้เขาต้องหาอะไรแก้เบื่อโดยการหยิบการบ้านขึ้นมาทำฆ่าเวลา

“ฮิ่ ฮิ่ ฮิ่” 

เสียงหัวเราะโหยหวนของผู้หญิงคนนึงดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลสิงจึงวางปากกาสไตลัส [1] ในมือและรีบหันไปตามทางของเสียง แต่กลับพบเพียงความว่าเปล่าเขาจึงพยายามเงี่ยหูฟังอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบอะไรจึงคิดว่าแค่หูฝาดไปเองก่อนจะหันกลับมาสนใจการบ้านตรงหน้าต่อ

“เสือ หอม อยากกิน”

เสียงของผู้หญิงคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง สิงรีบหันขวับไปตามทางของเสียงแต่ไม่พบอะไรตามเคย เพียงแต่ในครั้งนี้เขามั่นใจว่าไม่ได้หูฝาดเพราะเขาได้ยินชื่อของพี่ชายจากปากของเธอชัดเจน มันทำให้เด็กหนุ่มนั่งไม่ติดพื้นเพราะเหมือนจะรู้ได้จากสัญชาตญาณของตัวเองแล้วว่าเสียงนั้นมาจากอะไร สิงเลิกสนใจการบ้านแล้วรีบเดินตามหาพี่ชายด้วยความร้อนใจ

“พี่อิน เห็นพี่เสือไหมครับ” สิงเดินมาเรื่อย ๆ ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคย จึงรีบเดินไปถามหาพี่ชายจากเพื่อนสนิทที่หายออกมาด้วยกัน

“นี้มึงดมกลิ่นมาถึงนี้เลยเหรอ จมูกหมาของจริง ฮ่า ๆ” อินหัวเราะออกมาอย่างชอบใจแต่เด็กหนุ่มกลับไม่เล่นด้วย ซ้ำยังทำสีหน้าไม่สู้ดี ความคิดที่อยากจะแกล้งคนตรงหน้าจึงถูกเจ้าตัวกลืนหายลงท้องไปทันที “ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้นวะสิง มีอะไรรึเปล่า?”

“พี่อินเห็นพี่สิงไหมครับ”

“มันไปเข้าห้องน้ำ แล้วมึงเป็นไรเนี่ย ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ” เด็กหนุ่มทำท่าจะก้าวไปหาพี่ชายแต่ถูกอินสกัดเอาไว้ก่อน “เดี๋ยว ๆ รอตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวมันก็มา” สิงยอมทำตามที่อินเสนอแต่ก็ยังไม่วางใจ ยืนรอคนพี่ด้วยการชะเง้อมองหาทุก ๆ ห้าวินาทีด้วยความกระวนกระวายใจ

“เห้ย! ใจเย็นดิวะ มีอะไร บอกกูดิ๊”

“ผม… ผมได้ยินเสียงผะ” 

“สิง!” เสือที่เพิ่งทำธุระเสร็จเดินออกมาเห็นน้องชายพูดอะไรบางอย่างด้วยท่าทางกระวนกระวายใจกับเพื่อนสนิท จึงรีบเดินไปดูน้องด้วยความเป็นห่วงแต่ไม่คิดว่าสิ่งที่สิงพูดกับอินจะเป็นเรื่องที่เขากลัวที่สุด จึงรีบตะโกนดักทางน้องเอาไว้ก่อน

สิงได้ยินเสียงเรียกของพี่ชายดังขึ้นโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แต่พอตั้งสติได้ก็รีบพุ่งเข้าไปหาพี่ชายทันที “พี่เสือ พี่เสือ น้องได้ยิน”

“หยุด! เลิกพูดเรื่องนั้นได้แล้วสิง” เสือเค้นเสียงด้วยพยายามที่จะไม่ให้สิงพูดถึงเรื่องที่เขาไม่ต้องการได้ยิน

“แต่สิง…” สีหน้าของเด็กหนุ่มหม่นหมองลงทันทีที่ถูกดุแต่อีกใจก็แอบเป็นห่วง

“มึงได้ยินอะไรวะสิง แล้วมึงไปว่ามันทำไม มันแค่เป็นห่วงมึง” อินมองสองพี่น้องด้วยความงุนงงเพราะดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องที่เขาใจกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง

“ไม่มีอะไร มึงซ้อมบทต่อเหอะ เดี๋ยวกูไปคุยกับสิงก่อน”

“แต่พี่เสือ สิงได้ยินจริง ๆ นะ ผี…”

“หยุด!!” เสือตะโกนใส่น้องเสียงดังจนคนในกองที่อยู่แถวนั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว “หยุดพูดเรื่องนี้ อย่าพูดเรื่องเพ้อเจ้ออะไรพวกนั้นอีก” 

น้ำตาหยดใส่ ๆ ไหลอาบแก้มเด็กน้อยที่เพิ่งถูกพี่ชายดุไปหมาด ๆ จนคนในกองอดสงสารไม่ได้

“ไอเสือ มึงจะตะคอกใส่ไอ้สิงทำไมวะ พูดกันดี ๆ ก็ได้” อินที่ต่อให้ชอบแกล้งเด็กหนุ่มมากแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยอยากเห็นน้ำตาของมันก็ออกโรงปกป้องน้องทันที ร่างโปร่งเดินเข้าไปแยกสองพี่น้องออกจากกันเพื่อให้ต่างคนต่างสงบสติอารมณ์

 

“พี่อินรู้เหรอครับว่าสิงจะพูดอะไร” สิงเลิกคิ้วถาม

“กูพอปะติดปะต่อได้ อีกอย่างตอนเด็ก ๆ มึงชอบพูดคนเดียว ตอนที่ไม่มีใครอยู่กับมึง พอโตมากูก็ยังแอบเห็นมึงพูดอยู่บ้างแต่ไม่บ่อย”

“ผมได้ยินมาตั้งแต่ช่วงที่ตาบอดแล้วละครับ”

“ช่วงห้าหกขวบอะนะ?”

“ครับ”

“เกิดมาพร้อมพรสวรรค์เหรอวะ โคตรเท่!”

สิงยิ้มอ่อน “พรสวรรค์เหรอครับ แต่ผมว่าคงไม่มีใครอยากได้พรสวรรค์แบบนี้มั้งครับ”

“ก็จริง แล้วไงมึงได้ยินเสียงผีแล้วยังไงต่อ”

“จริง ๆ แล้วบ้านของสิงเป็นร่างทรงครูหมอโนราครับ แต่พี่เสือไม่ยอมรับเรื่องนี้และสั่งห้ามไม่ให้ผมพูดเรื่องนี้กับใคร รวมไปถึงเรื่องที่ผมได้ยินเสียงวิญญาณด้วย”

“ร่างทรงเทพอะไรพวกนี้อะเหรอ”

“คนทางใต้เชื่อว่าเป็นวิญญาณของผีตายายครับ”

“อารมณ์บรรพบุรุษปกปักรักษาลูกหลานว่างั้นเหอะ”

สิงพยักหน้า “ใช้ครับ ครอบครัวของสิงรับร่างทรงสืบต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว แต่มาสิ้นสุดที่รุ่นพ่อเพราะปู่ไม่ยอมให้พ่อรับ”

“แล้วไงวะ ไม่รับแล้วเกิดอะไรขึ้น”

“สิงก็ไม่มั่นใจครับ แต่ทวดเชื่อว่าที่พ่อประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตก็เป็นเพราะปู่ไม่ยอมให้พ่อรับ”

“แล้วทำไมผีตายายถึงส่งไปถึงพ่อมึง ไม่ใช้ปู่มึงละ”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่เท่าที่ผมรู้คือผีตายายเป็นคนเลือกครับว่าจะเป็นใคร เราไม่มีทางรู้ได้เลยจนกว่าท่านจะมาหาเรา”

“อ่า ~ แล้วไง มึงจะบอกว่าที่มึงมีพร… ได้ยินเสียงผี มาจากการที่ผีตายายเลือกมึงเหรอ”

“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”

“แล้วไง ตอนนี้มึงคือร่างทรงเหรอ”

สิงส่ายหน้า “ไม่ใช้ครับ สิงยังไม่ได้รับ พี่เสือสั่งห้ามไม่ให้สิงรับ”

“อาว แล้วมึงได้ยินเสียงผีได้ไง”

“อาจเป็นเพราะผีตายายก็ได้ครับ”

“หึ! ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี มองไม่เห็นคนเลยมองไม่เห็นผีไปด้วย แล้วไอเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับการตายของไอเสือยังไง”

อินเจาะเข้าตรงประเด็นโดยไม่มีการเกริ่นนำเด็กหนุ่มจึงมีท่าทีกระอักกระอ่วนราวกับน้ำท่วมปาก “พี่อินจำเรื่องเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่พี่เสือเข้าไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงในสังกัดของพี่เจตได้ไหมครับ”

“จำได้ดิ วันนั้นกูก็อยู่ด้วย”

“เย็นวันนั้น ตอนที่พวกพี่กำลังฉลองให้กับพี่เสือ มันเป็นครั้งแรกที่ผมได้กลิ่นแปลก ๆ จากตัวพี่เสือครับ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นกลิ่นอะไร แต่มันเหม็นเน่าเหมือนซากสัตว์ตาย ตอนนั้นผมคิดว่าจมูกผมคงเพี้ยนไป แต่หลังจากนั้นผมก็ยังได้กลิ่นนี้จากตัวพี่เสือมาตลอด สิงเลยตัดสินใจเข้าไปถามพี่เสือตรง ๆ แต่พี่เสือกลับบอกผมว่าไม่มีไรแล้วให้ผมเลิกยุ่งเรื่องของเขา”

“ตอนที่กูแซวว่ามึงเป็นหมา ตอนนั้นมึงพยายามดมกลิ่นพี่มึงเหรอ”

“ครับ แต่พี่อินชอบแกล้งสิง หาว่าสิงเป็นหมา”

“เอ้า! ใครจะไปรู้วะ อีกอย่างคนแบบกูไม่แกล้งคนอื่นนอนไม่หลับโว้ย! แล้วไงต่อมึงยังได้กลิ่นนั้นอยู่อีกไหม?” 

“สิงได้กลิ่นแปลก ๆ นั้นมาตลอดครับ แต่วันนั้นเป็นวันแรกที่สิงได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนึงอยู่ข้าง ๆ พี่เสือ”

“เสียงผี?!”

“ตอนนั้นสิงไม่รู้หรอกครับแค่เดาเอา แต่ตอนนี้… ใช้ครับ”

“สัส! ขนลุกวะ”

“หลังจากที่มีปากเสียงกับพี่เสือครั้งนั้นสิงก็ไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นอีกเลยครับ จนกระทั่งเมื่อหลายเดือนก่อนสิงได้กลิ่นมันอีกครั้งที่ห้องของพี่เสือ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่สิงทะเลาะกับพี่เสือหนักจนถูกสั่งห้ามไม่ไห้เข้าไปในห้องนอนของพี่เค้าอีก”

“นี้อย่าบอกกูนะว่าไอเสือเอาผีเข้าบ้านอะ”

สิงพยักหน้าตอบช้า ๆ

“ไอสัส! ของดี ๆ มีไม่เอาเข้าไปวะ”

“วันที่พี่เสือตาย สิงได้ยินเสียงผู้หญิงคนนึงครับแต่เหมือนจะเป็นคนละเสียงกันกับเสียงที่ผมเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใครแต่ผมมั่นใจว่าเธอไม่ใช้คนครับ”

“แล้วพี่มึงพาผีเข้าบ้านทำไม มันยังสติดีอยู่รึเปล่าวะ?!”

“สิงคิดว่าพี่เสือต้องเข้าไปยุ่งกับคุณไสยมนต์ดำครับ”

“มึงรู้ได้ไง”

“ผีตายายครับ”

“ไหนมึงบอกมึงไม่ได้รับไง”

“ไม่ได้รับ แต่สิงไม่ได้ปฏิเสธนิครับ”

“เออ! ดี พี่น้องคู่นี้ กูจะบ้า!” อินเหนื่อยใจกับสองพี่น้องเสือสิงที่คนพี่เอาผีเข้าบ้านส่วนคนน้องเอาผีเข้าตัว ... ‘หมดคำซิเว้า’ คงเป็นคำพูดที่อธิบายความในใจของอินได้ตอนนี้

การแสดงนับเป็นศิลปะนาฏศิลป์อย่างหนึ่งที่มีครู คนในวงการบันเทิงจึงเชื่อถือเรื่องพวกนี้กันมา เขานับเป็นส่วนหนึ่งในวงการบันเทิงที่ถูกเป่าหูเรื่องนี้มาตั้งแต่เข้าวงการ ถึงเขาจะไม่เคยเจอแต่ก็ไม่เคยคิดจะลบหลู่เลยสักครั้งแถมยังจามผู้จัดการส่วนตัวไปมูเตลูตามคำชวนของอีกฝ่ายอยู่เป็นประจำ “แล้วไง คือ…เค้าช่วยมึงอยู่เหรอ”

สิงยิ้มแห้ง “เรียกว่าช่วยก็ได้มั้งครับ ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียง จะไม่ใช้การบอกให้ไปช่วย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการบอกกล่าวเฉย ๆ”

“แล้วเค้าไม่ได้บอกเรื่องของไอเสือเหรอ”

“บอกเรื่องที่พี่เสือเข้าไปยุ่งกับเรื่องคุณไสยครับ ผมเลยไปเตือนพี่เสือแล้วจบด้วยการโดนด่า แต่น่าแปลกนะครับเพราะก่อนที่คุณเพรียวกับคุณเจเจจะตายท่านยังมาบอกผมอยู่เลย แต่ตอนที่พี่เสือตายท่านไม่บอกอะไรผมเลย”

“บอกไปหลายรอบแล้วไง แต่พี่มึงไม่ฟัง พี่มึงดื้อจะตาย” อินพูดประชด

“แต่วันที่พี่เสือจะตายท่านไม่ได้บอกผมนะครับ”

“แต่วันนั้นมึงทะเลาะกันไม่ใช้เหรอ สารวัตรบอกกูว่ามึงร้องไห้ตอนที่เดินกลับขึ้นห้อง”

สิงส่ายหน้า “เปล่าหรอกครับผมไม่ได้ทะเลาะกับพี่เสือ ผมแค่ฝันถึงพ่อกับแม่เลยลงไปคุยกับพี่เสือเท่านั้นครับ”

“หึ อ้อนเหรอมึง”

สิงยกยิ้มพลางยกมือขึ้นมาเกาท้ายทอยแก้เขิน “เปล่านะครับ”

“มึงมันขี้อ้อน ขี้งอน แถมยังน้อยใจเก่งฉิบหาย จะไม่ใช้ได้ยังไง”

สิงทำหน้ายู่ที่ถูกคนพี่สาธยายนิสัยส่วนตัวของเขาอย่างรู้ทัน อินเห็นแบบนั้นก็ทำลอยหน้าลอยตาแบบไม่ใส่ใจก่อนจะวกกลับมาพูดเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสือต่อ

“แต่การที่มึงฝันถึงพ่อกับแม่ อาจหมายถึงสัญญาณบอกเหตุก็ได้นะ”

“เหตุที่พี่เสือจะตายใช่ไหมครับ”

“อือ ว่าแต่คุณเพรียวกับคุณเจเจก็ข้องเกี่ยวกับเรื่องคุณไสยมนต์ดำด้วยเหรอวะ”

“คงเป็นอย่างนั้นครับ เพราะตอนที่ผมไปหาคุณเจเจที่บ้าน ผมได้กลิ่นเหม็นเน่าแถมยังได้ยินเสียงผู้หญิงที่อยู่ในบ้านพี่เสือเหมือนกันด้วย”

“งั้นหมายความว่าฆาตกรต้องเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ งานหินเลยมึง จะไปหาพวกเล่นของได้ที่ไหนละ มันไม่ใช่ว่าเสิร์ชกูเกิ้ลแล้วจะเจอสักหน่อย”

“ลองเริ่มจากบ้านพี่เสือไหมครับ น่าจะเจออะไรบางอย่าง”

“ตำรวจค้นบ้านมึงทุกซอกทุกมุม ถ้าเจออะไรเค้าต้องมาถามมึงแล้วป่ะ?!”

“แต่ของพวกนั้น น่าจะถูกซ่อนในที่ที่มิดชิด ที่ที่พี่เสือคิดว่าน่าจะมีแค่เค้าเท่านั้นที่รู้”

“พูดเหมือนมึงรู้”

“สิงไม่รู้หรอกครับ แต่…”

“ถามผี” 


 


[1] ปากกาสำหรับผู้พิการทางสายตา ใช้งานควบคู่กับสเลทที่เป็นแผ่นกระดานใช้สำหรับใส่กระดาษเพื่อเขียนอักษรเบรลล์