"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์ โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์

ความเงียบเข้าปกคลุมเต็มพื้นที่ภายในค็อกพิท มีเพียงเสียงเครื่องยนต์และเครื่องปรับอากาศที่ทำให้บรรยากาศชวนอึดอัดมากขึ้นไปอีก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาหลังจากที่ออกมาจากบ้านของเสือได้ไม่นาน

สิงที่เห็นอินไม่พูดอะไรก็เอาแต่นั่งก้มหน้าจ้องมองสิ่งของที่อยู่บนตักอย่างไม่วางตา ส่วนอินที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาก็ยังสั่นไม่หาย จึงทำได้แค่ขับรถไปอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับมือที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อกำพวงมาลัยเอาไว้หลวม ๆ

ฝ่ามือนุ่มไล่สัมผัสสิ่งของที่อยู่บนตักพลางคิดถึงที่มาและสาเหตุของการบูชา สิงไม่รู้เลยว่าตุ๊กตาแกะสลักจากไม้ทั้งสองตัวที่ประกบเข้าหากันจะช่วยอะไรเสือได้ เพราะเขาเองก็ไม่เคยศึกษาเรื่องพวกนี้มาก่อน จะมีก็เพียงแต่สิ่งที่ทวดทิ้งไว้ให้ก่อนตายเท่านั้น 

เมื่อสามปีก่อนทวดภาสเคยส่งสมุดบันทึกสามเล่มมาให้เขา มันเขียนบอกเล่าเรื่องราวและวิชาอาคมที่ทวดได้เรียนรู้มาจากเทียด ซึ่งเคล็ดวิชาเหล่านั้นก็ถูกส่งต่อมาจากรุ่นสู่รุ่นอีกทีในสายมโนราห์ นั้นทำให้เขาพอจะมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง แต่สิ่งที่จดบันทึกเอาไว้ล้วนแล้วแต่เป็นเคล็ดวิชาสายขาว ส่วนของในมือมันเด่นชัดว่ามาจากสายดำ เขาจึงไม่มั่นใจว่ามันใช้เพื่ออะไรกันแน่

สิงที่มัวแต่คิดเรื่องเครื่องรางจนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าคนข้างกายนั่งเงียบมาสักพักแล้ว จึงได้เอ่ยปากถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะดูจากตอนที่อยู่ในบ้านหลังนั้น คนพี่เองก็กลัวอยู่ไม่น้อยเลย “พี่อิน เป็นอะไรรึเปล่าครับ”

“กูไม่เป็นไร ขอกูอยู่เงียบ ๆ ก่อน”

อินตอบกลับมาด้วยเสียงราบเรียบติดสั่นไหวเล็กน้อย ทำให้เด็กหมายักษ์อย่างเขาต้องนั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง จนกระทั่งรถจอดสนิทที่หน้าบ้านอินถึงได้หันมามองสิงพลางยกมือขึ้นไปวางบนบ่าของน้อง

สิงนั่งรอฟังอินพูดความต้องการออกมาอย่างใจจดใจจ่อพลางระบายยิ้มอ่อนไปให้

“คืนนี้กูนอนด้วยได้ป่ะ?!”

สิงฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะเอ่ยปากตอบรับคำขอของอีกฝ่าย “ได้อยู่แล้วครับ”

“งั้นไปอาบน้ำกัน”

“ห๊ะ?!อะไรนะครับ” สิงร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินประโยคที่มีความหมายกำกวม ไม่รู้ว่าชวนเขาไปอาบน้ำด้วยกันหรือแค่บอกให้เขาขึ้นไปอาบน้ำเองกันแน่

“อาบน้ำไง ตัวเปียกขนาดนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

“อ๋อ ครับ” สิงถอนหายใจเบา ๆ พลางคิดว่าเขาอาจจะตีความในสิ่งที่คนพี่พูดผิดไป

“อาบด้วยกัน”

“ดะ…เดี๋ยวนะครับ พะ…พี่อินจะอาบน้ำกับสิงเหรอครับ?!” สิงพูดเสียงตะกุกตะกักจนเกือบจะจับใจความไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหนาวเย็นจากเนื้อตัวที่เปียกปอนหรือเป็นเพราะความตื่นเต้นจากภาพในจินตนาการของตัวเองกันแน่ แต่ดูแล้วน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า

“เออดิ! ตอนนี้กูไม่กล้าทำอะไรคนเดียวแล้ว ไปเยี่ยวมึงก็ต้องไปกับกู!”

สิงไม่รู้จะตลกกับคำพูดของอินหรือจะเขินก่อนดี “แต่…”

“ไม่เป็นไร กูไม่ซีเรียสอยู่แล้ว มึงกับกูเป็นพี่น้องกันนิ เน๊อะ?!”

“พี่ไม่ซีเรียสเพราะยังไงสิงก็มองไม่เห็นอยู่แล้วมากกว่า” สิงพูดอย่างรู้ทัน

อินหลุดขำออกมาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกมาเมื่อหลายชั่วโมงก่อน “แสนรู้นักนะมึง เออ! กูไม่มองของมึงหรอก อายเหี้ยไรวะ มีเหมือนกัน”

“ถ้าผมมองเห็น พี่อินจะขอให้ผมอาบน้ำด้วยกันแบบนี้ไหมครับ?”

“ขอ! ยังไงผีก็น่ากลัวกว่ามึงอยู่แล้ว แค่เห็นไข่นิด ๆ หน่อย ๆ กูไม่คิดมาก!”

คำพูดติดเรตแบบนี้คงมีแค่อินเท่านั้นที่พูดออกมาได้โดยไม่รู้สึกอะไร น่าจะมีแค่คนฟังอย่างสิงที่ใบหน้าเริ่มเห่อร้อนขึ้นมานิดหน่อย “คะ...ครับ ไปอาบน้ำกันก็ได้”

“ก่อนไป กู…มีเรื่องอยากถาม” อินมีเรื่องกระอักกระอ่วนใจจะถามตั้งแต่ออกจากบ้านของเสือแล้ว แต่ไม่กล้าถามเพราะยังเสียขวัญจากเหตุการณ์ผีหลอกไม่หาย

สิ่งที่พอจะทำให้เขาได้รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยก็ตรงที่ได้พูดหยอกล้อกับไอเด็กน้อยตรงหน้าจนมันหน้าแดงขึ้นมานี้แหละ

“มีอะไรเหรอครับ?”

“คือ…ไอของที่มึงถืออยู่อะ ถ้าเอาเข้าบ้านกู แล้ว…”

“ไม่มีหรอกครับ พวกเขาไม่ได้ตามมา หายไปตั้งแต่อยู่ในห้องนั้นแล้ว”

“ว่าแต่… พวกมันหายไปได้ยังไง? หรือเพราะมึงสวดอะไรบางอย่างนั้นเหรอ มันเลยหายไป”

สิงส่ายหน้าตอบ “เปล่าครับ สิงแค่สวดบทสวดทั่วไปเฉย ๆ”

“หรือเพราะว่า...เค้าตนนั้นที่อยู่กับมึง เหรอ?!”

“คิดว่าอย่างนั้นครับ”

อินพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกจากรถไปพร้อมกัน อินให้สิงนำของไปวางไว้ในห้องพระก่อน จากนั้นจึงค่อยเดินไปอาบน้ำด้วยกันที่ห้องของอิน

สิงยอมเข้าไปอาบน้ำกับคนพี่แต่ยังคงสวมบ๊อกเซอร์เอาไว้ ถึงจะอายที่โดนอินแซวแต่อย่างน้อยก็ดีกว่าโชว์ของลับให้อินเห็น 

วันนี้เป็นวันที่หฤหรรษ์สำหรับอินที่ได้มีโอกาศเปิดประสบการณ์โดนผีหลอกครั้งแรก แต่กับสิงกลับเป็นช่วงเวลาที่ได้อาบน้ำด้วยกันกับอิน เพราะฝ่ายนั้นทั้งช่วยถูหลังและสระผมให้พออาบน้ำเสร็จก็ยังเป่าผมให้อีก เรียกได้ว่าวันนี้หัวใจก้อนเล็ก ๆ กลางอกของเด็กหมายักษ์ไม่ได้หยุดพักเลย

แม้กระทั่งตอนนี้ ตอนที่พวกเขาทั้งสองคนล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ผืนเดียวกัน คนพี่ก็ยังมานอนเบียดเขาจนแทบจะเรียกได้ว่านอนก่ายกัน หัวใจเจ้ากรรมของเด็กหนุ่มก็เลยเต้นแรงไม่แผ่ว

“ฝันดีนะมึง”

“ฝะ...ฝันดีครับพี่อิน”

 

กว่าจะได้หลับจริง ๆ ก็เล่นเอาเกือบเช้าเพราะมัวแต่ท่องพุทธโท ๆ เพื่อให้จิตใจสงบ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นสิงก็ตื่นเวลาเดิมทุกเช้าเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว เพียงแต่หลายวันมานี้เขาไม่จำเป็นต้องอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงานที่โรงเรียน

สิงเห็นว่าอินยังไม่ตื่นนอนจึงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อทำธุระส่วนตัว ก่อนจะเดินลงไปที่ครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าง่าย ๆ พร้อมกับกาแฟดำสุดโปรดของอีกฝ่ายเอาไว้ให้

กลิ่นอาหารเช้าลอยคละคลุ้งไปทั่วบ้าน แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจ้าของบ้านจะตื่นนอน อาจเป็นเพราะภารกิจเมื่อวานสูบพลังของอินไปไม่น้อย

“สิงทำอะไรอะ หอมจัง” เสียงผู้จัดการส่วนตัวของดาราหนุ่มดังขึ้นมาจากทางหน้าบ้าน ทำให้สิงละความสนใจจากงานตรงหน้า แล้วค่อยยกยิ้มทักทายอีกฝ่ายตามประสาคนคุ้นเคย

“สวัสดีครับพี่เจต กินข้าวต้มหมูสับไหมครับ”

“ก็ดีนะ กำลังหิว ๆ อยู่เลย แล้วพ่อตัวดีของพี่ละ ยังไม่ตื่นอีกเหรอ” เจตเดินมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าเคาท์เตอร์ครัว

“ครับ พี่อินยังไม่ตื่นเลย” สิงตอบก่อนจะหันกลับไปตักข้าวต้มใส่ถ้วยให้เจต “พี่เจตกินข้าวต้มก่อนนะครับ เดี๋ยวสิงไปปลุกพี่อินให้”

“ได้ ๆ ฝากด้วยนะ” เจตยื่นมือไปรับถ้วยข้าวต้มมาจากน้องก่อนจะรีบใช้ช้อนจ้วงอาหารเข้าปากอย่างลืมตัว “อือหือ! ร้อน ๆ”

เดือดร้อนพ่อครัวต้องรีบหาน้ำมาดับร้อนในปากให้คนแก่กว่า “ระวังซิครับพี่เจต”

“ขอบใจนะสิง”

“ครับ งั้นผมขึ้นไปตามพี่อินก่อนนะครับ”

“อือ ฝากด้วยน่ะ”

 

ประตูเหล็กบานใหญ่สีดำสนิทถูกเปิดออกพร้อม ๆ กับสิงที่ก้าวเข้าไปในห้องนอนของคนพี่ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอทำให้เขารู้ว่าคงพี่ยังคงหลับสนิทอย่างสบายใจอยู่บนเตียงหลังใหญ่

สิงนั่งลงบนขอบเตียงก่อนจะยื่นมือไปเขย่าตัวคนขี้เซาเบา ๆ “พี่อิน ตื่นได้แล้วครับ”

“อื้อ~” ร่างโปร่งร้องเสียงครางต่ำในลำคอก่อนจะพลิกตัวหลีกหนีจากสิ่งที่กำลังก่อกวนการนอนของตัวเอง

“พี่อินครับ ตื่นได้แล้วครับ พี่เจตมารอแล้วนะ” พูดพลางลงมือเขย่าให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย

“อื้อ~ กูจะนอน!” อินส่งเสียงขู่ฟ่อพลางใช้มือทั้งสองข้างยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมโป่ง

แอบอยากให้คนพี่นอนจนกว่าจะพอใจ แต่ทำไม่ได้เพราะคนพี่มีงานรออยู่ สิงจึงใช้มือเลิกผ้าห่มผืนหนาออกจากใบหน้าของอิน “ไม่ได้ครับ พี่อินมีงาน ตื่นได้แล้วครับ”

อินพ่นลมอย่างหงุดหงิดแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าคนน้องด้วยความหงุดหงิดจากนั้น…ก็หลับต่อ

สิงยกยิ้มด้วยความเอ็นดู พลางมองจ้องคนแก่ที่กำลังทำตัวเป็นเด็ก “พี่อินครับ พี่เจตมารอแล้วนะ ถ้าไปไม่ทัน ลูกค้าจะโกรธเอานะครับ”

อินลืมตาขึ้นมาอีกรอบ มองหน้าคนน้องอย่างไม่พอใจ ก่อนจะดีดตัวขึ้นมาแล้วหันขวับไปมองคนน้องอย่างงอน ๆ

“ตื่นแล้ว! พอใจมึงยัง!”

สิงยกยิ้มกว้างจนตาหยี่เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “อรุณสวัสดิ์ครับ”

“อือ” อินทำท่าจะลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่กลิ่นอาหารลอยมาแตะจมูกของเขาซะก่อน จึงต้องหันมามองคนที่คาดว่าน่าจะเป็นต้นเหตุของกลิ่นนั้น “มึงทำอะไรกินวะ ทำไมหอมจัง”

“ข้าวต้มหมูสับครับ อาบน้ำเสร็จแล้วลงไปกินนะ เดี๋ยวสิงเตรียมไว้ให้”

รอยยิ้มแรกของวันจากอินเป็นเหมือนของขวัญสำหรับเด็กดี อินหันมาฉีกยิ้มกว้างพลางพูดทิ้งท้ายก่อนจะรีบวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำด้วยความเร็วแสง “ห้านาทีเสร็จ ไปตักรอเลย”

สิงไม่อยากอยู่รบกวน เลยกลับลงมาที่ครัวตามเดิมก่อนจะเห็นเจตที่กำลังซดน้ำซุปหยดสุดท้ายในชามข้าวต้มลงท้อง

“อร่อยเหมือนเดิมเลยเน๊อะ คนตาดีอย่างพี่ ชิดซ้ายไปเลย” เจตหันไปชมพ่อครัวหัวป่าแล้วค่อยเดินไปตักชามที่สองบนเตา

“ขอบคุณครับ เดี๋ยวพี่สิงลงมานะครับพี่เจต”

“โอเค ขอบใจนะ”

 

ห้านาทีไม่เกินจริง เพราะแค่เพียงสิบนาทีร่างโปร่งก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าห้องครัว แถมยังเดินยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันขาวเรียงสวยเข้ากับใบหน้าคมคาย

“ยิ้มอะไรขนาดนั้นย่ะ?!” เจตเห็นหน้าตาระรื่นของเด็กในสังกัดแล้วเกิดความหมั่นไส้ เลยขอแวะกระแนะกระแหน่สักหน่อย

“ยิ้มที่ได้กินของอร่อยไง ไม่ได้กินตั้งนาน เพราะไอ้เวรเสือคนเดียวเลย ห่วงน้องอยู่ได้” อินพูดพลางเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ ก่อนที่พ่อครัวจำเป็นจะยกชามข้าวต้มมาเสิร์ฟให้ตรงหน้าพร้อมกับกาแฟดำเครื่องดื่มสุดโปรด

“พูดถึงเสือ ฉันก็คิดถึงมันขึ้นมาเลย” ช่วงนี้ผู้จัดการร่างเล็กรู้สึกอ่อนไหวทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของเด็กในสังกัดอีกคนที่เพิ่งลาโลกไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

ตามสันดานเดิมที่ชอบพูดไม่คิด พอได้ยินผู้จัดการพูดแบบนั้นก็เกิดอาการเลิกลักนั่งไม่ติดพื้น เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคำพูดเรื่อยเปื่อยของตัวเองเผลอไปสะกิดจุดอ่อนไหวของใครเข้า อินวางช้อนข้าวต้มไว้ในถ้วยก่อนจะยื่นมือไปลูบหลังเจต “มันไปสบายแล้วพี่ อย่างห่วงมันเลย ห่วงผมดีกว่า เมื่อไหร่ผมจะได้นอนตื่นสายบ้างอะ ตื่นเช้ามาหลายวันแล้วนะ ง่วง!” ปลอบยังไงให้คนฟังแสลงหูเป็นความสามารถพิเศษของอินขนานแท้

“ได้ข่าวว่าเมื่อวานแกหยุด แล้วแกก็หายหัวออกไปจากวัดตั้งแต่บ่าย คือยังไง?!กลับบ้านดึก หรือ เช้า?!”

“ก็ไม่ดึกหรอก แต่…” อินหันมามองตาสิงพลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานแล้วทำเอาขนอ่อนลุกสู้ “เอาเป็นว่าผมไม่ได้กลับบ้านดึก แต่ผมอยากมีเวลาพักผ่อนบ้างอะ” อินแสร้งทำท่าโอดครวญเพราะไม่อยากให้เจตเอ่ยถามถึงเรื่องที่เขาหายตัวไปเมื่อวาน

“เออ ๆ เคลียร์ให้แล้ว แต่วันนี้แกต้องไปถ่ายซีนที่เหลือให้หมด ส่วนพรุ่งนี้มีงานนึงที่ฉันยกเลิกไม่ได้ หลังจากนั้นแกก็เป็นอิสระแล้ว”

“จริงเหรอพี่เจต!” อินหันไปมองเจตอย่างอึ้งตะลึงงัน ไม่คิดว่าเจตจะยอมเคลียร์คิวให้เขาได้พัก ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วเจตมักจะจัดตารางงานที่ยุ่งอยู่แล้ว ให้ยุ่งเข้าไปอีก

“เออ ฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน ยิ่งเจอเรื่องไอเสือเข้าไป ฉันรู้สึกร่างกายฉันหนักขึ้นร้อยเท่า”

“พักบ้างนะครับพี่เจต” เสียงเรียบ ๆ เป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่ม ดังแทรกขึ้นระหว่างคนทั้งสองด้วยความเป็นห่วง

“ขอบใจนะสิง เสร็จงานเสือพี่ก็ว่าจะพักยาว ๆ หน่อยเหมือนกัน… ส่วนแก รีบ ๆ กิน จะได้รีบ ๆ ไป ฉันออกไปรอแกข้างนอกนะ ขอออกไปสั่งงานพวกน้อง ๆ ในทีมก่อน”

“รับทราบ!”

พอเจตเดินออกไป อินก็หันมาสนใจข้าวต้มแสนอร่อยที่อยู่ในถ้วยทันที

“เอ่อ พี่อินครับ”

อินที่ก้มลงไปกินข้าวต้มเหลือบสายตาขึ้นมามองคนน้อง “อ่า?!” (ว่า)

“เรื่องของที่เราหยิบติดมือมาเมื่อวาน เอาไงดีครับ?”

อินรีบเคี้ยวข้าวต้มในปาก แล้วกลืนลงท้องไป “มึงรู้จักใครที่พอจะรู้เรื่องพวกนี้บ้างไหม?”

สิงส่ายหน้า “ไม่มีหรอกครับ”

“งั้นเดี๋ยวกูค่อยโทรหาหลวงพ่อ เผื่อท่านจะรู้อะไร ส่วนมึงก็หาข้อมูลตามอินเทอร์เน็ตไป เอาเท่าที่ได้”

“ครับ”

“อ๋อ! กูว่านะ ถ้ามึงว่าง มึงเอาไปให้สารวัตรปราปก็ดีนะ ยังไงมันก็เป็นหลักฐานในคดี เผื่อเค้าจะมีเบาะแสอะไรเพิ่มเติม”

“แต่สารวัตรไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไม่ใช้เหรอครับ”

“กูรู้ แต่ยังไงเราก็เจอหลักฐานนี้ที่ห้องไอเสือ ยังไงมันก็เป็นหลักฐานในคดี คนแบบนั้นไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่ทำอะไรหรอก”

“ครับ ผมจะทำตามที่พี่อินบอก”

“ถ้ามึงจะไป มึงโทรมาบอกกู กูจะให้คนขับรถพาไป”

“ผมไปเองก็ได้นะครับพี่อิน ไม่ต้องเป็นห่วงสิงหรอกครับ”

“ถ้างั้นก็แล้วแต่มึง แต่มึงต้องโทรมาบอกกูว่าตอนนี้มึงอยู่ไหน ทำอะไรอยู่ แล้วก็อย่าไปในที่เสี่ยง ๆ ถ้ากูไม่รับสาย มึงก็โทรหาพี่เจต หรือไม่ก็ไอแฟน โอเคไหม”

“ครับ”

“ดีมาก! มีข้าวต้มอีกไหม กูขออีกถ้วยดิ”

สิงฉีกยิ้มกว้างก่อนจะรับถ้วยมาจากอิน แล้วหันกลับไปตักข้าวต้มให้จนเกือบล้นถ้วย

 

หลังจากที่อินออกไปทำงาน สิงก็ขึ้นไปบนห้องพระเพื่อถ่ายรูปเครื่องรางตามที่อินสั่ง แล้วค่อยลงมานั่งหาข้อมูลอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ข้อมูลที่ได้มาส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นข้อมูลของการใช้งานในด้านไสยขาว มากกว่าไสยดำ แต่รวม ๆ แล้วมันถูกใช้กับการทำเสน่ห์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เมตตามหานิยม

พี่เสือทำเสน่ห์?!

หากการคาดเดาของสิงถูกต้อง นั้นหมายความว่าพี่ชายของเขาเริ่มทำเสน่ห์ตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ แล้วหลังจากนั้นก็ยังทำมาเรื่อย ๆ แม้จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากมายแล้วก็ตาม

สิงรายงานข้อมูลความคืบหน้าให้อินรับรู้ ข้อความถูกส่งไปนานแล้ว แต่สิงก็ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับ จึงคิดว่าคนพี่คงไม่ว่าง

เด็กหนุ่มไม่อยากปล่อยเวลาให้สูญเปล่า จึงโทรนัดหมายกับปราปเพื่อนำส่งหลักฐาน ตามคำสั่งของอินก่อนจะเดินขึ้นไปหยิบเครื่องรางใส่กระเป๋าเพื่อตรงไปยังสถานีตำรวจ

เมื่อนั่งรถแท็กซี่มาจนถึงที่หมาย สิงก็เดินจ้ำอ้าวเข้าไปด้านใน โชคดีที่เจอกับเมฆ จึงทำให้สิงไม่ต้องเดินขึ้นไปบนห้องทำงานสารวัตรปราปคนเดียว

“สิงบอกว่าเจอหลักฐานในบ้านเหรอ?” หมวดเมฆชวนคุยในขณะที่เดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของปราป

“ครับ ผมไปหากับพี่อินเมื่อวาน วันนี้เลยเอามาให้ครับ”

“ทำไมพวกพี่ค้นแล้วไม่เจออะไรเลยละ?”

สิงนิ่งเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบคำถามเมฆยังไงให้ฟังดูเข้าท่า “เอ่อ สิงเจอตอนเข้าไปเก็บของที่ห้องของพี่เสือครับ”

“อ๋อเหรอ?!เออ แปลกดี”

 

เมฆเคาะประตูตามมารยาทก่อนจะผลักประตูเข้าไปเมื่อเจ้าของห้องอนุญาต เมฆให้สิงเดินนำเข้าไปก่อนส่วนตัวเองค่อยเดินตามเข้าไปทีหลัง

สิงยกมือไหว้ทักทายคนแก่กว่า “สวัสดีครับสารวัตร”

“หวัดดี นั่งก่อนซิ”

หมวดเมฆจูงมือเดินพาสิงไปนั่งรออยู่บนโซฟารับแขก ส่วนสารวัตรปราปที่นั่งทำงานอยู่ก้มลงไปพิมพ์อะไรยุกยิก ๆ อยู่ครู่นึงถึงค่อยเดินมานั่งข้างเด็กหนุ่ม

“เจอหลักฐานเพิ่มเติมเหรอ?”

“ครับ พี่อินบอกให้เอามาให้สารวัตรครับ” สิงทำท่าจะล้วงมือเข้าไปในย่ามเพื่อหยิบของออกมา

“แล้วคุณอินละ” เมื่อได้ยินชื่อของคนที่สนใจก็ขอถามสักหน่อย เผื่อโชคดีได้เจอ พ่วงด้วยสายตากรุ้มกริ่มของเมฆที่ลอบมองผ่านหางตา

สิงจำต้องเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามสารวัตรปราป แต่ก็แอบรู้สึกตงิดอยู่ในใจ “พี่อินไปทำงานกับพี่เจตตั้งแต่เช้าแล้วครับ”

สีหน้าหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด เมฆอดไม่ได้ที่จะ แอบอมยิ้มกับความซื่อตรงต่อความรู้สึกของผู้บังคับบัญชาที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น

“อ้าว แล้วมาไงอะเรา”

“นั่งรถแท็กซี่มาครับ” พูดพลางก็ยื่นของในมือไปให้สารวัตรปราป

หมวดเมฆจึงต้องกุลีกุจอเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมารองรับเพื่อไม่ให้มีลายนิ้วมือติดอยู่บนหลักฐาน

“มีแค่สิงกับคุณอินใช้ไหม ที่จับหลักฐานชิ้นนี้?” ปราปพูดพลางยื่นมือไปหยิบหลักฐานมาจากหมวดเมฆเพื่อสำรวจดู

“ครับ”

ปราปก้มลงไปสำรวจของที่อยู่ในมือด้วยความแปลกใจ ของในมือดูเป็นเครื่องรางของขลัง มากกว่าจะเป็นหลักฐานในคดีที่มีคนตาย

“ทำไมถึงคิดว่าของพวกนี้เป็นหลักฐานในคดีละ”

“เอ่อ…ผมเจอมันในห้องนอนของพี่เสือครับ ส่วนที่บอกว่าทำไม...”

เสียงที่ขาดห้วงไปในประโยคสุดท้ายทำให้ปราปรู้ได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดถึงอะไร จึงได้พูดขัดขึ้นมาทันควัน “โอเค ขอบใจนะ”

“ในห่อผ้ามีสีผึ้งด้วยน่ะครับ มันวางอยู่ข้างกัน ผมคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ผมเลยหยิบมาด้วย”

คำพูดของสิงทำให้ปราปนึกถึงผลการชันสูตรที่รามเคยพูดว่าพบสีผึ้งชนิดเดียวกันอยู่บนริมฝีปากของผู้เคราะห์ร้ายทั้งสอง เขาถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มอย่างตลึงงัน ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าให้กลับไปเรียบเฉยตามเดิม “โอเค ขอบใจมาก” ปราปจำได้ว่าทั้งเขาและรามไม่เคยมีใครพูดเรื่องนี้ แม้กระทั่งตอนที่ญาติมารับศพ รามก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้

ไอเด็กนี้เห็นผีจริง ๆ หรือมันแค่เดาเก่ง?!

“ผมขอถามเรื่อง…” สิงเอ่ยปากถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะรู้ว่าปราปไม่สามารถพูดเรื่องคดีของเพรียวและเจเจให้คนนอกอย่างเขารับรู้ได้ แต่ถ้าปราปยอมบอก มันก็จะเป็นข้อมูลที่เขาสามารถใช้สืบสาวหาความจริงเรื่องคดีของเสือได้

“คดีคุณเพรียวกับคุณเจเจเหรอ?” ปราปถามด้วยใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์

“ครับ”

“หมอรามลงความเห็นแล้วว่าสาเหตุการเสียชีวิตของทั้ง 3 คนเหมือนกัน”

สิงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันทีที่ได้ยินคำตอบ “ฆาตกรคนเดียวกันเหรอครับ?”

ปราปถอนหายใจเฮือกใหญ่กับความซับซ้อนของคดีนี้ “ก็มีความเป็นไปได้ อย่างที่สิงรู้ คุณเสือเสียชีวิตจากสารพิษ ไม่มีร่องรอยการถูกทำร้าย ฉันเลยไม่สามารถบอกได้ว่าถูกฆาตกรรมหรือฆ่าตัวตายกันแน่”

“นอกจากสาเหตุการตายที่เหมือนกันแล้ว มีอะไรที่เหมือนกันอีกใช่ไหมครับ?”

หัวคิ้วของปราปขมวดเข้าหากันจากความสงสัยใคร่รู้ “คุณรู้ได้ยังไง?”

สิงเลือกที่จะไม่ตอบและทำสีหน้านิ่งเฉย เพราะเขาเคยบอกอีกฝ่ายแล้วแต่ปราปเลือกที่จะไม่เชื่อ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากนั้นอีก “…”

ปราปยกยิ้มมุมปากพลางพ้นลมหายใจออกมาทางจมูก “ใช้! เราพบร่องรอยขี้ผึ้งในร่างของผู้ตายทั้งหมด แต่ผมคงบอกคุณไม่ได้ว่าเราพบมันตรงไหน”

สิงได้แต่ยิ้มหน้าเจื่อนกับคำพูดแดกดันของปราป เขารู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้ และเขาเองก็ไม่คิดจะโกรธเคืองอีกฝ่ายในเรื่องความเชื่อที่ไม่ตรงกัน “เจอหลักฐานที่บ้านพวกเค้าบ้างไหมครับ?”

“ไม่เจอ”

“สิงอยากไปลองช่วยหาดูไหมล่ะ เผื่อจะเจอ” เมฆที่นั่งฟังคนทั้งคู่คุยกันอยู่นาน จึงแกล้งเอ่ยปากแซวเพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในห้องคุกรุ่นมากเกินไป

“ได้เหรอครับ?!” เด็กหนุ่มถามอย่างไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแค่พูดประชดเล่นขำ ๆ เท่านั้น

“เห้ย! ไม่ได้หรอก พี่พูดเล่น” เมฆท้วงขึ้นมาทันที ใครจะไปคิดว่าไอเด็กนี้จะเอาจริง

สิงทำหน้ามุ่ยอย่างผิดหวัง

ปราปนั่งมองเด็กหนุ่มพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เหมือนความคิดทั้งสองด้านของเขากำลังตีกันอยู่ในหัว แต่สุดท้ายเขาก็ฝืนความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้

“ไปไหมล่ะ ฉันพาไป” ปราปพูดแทรกด้วยเสียงและใบหน้าเรียบเฉย คนทั้งสองที่นั่งฟังอยู่แทบจะตีความไม่ถูกว่าตำรวจยศใหญ่กำลังพูดเล่นหรือเอาจริงกันแน่

“สารวัตร?!” เมฆเรียกหัวหน้าเสียงหลง ไม่คิดว่าคนที่เถรตรงอย่างปราปจะยอมให้คนนอกเข้าไปในพื้นที่เกิดเหตุ

ปราปหันมาจ้องตาหมวดเมฆเพื่อย้ำชัดถึงความมั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองแล้วค่อยหันมาถามเอาคำตอบจากเด็กหนุ่มอีกที “เอาไง จะไปไหม?”

“เอ่อ…ไปได้เหรอครับ?” สิงถามย้ำอีกรอบ

“ได้ซิ ถ้าฉันพาไป”

“งั้นผมขอไปโทรหาพี่อินก่อนได้ไหมครับ”

“เอาซิ” 

ปราปตอบตกลง สิงจึงเดินออกไปนอกห้องเพื่อโทรหาคนพี่ รออยู่ไม่นานเสียงทักทายตามแบบของร่างโปร่งก็ดังขึ้นมาจากปลายสาย

[ว่าไงสิง]

“พี่อินครับ สิงเอาหลักฐานมาให้สารวัตรปราปที่สน. แล้วนะครับ”

[ดีมาก แล้วสารวัตรว่าไงบ้าง]

“สารวัตรรับหลักฐานไปแล้วครับ ผมบอกสารวัตรตามที่พี่อินแนะนำ”

[โอเค แล้วนี่กำลังกลับบ้านเหรอ?]

“เอ่อ… เปล่าครับ ผมจะโทรมาขอออกไปข้างนอกกับสารวัตรปราปครับพี่อิน”

[ไปไหนวะ?] น้ำเสียงของอินเริ่มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด... อาการหวงน้องกำเริบ

สิงรู้ดีว่าอินอาจไม่อนุญาต แต่หากพลาดครั้งนี้ไปเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหาวิธีไหน สืบหาเบาะแสของคดีนี้ได้อีก “สารวัตรอยากให้ผมไปลองหาหลักฐานที่บ้านของคุณเพรียวกับคุณเจเจครับ”

[มึงจะบ้าเหรอไอสิง! แค่ที่บ้านพี่มึงยังหลอนไม่พออีกเหรอวะ?!] อินตะโกนเสียงดังอย่างหงุดหงิดและกระวนกระวายใจ เป็นห่วงว่าหากปล่อยสิงไปคนเดียว จะเกิดเรื่องแบบที่บ้านเสืออีก

พออินขึ้นเสียงเด็กน้อยอย่างสิงเกิดกลัวคนพี่จะพาลมาโกรธตัวเองเหมือนกัน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ไป ถึงได้ทำใจดีสู้เสือใช้เหตุผลเข้าสู้ “แต่ถ้าผมช่วยสารวัตรปราปหาหลักฐานได้ เราอาจจะได้เบาะแสเพิ่มเติมในคดีก็ได้นะครับ”

อินแปลกใจที่สิงยังคงเถียงอย่างไม่ลดราวาศอก แต่ถึงยังไงเขาก็ยังไม่วางใจ ปล่อยให้น้องไปทำเรื่องอัตรายโดยไม่มีเขาไปด้วย [มันอันตราย! แค่มึงไปกับกูสองคนที่บ้านไอเสือกูก็หัวใจจะวายตายละ นี้มึงจะไปโดยไม่มีกู มึงจะบ้าเหรอไอสิง?!]

“ผมไม่เป็นไรครับพี่อิน สารวัตรปราปก็ไปกับผมด้วย” สิงพยายามพูดชักจูงให้อีกฝ่ายคล้อยตาม

[แต่ไอสารวัตรนั้นมันไม่เชื่อเรื่องผีสาง มันจะไปปกป้องมึงได้ยังไง]

“อาจจะได้ก็ได้ครับ”

[มึงหมายความว่ายังไง?] อินถามอย่างอดสงสัยไม่ได้

“สารวัตรปราปเขาเป็นคนจิตแข็งมากเหมือนพี่อินไงครับ”

[กูที่จิตแข็งแล้วยังโดนดีเลยไอสิง สารวัตรปราปยิ่งปากไม่ดี ถ้าไปลบหลู่ เขาไม่เอาตายเลยเหรอ] 

สิงแอบอมยิ้มกับความเถรตรงของคนพี่ “ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันครับ ผมแค่คิดว่าถ้าไปเราอาจจะได้เบาะแสเพิ่มเติม แต่ถ้าพี่อินไม่อนุญาตก็ไม่เป็นไรครับ ไว้เราหาทางอื่นกันก็ได้”

อินแอบถอดถอนใจกับความดื้อของสิง ตั้งแต่รู้จักกันมาหลายปี สิงดื้อนับครั้งได้ เขาจึงไม่ค่อยมีวิธีรับมืออย่างอื่นนอกจากตามใจให้มันจบ ๆ [ไม่เป็นไร แต่มึงต้องรอกูก่อน ช่วงเที่ยง ๆ กูว่าง เดี๋ยวกูไปด้วย]

“เอาแบบนั้นจริง ๆ เหรอครับพี่อิน”

[เออ แบบนี้แหละ กูไปทำงานก่อน แค่นี้นะ]

ร่างโปร่งพูดจบก็วางสายไปทันที สิงจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากเดินเข้าไปบอกสารวัตรปราปตามที่ตกลงกับอิน อีกฝ่ายเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรกับการที่อินจะไปด้วย ออกจะดีใจด้วยซ้ำ

ปราปให้สิงรออยู่ในห้อง ส่วนตัวเองก็ลงมาทำงานที่ห้องของหน่วยสืบสวนแทน

ระหว่างทางเดิน หมวดเมฆมีท่าทีลังเลไม่รู้จะเอ่ยปากถามดีไหม ปราปที่เดินมาด้วยกันพอจะดูออก เพราะทำงานด้วยกันมานานพอสมควรจึงเอ่ยปากพูดก่อน

“กูคิดดีแล้ว ที่กูพามันไปเพราะอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

“อะไรเหรอครับสารวัตร”

“เรื่องที่กูติดใจไง ว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายหมู่รึเปล่า”

“ถ้าเจอหลักฐานแล้วมันจะช่วยบอกได้เหรอครับ”

“ได้ซิ ดูจากของที่อยู่ในมือมึง มึงคิดว่าคุณเสือเขาจะฆ่าตัวตายไหมล่ะ”

“หมายความว่าไงครับสารวัตร”

“ของที่อยู่ในมือมึง มันเหมือนพวกเล่นของ คนทั่วไปเขาไม่ซ่อนของบูชาพวกนี้ไว้มิดชิดขนาดนั้นหรอก ถ้ามันไม่ใช้ของไม่ดี”

“นี้สารวัตรเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอครับ” เมฆถามอย่างอดแปลกใจไม่ได้ ที่ได้ยินหัวหน้าพูดเรื่องเล่นของเป็นตุเป็นตะ ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่คิดจะเงี่ยหูฟังด้วยซ้ำ

“กูไม่ได้เชื่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ป่ะ ว่ามีคนบูชาอะไรพวกนี้ แล้วหนึ่งในนั้นก็คือคุณเสือ ถ้าเค้าซ่อนมันเอาไว้ขนาดนี้ก็แปลว่ามันไม่ใช้ของบูชาทั่วไป เท่าที่กูรู้ คนที่เล่นของอะไรพวกนี้หวังผลกันทั้งนั้น แล้วจะฆ่าตัวตายไปทำไมวะ”

หมวดเมฆพยักหน้าคล้อยตามการวิเคราะห์ของปราป “ถ้างั้นสารวัตรจะทำยังไงกับหลักฐานชิ้นนี้ครับ”

“มึงไปหาข้อมูลมาว่ามันใช้ทำอะไร ส่วนหลักฐานนี้ ช่วยเอาไปให้ไอรามที เดี๋ยวกูโทรบอกมันเอง”

“ได้ครับสารวัตร”

“รายงานการสอบปากคำพยานในคดีคุณเจเจมึงทำเสร็จแล้วใช้ไหม”

“เสร็จแล้วครับสารวัตร”

“เออ ขอบใจ มึงไปเหอะ ขับรถดี ๆ”

 

เจ้าหน้าที่ทุกคนที่อยู่ในห้องสืบสวนเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาเยือน พอเห็นว่าเป็นสารวัตรหนุ่มนายใหญ่ของสน. ก็ค้อมหัวให้ ทำความเคารพแบบเป็นกันเองเพราะรู้อยู่แล้วว่าปราปไม่ใช้คนถือยศถืออย่าง ต่างจากเด็กที่เพิ่งบรรจุใหม่ที่รีบลุกขึ้นตะเบ๊กันเต็มรูปแบบ 

“จ่า ช่วยพิมพ์รายงานการสอบสวนพยานในคดีคุณธีรภพให้ผมหน่อย”

“ได้ครับสารวัตร”

สั่งงานเสร็จแล้วจึงค่อยเดินไปนั่งบนโต๊ะทำงานของลูกน้องคนสนิท รออยู่ครู่นึงนายตำรวจวัยกลางคนที่ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอยร่องลึกโผล่มาให้เห็นนำเอกสารมาวางไว้ตรงหน้า

“ขอบคุณครับ” ปราปรับเอกสารการสอบสวนมาพลิกอ่านดูไปทีละบรรทัดอย่างตั้งใจ

จอห์นเล่าว่ามีเด็กตาบอดคนนึงไปหาเจเจในวันที่เขาเสียชีวิต หลังจากช่วงหกโมงเย็น บ้านหลังนั้นก็ไม่มีคนเข้าออก เพราะทุกคนเลิกงานกันไปหมดแล้ว จะเหลือก็แค่จอห์นที่เป็นเพื่อนกับเจเจจึงสามารถอยู่ต่อได้ แต่ก็ถูกไล่ออกมาในช่วงประมาณสามทุ่ม เพราะเจเจบอกว่าต้องสวดมนต์นั่งสมาธิ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเจเจเป็นสายมูตัวยง ทั้งบูชา ทั้งทำพิธี เรียกได้ว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็จะเอาด้วยกล

รายงานที่เมฆเขียนเองก็เป็นไปในทางเดียวกัน พนักงานที่ทำงานกับเจเจทุกคนรู้ว่าเขาเป็นสายมูตัวยง บ้านและออฟฟิศถูกออกแบบตามหลักโหราศาสตร์และฮวงจุ้ย ห้องพระที่อยู่บนชั้นสองของบ้าน ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปแม้กระทั่งกับจอห์นเองก็ตาม ในส่วนของคู่อริก็มีไปทั่ว เนื่องจากนิสัยใจร้อนและปากร้ายของเจเจ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการขัดแย้งกันในเรื่องธุรกิจ ไม่น่าจะขัดแย้งกันจนลงมือฆ่าได้

ปราปวางรายงานลงบนโต๊ะ แล้วค่อยทิ้งตัวลงพิงกับพนักพิงเก้าอี้ เขายกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองจากความเหนื่อยล้าที่ไม่รู้จบกับคดีที่ยังไม่มีความคืบหน้า

“ไหวไหมครับสารวัตร” นายสิบคนหนึ่งถามพลางวางแก้วกระดาษที่เต็มไปด้วยกาแฟทรีอินวันส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้อง

“หึ ไม่ไหวได้ด้วยเหรอ ว่าแต่เรื่องกล้องไปถึงไหนแล้ว?” ปราปเอื้อมไปหยิบแก้วกาแฟมาดื่มพลางมองจ้องอย่างรอคำตอบที่น่าฟัง

“ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลยครับสารวัตร คนที่เข้าออกบ้านหลังนั้นก็มีพวกพนักงาน นอกจากนั้นก็มีเด็กที่ชื่อสิง แล้วก็สารวัตรกับหมวดเมฆ ที่เข้าไปในบ้านหลังนั้นครับ”

“กล้องวงจรปิดที่เสีย ทางฝั่งไซเบอร์ว่าไงบ้าง”

“กู้ไม่ได้ครับสารวัตร เพราะมันไม่ได้เสีย แต่เหมือนมีเงาอะไรมาบังเอาไว้”

“เหมือนกับกล้องที่บ้านคุณเสือกับคุณเพรียว?”

“ครับ”

ปราปพยักหน้าให้ อีกฝ่ายจึงเดินกลับไปทำงานต่อ ส่วนตัวเขาก็นั่งทำงานอยู่ครู่นึง ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องทำงานของตัวเองในช่วงเวลาใกล้เที่ยง แต่พอกลับมาถึงห้องกลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กหนุ่ม เห็นเพียงย่ามหนึ่งใบที่เจ้าตัวนำมาด้วย

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“เข้ามา!” ปราปที่นั่งจดจ่ออยู่กับงานในแล็ปท็อปตะโกนบอกโดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองผู้มาเยือน

“สวัสดีครับสารวัตรปราป” อินเอ่ยปากทักทายเจ้าของห้อง

ทันทีที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ปราปก็รีบละสายตาจากงานตรงหน้าทันควัน พลางเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มอย่างเป็นกันเอง “สวัสดีครับคุณอิน”

“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมกับสิงมารบกวน”

“เชิญนั่งก่อนครับ” ปราปลุกขึ้นยืนแล้วผายมือไปทางโซฟารับแขก “ไม่เป็นไรครับ ถือว่ามาช่วยงานราชการ” ปราปพูดต่อหลังจากที่ทุกคนนั่งลงแล้ว

“ว่าแต่…ทำไมสารวัตรถึงยอมให้สิงไปค้นบ้านเหยื่อในคดีละครับ” อินถามดูเพื่อหยั่งเชิงอีกฝ่าย

“พวกผมค้นยังไงก็ไม่เจออะไร แต่คุณอินกับสิงดันเจอ ลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนิครับ” ปราปตอบอ้อม ๆ

อินพอจะอ่านจากสีหน้าของอีกฝ่ายได้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา และอีกอย่างเขาก็ไม่ใช้เด็กอ่อนต่อโลก ที่จะเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอ้อมโลก “งั้นเราไปกันเลยไหมครับ”

“ได้ครับ”

 

ปราปให้ลูกน้องขับรถตามมาอีกสองสามคน ส่วนตัวเองก็ขับรถส่วนตัวพาอินและสิงตรงไปยังบ้านของเพรียว

“สารวัตรครับ นายตำรวจที่ไปเฝ้าหน้าบ้านคุณเจเจเป็นยังไงบ้างครับ” สิงที่นั่งอยู่เบาะหลังถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด จากคำขอที่กะจะช่วยชีวิตเจเจแต่กลับทำให้คนอื่นตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ได้คิดให้รอบคอบ

“กลับบ้านได้แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” 

“แล้วพวกเค้าอาการเป็นยังไงบ้างครับ?”

“หมอบอกว่าพักผ่อนน้อย แต่พวกนั้นบอกฉันว่าอยู่ดี ๆ ก็รู้สึกง่วง แล้วก็หลับไปเลย”

“โดนใครวางยารึเปล่าครับ” อินเสนอความเห็น

“ไม่เจอสารอะไรในเลือดครับ”

อินพยักหน้ารับช้า ๆ ในหัวพลันมีความคิดนึงโผล่ขึ้นมา โดยที่เจ้าตัวเองก็ถึงกับทะเลาะกับตัวเอง เพราะปกติก็เคยดูแค่ในละครเท่านั้น ในชีวิตจริงไม่น่าจะมีใครทำเรื่องอะไรแบบนี้ได้…

ใครจะไปมีเวทมนตร์ทำให้คนสลบได้วะ?!

 

รถของปราปและรถของสน.ที่แล่นตามหลังมา กำลังเลี้ยวหัวเข้ามาในหมู่บ้านที่ตั้งบ้านของเหยื่อรายที่สอง แต่ไม่ทันที่ยามหน้าหมู่บ้านจะได้สอบถามข้อมูล จู่ ๆ ฟ้าก็ร้องคำรามเสียงดัง เปรี้ยง!!! จนคนที่นั่งฝั่งข้างคนขับสะดุ้งโหยง อาจเป็นเพราะผลพวงจากเรื่องเมื่อวานทำให้อินขวัญอ่อนมากกว่าปกติ

“เชี้ย!”

“คุณอินเป็นอะไรรึเปล่าครับ” สารวัตรปราปที่กำลังเปิดกระจกรถเพื่อคุยกับยามหันกลับมาถามด้วยความเป็นห่วง

ใบหน้าของอินเริ่มซีดเผือดลงไปเรื่อย ๆ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อวาน มือเรียวเริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาทีละเล็กทีละน้อย

“ไม่เป็นไรครับ” อินตอบเสียงสั่น โดยที่เจ้าตัวเองก็พยายามข่มใจเอาไว้

ปราปอดเป็นห่วงไม่ได้แต่ตอนนี้คงต้องหันไปคุยกับยามหน้าหมู่บ้านก่อน เขาพูดคุยกับยามไม่นานประตูกั้นก็ถูกยกขึ้น ขบวนรถจึงเคลื่อนตัวเข้าไปในหมู่บ้านได้

ท้องฟ้ามืดครึ้มจากเดิมที่สว่างไสวไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก สิงที่นั่งอยู่เบาะหลังยกมือขึ้นไปบีบไหล่ของอินเบา ๆ เพื่อปลอบให้อีกฝ่ายใจชื้นและบอกเป็นนัยว่าเขาจะอยู่ข้าง ๆ ไม่หนีห่างไปไหน

อินรับรู้ได้ถึงสัมผัสของน้อง จึงยกมือขึ้นไปตบมือน้องบนบ่าตัวเองเบา ๆ เป็นการตอบรับความห่วงใย

เมื่อจอดรถเสร็จปราปก็รีบลงไปสั่งงานกับลูกน้องตามด้วยสิงที่ออกไปยืนจ้องบริเวณชั้นสองของบ้านแบบตาไม่กะพริบ ส่วนอินยังคงนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในรถก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออก เรียกขวัญกำลังใจให้กับตัวเองแล้วค่อยก้าวตามออกไปเป็นคนหลังสุด

“มีอะไรวะสิง” อินที่เพิ่งลงมาจากรถเห็นน้องเงยหน้ามองบนชั้นสองเหมือนที่เคยทำที่บ้านเสือก็อดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ถึงแม้จะแอบกลัวคำตอบก็ตาม

สิงส่ายหน้าก่อนจะหันกลับมาระบายยิ้มอ่อนให้อิน “ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“ไม่ต้องพูดให้กูรู้สึกดีขึ้นหรอก เมื่อวานกูก็เห็นมึงเป็นแบบนี้”

“ผมไม่อยากพูดให้พี่อินกลัวนิครับ”

“กูกลัวตั้งแต่ที่โรงพักละเหอะ แล้วตกลงมีไร”

“แบบเดียวกับบ้านพี่เสือนั่นแหละครับ”

อินกลืนน้ำลายเหนียวลงคอด้วยความยากลำบาก เพราะความหนืดที่เพิ่มขึ้นตามระดับความกลัว หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นจนทำให้เหงื่อผุดออกมาตามกรอบหน้า “ตัวเดียวกันเลยเหรอ”

สิงส่ายหน้า “ไม่ใช้หรอกครับ”

อิงทำสีหน้าโอดครวญพลางพร่ำบ่นอย่างรำคาญปนกลัว “คนพวกนี้ไม่มีอะไรทำเหรอวะ กูอยากจะบ้าตาย”

“พี่อินรออยู่ข้างล่างดีกว่านะครับ”

“ไม่! กูไม่อยากปล่อยมึงไปคนเดียว” อินตอบเสียงแข็ง

“แต่พี่อินกลัวนิครับ”

“แค่กลัว ไม่ตายหรอก”

“อย่าพูดแบบนั้นครับ มันไม่ดี”

“เออ ๆ”

“ผมว่าเราเข้าไปข้างในดีกว่าครับ เหมือนฝนกำลังจะตก” ปราปที่เพิ่งสั่งงานลูกน้องเสร็จ เดินกลับมาหาสองคนพี่น้องที่ยืนคุยกันอยู่ข้างรั่วบ้าน

ทุกคนเดินตามกันเข้าไปในบ้านของเพรียว ปราปเป็นถือกุญแจบ้านจึงเดินนำเข้าไปก่อน เมื่อไขกุญแจเปิดประตูบ้านเสร็จ ก็หันกลับมาสั่งให้นายตำรวจสองคนที่ตามมาด้วยยืนคุมอยู่ที่หน้าบ้าน โดยที่เจ้าตัวไม่ได้หันกลับไปมองเลยว่าอะไรกำลังรอต้องรับอยู่หลังประตู

มันยกยิ้มรอต้องรับทุกคนเข้าไปในบ้าน

ชายวัยกลางคน ผิวกายดำขลับราวกับผิวหนังถูกเผาไหม้เป็นตอตะโก ผิวหนังห้อยย้อยคล้ายเทียนไขที่ถูกละลายจากความร้อน นัยน์ตากลวงโบ๋ ยืนอยู่ใกล้ปราปจนแทบจะหายใจรดต้นคอ หากมันยังมีลมหายใจอยู่

สิงรับรู้ถึงวิญญาณตนนั้นจากกลิ่นเนื้อสดถูกเผาไหม้และกลิ่นเหม็นเน่าจากน้ำเหลืองที่กำลังไหลย้อยไปตามร่างกายของมัน กลิ่นลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณหน้าบ้านจนเด็กหนุ่มต้องหย่นจมูกหนี

เด็กหนุ่มเอื้อมไปคว้ามือของอินที่ยืนอยู่ด้านข้างมากุมเอาไว้ ร่างโปร่งหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยก่อนที่สีหน้าจะแปรเปลี่ยนไปเป็นซีดเผือดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าทำไมจู่ ๆ ไอเด็กหมายักษ์ของเขาถึงคว้ามือไปกุมเอาไว้ อินจึงกระชับแรงบีบบนฝ่ามือให้แน่นขึ้นอีก

ปราปหันกลับไปมองภายในตัวบ้าน โดยที่เจ้าตัวมองไม่เห็นสิ่งที่ยืนรอต้องรับพวกเขาอยู่เลย แต่ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในบ้าน ผีตนนั้นก็หายวับไปกับตา

สิงจูงมืออินตามปราปเข้าไปในบ้าน นายตำรวจหนุ่มยกมือขึ้นไปเปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะหันมามองสังเกตคนที่เดินตามหลังมาตามสัญชาตญาณ แต่ดันเหลือบไปเห็นมือที่เกาะกุมกันอยู่อย่างแนบแน่นของสองพี่น้องที่ทำให้ก้อนเนื้อตรงอกเขารู้สึกวูบโหวงแปลก ๆ

“เริ่มหาจากตรงไหนก่อนดี?” ปราปเลิกให้ความสนใจกับสิ่งเร้า แล้วหันมาจดจ่อกับงานตรงหน้าต่อ

สิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งพลางนึกถึงสิ่งที่เขาสัมผัสได้ที่หน้าบ้าน “ห้องข้างบนขวามือครับ”

หัวคิ้วสารวัตรหนุ่มขดเป็นปมใหญ่อยู่กลางหน้าผาก พลางคิดว่าไอเด็กหนุ่มตาขาวนี้รู้ที่ตั้งของห้องนอนเพรียวได้ยังไงทั้ง ๆ ที่เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก

ปราปเดินตรงไปยังบันไดที่อยู่ถัดจากประตูทางเข้าบ้าน แต่มองไม่เห็นสวิตช์ไฟของชั้นสองจึงหยิบไฟฉายที่พกติดตัวตลอดขึ้นมาเปิด

 

เปรี้ยง!!!

เสียงฟ้าผ่าดันสนั่นหวันไหว จนรู้สึกว่าฝ้าเพดานแทบจะล้มครืนลงมา ในขณะที่สิงก้าวเท้าขึ้นไปบนบันไดชั้นแรก อินที่เดินตามหลังมาตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว เสียงที่ควรจะแผดออกมาด้วยความตกใจก็ถูกกลืนหายลงไปในลำคอ

เด็กหนุ่มกระชับมือที่เกากุมมือเรียวให้แน่นกว่าเดิม เพื่อให้อินรู้ว่าเขายังอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา

สิงเริ่มก้าวตามปราปขึ้นไปบนชั้นสอง บันไดบ้านเป็นแบบสองช่วง สิงเดินผ่านช่วงแรกที่หันไปทางหน้าบ้านไปได้ พอจะก้าวขึ้นไปบนบันไดช่วงที่สองที่หันไปทางห้องหับทั้งหมดบนชั้นสอง เด็กหนุ่มดันได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมาเบา ๆ

“หึ”

เสียงหัวเราะทุ้มต่ำในโพรงจมูกดังออกมาให้สิงได้ยินแว่ว ๆ พร้อมกับกลิ่นเนื้อถูกเผาไหม้กลิ่นเดิม

ปราปเดินตรงมาที่หน้าห้องนอนของเพรียว แต่ทันทีที่เอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตู กลับไม่สามารถเปิดได้ คล้ายถูกล็อกจากภายใน

“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวผมไปขอกุญแจมาจากลูกน้องก่อน ไม่รู้พวกมันจะล็อกทำไม” ปราปหันไปพูดกับอินและสิงพลางบ่นปลอย ๆ ก่อนจะยื่นไฟฉายที่ตัวเองถือไปให้อิน แล้วค่อยเดินกลับลงไปที่ชั้นหนึ่งของบ้าน

ทิ้งให้อินและสิงยืนอยู่กับความเงียบที่ดูวังเวงชอบกล

สิงพยายามสื่อสารกับ ‘ผีตายาย’ ที่ปกติเขามักจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายจะคอยอยู่ข้าง ๆ เสมอ แต่ครั้งนี้กลับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย นอกจากความว่างเปล่า

“มันเข้ามาไม่ได้”

“มันช่วยมึงไม่ได้”

“ให้กูช่วยไหมล่ะ?!”

เสียงทุ้มต่ำของผีตนนั้นดังขึ้นมาตรงหน้าสิง ใบหน้าห่างกันเพียงแค่คืบเดียว แต่เขาสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย นั้นยิ่งตอกย้ำว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า…ไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ใบหน้าสีดำเป็นตอตะโกเอียงคอมองสิงพลางแสยะยิ้มจนเห็นฟันดำภายในโพรงปากที่เต็มไปด้วยเลือดข้นไหลย้อยออกมาตรงมุมปาก

สิงกลืนน้ำลายลงคอ ปล่อยมือที่กุมมืออินเอาไว้ชั่วคราว เขาประนมมือไว้กลางอก หลับตาลงแล้วตั้งสมาธิให้มั่นก่อนจะบริกรรมคาถาที่ได้เรียนรู้มาจากสมุดจดของทวด

 

“ตะ มตฺถํ ปะกา เสนโต สตํธา อะหะ อิเม อะวิตะ อฺ อะมิ มะสะ นะโม

นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ

ยานะ พฺทธํง ปีศาจจํงงํง”

 

สิ้นเสียงสวดวิญญาณตนนั้นก็หายวับไปทันที เป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่สิงได้ยินเสียงฝีเท้าหนักเดินขึ้นมาบนชั้นสอง

ปราปเดินขึ้นมาอย่างหัวเสียแต่พยายามเก็บอาการเอาไว้ “ไม่มีใครล็อก ผมว่าเราต้องพังประตูเข้าไปแล้วแหละ” เขาเดินผ่านสิงและอินไปยืนหน้าประตูห้อง พยายามใช้ไหล่แกร่งดังให้ประตูเปิดจนเกิดเสียงดังไปทั่วบริเวณชั้นสอง

ตึง ตึง ตึง

แต่ไม่ว่าจะใช้แรงแค่ไหนก็ไม่สามารถเปิดประตูได้ เหงื่อเริ่มไหลย้อยตรงกรอบหน้าและหน้าผากของสารวัตรปราป อินเห็นแบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะส่งผ้าเช็ดหน้าของตัวเองไปให้

“ขอบคุณครับ”

ปราปรับมันมาเช็ดหน้า แล้วใช้ไหล่กระแทกเพื่อเปิดประตูต่อ แต่ดูเหมือนจะกระแทกยังไงก็ไม่ได้ผล เจ้าตัวจึงคิดจะใช้เท้าถีบเข้าไปแทน

“ให้ผมลองหน่อยได้ไหมครับ”

ปราปเลิกคิ้วด้วยความฉงนแต่ก็ยอมถอยให้เด็กหนุ่มได้ลอง เพียงแต่เขาแค่ไม่คาดคิดว่าสิงจะเปิดด้วยวิธีนี้

สิงประนมมืออีกครั้ง เพ่งสมาธิไปที่กลอนประตู แล้วบริกรรมคาถาบทสวดอีกครั้ง

“ตะ มตฺถํ ปะกา เสนโต สตํธา อะหะ อิเม อะวิตะ อฺ อะมิ มะสะ นะโม

นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ

นะมะพะท ปะชะนะ สํงสะยะ มะพะทะนะ คะชะสาธฺ สํมมา คมมํง เอหิ อาโปอิสะรํง พะทะนะมะ คะระปฺญญํงมะโหระตํง ทะนะมะพะ สะระนิจจามะนิจจะตํง”

สิงประนมมือจรดหัวคิ้วแล้วค่อยยื่นมือไปบิดลูกบิดประตู

แกร๊ก!

บานประตูถูกเปิดออกอย่างง่ายดาย ราวกับมันไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้อยู่ตั้งแต่แรก ปราปถึงกับอ้าปากหวอ เขามองหน้าสิงอย่างเหลือเชื่อแล้วค่อยหันไปกะพริบตาปริบ ๆ มองหน้าอิน

อินทำได้แค่ระบายยิ้มแห้งพร้อมกับนัยน์ตาว่างเปล่าส่งไปให้

สิงก้าวมาตรงหน้าอิน เขาก้มลงไปกุมมืออินเอาไว้ตามเดิมแล้วจึงค่อยเดินนำเข้าไปในห้อง

“มึงไปเรียนเรื่องอะไรพวกนี้มาจากไหนวะ” อินกระซิบถามสิง

“ไว้ผมค่อยเล่าให้ฟังนะครับ”

ปราปเดินตามเข้ามาทีหลัง มองสองพี่น้องที่กำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกันอยู่ เขาไม่อยากจะไปร่วมสนทนาด้วยจึงได้ปลีกตัวไปค้นห้องแทน

สิงเดินจูงมืออินเดินเข้ามาในส่วนของห้องแต่งตัว ตามกลิ่นที่เขาสัมผัสได้ เพียงแต่กลิ่นที่เขาสัมผัสได้มันไม่ได้รุนแรงเหมือนครั้งที่บ้านของเสือ จึงทำให้เด็กหนุ่มไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาจะเจอกับอะไรแต่นี่เป็นเพียงโอกาสเดียวที่เขาจะหาหลักฐานได้ สิงจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่สุด

เด็กหนุ่มสัมผัสพิเศษเดินดมกลิ่นไปทั่วห้องราวกับหมาล่าเนื้อ แต่กลิ่นที่สัมผัสได้กลับไม่ชัดเจน ที่มาก็เหมือนจะสะแปะสะปะไปทั่วห้องราวกับ…

สิงพุ่งตัวไปยังผนังกั้นห้อง พลางยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดมอะไรบางอย่างที่อยู่ในนั้น ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ อยากจะขำก๊ากออกมา ท่าทางของคนน้องราวกับหมาอย่างที่เขาเคยล้อเลียนเจ้าตัวมาตลอด หากไม่ติดว่าที่ที่ยืนอยู่นี้ไม่ได้แตกต่างอะไรกับบ้านผีสิงสักเท่าไหร่

ฟืด ฟืด ฟืด

สิงสูดดมกลิ่นไปเรื่อย ๆ ตามฝาผนัง โดยไม่มีเสียงใดรบกวน ไม่ว่าจะจากคนเป็นอย่างอิน หรือจากคนไร้ลมหายใจอย่างวิญญาณที่เคยก่อกวนเขาอยู่เมื่อครู่ เขาดมไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งตัวหนึ่ง

เขาหยิบนู้นหยิบนี้ที่อยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาดม แต่กลับไม่เจอกลิ่นที่เขาตามหา อินเห็นแบบนั้นจึงก้มลงไปช่วยหาด้วยอีกแรง

กึก!

เสียงลิ้นชักชั้นล่างสุดสะดุด คนพี่พยายามออกแรงเขย่าเพื่อให้มันเปิดออก แต่ดูเหมือนจะติดอะไรบางอย่าง อินจึงกระตุกมือเรียกสิง

“ช่วยกูเปิดหน่อย เปิดไม่ออก”

“ครับ”

เด็กหนุ่มยื่นมือไปช่วยอินเปิดลิ้นชัก ตอนนี้มีแรงของชายหนุ่มสองคนช่วยกันเปิดแต่ก็ยังเปิดไม่ออก สร้างความแปลกใจให้คนทั้งคู่ไม่น้อยเลย

“พี่อินถอยไปก่อนครับ เดี๋ยวสิงเปิดเอง”

“อือ”

อินปล่อยมือจากมือของเด็กหนุ่ม แล้วค่อยผละออกมายืนอยู่ด้านหลัง เผื่อพื้นที่ให้น้องทำงานได้สะดวกมากขึ้น

สิงลงไปนั่งกับพื้น เขาใช้เท้ายันขาโต๊ะเอาไว้ แล้วใช้มือทั้งสองข้างออกแรงดึง

ตึง!

ลิ้นชักถูกดึงโดยใช้แรงทั้งตัวของเด็กหนุ่ม ทำเอาสิงหงายหลังลงไปกองกับพื้น อินรีบก้าวเข้ามาช่วยพยุง ก่อนที่พวกเขาทั้งคู่จะชะเง้อมองเข้าไปในช่องของลิ้นชักชั้นนั้น

สิงคลำหาสิ่งของที่อยู่ภายใน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นพวกเครื่องสำอางธรรมดา ถ้าหากไม่ใช้เพราะเขาได้กลิ่นที่เขาตาหาชัดเจนมากขึ้นจากภายใน สิงคงจะเลิกสนใจมันไปแล้ว

“เจออะไรไหมมึง?”

สิงส่ายหน้า เพราะสิ่งที่เขาสัมผัสได้ไม่มีอันไหนเลยที่ส่งกลิ่นเดียวกันกับกลิ่นที่เขาสัมผัสได้

“กูว่ามันน่าจะถูกซ่อนอยู่ในลิ้นชักนี้แหละ ไม่งั้นทำไมมันเปิดยากขนาดนั้นวะ”

สิงเห็นด้วยกับคนพี่ ไม่ใช้เพราะมันเปิดยากแต่มันเป็นเพราะกลิ่นที่แตะจมูกเขาอยู่ตอนนี้ เขายังคงควานหาไปเรื่อย ๆ มือล้วงเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างที่เย็นยะเยือกแต่นุ่มหยุ่นราวกับกำลังสัมผัสผิวเนื้ออะไรบางอย่าง

สิงรีบชักมือกลับตามสัญชาตญาณ ก่อนจะหลับตาทำสมาธิ ทำใจให้ว่างเปล่า แล้วล้วงมือเข้าไปใหม่อีกรอบ เขาล้วงเข้าไปยังจุดเดิมแต่กลับไม่พบกับสิ่งนั้นแล้ว จึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

เขาล้วงเข้าไปลึกขึ้นแต่ก็ไม่พบอะไร จึงล้วงเข้าไปในส่วนหลังลิ้นชักซึ่งมันค่อนข้างลึกมาก จนความยาวแขนเอื้อมไปไม่ถึง สิงจำต้องพยายามยืดความยาวของนิ้วเรียวเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่างตรงปลายนิ้ว สิงยืดแขนจนสุดแรงเพื่อที่จะเขี่ยเจ้าสิ่งนั้นเข้ามาใกล้

ของสิ่งนั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้นิ้วของสิงตามแรงดึง ก่อนที่มันจะกลิ้งเข้ามาในอุ้งมือของเขา

“เห้ย!”

สิงร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ในวินาทีที่เขาจะชักมือกลับออกมาจากหลังลิ้นชักโดยมีของสิ่งนั้นอยู่ในมือ จู่ ๆ ก็มีมือมาดึงข้อมือของเขาเอาไว้ราวกับว่ามันไม่ต้องการให้สิงนำของสิ่งนี้ออกไปจากที่ที่มันควรจะอยู่

“เป็นไรวะสิง” อินถามด้วยความเป็นห่วง แต่สิงไม่ยอมตอบเพราะไม่อยากให้ร่างโปร่งตื่นกลัว ทำเพียงส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้มตอบกลับไป

มือสีอมเขียวช้ำเลือดช้ำหนองเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งยังคงยื้อแย่ง ไม่ยอมผละออกไปจากข้อมือของเด็กหนุ่ม ปลายเล็บยาวดำขลับจิกเข้ามาในเนื้อหนังของสิงสร้างความเจ็บปวดให้เขาไม่น้อย

ความเจ็บปวดและความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วทั่งร่างกายของเด็กสัมผัสพิเศษ มันทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ นี้เป็นครั้งแรกที่วิญญาณสามารถสัมผัสตัวเขาได้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้ถอยก็คงจะสายเกินไป สิงจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงมือตัวเองออกมาจากการยื้อแย่งของอีกฝ่าย

พลัก!

เด็กหนุ่มหงายหลังลงไปนอนกองอยู่บนพื้นอีกครั้ง เพียงแต่งครั้งนี้แตกต่างออกไป เพราะรอบข้อมือเต็มไปด้วยรอยเล็บมีเลือดซึมออกมา

อินสังเกตเห็นก็รีบพุ่งตัวเข้าไปดึงข้อมือของน้องมาดู “เชี้ยสิง! ทำไมเป็นงี้วะ?!”

ปราปที่เดินสำรวจภายในห้องนอนจนครบ เดินเข้ามาภายในห้องแต่งตัวเห็นภาพเด็กหนุ่มล้มลงไปกองกับพื้น จึงรีบเดินมาดูสถานการณ์

“มีอะไรรึเปล่าครับ” ปราปถาม

“ไม่เป็นไรครับพี่อิน มือผมไปครูดกับลิ้นชักเฉย ๆ” สิงพูดโกหกไม่กี่ครั้งในชีวิต

แต่มีเหรอที่คนฉลาดอย่างอินจะดูไม่ออก เพียงแต่เขาเองก็ไม่อยากจะพูดหากน้องไม่อยากพูดเรื่องนี้ตอนนี้ เขายังมีเวลาอีกมากในการงัดปากเด็กที่อยู่ภายใต้ความดูแลคนนี้

สิงยื่นสิ่งของที่อยู่ในมือไปให้สารวัตรปราปดู ก่อนที่อีกฝ่ายจะเอาถุงเก็บหลักฐานมาใส่ของสิ่งนั้นเอาไว้

“นี้คืออะไร?” ปราปถามพลางจ้องมองของในถุงอย่างพินิจพิเคราะห์

 

“สีผึงมหาเสน่ห์”