"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์

เนื้อหา

กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม

คนตรงหน้าเลือกที่จะอยู่ข้างเขาเสมอแม้ว่าเรื่องนั้นจะไม่น่าเชื่อถือมากแค่ไหนก็ตามและมันเป็นแบบนี้มาโดยตลอด มันจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงแอบรักชายคนนี้มานานหลายปีโดยไม่คิดจะปริปากบอกความในใจเพราะกลัวว่าสุดท้ายแล้วเขาจะสูญเสียคนตรงหน้าไป

“ขอบคุณนะครับพี่อิน ที่เชื่อสิง”

อินระบายยิ้มอ่อนโยนให้น้องถึงแม้ว่ามันจะมองไม่เห็นก็ตาม “ไม่เชื่อมึงแล้วกูจะไปเชื่อใครได้อีก กูบอกแล้วว่ากูเชื่อมึงพอ ๆ กับที่กูเชื่อตัวเองนั่นแหละ”

“พี่อินปะติดปะต่อยังไงคับ ถึงได้รู้ว่าสิงได้ยินเสียงอะไร”

“ก็ไม่ยากน่ะ จะมีใครบอกว่ามีคนกำลังจะตายได้ถูกต้องทั้งสองครั้งวะ หรือต่อให้มึงเป็นหมอดูตาทิพย์แค่ไหนแม่งก็ไม่รู้ชัดขนาดว่าคนที่กำลังจะตายชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน บวกกับตอนเด็กมึงชอบทำตัวแปลก ๆ บางทีก็ชอบคุยคนเดียว กูสารภาพเลยนะกูเคยมีความคิดจะพามึงไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กด้วยแต่ไอเสือไม่ยอม แม่งดื้อ!”

“ผมว่าใครก็ตามที่ทำให้ผมมีความสามารถพวกนี้คงผิดหวังในตัวผมแน่ ๆ เพราะผมช่วยใครไม่ได้เลย” สิงพูดด้วยสีหน้าหม่นหมองพลางนึกถึงเหยื่ออีกสองคนที่เขาไม่สามารถช่วยชีวิตได้ถึงแม้จะได้รับคำเตือนมาแล้วก็ตาม

อินเขยิบเข้าไปนั่งประชิดตัวน้องก่อนจะใช้แขนข้างนึงโอบไหล่กว้างของมันเอาไว้ “ถึงกูจะมีพ่อที่บวชไม่สึกแต่กูก็ไม่ได้เป็นคนเคร่งศาสนาอะไร แถมบางทียังเป็นมารศาสนาหน่อย ๆ ด้วยก็ตาม แต่อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดนะเว้ย ต่อให้มึงจะได้ยินเสียงผีอีกสักกี่ตัว แต่ถ้าพวกเค้าจะตายยังไงก็ต้องตาย”

สิงคลี่ยิ้มบางพลางเอ่ยปากตอบรับคำสอนของอิน “ครับ” ทุกครั้งที่เขาเศร้ามักจะได้รับคำปลอบโยนจากคนตรงหน้าตลอดเวลา แม้คำพูดจะฟังดูแข็งไปหน่อยแต่อย่างน้อยมันก็บ่งบอกถึงตัวตนของอินที่เป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง

ไม่เหมือนกับเขาเลยแม้สักเศษเสี้ยวเดียว

“งั้นกูขอถามอะไรมึงหน่อยได้ไหม?”

“อะไรเหรอครับ”

“คุณไสยมนต์ดำที่ไอเสือมันเข้าไปเกี่ยวข้อง มันเกี่ยวกับอะไรมึงพอจะรู้ไหม ทำไมมันต้องถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยวะ”

“มนต์ดำมีข้อแลกเปลี่ยนเสมอครับพี่อิน ไม่ว่าพี่เสือจะต้องแลกกับอะไร มันเป็นสิ่งที่พี่เสือยอมรับมันด้วยตัวเอง การใช้มนต์ดำเป็นสิ่งที่ผิด สุดท้ายแล้วไม่ว่ามันจะจบลงยังไง สิ่งที่พี่เสือทำมันจะส่งผลถึงชีวิตของเขา ไม่มากก็น้อยครับ”

“แล้วมึงไปรู้เรื่องพวกนี้มาได้ยังไง”

“ผมได้รับจดหมายจากทวดครับ เลยรู้ว่าเสียงที่ผมได้ยินบ่อย ๆ คือเสียงของผีตายาย หลังจากนั้นก็ศึกษาเรื่องพวกนี้จากทวดมาเรื่อย ๆ ครับ”

“ไอเสือกับมึงไม่เคยพูดถึงเรื่องทวดเลย กูรู้ตอนที่มึงบอกเมื่อหลายปีก่อน ว่าแต่ตอนนี้ท่านเป็นไงบ้างวะ?”

“ท่านเสียไปแล้วครับ”

“เห้ย! แล้วทำไมมึงไม่บอกกูวะ?”

“พี่เสือไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นครับ”

อินถอนหายใจเสียงหนักพลางมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าหน่ายเหนื่อย “ไอเสือแม่งดื้อไม่มีใครเกิน กูไม่รู้หรอกว่าพวกมึงทะเลาะอะไรกัน แต่ถึงขั้นไม่ไปร่วมงานศพมันไม่เกินไปหน่อยเหรอวะ?”

“เท่าที่สิงรู้ก็มีแค่เรื่องรับครูหมอโนรานี้แหละครับ นอกจากนั้นพี่เสือไม่เคยบอกอะไรสิงเลย”

“มึงตาบอดตอนห้าขวบหลังจากพ่อกับแม่มึงตายไปไม่นาน เป็นไปได้ไหมวะว่าที่มึงเป็นแบบนี้เพราะไอเสือไม่ยอมให้มึงรับผีตายาย”

“ผมไม่รู้หรอกครับพี่อิน แต่ถ้ามันทำให้พี่เสือสบายใจ สิงก็พร้อมจะทำ”

“มึงหัดคิดถึงตัวเองก่อนคนอื่นบ้างก็ได้น่ะไอสิง โดยเฉพาะตอนนี้ ตอนที่ไอเสือไม่อยู่กับมึงแล้ว และกูก็ไม่คิดจะบังคับให้มึงทำอะไรในสิ่งที่มึงไม่อยากทำ”

“ครับ” อินนั่งมองสีหน้าของเด็กหนุ่มก็พอจะรู้ว่ามันตอบรับไปอย่างนั้น มันไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในเรื่องนี้ เพราะถ้ามันจะเปลี่ยนมันคงเปลี่ยนไปนานแล้ว

“ว่าแต่มึงกลัวไหมวะสิง ไอเสียงที่มึงได้ยินอะ”

“ต่อให้ผมจะได้ยินมันมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีครั้งไหนที่ผมไม่กลัวหรอกครับ โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินเสียงของวิญญาณตนอื่นที่ไม่ใช้ผีตายาย ผมแค่พยายามทำใจดีสู้เสือก็เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วขาผมสั่นจนฉี่จะราดแล้วครับ”

คำพูดติดตลกที่พยายามทำให้คนพี่คลายเครียดประสบผลสำเร็จ อินหลุดขำในลำคอออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากพูดกับคนน้อง “ไว้จบเรื่องนี้เมื่อไหร่ กูจะพามึงไปอาบน้ำมนต์สักเก้าสิบเก้าวัด”

“พี่อินไม่อาบด้วยกันเหรอครับ”

อินยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าตัวเองพลางเอ่ยปากถามอย่างประชดประชัน “ให้กูอาบ?! หึ! แดกเลยเหอะ!” 

อินก็ยังเป็นอินอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักแค่ไหนก็ยังทำให้คนอื่นยิ้มได้เสมอ เสียงหัวเราะของสองคนพี่น้องดังขึ้นมาทำลายบรรยากาศอันเงียบงันภายในบ้านไปจนหมด ก่อนที่เสียงเรียกเข้าสมาร์ตโฟนของดาราหนุ่มดังแทรกขึ้นมา

“ว่าไงพี่เจต”

[สารวัตรโทรมาบอกว่าผลชันสูตรศพไอเสือออกแล้ว ส่วนศพก็เข้าไปรับได้เลย แกจะไปกับฉันไหมหรือยังไง?]

อินเหลือบสายตาขึ้นมามองสิงครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปคุยกับผู้จัดการส่วนตัวต่อ “พี่เจตจะเข้าไปกี่โมง”

[ฉันเคลียร์คิวให้แกอยู่เนี่ย เสร็จแล้วก็จะเข้าไปเลย ดีหน่อยฉันจะได้มีเหตุผลไปบอกลูกค้าได้] เจตพูดด้วยน้ำเสียงติดประชดประชันที่เด็กในสังกัดทิ้งระเบิดเอาไว้ให้เขาแก้ ส่วนตัวเองก็นอนตีพุงสบายอยู่ที่บ้าน

“โกหกไม่ดีนะพี่เจต”

[งั้นแกจะกลับมาทำงานไหม ฉันจะได้ไม่ต้องโกหกใคร]

“โห่ ผมบอกพี่แล้วไงว่าวันนี้ผมไม่ว่างจริง ๆ มีธุระด่วน”

[ด่วนห่าไร ทำไมถึงมีเวลาว่างไปรับศพไอเสือกับฉัน]

“เอ้า! ไอเสือก็เพื่อนผมไหมล่ะ”

[เออ แล้วแต่แกละกัน อย่าไปถึงก่อนฉันละ ฉันไม่รู้ว่ากองทัพนักข่าวจะรอทึ้งพวกแกอยู่ที่นั่นรึเปล่า]

“รับทราบครับ”

[งั้นแค่นี้แหละ ไว้เจอกัน]

 

อินวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะก่อนจะปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด แล้วค่อยหันมาพูดกับสิง “ไปรับพี่มึงกัน”

ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นกลางอกรู้สึกกระตุกวูบ ความรู้สึกหน่วง ๆ เกิดขึ้นในใจของสิง เขาไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้ยังไงเพราะตั้งแต่เสือจากไปสิงยังไม่มีโอกาสได้เจอหน้าหรือเอ่ยคำลากับพี่ชายคนเดียวของเขาเลยสักคำ

“ครับพี่อิน” สิงพยายามทำสีหน้าให้เรียบเฉยเพื่อเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้พลางเอ่ยปากตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

แค่เห็นก็รู้ว่าสิงรู้สึกยังไงเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพียงแต่หลังจากที่เสือตายไปทุกอย่างมันวุ่นวายจนพวกเขาไม่มีเวลาได้เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย “งั้นไปอาบน้ำแต่งตัว เสร็จแล้วจะได้ไปรับพี่มึงกัน”

อินปล่อยให้สิงและตัวเองได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ถึงจะรู้ว่าตอนนี้สิงอาจจะกำลังนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง แต่เขาก็ไม่อยากเข้าไปปลอบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รักไม่ห่วงน้องแต่เพราะน้ำตาที่มันเคยตกใจ มันไหลย้อนกลับออกมาบนใบหน้าของเขาแล้วเหมือนกัน อินทรุดลงกับพื้นในขณะที่เขากำลังเลือกเสื้อผ้าสีดำอยู่ในห้องแต่งตัว น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มเนียนไม่ต่างกับสิงที่กำลังนั่งกอดเขาร้องไห้อยู่ตรงปลายเตียง เสียงสะอื้นของสองคนพี่น้องที่อยู่คนละห้องดังระงมออกมาจนให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง อินและสิงปล่อยให้อารมณ์จมดิ่งลงไปกับความเศร้ากับการจากไปไม่มีวันกลับของเสืออยู่ครู่นึง ก่อนจะเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำแล้วค่อยเดินออกมาเจอกันที่หน้าห้อง

อินที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอนเห็นใบหน้าของสิงขึ้นสีแดงระเรื่อก็พอจะรู้แล้วว่าน้องเองก็แอบร้องไห้มาเหมือนกัน ดีที่สิงตาบอดเลยไม่เห็นว่าใบหน้าของเขาแดงยิ่งกว่าคนน้องเสียอีก

อินจูงมือสิงลงมาที่ครัว ก่อนจะจัดแจงให้น้องนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ครัว “กินอะไรก่อน กูสั่งมาไว้ให้” อินตอบด้วยเสียงอู้อี้ในจมูกจากการร้องไห้มาอย่างหนักเมื่อครู่

“ครับพี่อิน”

สิงรับช้อนและส้อมมาจากมือของคนพี่แล้วลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้า เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแต่อาหารในจานของคนทั้งคู่พร่องไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาหารส่วนที่เหลือถูกใช้เป็นสิ่งของให้สองพี่น้องคู่นี้ใช้ช้อนส้อมเขี่ยไปมาตอนที่จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“อิ่มยัง ไปกันเลยไหม”

“ครับ”

สิงจัดการทำความสะอาดจานชามเสร็จก็เดินตามอินออกไปที่หน้าบ้านก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่อินขับออกมาจากโรงจอดรถ

“มึงโอเคไหมวะ ถ้าไม่ไหว เดี๋ยวกูไปรับไอเสือกับพี่เจตก็ได้นะ”

“ผมไม่เป็นไรครับพี่อิน ผมอยากเจอพี่เสือ”

“โอเค ถ้าไม่ไหวบอกกูนะ” อินพูดก่อนจะยื่นมือไปบีบมือสิงเบา ๆ แล้วค่อยหันกลับไปขับรถเพื่อตรงไปยังสถาบันนิติเวชโดยที่ยังจับมือของสิงไปตลอดทาง

 

เจตที่มาถึงหน้าสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ก่อนเห็นกลุ่มนักข่าวมากมายกำลังยืนออกกันอยู่ที่หน้าทางเข้า จึงรีบกดโทรออกหาความช่วยเหลือจากนายตำรวจเจ้าของคดี รถของเจตขับวนไปเข้าทางด้านหลังที่เป็นช่องทางสำหรับขนส่งขยะทางการแพทย์ก่อนจะเจอหมวดเมฆยืนรอรับอยู่ที่ประตูทางเข้า

“ทางนี้ครับคุณเจต” เมฆเดินนำเจตเข้าไปในตัวอาคารเพื่อตรงไปหาสารวัตรปราปและชายผิวคมเข้มร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปราปเดาจากเสื้อกาวน์ที่สวมใส่แล้วน่าจะเป็นแพทย์ที่ชันสูตรศพของเสือ

“สวัสดีครับ” เจตทักทายนายตำรวจเจ้าของคดีก่อนจะเหลือบไปมองหมอหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แวบนึงแล้วค่อยหันกลับมามองปราปตามเดิมเพราะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างจากสายตาของคนแปลกหน้า 

“สวัสดีครับคุณเจต มาคนเดียวเหรอครับ” ปราปถามพลางชะเง้อมองหาคนที่คาดว่าจะมาด้วยกันแต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา

“อินกับสิงกำลังตามมาครับ ผมมาดูลาดเลาก่อน”

“ลาดเลา?! นี้สถาบันนิติเวชกลายเป็นสนามรบไปแล้วเหรอครับ” หมอหนุ่มที่ยืนจ้องคนตัวเล็กตรงหน้าอยู่นานได้ช่องทำความรู้จักก็ไม่รีรอรีบพูดแทรกเข้ามาทันที

หัวคิ้วของเจตขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วค่อยหันไปตอบคำถามกวน ๆ ไม่รู้จักกาลเทศะของคนร่างสูง “ผมหมายถึงพวกนักข่าวนะครับ”

รามยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางของเจตที่ดูเหมือนแมวหยิ่ง แรกเห็นก็รู้สึกถูกใจเพราะตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีส่วนไหนที่ไม่ตรงสเปก พอยิ่งได้เห็นท่าทางหยิ่ง ๆ ของเจ้าตัวแล้วยิ่งถูกใจเข้าไปใหญ่ “งานหนักเลยนะครับ สวัสดีครับ ผมรองศาสตราจารย์นายแพทย์รามณรงณ์ เรียกหมอรามก็ได้ครับ” รามยื่นมือมาตรงหน้าเจตเพื่อทักทายทำความรู้จักอีกฝ่าย แต่เจ้าแมวหยิ่งกลับเลือกที่จะยกมือไหว้ตามมารยาทไทยพร้อมกับเอ่ยปากแนะนำตัวเองกับอีกฝ่ายแทน

“สวัสดีครับ ผมเจตนา ผู้จัดการส่วนตัวของเสือ”

รามยกยิ้มตอบตามมารยาทพลางวางตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตรงหน้าทั้ง ๆ ที่เนื้อตัวกำลังเต้นอยู่ภายในจากการที่เขาได้เจอสิ่งถูกใจตรงหน้า เพราะอีกฝ่ายคงไม่มีอารมณ์ที่จะพูดคุยกับเขาในเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องของเสือ

ปราปเองก็หันไปหรี่ตามองเพื่อนอย่างรู้ทันแล้วค่อยหันกลับมาปั้นหน้าเรียบเฉยตามเดิม “งั้นเรารอคุณอินก่อน หรือคุณเจตอยากจะฟังผลการชันสูตรก่อนดีครับ”

“ผมว่าเรารออินกับสิงก่อนดีกว่าครับ ยังไงสิงก็เป็นญาติคนเดียวของเสือ เรื่องพวกนี้ควรให้สิงรับรู้เป็นคนแรกจะดีที่สุด”

 

อินและสิงขับรถมาจอดที่ด้านหลังอาคารนิติเวชตามคำบอกของหมวดเมฆโดยมีเจ้าตัวยืนรอรับอยู่ข้าง ๆ รถของเจต

“เชิญทางนี้ครับคุณอิน สิง” เมฆรับบทเป็นฝ่ายต้องรับอีกครั้งโดยการเดินนำสองพี่น้องที่จับมือกันแน่นไปที่หน้าห้องดับจิต

อินเดินจูงมือสิงมาจนถึงหน้าห้องดับจิตที่มีคนอื่น ๆ ยืนรออยู่แล้ว ทันทีที่สายตาของอินเหลือบขึ้นไปเห็นป้ายดับจิตมือทั้งสองข้างก็เกิดสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว

“ไหวไหมวะ” อินหันไปถามสิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเป็นห่วง

“ผมไม่เป็นไรครับพี่อิน”

ระยะก้าวเดินของอินและสิงเหมือนจะช้าลงไปเรื่อย ๆ ระยะทางจากจุดที่เขายืนอยู่กับหน้าประตูห้องดับจิตไม่ห่างกันมาแต่กลับใช้เวลานานกว่าจะเดินไปถึง

“สวัสดีครับสารวัตรปราป สวัสดีครับ…” อินหันไปทักทายทุกคน ก่อนจะหันไปมองหมอหนุ่มผิวคมเข้มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ปราป

“ผมชื่อรามครับ เป็นหมอชันสูตรศพคุณเสือ”

“สวัสดีครับหมอราม”

เจตเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มพลางยกมือลูบลาไหล่น้องเพื่อปลอบโยน “สิง โอเคนะ”

“ครับ พี่เจต”

ปราปเห็นญาติทุกคนมากันครบแล้วก็หันไปพยักหน้าให้รามเริ่มรายงานผลการชันสูตรให้ทุกคนรับทราบ

“ถ้ามาพร้อมกันแล้ว งั้นผมจะอธิบายผลการชันสูตรให้ฟังนะครับ” รามหันไปมองญาติของผู้ตายทุกคนก่อนจะเปิดแฟ้มในมือขึ้นมาอ่านรายงานให้ทุกคนฟัง “ผู้ตายคือคุณศรัทธา อายุ 33 ปี ผลการชันสูตรพบว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากสารพิษที่พบในกระเพาะอาหาร ไม่พบบาดแผลในบริเวณอื่น ๆ ของร่างกาย จากการตรวจสอบสารพิษที่เป็นสาเหตุให้คุณศรัทธาเสียชีวิตมาจากสัตว์มีพิษครับ”

“สัตว์มีพิษเหรอครับ?” เจตถามขึ้นมาด้วยความสงสัยพอ ๆ กับอินและสิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าฉงนไม่ต่างกัน

“ครับ พิษจากสัตว์มีพิษหลายชนิดรวมกันครับ”

“เสือมันกินเข้าไปเองเหรอครับ?” เจตถามอีก

หมอรามส่ายหน้าเป็นคำตอบ “ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ เรื่องนั้นคุณเจตคงต้องถามจากสารวัตรปราปแล้วละครับ” หมอหนุ่มตอบพลางเหลือบสายตาไปมองเพื่อนสนิท

ปราปเห็นแบบนั้นก็รีบหันไปตอบคำถามเจต “เรื่องนั้นเรายังไม่ทราบครับคุณเจต ยังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวน” 

เจตพยักหน้ารับโดยไม่ได้ถามอะไรอีก

เมื่อญาติของผู้ตายทุกคนไม่มีคำถามอะไรเพิ่มเติม รามจึงเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ห้องดับจิตเพื่อให้ญาติมามารับศพ

รามเดินออกมาจากห้องดับจิตเพื่อเชิญให้ทุกคนเข้าไปรับศพเสือ อินที่พยายามทำตัวเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งให้กับอีกสองคนเดินจูงมือเจตและสิงเข้าไปในห้องดับจิต ทันทีที่เท้าเหยียบกรอบประตูกลิ่นฟอร์มาลีนก็โชยเข้ามาจนร่างกายของคนทั้งสามเกิดสั่นเทาขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น ภายในห้องดับจิตเงียบสงบมีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่แว่วมาให้ได้ยินบ้าง ตรงหน้ามีเตียงเหล็กที่มีร่างกายไร้สัญญาณชีพถูกปกคลุมด้วยผ้าดิบสีขาวคลุมเอาไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า

ภาพตรงหน้าทำให้ขาของเจตอ่อนยวบจนเกือบจะล้มพับลงไปบนพื้น แต่ด้วยความเป็นผู้นำเจตถึงได้พยายามกดข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้สิงขวัญเสีย

สิงที่กำลังเดินตามแรงลางจูงของคนพี่ก็ชะงักไปอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลิ่นสารเคมีที่อบอวลอยู่ภายในห้องปิดสนิทไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกหวั่นเกรงได้เท่ากับกลิ่นเหม็นเหม็นเน่าที่โชยมาจากภายในห้อง

มันคือกลิ่นที่เขาสัมผัสได้จากวิญญาณนางรำตนนั้น...

อินหันกลับมามองน้องที่จู่ ๆ ก็หยุดเดินด้วยความเป็นห่วง “มึงไหวรึเปล่าสิง” อินหันมาถามสิงพลางก้าวเข้ามาหาน้องพลางยื่นมือมาซับเหงื่อตรงกรอบหน้า

สิงดึงสติของตัวเองกลับมาจากกลิ่นนั้นก่อนจะหันมาตอบคนพี่ “สิงไม่เป็นไรครับพี่อิน ไม่ต้องเป็นห่วงสิงนะครับ”

“โอเค” ถึงจะไม่วางใจแต่ก็ยอมเชื่อตามที่สิงพูด พอเดินมาถึงหน้าเตียงเหล็ก อินยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นไปเลิกผ้าขาวที่ปรกหน้าออกเพื่อยืนยันตัวตนของร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ผ้าขาวถูกเลิกออกช้า ๆ จนกระทั่งเห็นใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดฝาดของเสือโผล่พ้นผ้าดิบออกมา

ตึง!

เจตถึงกับเข่าอ่อนล้มพับลงไปนั่งกองอยู่บนพื้นห้องพลางยกมือขึ้นมาปิดปังใบหน้าแล้วร้องไห้โฮออกมาเสียงดังลั่นห้องด้วยความเจ็บปวดจนถึงก้นบึ้งของหัวใจจากการสูญเสียเด็กในสังกัดที่เปรียบเสมือนครอบครัวอีกคนนึงของเขา

อินรีบลงไปดูผู้จัดการที่ล้มพับลงไปกองอยู่บนพื้นด้วยอย่างร้อนรนพอ ๆ กับหมอรามที่รีบพุ่งตัวเข้ามาพยุงร่างของเจตเอาไว้

“คุณเจต! ไหวรึเปล่าครับ”

“ฮือ ๆ ไม่! ผมไม่ไหว ทำไมมันไปนอนอยู่ตรงนั้น” เจตเหมือนจะสติหลุดไปแล้ว รามเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหิ้วปีกออกไปจากห้องก่อนจะรีบทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

ในขณะที่ทุกคนกำลังช่วยกันดูแลเจต สิงที่ยืนอยู่ข้างเตียงค่อย ๆ ยื่นมือออกไปคลำร่างของพี่ชายตรงหน้าโดยไม่รู้สึกหวั่นกลัว ฝ่ามือทั้งสองข้างคลำขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับกรอบหน้าของเสือ มือของเขาถึงได้ชะงักไปครู่หนึ่งเพื่อทำใจ ก่อนจะวางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนใบหน้าของเสืออย่างเบามือ ปลายนิ้วของสิงสัมผัสไปตามริมฝีปาก สันจมูก ลากยาวไปจนถึงดวงตาที่ปิดอยู่ทั้งสองข้าง

น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเด็กหนุ่มก่อนที่น้ำตาหยดนั้นจะหยดลงบนใบหน้าของเสือ

“พี่เสือ” สิงเรียกชื่อพี่ชายด้วยภาษาถิ่นบ้านเกิด น้ำเสียงสั่นเครือของคนน้องทำให้อินที่เพิ่งช่วยส่งเจตออกไปนั่งพักนอกห้อง หันกลับมามองด้วยความเป็นห่วง

“สิงมาหาพี่แล้วน่ะ พี่เสือหลบบ้านกับน้องน่ะ”

สิงโน้มใบหน้าของตัวเองเข้าไปใกล้จนหน้าผากของเขาจรดเข้ากับใบหน้าด้านข้างของเสือ ภาพความทรงจำที่เขามีกับพี่ชายย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขามักจะมีเสืออยู่ในเหตุการณ์สำคัญตลอด...

“ออกไป!”

เสียงแหบแห้งคุ้นหูตะโกนแผดเสียงออกมาดังลั่นเรียกความสนใจของสิงจากร่างเย็นเฉียบพี่ชายไปจนหมด แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ภายในห้องจะไม่รับรู้ถึงมันมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาช้า ๆ พลางหันมองตามต้นตอของเสียงพร้อมกับการได้กลิ่นเหม็นที่ส่งกลิ่นแรงมากกว่าเก่า

“ฮิ่ ฮิ่ ฮิ่”

 

เสียงเล็กแหลมหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ดวงตาสีขาวโพลนมองจ้องไปยังใบหน้าซีดที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเหล็ก มุมปากสีม่วงคล้ำยกยิ้มจนเกือบจะถึงใบหู

“ออกไป!!!”

ผีตายายตวาดไล่ผีมโนราห์ตนนั้นอีกครั้งจนประตูหน้าต่างกระจกรอบห้องสั่นไหวก่อนที่วิญญาณของเธอจะสลายหายไปด้วยรอยยิ้มแสยะ

สิงที่ได้ยินเสียงนั้นอยู่คนเดียวรีบยกมือขึ้นมาปิดหูทันควัน อินเห็นท่าไม่ดีจึงรีบก้าวเข้าไปดึงน้องเข้ามาในอ้อมกอดพลางใช้ฝ่ามือเรียวลูบไล้แผ่นหลังเพื่อให้น้องหายสั่นกลัว

“ไม่เป็นไร กูอยู่ตรงนี้” อินพูดปลอบน้องทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังไม่สามารถคิดหาสาเหตุของการสั่นไหวของประตูหน้าต่างได้ พอมองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นจะมีวี่แววของฝนฟ้าคะนองแต่อย่างใด เขาจึงอนุมานเอาว่าน่าจะเกิดจากสิ่งที่เขามองไม่เห็น

สิงกอดตอบด้วยเนื้อตัวสั่นเทาอินจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก “ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว” อินยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องถึงแม้ว่ามันจะสูงกว่าเขาเล็กน้อยก็ตาม

เมื่อกลิ่นเหม็นเน่าค่อย ๆ จางหายไปสิงจึงผละออกจากอ้อมกอดของคนพี่พลางยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้าลวก ๆ “ขอบคุณครับพี่อิน”

“มึงโอเคใช่ไหมวะ”

สิงพยักหน้าพร้อมกับการฝืนยิ้ม “ครับ ผมไหว”

“ไปบอกลาพี่มึงไป เราจะได้พามันไปที่วัด”

สิงพยักหน้าตอบก่อนจะพลิกตัวกลับไปบอกลาเสือ ส่วนอินก็เดินไปช้อนหลังน้องเอาไว้ เผื่อมันจะเป็นลมล้มพับไปเหมือนเจต อินยื่นมือไปจับฝ่ามือเย็นเฉียบของเพื่อนรักเอาไว้พลายเอ่ยคำลาในใจ

‘กูจะไม่บอกลามึงจนกว่ากูจะรู้ว่ามึงตายได้ยังไง เพราะฉะนั้นมึงห้ามไปไหนจนกว่ากูจะลากคอไอเหี้ยนั้นเข้าคุก มึงต้องอยู่ดูแลน้องมึงจนกว่าจะถึงตอนนั้น หลังจากนั้นกูจะดูแลมันต่อจากมึงเองกูสัญญา

อินปล่อยให้สิงได้เอ่ยคำลากับเสือครู่นึงก่อนจะเดินพยุงตัวน้องออกมาจากในห้อง เห็นหมอรามกำลังถือก้านสำลีชุบแอมโมเนียกวัดแกว่งมันไปมา อีกมือยกขึ้นมาพัดวีเพื่อดับร้อนให้กับอีกฝ่าย

เจตลืมตาขึ้นจากความรู้สึกวิงเวียนก่อนที่สายตาจะสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเฮเซลนัทของหมอหนุ่มที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วง “ขอบคุณครับ ผมถือเองก็ได้ครับ”

เสียงแหบพร่าเอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายพร้อมกับการเอื้อมมือขึ้นไปรับแท่งสำลีมาถือเอาไว้เองแต่กลับถูกรามดึงก้านสำลีหนี

“ผมช่วยดีกว่าครับ” ประเมินจากอาการของเจตแล้วเขาสามารถถือก้านสำลีนี้เองได้แน่นอนแต่เขาแค่อยากหาโอกาสใกล้ชิดอีกฝ่ายก็เท่านั้นก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากหมวดเมฆ

“หมวดเมฆ ช่วยหาน้ำหวานให้หน่อยได้ไหม?”

“ได้ครับหมอ”

หมวดเมฆรับคำจบก็เดินออกไป รามจึงหันกลับมาสักถามอาการจากคนไข้หมาด ๆ ของตัวเอง

“รู้สึก เวียนหัวหรือหน้ามืดบ้างไหมครับ?”

เจตพยักหน้า “บ้านหมุนหน่อย ๆ ครับ”

“นอนพักก่อนดีไหมครับ?”

เจตส่ายหน้า “ไม่เป็นไรครับ”

“พี่ไหวรึเปล่าพี่เจต นอนพักดีกว่าไหม?” อินพูดแทรกเพราะเห็นสีหน้าของผู้จัดการส่วนตัวแล้วอยากให้อีกฝ่ายนอนพักตามคำแนะนำของหมอราม

“ไม่เป็นไร พี่ไหว”

อินพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจแต่อย่างน้อยเจตก็มีหมอรามคอยดูแลอยู่ข้าง ๆ จึงไม่เป็นห่วงมากเท่าอาการของคนที่อยู่ข้าง ๆ “แล้วมึงอะ ไหวแน่นะ”

สิงฝืนยกยิ้มเพื่อให้อินคลายกังวล “ผมไม่เป็นไรจริง ๆ ครับพี่อิน”

อินกลอกตามองซ้ายมองขวาก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้แล้วกระซิบถามน้องเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน “เกิดอะไรขึ้นในห้องนั้นใช้ไหม?”

“...ครับ”

อินทำสีหน้าหน่าย ๆ โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหลังจากนั้นก็นั่งรอให้อาการของเจตดีขึ้นแล้วค่อยดำเนินเรื่องนำศพเสือไปทำพิธีทางศาสนา

หมอรามดูแลอาการของเจตจนดีขึ้น ทั้งดมยา ทั้งให้ดื่มน้ำหวานที่วานให้เมฆไปซื้อ ไหนจะอาสาไปติดต่อรถส่งศพที่เจตติดต่อมา นอกจากนั้นยังช่วยคุมงานจนกระทั่งประตูท้ายรถส่งศพปิดลง แล้วออกตัวตรงไปยังสถานที่จัดงาน

“ขอบคุณนะครับหมอราม” เจตพูดพลางคลี่ยิ้มบาง พลางมองสังเกตอาการอีกฝ่ายเพราะเขาเองก็ไม่ได้อินโนเซ้นท์จนดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรเพียงแต่มันไม่ใช้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสานสัมพันธ์ 

รามหันมายกยิ้มให้เจต “ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับผลชันสูตรโทรมาที่เบอร์นี้นะครับ” รามหยิบนามบัตรออกมาส่งให้คนตัวเล็กกว่าตรงหน้า

“ครับ” เจตพูดพลางยื่นมือไปรับนามบัตรมาเก็บเอาไว้

“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ หมอราม สารวัตรปราป แล้วก็...หมวดเมฆ” อินพูดของคุณพลางใช้สายตามองตามลำดับการยืน

“ถ้ามีความคืบหน้าในคดี ผมจะติดต่อไปนะครับ” ปราปตอบ

“ได้ครับ” อินตอบกลับก็พลิกตัวเดินกลับไปที่รถพร้อมกับเจตและสิง แต่ยังเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวจู่ ๆ เสียงเรียกของหมอรามก็ดังทางพวกเขาเอาไว้เสียก่อน

“คุณเจตครับ”

เจตหันกลับไปมองหมอรามพลางเลิกคิ้วถาม

รามก้าวเข้ามาใกล้พลางเอ่ยปากถามอีกฝ่ายอย่างเคอะเขิน ผิดวิสัยหมอหนุ่มสุดมั่น (หน้า) “เอ่อ… ผมขอเบอร์ติดต่อคุณเจตไว้หน่อยได้ไหมครับ”

เจตยกยิ้มกรุ้มกริ่มถึงใบหน้าจะยังซีดเซียวอยู่ก็ตาม “เบอร์ผมเหรอครับ?”

“เอ่อ…คือผมอยากไปร่วมงานศพของคุณเสือนะครับ” ไม่รู้ว่าใครปราปพยศใครกันแน่ เพราะตอนนี้รามรู้สึกเหมือนโดนต้อนจนตัวเองก็หาเรื่องแถ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วเขาอยากได้เบอร์ใครก็แสดงออกไปตรง ๆ อาจเป็นเพราะไม่ใช้สถานการณ์ที่เหมาะสมก็ได้...?!

เบอร์โทรศัพท์ของเจตไม่ได้เป็นความลับอะไรอยู่แล้วเพราะมันเป็นเบอร์ที่เขาใช้ติดต่องานอยู่เป็นประจำ แต่หากรามหมายถึงเบอร์ส่วนตัว...ตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลานั้น “นี้ครับ” เจตหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าก่อนจะยื่นไปให้ราม

“ขอบคุณครับ”

 

เมื่อรถของเจตและอินขับออกไปแล้ว รามค่อยหันมายืนเท้าสะเอวพลางหรี่ตามองเพื่อนราวกับเครื่องจับเท็จ

“เกินอำนาจหน้าที่ไปหน่อยไหม ไอราม”

หมอรามหันมายกยิ้มหน้าบานอย่างไม่รู้สึกรู้สากับคำพูดประชดประชันของเพื่อนสนิท

“ผ่ามาตั้งหลายศพ กูไม่เห็นมึงจะกระตือรือร้นที่จะไปร่วมงานศพใครขนาดนี้มาก่อนเลย”

“หึ! แซวคนอื่นเก่ง มึงก็ไม่ต่างจากกูนักหรอก คดีนี้มึง อิน สุดเลยนิ” รามพูดแซวเพื่อนด้วยการเน้นเสียงหนักเมื่อพูดถึงชื่อของดาราหนุ่มคนนึงที่เพื่อนให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ปราปยักคิ้วพลางยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทางที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เพื่อนแซวเป็นเรื่องจริงไม่มีส่วนไหนผิดเพี้ยนโดยไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด... ถึงได้เป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเลิกคบกันไปนานแล้ว

 

ขบวนรถสามคันขับออกไปจากทางประตูหลังของสถาบันนิติเวช รถคันหน้าสุดคือรถตู้ขนร่างของเสือที่มีสิงนั่งถือรูปถ่ายพี่ชายอยู่ตรงเบาะข้างคนขับ ตามมาด้วยรถตู้ของเจตและปิดท้ายด้วยรถยนต์ส่วนตัวของอิน แต่เมื่อขับมาได้สักพักก็ดูเหมือนจะมีรถของกองทับนักข่าวขับตามมาด้วย ดีที่การจราจรไม่ติดขัดมาก ทำให้ขบวนรถขับมาจนถึงวัดที่จัดงานศพภายในเวลาไม่นาน

เมื่อรถตู้ขนศพขับเข้ามาในบริเวณศาลาจัดพิธี เหล่านักข่าวและแฟนคลับที่รออยู่ก่อนแล้วก็วิ่งกรูกันเข้ามา ทำให้ทีมงานออร์แกนไนซ์เซอร์และทีมรักษาความปลอดภัยที่เจตจ้างมาต้องรีบวิ่งมาตั้งแถวเพื่อกันคนออกจากบริเวณการเคลื่อนย้ายศพ

อินรีบจอดรถของตัวเองไว้ด้านข้างก่อนจะรีบวิ่งตามผู้จัดการเข้าไปรับสิงออกมาจากรถตู้ที่ตอนนี้มีเหล่าแฟนคลับกำลังยืนออกันอยู่ด้านหน้า ทำให้เด็กหนุ่มไม่สามารถออกมาจากรถได้

“ทุกคน! อยู่ในความสงบก่อนครับ!!” อินตะโกนลั่นจนแฟนคลับแถวนั้นยืนนิ่งแข็งเป็นหิน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงค่อยดันผู้คนออกจากบริเวณหน้ารถ เมื่อมีช่องให้เดินแล้วอินจึงก้าวเข้าไปเปิดประตูให้น้องลุกออกจากรถ

แสงแฟลชรัวราวกับสายฟ้าฟาดเมื่อเจ้าหน้าที่นำโลงที่บรรจุศพของเสือออกมาจากท้ายรถพร้อมกับเสียงร้องไห้โฮของเหล่าแฟนคลับที่มารอรับศพเสือกันตั้งแต่เช้าหลังจากที่แฟนโพสสถานที่จัดงานลงในแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียชื่อดัง เจตคอยยืนอยู่ข้างท่านเจ้าอาวาสที่กำลังทำพิธีนำโลงศพของเสือเข้าไปในศาลา

“นิมนต์ครับท่านเจ้าอาวาส” เมื่อทำพิธีเสร็จเจตก็นิมนต์ท่าเจ้าอาวาสมาเพื่อถวายปัจจัยให้กับท่านก่อนจะพูดคุยรายละเอียดงานศพอีกเล็กน้อย

ในระหว่างที่พูดคุยกันท่านเจ้าอาวาสเหลือบสายตามามองสิงอยู่ครู่นึกก่อนจะหยิบสายสิญจน์ออกมาจากย่างแล้วยื่นให้เขา “รับไว้”

อินที่นั่งอยู่ด้านข้างสะกิดเอวน้องเบา ๆ สิงถึงได้รู้ว่าท่านเจ้าอาวาสพูดกับตัวเอง เขายกมือไหว้ของคุณก่อนจะยื่นมือไปรับของจากท่าน “ขอบคุณครับ”

“คิดแต่สิ่งดี ๆ ทำแต่สิ่งดี ๆ แล้วจะแคล้วคลาดปลอดภัย” สิงก้มกราบท่านเพื่อรับพรก่อนที่ท่านจะลุกเดินออกไปจากศาลาทำพิธี

“เดี๋ยวฉันตรวจงานก่อน แกดูน้องด้วยนะอิน”

“พี่ไหวเหรอพี่เจต”

“ดีขึ้นแล้ว” เจตยกยิ้มพลางยกมือขึ้นตบบ่าอินเบา ๆ “ไปแฟนไปช่วยพี่หน่อย”

“ได้พี่”

 

อินมองตามเจตที่เดินออกไปตรงหน้าเมรุพร้อมกับแฟนด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่อยากห้ามเพราะรู้ดีว่าเจตกำลังทำงานเพื่อที่จะได้เอาสมาธิไปจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นแทน

“กูมีเรื่องสงสัย”

“อะไรเหรอครับพี่อิน”

“ไอเสือมันตายไปแล้ว แล้วทำไมผีตัวนั้นยังอยู่อีกวะ”

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่วันที่พี่เสือตาย ผมก็สัมผัสได้ถึงวิญญาณตนนั้นนะครับ”

“กูก็เข้าใจที่มึงบอกอยู่นะ เรื่อง…” อินเบาเสียงลงพลางลอบมองซ้ายมองขวาแล้วค่อยกระซิบถามข้างหูน้อง “คุณไสย แต่ในเมื่อไอเสือตายไปแล้ว มันได้ในสิ่งที่มันต้องการแล้ว ทำไมถึงยังอยู่อีกวะ”

“ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะของยังอยู่ที่พี่เสือรึเปล่าครับ”

“ของที่มึงอยากไปหาที่บ้านอะนะ”

“ครับ”

“แล้วมึงเอาไง จะไปหาของไหม”

“ไม่ต้องอยู่ช่วยงานเหรอครับ”

“พี่เจตเค้าจัดการได้ ไอแฟนก็อยู่ อีกอย่าง…วันนี้กูว่าง ถ้ามึงอยากไป กูจะพาไป”

“พรุ่งนี้พี่อินทำงานเหรอครับ”

“เอาจริง ๆ คือกูขอให้พี่เจตเคลียร์งานช่วงนี้ให้ แต่พรุ่งนี้มีงานนึงที่กูยกเลิกไม่ได้ แล้วหลังจากนั้นมึงกับกูก็ต้องมาสิงสถิตอยู่ที่นี่ทั้งวัน คงไม่มีเวลาไปหาไอของพวกนั้นหรอก”

“งั้นก็ได้ครับ แต่สิงก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าจะเจอ”

“ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

 

อินพาสิงออกมาจากงานศพของเสือโดยให้เหตุผลกับเจตว่าจะออกมาทำธุระที่ค้างอยู่ เขาเลือกที่จะไม่บอกเจตและคนอื่น ๆ ส่วนหนึ่งเพราะอยากสืบให้แน่ใจก่อนว่าเสือเข้าไปเกี่ยวข้องกับคุณไสยมนต์ดำจริงหรือเปล่า และนอกจากนั้นแล้วเขายังไม่มั่นใจว่าคนอื่น ๆ จะเชื่อสิงอย่างที่เขาเชื่อไหม

ท้องฟ้าที่สว่างวาบแสงแดดยามบ่ายที่แทบจะแผดเผาทุกอย่างได้กลับมืดครึ้มขึ้นมาหลังจากที่รถสปอร์ตคันงามของอินเคลื่อนตัวออกจากวัดได้ไม่นาน ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวจนเหมือนฟ้าจะถล่มลงมา เพียงชั่วครู่เม็ดฝนห่าใหญ่ก็เทลงมาราวกับจะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง

“พี่อินครับ” สิงหันไปเรียกชื่อคนพี่ด้วยสีหน้าดูเป็นกังวล

“มีอะไรวะ” อินละสายตาจากท้องถนนมามองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับก่อนจะหันกลับไปมองตรงตามเดิม

สิงถอนหายใจแล้วค่อยยกมือขึ้นไปถอดสร้อยพระที่สวมอยู่ส่งไปให้อิน “ใส่สร้อยเส้นนี้ไว้นะครับ”

อินหันมามองสิงด้วยความงุนงง โดยที่ยังไม่ได้ยื่นมือไปรับสร้อยมาจากน้อง “มีอะไรวะสิง”

“ป้องกันไว้ก่อนครับ”

“แปลก ๆ ละ ที่บ้านมึงมีผีรออยู่ใช้ป่ะ” อินหรี่ตาถามน้องพลางใช้น้ำเสียงคาดคั้นให้มันตอบตามความจริง

สิงเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง อินเห็นสีหน้าแบบนี้ก็รับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาพูดไม่มีส่วนไหนผิดเลย “งั้นมึงใส่ไว้เลย ไม่ต้องเอามาให้กู” อินพูดพลางดันมือข้างที่ถือสร้อยพระอยู่กลับไปให้เจ้าของตามเดิม

“สวมไว้เถอะนะครับ” สิงยื่นสร้อยกลับไปตรงหน้าคนพี่อีกครั้งพลางพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน

“กูไม่มีความสามารถพิเศษแบบมึง ผีเผออะไรพวกนั้นกูก็มองไม่เห็น เพราะฉะนั้นคนที่ควรใส่สร้อยเส้นนี้คือมึง ไม่ใช้กู”

“ไม่เห็นก็ไม่ได้หมายความว่าไม่อันตรายนะครับ”

“ดื้อจังวะไอสิง!” อินหันมาดุคนน้องที่ตอนนี้กลายร่างเป็นหมาดื้อแทนที่จะเป็นหมาเชื่องอย่างที่เป็นมาตลอด

“พี่อินเชื่อสิงนะครับ เอาไปสวมไว้ สิงขอ” คนน้องไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ คนพี่จึงทำได้แค่ทอดถอนใจแล้วคว้าสร้อยมาจากมือสิงในขณะที่รถติดไฟแดง

“พอใจยัง!”

สิงยกยิ้มกว้างอย่างพอใจ “ขอบคุณครับ”

 

ฝนยังคงกระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย ลมพัดเร็วแรงจนต้นไม้ข้างทางแทบจะโค่นล้มลงมา สายฟ้าฟาดฟันลงมาอย่างหนักหน่วง ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนแบบนี้

รถสปอร์ตคันงามจอดสนิทลงที่หน้าสถานที่เกิดเหตุสลด ภายในบ้านปิดไฟมืดให้ความรู้สึกวังเวงชอบกล อินชะเง้อมองตัวบ้านผ่านกระจกหน้ารถอยู่ครู่นึงพลางคิดหาวิธีผ่าฝนเข้าบ้านยังไงให้เปียกน้อยที่สุด ส่วนคนน้องนั้นเอาแต่เงยหน้าขึ้นไปมองบนชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องนอนของเสืออย่างไม่วางตาราวกับว่าเขามองเห็นอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น

“มีอะไรรึเปล่าสิง” อินเห็นสิงเหมือนกำลังมองอะไรบางอย่างอยู่จึงถามขึ้นด้วยความสงสัยพลางมองน้องกับบริเวณชั้นสองสลับกันไปมา

สิงพูดกับอินโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากบนชั้นสองของบ้าน “พี่อินรอสิงอยู่ที่รถดีกว่านะครับ เดี๋ยวสิงลงไปเอง”

“ได้ไงวะ มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันดิ กูไม่ทิ้งมึงหรอก” อินร้องท้วงเพราะรู้ดีว่าไอเด็กหมายักษ์ของเขาต้องเห็นอะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็นบริเวณนั้นแน่ ๆ

สิงละสายตาจากตัวบ้านชั้นสองก่อนจะหันมามองหน้าคนพี่ด้วยความชั่งใจ “ผมรู้ว่าพี่เป็นคนจิตแข็งแต่อะไรจะรอเราอยู่ในบ้านบ้าง สิงเองก็ไม่แน่ใจ”

“กูไม่ได้จิตแข็ง ผีกูก็กลัวเหมือนมึงนั่นแหละ แต่ที่กูกลัวมากกว่าคือกลัวมึงตกอยู่ในอันตราย เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดมาก มาด้วยกันก็ไปด้วยกัน”

สิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะยอมทำตามที่คนพี่สั่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่อย่าถอดสร้อยพระเส้นนี้นะครับ”

“เออกูไม่ถอดหรอก ว่าแต่ของมึงล่ะมีไหม?”

“ผมไม่เป็นไรครับ มีตะกรุดที่เอวอยู่”

“ใส่มาตั้งแต่เด็ก กะจะไม่ถอดเลยเหรอมึง” อินแกล้งแซว เพราะจำได้ว่าตะกรุดผูกเอวสิงมาตั้งแต่เกิด พอโตขึ้นมาหน่อยก็ถอดมาต่อสายสิญจน์เพิ่ม ต่อมากี่ครั้งแล้วก็ไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ ครั้งล่าสุดเป็นเขาเองที่นำมันมาให้จากหลวงพ่อทศ พ่อแท้ ๆ ของอินที่บวชไม่ศึกตั้งแต่อินยังเด็ก

“ถอดไม่ได้หรอกครับ ของสำคัญ”

“เออ แล้วจะเข้าไปยังไง วิ่งผ่าเข้าไปไหม?”

“บนรถไม่มีร่มเหรอครับ”

“ถึงมีก็ใช้ไม่ได้หรอก ลมแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่ ร่มก็คงไม่รอด”

“งั้นก็ได้ครับ”

“งั้นกูนับหนึ่งถึงสามแล้วลงพร้อมกันนะ”

“ครับ”

“หนึ่ง…สอง…สาม!”

 

สิงและอินเปิดประตูรถพร้อมกันก่อนจะรีบวิ่งพรวดพราดเข้าไปในบ้าน คนพี่ที่วิ่งมาถึงก่อนรีบปีนขึ้นไปบนรั่วบ้านทันทีแต่ทันทีที่ปีนขึ้นมาถึงยอดประตูรั้วเจ้ากรรมก็ดันเลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติ ดาราหนุ่มที่เปียกปอนไปทั้งตัวควานหาสาเหตุที่ทำให้ประตูเลื่อนเปิดก็พบว่ามันเป็นฝีมือของน้องชายเจ้าของบ้านที่กำรีโมทเอาไว้ในมือด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม

อินถอนหายใจเก็บข่มอารมณ์บ่จอยเอาไว้แล้วรีบดีดตัวลงไปบนพื้น ก่อนที่สิงจะเดินตามเข้ามาในส่วนของลานจอดรถหน้าบ้าน ดาราหนุ่มหน้าคมผมเผ้าเปียกปอนยืนเท้าสะเอวส่งสายตาพิฆาตไปยังเด็กหนุ่มที่เดินผ่านประตูรั้วเข้ามาแบบสบาย ๆ ไม่ต้องปีนป่ายเป็นลิงเป็นค่างเหมือนตัวเอง

“กวนตีนกูเหรอไอสิง!”

สิงอมยิ้ม “เปล่านะครับ พี่อินไม่รู้เหรอครับว่ารั่วมันเปิดอัตโนมัติ” พูดพลางชูรีโมทจิ๋วในมือให้ร่างโปร่งดู

“แล้วทำไมมึงไม่เปิดตั้งแต่อยู่ในรถ?!”

“มันเปิดเร็วออกครับ สิงเลยคิดว่าค่อยหยิบขึ้นมาเปิดก็ได้” สิงพยายามพูดแก้ตัว ทั้ง ๆ ที่ในใจก็แอบขำอย่างพอใจที่ได้แกล้งคนพี่

“กวนตีน! เปียกหมดแล้ว มึงเห็นไหมเนี่ย?!”

“ขอโทษครับ” พูดไปยิ้มไป คนที่ยืนฟังถึงกับควันออกหูแต่ไม่อยากสาวความยาว เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ควรอยู่บ้านหลังนี้นานแม้มันจะเคยเป็นบ้านที่เขามานอนเล่นบ่อย ๆ ก็ตาม 

“ช่างแม่งเหอะ รีบหารีบเจอรับกลับ ไป!”

เพราะเป็นบ้านของตัวเองสิงเลยเดินนำเข้าไปก่อนโดยมีอินเดินตามมาติด ๆ เขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้าน พลางทำท่าจะยื่นมือไปกดรหัสเข้าประตูบ้าน แต่เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาข้าง ๆ หูเขาเสียก่อน

“มึงไม่ควรมาที่นี่”

เสียงแหบทุ้มเสียงเดิมที่เขาได้ยินจนคุ้นหูเอ่ยปากเตือน สิงจึงรีบหันไปหาต้นทางของเสียงตามสัญชาตญาณ

“รู้ใช่ไหมครับ ว่ามันอยู่ตรงไหน”

อินที่ยืนอยู่ข้างหลังได้ยินเสียงน้องพูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจก็อยากจะถามกลับไปแต่พลันนึกขึ้นมาได้ว่ามันคงพูดกับอะไรบางอย่างที่เขามองไม่เห็นก็รีบก้าวเข้าไปประชิดตัวน้องพลางยกมือขึ้นมาเกาะไหล่มันแน่นราวกับจะสิงร่าง

“...”

มีหลายครั้งที่สิงพยายามจะสื่อสารกับสิ่งที่อยู่ข้างกายเขามาตลอด แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่สิงจะได้รับการตอบกลับและครั้งนี้ก็เช่นกัน

“ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ” สิงขอร้องอ้อนวอน

“กลับออกไปซะ”

“ผมต้องหาของนั้นให้เจอ จะได้รู้ว่าใครเป็นคนทำแบบนั้นกับพี่เสือ”

“...”

สิงแอบผิดหวังอยู่บ้างที่อีกฝ่ายไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วย ครั้งนี้คงต้องพึ่งตัวเองอีกตามเคย พอคิดได้แบบนั้นก็ยื่นมือขึ้นไปไปกดรหัสล็อกประตูบ้าน เพียงแค่บานประตูถูกเปิดออกกลิ่นเหม็นเน่าและกลิ่นสาบก็ประเดประดังกันเข้ามาปะทะเข้ากับเจ้าของบ้านคนน้องอย่างจังจนสิงต้องกลั้นหายใจชั่วครู่เมื่อคุ้นชินกับกลิ่นแล้ว ถึงค่อยก้าวเข้าไปในบ้าน

สิงเอื้อมมือไปเปิดไฟที่อยู่บนผนังทางเข้าบ้านก่อนที่ไฟในบ้านชั้นหนึ่งจะสว่างวาบไปทั่วบริเวณทั้งห้องรับแขกและโซนทางเข้า

“สิง” เสียงเรียกของอินที่อยู่ด้านหลังทำให้สิงหยุดเดินแล้วหันกลับไปหาคนพี่

“พี่อินเป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“กูไม่เป็นไร แต่…เค้ายอมช่วยมึงไหม”

“ไม่ครับ”

“งั้นมึงคิดว่าเราควรหาจากที่ไหนก่อน ห้องนอนหรือห้องทำงาน”

“ผมว่าห้องนอนน่าจะเป็นที่ที่พี่เสือเก็บของพวกนั้นไว้ครับ”

“ทำไมมึงคิดงั้นวะ”

คำตอบของคำถามอินมันง่ายมาก เพราะสิงสัมผัสได้ถึงวิญญาณสองสามตนในห้องนอนของพี่เสือตั้งแต่ยังอยู่บนรถ พวกมันยืนรออยู่แล้ว เหลือแค่ว่าสิงและอินจะเข้าไปหาพวกมันตอนไหนเท่านั้นเอง

“ที่สิงเคยเล่าให้ฟังไงครับ พี่เสือโกรธสิงเพราะสิงเข้าไปในห้องโดยไม่ของพี่เค้าก่อน”

“อ่า กูจำได้ละ งั้นไปกัน”

สิงควานหามือของร่างโปร่งที่อยู่ด้านหลังมากอบกุมเอาไว้แน่น ก่อนจะเดินเข้าไปภายในบ้าน ยิ่งเดินเข้ามาลึกมากเท่าไหร่กลิ่นเหม็นสาปพวกนั้นก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ มือที่กอบกุมมือของคนพี่อยู่ก็ยิ่งกระชับแน่ขึ้นตาม

อินที่เดินตามก็ได้แต่มองแผ่นหลังของน้องด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปทั้งเป็นห่วงและกลัวในเวลาเดียวกัน เขาเดินตามน้องเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งฝีเท้าของน้องหยุดลงตรงหน้าบันได สิงใช้อีกมือนึงที่ยังว่างอยู่เอื้อมไปเปิดสวิตช์ไฟด้วยความเคยชิน พอไฟชั้นบนสว่างขึ้นมาก็ทำให้อินโล่งใจไปได้เปราะนึง

สิงเดินจูงมืออินขึ้นมาบนชั้นสองของบ้านก่อนจะเดินตรงไปยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนของเสือ

สิงหันกลับมามองคนพี่ “พี่อินอย่าปล่อยมือนะครับ”

“เออ กูไม่ปล่อยหรอก”

มือของสิงค่อย ๆ เอื้อมไปเปิดประตูแต่ในขณะที่บานประตูกำลังถูกแง้มออกเพื่อให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในจู่ ๆ ไฟบนชั้นสองของบ้านก็ดับลงทำเอาอินตกใจแทบจะสติหลุด

“เห้ย!”

เพียงแค่สิ้นเสียงอุทานของร่างโปร่ง ไฟทั้งหมดก็กลับมาติดดังเดิม ‘เชี้ยเอ้ย!’ อินทำได้แค่ถบทอยู่ในใจด้วยความกลัว

ถึงดวงตาจะมืดบอดอยู่แล้วแต่เขาพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวบ้าง “อย่าอยู่ห่างสิงนะครับ” 

“ไม่ต้องพูดกูก็ไม่ห่างอยู่แล้วป่ะ” อินพูดด้วยเสียงสั่น ๆ พลางยกแขนอีกข้างขึ้นมาเกาะแขนคนน้องเอาไว้แน่น

บานประตูถูกเปิดออกด้วยแรงของเด็กหนุ่มพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิมและดูเหมือนต้นตอของกลิ่นจะไม่ได้มาจากที่เดียว

“มันมาแล้ว”

สิงสัมผัสได้เพียงเสียงของมัน แต่กลับไม่รู้เลยว่าดวงตาขาวโพลนไร้นัยน์ตาดำของมันกำลังจดจ้องมายังพวกเขาทั้งสองคนด้วยความดีใจ ปากของมันฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันเล็กแหลมที่เต็มไปด้วยเลือดข้นสีดำคล้ำเต็มช่องปาก มันเอียงใบหน้าสีขาวซีดพลางใช้ดวงตาของมันลอบมองตามพวกเขาทั้งคู่ที่กำลังก้าวเดินเข้ามาในห้อง

ครืด ครืด ครืด

เสียงที่ฟังดูเหมือนการลากของอะไรบางอย่างดังแว่วขึ้นมาให้สิงได้ยินแผ่ว ๆ แต่เด็กหนุ่มเลือกที่จะไม่สนใจ มันใช้แขนทั้งสองข้างที่มีแผลเหวอะหวะเนื้อปริแตกออกมาจนเห็นกระดูกขาวชัดเจนลากตัวมันเองเข้ามาหาเหยื่อด้วยความหิวกระหาย ชิ้นเนื้อที่ขาดเป็นริ้ว ๆ ตรงช่วงเอวไร้ร่องรอยส่วนล่างของร่างกายไถลไปตามทางส่งเสียงอันน่าสะอิดสะเอียน มันยกยิ้มจนเห็นว่าภายในโพรงปากไม่มีฟันเหลือแม้แต่ซี่เดียว

 

สิงพยายามกดเปิดสวิตช์ไฟห้องนอนบริเวณข้างกรอบประตู แต่เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ติดจึงจำเป็นจะต้องใช้ความสว่างจากไฟนอกห้องแทน

เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเรียกขวัญกำลังใจเฮือกใหญ่แล้วค่อยก้าวเข้าไปในห้องนอนช้า ๆ อินที่เกาะติดเป็นปลิงก็ต้องรีบก้าวตามไปให้ทันน้อง

 

ปัง!

 

 

“เชี้ย ๆ!!!”

ประตูห้องนอนถูกปิดทันทีที่เด็กหนุ่มและคนข้างกายเดินเข้าไปในห้องจนคนที่เคยจิตแข็งอุทานลั่นด้วยความกลัว สิงที่ตั้งสติได้ก่อนรีบยกมือไปลูบมืออีกฝ่ายที่บีบแน่อยู่ตรงต้นแขนของเขาอย่างปลอบขวัญ

หากจะบอกว่าประตูปิดเพราะลมพัดก็ดูจะเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพราะลมกระโชกแรงภายนอกบ้านไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่ปิดแน่นทุกบานได้ อินจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพวกเขาสองคนได้รับการต้องรับอย่างไม่พึงประสงค์จากสิ่งที่อยู่ภายในห้องนี้

สติของอินเกือบหลุดลอยแต่ดีที่ความอบอุ่นของเด็กในปกครองส่งผ่านเข้ามาผ่านมือที่กอบกุมกันเอาไว้

“พี่อินโอเคไหมครับ”

“ไม่โอเค แต่ทำเชี้ยไรไม่ได้ ไปต่อเหอะ”

สิงเพ่งสมาธิไปที่ประสาทสัมผัสทั้งหมดของตัวเองเพื่อตามหาของสิ่งนั้นให้เร็วที่สุดเขาจะได้พาอินออกไปจากที่นี่สักที เด็กหนุ่มพยายามใช้ทักษะที่คนด้านหลังเรียกว่า ‘หมา’ ควานหาของที่เสือซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด

หมายักษ์พยายามแยกกลิ่นที่เขาได้รับภายในห้องนอนของเสือแต่กลิ่นเหม็นเน่าพวกนั้นลอยคละคลุ้งไปทั่วจนเขาแทบจะจับต้นชนปลายไม่ได้เลย

อินที่กลัวแต่ไม่อยากทำตัวเป็นภาระจึงปล่อยมือข้างนึงจากแขนของน้องแล้วค่อยล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไฟฉายและสอดส่องไปทั่วห้องเผื่อจะเจออะไรบางอย่างที่พวกเขากำลังตามหา

สิงเลือกที่จะเดินวนไปมารอบเตียงนอนของเสือเพื่อตามของเครื่องรางคุณไสยมนต์ดำ แต่ก็ไม่พบกลิ่นอะไรที่จะแตกต่างไปจากกลิ่นเก่าที่เขาเคยได้รับ

“เชี้ยไรวะ?!”

ในระหว่างที่พยายามสูดดมหากลิ่นอื่นที่ต่างออกไป จู่ ๆ อินที่เดินตามหลังมาก็อุทานขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย สิงจึงรีบหันไปถามด้วยความร้อนใจ

“มีอะไรครับพี่อิน”

ลูกกระเดือกในลำคอยาวระหงของร่างโปร่งขยับขึ้นลงพร้อมกับน้ำลายเหนียวที่ไหลลงคอ เนื้อตัวเริ่มสั่นเทากว่าเก่าจากเดินที่สั่นเพราะความหนาวเย็นจากการเปียกฝน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีสาเหตุจากอย่างอื่น 

เด็กหนุ่มที่ไม่ได้ยินคำตอบจากคนพี่ก็ยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่ “พี่อิน เป็นอะไรครับ”

อินพยายามเรียกสติของตัวเองกลับมา เขากำหนดลมหายใจเข้าออกสองสามครั้งแล้วค่อยหันไปตอบน้อง “ไม่เป็นไร หาต่อเลย” อินโกหก

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ใช่ไหมครับ”

“เออ ไม่เป็นไร หาต่อเหอะ” อินยังคงโกหกซ้ำ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมือของเขาไปสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างที่เย็นเยือก ให้ความรู้สึกเหมือนสัมผัสผิวหนังที่ไร้เลือดหล่อเลี้ยงมานาน แต่ไม่อยากพูดให้คนน้องเป็นห่วง จึงจำต้องโกหกไปแบบนั้น

“อยู่นี้ มาเอาไปซิ”

เสียงหนึ่งดังขึ้นอีกครั้งเพียงแต่ครั้งนี้ไม่ใช้เสียงเดิมที่ได้ยิน เป็นเสียงที่แหบแห้งกว่าและมันกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่ตรงกรอบประตูทางเชื่อมเข้าห้องแต่งตัว มันมองหน้าสิงด้วยใบหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาดำของมันค่อย ๆ หดเล็กลงพร้อมกับการแสยะยิ้มที่เริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้าซีดเผือดของมันทีละเล็กทีละน้อย

มันเหมือนจะบอกตำแหน่งของเครื่องรางนั้นแต่มันไม่ทำให้เด็กหนุ่มดีใจเลยเพราะเสียงนั้นไม่ใช้เสียงที่เขาได้ยินเป็นประจำ และยิ่งไม่ใช้เสียงของผีมโนราห์ตนนั้นอีก

แต่ถึงอย่างนั้นสิงก็เลือกที่จะทำตามที่เสียงนั้นบอก เขาเดินไปตามทางเสียงที่ได้ยิน การกระทำของสิงยิ่งทำให้ริมฝีปากซีดเผือดของมันแสยะยิ้มด้วยความชอบใจ ก่อนจะแผดเสียงหัวเราะอันโหยหวนออกมา พร้อมกับการเพิ่มจังหวะมือที่กวักเรียกให้เด็กหนุ่มเดินมาหามันเร็วขึ้นอีก

“ฮี่ ฮี่ ฮี่”

เสียงหัวเราะทวีความดังขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะทำให้แก้วหูของสิงดับ แต่นั่นเป็นเคราะห์ดีที่คนด้านหลังไม่ได้ยินหรือสัมผัสอะไรได้เลย

เด็กหนุ่มสัมผัสพิเศษเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดจากห้องนอน เขาเดินมาเรื่อย ๆ ตามคำเชื้อเชิญของเสียงที่เขาได้ยิน เขาเดินจนสุดทางก่อนจะหยุดลงที่หน้าตู้เสื้อผ้าบิ้วอินหลังที่อยู่ในสุด

“เปิด เปิดเลย” 

ดวงตาของมันเบิกกว้างจนดวงตาขาวโพลนแทบจะทะลุออกมาจากเบ้า มันโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้สิงจนเด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าใบหน้าขาวซีดอยู่ห่างจากใบหน้าของเขาเพียงแค่คีบเดียวเท่านั้น มันยกยิ้มด้วยความดีใจพลางพูดด้วยเสียงเล็กแหลมของมันเชิญชวนให้เด็กหนุ่มเปิดประตูตู้

สิงยอมยื่นมือออกไปตามเสียงเรียกอย่างเชื่องช้า แต่ทันทีที่มือของสิงแตะเข้ากับประตูบานเลื่อนจู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะดังลั่นไปทั่วห้อง

 

ตึง! ตึง! ตึง!

 

เสียงเคาะประตูตู้เสื้อผ้าทุกบานภายในห้องแผดเสียงดังขึ้นโดยที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนอยู่ในห้องนี้นอกจากสิงและอิน นั้นทำให้ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้างเด็กหนุ่มเข้าใจแจ่มแจ้งว่าใครเป็นคนทำ

“ไอเหี้ยเอ้ย!” อินอุทานขึ้นด้วยความกลัว เนื้อตัวที่สั่นอยู่ก่อนแล้วสั่นแรงขึ้นไปอีก เขาหลับตาปี๋เพราะไม่อยากเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น

มือข้างที่กุมมือของคงพี่เอาไว้ดึงให้ร่างโปร่งเข้ามาประชิดตัว พลางมองไปรอบ ๆ ตามเสียงที่ดังลั่นห้อง อินที่ยืนตัวติดจนแทบจะสิงร่างกับเด็กหนุ่ม หันไปมองเขาด้วยความสงสัยเพราะได้ยินน้องบ่นพึมพำอะไรสักอย่างที่เขาได้ยินไม่ชัด

ไอสิงมันสวดอะไรของมัน?!

อินไม่รู้ว่าน้องกำลังพร่ำสวดอะไร แต่สิ่งที่เขารู้คือมันต้องช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลงไปแน่ ๆ จึงได้แต่ยืนอยู่นิ่ง ๆ เพื่อไม่ให้ไปกวนสมาธิของน้อง

อินยอมรับได้อย่างเต็มปากเลยว่าความกล้าหาญที่มีได้หายวับไปกับตาทั้งหมดเพราะเกิดมาเพิ่งเคยถูกผีหลอกครั้งนี้ครั้งแรก

หลังจากสิงสวดอะไรบางอย่างไปได้ครู่หนึ่ง ก็เหมือนเสียงดังพวกนั้นจะหายไป

“พี่อินเป็นไรไหมครับ” สิงลืมตาขึ้นมาก็หันหาคนพี่ทันที

“ไม่เป็นก็ดูตอแหล แต่กูยังไหว รีบ ๆ เหอะ”

สิงพยักหน้ารับแล้วค่อยหันหน้ากลับไปเผชิญกับสิ่งของที่อยู่ภายในตู้เสื้อผ้าหลังนี้ สิงยื่นมือไปเลื่อนบานประตูให้อ้าออก ภายในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของเสือ อินเห็นแบบนั้นก็รีบก้าวขึ้นมายืนข้างคนน้องแล้วช่วยควานหาของที่อยู่ภายใน

สิงและอินใช้มือแหวกเสื้อผ้ากองใหญ่ที่แขวนอยู่ในตู้ แต่ก็ไม่พบอะไร

“ไม่เห็นมีไรเลยมึง”

“มันต้องอยู่ในนี้แน่ ๆ ครับพี่อิน สิงได้กลิ่น”

ไม่ใช้แค่คำเชิญชวนแต่เพราะกลิ่นแปลก ๆ ที่เขาสัมผัสได้หลังจากที่เดินเข้าใกล้ตู้หลังนี้เรื่อย ๆ ทำให้สิงมั่นใจว่าของนั้นต้องอยู่ในตู้ใบนี้แน่นอน

อินพยักหน้ารับแล้วค่อยหันกลับไปหาใหม่อีกรอบ ลิ้นชักที่อยู่ภายในถูกเปิดและรื้อของข้างในออกจนหมดแต่ก็ไม่พบอะไรอยู่ดี

สิงที่ก้มลงไปคุ้ยกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่ข้างล่างเองก็ไม่พบของอะไรผิดปกติ

กึก!

สิงกับอินมองหน้ากันทันควัน ก่อนที่อินจะยกมือข้างที่ถือโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่องไฟดูตรงบริเวณที่เกิดเสียงแปลก ๆ

สิงเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่อยู่ริมสุดออกมาก่อนจะรื้อใบอื่น ๆ ออกมาด้วยเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา

ช่องลับ?!

กระเป๋าเดินทางทั้งหมดถูกยกออกมาจนหมด จนทำให้อินเห็นแผ่นไม้แผ่นนึงที่ไม่ได้เป็นแผ่นเดียวกันกับส่วนอื่น ๆ พร้อมกับมือของสิงที่คลำไปมาเองก็พบมันเช่นกัน

“เปิดดูดิ๊!” อินสั่งให้สิงรีบเปิดช่องลับที่อยู่ภายในตู้เก็บของด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่คิดจะเก็บอาการ

แต่ไม่ทันที่สิงจะได้เอื้อมมือไปเปิด เสียงกรีดร้องก็แผดดังขึ้น

“กรี๊ด!!!”

เสียงกรีดร้องแผดดังไปทั่วบ้านแต่ครั้งนี้กลับไม่ได้มีแค่สิงคนเดียวที่ได้ยิน เพราะอินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดหูเอาไว้ตามสัญชาตญาณ

สิงกลับมาตั้งสมาธิแล้วสวดมนต์อีกครั้ง แต่เสียงนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลงเลย แถมยังแผดเสียงดังขึ้นมากกว่าเดิม จนเลือดกำเดาเริ่มไหลออกมาจากรูหูทั้งสองข้างของสิง

“ออกไป!!!”

แต่แล้วเสียงทุ้มแหบเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น มันทำให้เสียงกรีดร้องเงียบไปทันควัน อินที่ยืนเอามือปิดหูอยู่ก็ค่อย ๆ ลดมือลงก่อนจะเห็นว่าคนน้องมีเลือดกำเดาไหลออกมา

“ไอสิง!” อินรีบยื่นมือไปประคองใบหน้าน้องขึ้นมาดูด้วยความเป็นห่วง

“ผมไม่เป็นไรครับพี่อิน” สิงหันไปพูดกับอิน ก่อนจะหันไปมองสิ่งที่อยู่ด้านหลังอิน “ขอบคุณครับ” สิงสัมผัสได้ว่าวิญญาณสองสามตัวนั้นหายไปทันทีที่เสียงของผีตายายดังขึ้นอย่างก้องกังวานราวกับเสียงแห่งอาญาสิทธิ์

สิงหันกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ภายในช่องลับ เขาเอื้อมมือไปเปิดฝาครอบออกก่อนจะเห็นห่อผ้ายันต์สีแดงห่อนึงลงอักขระด้วยหมึกสีดำ ถูกพันไว้ด้วยสายสิญจน์สีดำที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน

สิงยื่นมือไปหยิบของสิ่งนั้นออกมาด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อยแล้วค่อยแกะปมสายสิญจน์ออกเพื่อดูของที่อยู่ภายใน

 

“ตุ๊กตาคุณไสย”