"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โกลาหลกลสั่งตาย"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด
กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป
การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ
ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี
#โกลาหลกลสั่งตาย
WARNING
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม
นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น
อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ
ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)
TRIGGER WARNING
Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย
Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย
Blood มีเลือด
Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ
Cutting ใช้ของมีคม
Corpse ศพ
Dead การตาย
Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย
Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน
Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี
Ghost ภูตผี
Gore เนื้อหามีความโหดร้าย
Hallucinations มีอาการประสาทหลอน
Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ
Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต
Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย
Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ
Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ
Violence มีการใช้ความรุนแรง
Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&%3Bref=embed_page
X : https://x.com/Writer_RTKDN
TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn
เงื่อนไขในการติดเหรียญ
ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน
ตอนที่ 0-6 ฟรี!!!
อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)
ตอนพิเศษติดถาวร
(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)
Publish Date
ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024
ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์
เปิดเรื่อง : 11/10/2024
ปิดเรื่อง : 0/0/2024
“สิง!”
เสียงเรียกปลุกให้สิงตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก เมื่อลืมตาขึ้นมา ภาพตรงหน้าทำให้เขาต้องตกตะลึง เนื้อตัวแข็งค้างราวกับถูกสะกด ร่างกายรู้สึกชาตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ
เด็กหนุ่มยืนบนพื้นหญ้าด้วยเท้าเปลือยเปล่า กลิ่นโคลนและกลิ่นรวงข้าวจากบริเวณโดยรอบพัดปลิวมาแตะจมูก เสียงหมู่มวลสัตว์น้อยใหญ่และแมลงนานาพันธุ์แข่งกันกรีดร้องดังจนระงมไปทั่วทั้งผืนนากว้าง
“สิง ช่วยพี่ด้วย!”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเสือดังขึ้นจากที่ไกล ๆ ดึงสติของสิงให้กลับมาจากภาพบรรยากาศตรงหน้า เขาหันซ้ายหันขวามองพี่ชายที่กำลังตะโกนร้องเรียกหาแต่กลับไม่พบแม้แต่เงา
“พี่เสือ พี่เสือได้ยินสิงไหม!”
เด็กหนุ่มตะโกนร้องเรียกพลางก้าวเท้าวิ่งตามหาพี่ชายไปพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยเศษดินเศษหินแหลมคม แม้จะโดนบาดลึกจนสร้างความเจ็บปวดแค่ไหน สิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดวิ่ง
“พี่เสือ อยู่ไหน บอกสิงหน่อย!”
น้องชายตะโกนร้องเรียกหาพี่ชายไปตลอดทางด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นโดยลืมไปว่าอีกฝ่ายได้ตายจากไปนานแล้ว...
เถียงนา
เหมือนเขาจะเคยมาที่นี่!
สิงยืนมองเถียงนาผุพังเบื้องหน้า เขารู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเคยมาที่นี่มาก่อน และมันเหมือนมีแรงดึงดูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้าไปใกล้
ก้าวของเขาหยุดลงตรงหน้าเรือนไม้เล็ก ๆ ที่ใกล้ถล่มลงมาเต็มที บนฝ้าเพดานมีหยากไย่พันเกี่ยวไปทั่ว แมงมุมตัวจ๋อยไต่ไปมาบนอาณาเขตของมัน บนพื้นไม้ผุพังเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะก่อตัวหนาชั้นขึ้นจนแทบจะมองไม่เห็นพื้นไม้ บนขื่อคานมีผ้าขาวม้าผืนเก่าเปรอะเปื้อนดินโคลนมัดเอาไว้แน่นปล่อยชายยาวลงมาจนถึงพื้นแกว่งไกวไปตามแรงลม
พี่เสืออยู่ไหน?
สิงเดินมาจนถึงเถียงนาแต่กลับไม่พบแม้แต่เงา เด็กหนุ่มไม่รั้งรอ รีบก้าวเท้าเดินหาพี่ชายต่อ แต่ยังเดินไปได้ไม่เท่าไหร่เสียงเรียกของเสือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เสือ ชะ…ช่วย พี่ด้วย อึก”
เขารีบพลิกตัวหันหลังกลับไปตามเสียงเรียกทันที ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะทำให้เขาตัวแข็งค้าง กล้ามเนื้อหกเกร็ง และลมหายใจที่เริ่มติด ๆ ขัด ๆ ด้วยความกลัว
“อึก…อือ…สะ สิง”
ผ้าขาวม้าที่ผูกอยู่บนขื่นคาน ชายผ้าที่เคยถูกปล่อยให้ปลิวไปตามแรงลมกลับพันรอบลำคอของเสือแน่นจนห้อเลือด ใบหน้าขาวขึ้นสีแดงจัด เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนจนเห็นเด่นชัดขึ้นมา มือสองข้างยกขึ้นมาดึงทึ้งชายผ้าเพื่อให้มันคลายออก ขาซ้ายขวาแตะไปมาไร้ทิศทางตะเกียกตะกายเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ
เงาที่ยืนอยู่ข้างหลังเสือคือหญิงสาวคนนึงที่สวมชุดมโนราห์เก่าเก็บ ชายผ้าขาดวิ่นเปรอะเปื้อนไปด้วยรอยเลือดแห้งกรัง ผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง บนหัวสวมเทริดเครื่องหัวของชุดมโนราห์ปลายยอดแหลมหักครึ่ง ใบหน้าของเธอซีดเผือดปรากฎรอยเส้นเลือดฝอยตรงกรอบหน้า นัยน์ตาดำของเธอหดเล็กลงและกำลังจ้องมองไปยังเหยื่อที่อยู่ในเงื้อมมือ พร้อมกับริมฝีปากสีคล้ำที่กำลังแสยะยิ้มด้วยความสะใจ
“มันเป็นของกู!”
เธอส่งเสียงขู่เมื่อเห็นว่าสิงกำลังก้าวขาเข้ามาใกล้ ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองสิง ริมฝีปากที่เคยแสยะยิ้มหุบลงทันควัน นัยน์ตาขาวถูกแทนที่ด้วยสีแดงเลือดมองตรงมายังเด็กหนุ่มด้วยความเคียดแค้น มือข้างที่กำชายผ้าขาวม้าอีกข้างออกแรงดึงจนร่างของเสือลอยเคว้งอยู่ในอากาศ
ปลายเท้าพยายามเหยียดตรงให้ชิดพื้นเท่าที่จะทำได้ นิ้วมือทั้งสองข้างพยายามแกะดึงเชือกที่อยู่ตรงลำคอสุดแรงจนเล็บฉีกขาด เลือดไหลซึมออกมาจากเล็บทั้งสิบนิ้ว ใบหน้าที่เคยขึ้นสีแดงจัด เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
กร๊อบ!
กระดูกคอหักจากการออกแรงดึงเพียงหนึ่งครั้ง คอของเสือพับลงจนคางชิดอก ดวงตาเบิกโพลงจนแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ขาและแขนทิ้งตัวลอยเคว้งกลางอากาศ พร้อมกับสัญญาณชีพที่เหือดหายไปพร้อมกับลมหายใจ
“พี่เสือ!”
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าฉายชัดอยู่ในโสตประสาทของเด็กหนุ่ม โดยที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย เพราะแม้แต่การขยับตัวเขายังรู้สึกว่ามันทำได้อย่างยากลำบาก น้ำตาค่อย ๆ ไหลซึมออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
“ฮี่ ฮี่ ฮี่”
เธอแสยะยิ้มพลางเอียงหน้าจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า พร้อมกับการกลั้วเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ที่ได้เห็นสิงยืนมองพี่ชายตายไปต่อหน้าต่อตา
“ตาย”
“ตาย”
ริมฝีปากสีคล้ำดำสนิทเอื้อนเอ่ยคำสาปแช่ง ปลายนิ้วชี้ตรงมายังเหยื่ออีกคนที่ยังมีลมหายใจอยู่ก่อนจะสับเท้าก้าวเข้าไปหา เพียงชั่วพริบตาเดียวร่างของเธอก็มาโผล่อยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มในระยะห่างเพียงแค่คืบเดียว
“อึก!”
เด็กหนุ่มสัมผัสพิเศษอ้าปากหวอควานหาอากาศเข้าปอดเพื่อความอยู่รอด หลังจากที่ลำคอแกร่งตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของผีมโนราห์ที่มองเขาอย่างอาฆาตแค้น
แม้ชีวิตจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ความเป็นความตาย ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แต่เด็กหนุ่มก็พยายามตั้งสติพลางสวดมนต์ในใจเผื่อมันจะช่วยให้เขารอดพ้นจากความตาย
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นะโม…”
“ตัสสะ ภะคะวะโต”
“สวดต่อซิ สวด! กูก็สวดได้”
“ฮี่ ฮี่ ฮี่”
แรงบีบรัดแน่นขึ้นตามระดับเสียงหัวเราะที่แผดดังจนแสบแก้วหู ร่างของสิงถูกยกให้ลอยสูงขึ้น จนปลายเท้าแตะไม่ถึงพื้น
“โยมอิน ตื่นเถิด”
เปลือกตาของอินเบิกโพลงขึ้นทันควันที่ได้ยินเสียงเรียกของหลวงพ่อทัศ เขาหยัดกายลุกขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนพลางมองหาเจ้าของเสียง ก่อนจะพบว่าเด็กหนุ่มที่นอนอยู่ข้างกายกำลังนอนละเมอด้วยท่าทางแปลก ๆ
“อึก!”
สิงที่นอนอยู่อีกฝั่งนึงของเตียงดีดดิ้นไปมาด้วยความทุรนทุราย เล็บสั้นกุดจิกเกร็งลงบนคอของตัวเองจนเกิดรอยแผล เท้าทั้งสองข้างถีบไปมาจนผ้าห่มผืนหนาที่เคยห่มกาย ถอยร่นลงไปกองอยู่บนพื้น
“สิง สิงโว้ย!”
อินหันไปกดเปิดไฟบนหัวเตียง แล้วรีบพุ่งตัวไปเขย่าร่างเด็กหนุ่มอย่างแรงแต่ไม่มีทีท่าว่าสิงจะตื่นขึ้นมา นั้นทำให้คนพี่เริ่มกระวนกระวายใจเพิ่มแรงเขย่าให้สุดแรง
“สิง สิงได้ยินพี่ไหม สิง!”
“อึก…อือ…”
“เชี้ยแม่ง!”
อินสบทอย่างขัดใจก่อนจะง้างฝ่ามือขึ้นแล้วฟาดมันลงไปบนใบหน้าของเด็กหนุ่มจนขึ้นรอยนิ้วทั้งห้า
“เฮือก!”
ดวงตาของสิงเบิกโพลงขึ้นมาจนลูกตาแทบจะถลนออกมา ลมหายใจหยุดชะงักไปชั่วครู่ สติที่หลุดหายอยู่ในห้วงนิทราถูกดึงกลับมาพร้อมกับลมหายใจที่ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ
อินถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเอ่ยปากถามน้อยด้วยความเป็นห่วงปนโมโห “มึงเป็นเชี่ยไรวะสิง?!”
ลูกกระเดือกก้อนกลมกระดกขึ้นลงพร้อมกับการกลืนน้ำลายเหนียวลงคอที่มีรอยข่วนจากการจิกของเล็บตัวเอง “... ผมฝันเห็นพี่เสือครับพี่อิน”
“...” อินได้ยินแบบนั้นก็ยื่นมือไปลูบบ่าสิงอย่างเบามือเพื่อปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
สิงนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกว่าความเงียบเริ่มทำให้บรรยากาศในห้องเริ่มอึดอัดเข้าไปทุกทีจึงเลือกที่จะทำลายความเงียบด้วยมุกตลกเฝื่อน ๆ ของตัวเอง
“พี่อินมือหนักเหมือนกันนะครับ”
ตลกร้ายที่ออกจากปากคนน้องไม่ได้ต้องการที่จะแขวะอีกฝ่ายให้รู้สึกผิด เขาแค่ไม่อยากให้คนพี่เป็นกังวลกับเรื่องของตัวเอง
อินได้ยินแบบนั้นก็แสร้งหรี่ตามองสิงพลางยกยิ้มมุมปาก “อีกสักข้างไหมล่ะ?”
สิงยกยิ้มกริ่มพลางยกมือขึ้นป้องใบหน้าอีกฝั่ง “แฮ่ ๆ ไม่ดีกว่าครับ”
อินจ้องมองรอยข่วนบนลำคอขาวของเด็กหนุ่มพลางมุ่นคิ้วด้วยความหงุดหงิด “แผลที่มือไม่พอเหรอ ถึงได้ข่วนคอตัวเองอีก”
สิงได้แต่ยิ้มแห้ง “ขอโทษครับพี่อิน”
“ช่างแม่งเหอะ ไว้ค่อยทายาพรุ่งนี้ ตอนนี้มึงนอนพักก่อน”
“ครับ”
อินเอื้อมมือลงไปหยิบผ้านวมผืนหน้าที่อยู่ปลายเตียงขึ้นมาห่มตัวสิงและตัวเอง จากนั้นค่อยเอี้ยวตัวไปปิดไฟบนหัวเตียงแล้วค่อยล้มตัวลงนอน เปลือกตาที่ยังปิดไม่สนิทดีลืมขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงความเย็นจากแขนข้างหนึ่งของคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ
อินเอี้ยวหน้าไปมองคนที่ถือวิสาสะกอดเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต “มีอะไร?”
“ผมขอนอนกอดพี่อินได้ไหมครับ” สิงถามด้วยเสียงออดอ้อน
อินส่งเสียง ‘หึ’ ในลำคอ เขาดึงแขนออกจากการเกาะกุมของคนน้องแล้วค่อยใช้แขนช้อนศีรษะมันให้ขึ้นนอนทับบนท้องแขนของตัวเอง
“พี่อินจะปวดแขนเอานะครับ”
“กูรอให้มึงหลับแล้วค่อยดึงออก รีบ ๆ นอนซะ” อินพูดพลางยกมืออีกข้างขึ้นไปยีหัวเด็กหนุ่มเล่นด้วยความมันเขี้ยว
สิงคลี่ยิ้มออกมาด้วยความอุ่นวาบในใจ แล้วค่อยรวบรวมความกล้าพลิกตัวไปกอดคนพี่เอาไว้หลวม ๆ พอให้คนพี่หายใจได้สะดวกก่อนที่เปลือกตาจะค่อย ๆ ปิดลงเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
หมวดเมฆที่ทำงานเสร็จเป็นคนสุดท้ายเพิ่งเดินออกจากห้องทำงานแผนกสืบสวนสอบสวนเพื่อตรงไปยังลานจอดรถแต่ดันเงยหน้าไปเห็นแสงไฟลอดออกมาหน้าต่างของห้องงานของนายใหญ่ประจำสน.ที่อยู่ชั้นบนเสียก่อน จึงคิดจะเดินเข้าไปทักทายหัวหน้าที่บ้างานจนบ้านช่องไม่ยอมกลับ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา!”
ประตูห้องถูกเปิดโดยผู้มาเยือน เจ้าของห้องไม่มีทีท่าจะเงยหน้าขึ้นมามองผู้มาเยือนเลยเพราะมัวแต่สาละวนกับงานตรงหน้า
“ทำงานหนักขนาดนี้ ต้องได้เลื่อนขั้นเร็ว ๆ นี้แล้วละครับ”
สารวัตรปราปที่ยังก้มหน้าก้มตาทำงานยกยิ้มมุมปาก “ถ้าจะได้เลื่อน คงได้ไปตั้งนานแล้ว”
“เราก็แพ้เด็กเส้นทุกครั้งไปแหละครับสารวัตร”
“มึงรู้แล้วจะพูดทำไม”
“โถ่ ผมก็อดแซวไม่ได้นิครับ เห็นสารวัตรตั้งใจทำงานขนาดนี้ บ้านเบิ้นไม่ยอมกลับ ลืมทางกลับบ้านไปแล้วรึยังครับ”
“หึ! จะกลับบ้านก็รีบกลับไป ถ้าไม่กลับตอนนี้ จะไม่ได้กลับแล้วนะ” ปราปเอ่ยปากแซวกลับ ก่อนจะช้อนสายตามองลูกน้องคนสนิท
หมวดเมฆที่ยืนเกาะขอบประตูหัวเราะแห้ง “แฮ ๆ ไปแล้วค้าบ หวัดดีค้าบบ” หมวดเมฆยกมือไหว้ลาแล้วรีบพุ่งตัวกลับบ้านด้วยความเร็วแสง
ปราปส่ายหน้าระอากับความขี้เล่นของลูกน้องคนสนิท ก่อนจะก้มลงไปทำงานต่อ แสงไฟสีฟ้าจากหน้าจอแล็ปท็อปฉายกระทบดวงตาทั้งสองข้างจนเกิดอาการตาแห้ง เขาจึงหลับตาลงเพื่อพักสายตาและบรรเทาอาการระคายเคือง
ทำไมเด็กนั้นถึงหาหลักฐานเจอ
ทำไมเด็กนั้นถึงรู้ว่าพบขี้ผึ้งบนร่างกายของเหยื่อ
...เด็กนั้นเห็นผีจริง ๆ เหรอ?!
มันเป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของเขาตลอดทั้งวันและตอนนี้เขาก็ยังหาคำตอบให้กับคำถามพวกนั้นไม่ได้
“ไอ้เด็กสิงมันเห็นผีจริง ๆ เหรอวะ?!”
ในขณะที่ปราปกำลังสับสนกับความคิดของตัวเอง จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาบางอย่างจากดังมาจากหน้าห้อง นั้นทำให้เขาต้องพยายามเงี่ยหูฟังเพราะในเวลานี้ไม่น่าจะมีใครอยู่ที่สน.แล้ว นอกจากเจ้าหน้าที่เวรยามที่อยู่ชั้นล่าง
“มันอยู่กับเด็ก”
“มันอยู่ในห้อง”
“เอามันให้ตาย”
“นั้นใคร!!!” ปราปตะโกนเรียกเพื่อให้คนที่อยู่นอกห้องหยุดส่งเสียเอะอะโวยวายรบกวนการทำงานของเขา
“มึงได้ยินกูเหรอ”
ตึง ตึง ตึง!!!
ประตูและหน้าต่างห้องทำงานสั่นสะเทือนราวกับถูกทุบตีจากภายนอก หลอดไฟภายในห้องทำงานเกิดเสียงช็อตก่อนที่แสงไฟจะดับวูบ เคราะห์ดีที่หลอดไฟนีออนจากเสาร์ไฟฟ้าด้านนอกยังทำงานได้ดีและแสงของมันสาดส่องเข้ามาผ่านทางหน้าต่างบานที่อยู่หลังห้อง เผยให้เห็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ยังคงสงบนิ่งไม่มีวี่แววของอากาศแปรปรวนที่น่าจะเป็นสาเหตุของสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
ปราปหมุนตัวมองไปรอบ ๆ ห้องด้วยความฉงนก่อนที่หางตาจะเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่ม ๆ บางอย่างอยู่ตรงหน้าต่างหน้าห้องที่อยู่ถัดจากประตูทางเข้า
“นั้นใคร?!!!”
ปราปตะโกนออกไปอีกครั้ง หน้าต่างและบานประตูที่เคยสั่นอย่างบ้าคลั่งหยุดลงราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา มีเพียงความเงียบงันเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ
ขนอ่อนรอบตัวปราปชี้ตั้งขึ้นพร้อมกับอุณหภูมิภายในห้องที่ลดต่ำลงทั้ง ๆ ที่เครื่องปรับอากาศถูกตั้งไว้เพียงยี่สิบห้าองศาเซลเซียส แต่เจ้าตัวกลับรู้สึกหนาวเย็นกว่านั้น
ฟูวว~
ปราปหดคอหนีพลางยกมือขึ้นลูบเมื่อรู้สึกราวกับมีลมเย็นเป่ารดต้นคอ เขาพลิกตัวหันกลับไปมองด้านหลังแต่กลับพบเพียงความว่าเปล่า
ในขณะที่ปราปหันกลับไปมองหลังห้อง เจ้าของเสียงที่เคยอยู่หน้าห้องตอนนี้กลับนั่งยองอยู่บนโต๊ะทำงาน ร่างกายซีดเผือดสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ปลายขาขาดวิ่น เอียงคอมองนายตำรวจหนุ่มตรงหน้า ริมฝีปากแสยะยิ้มออกมาราวกับมีความสุขที่ได้แกล้งปั่นประสาทอีกฝ่ายเล่น ดวงตาข้างหนึ่งจ้องมองเหยื่อตรงหน้าอย่างไม่วางตา ส่วนเบ้าตาอีกข้างถูกหั่นครึ่งจนเห็นเนื้อสมองไหลเยื้อมออกมาพร้อมกับเลือดสีดำข้นคลักไหลเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้า
“ฮึ ฮึ ฮึ”
เสียงหัวเราะในลำคอเรียกให้ปราปรีบหันกลับไปมอง และเป็นอีกครั้งที่เขาไม่เจออะไรอยู่ตรงหน้า มีเพียงชุดโซฟารับรองแขกที่ตั้งอยู่โดยไม่มีเงาของใครนอกจากตัวของเขาเอง
ปราปพ่นลมหายใจออกมาทางปากด้วยความเดือดดาลที่ถูกกลั่นแกล้ง พลางกดข่มอารมณ์เอาไว้ภายในมือที่ถูกกำแน่นจนเส้นเลือดเส้นเอ็นปูดโปน
“ฮี่ ฮี่ ฮี่”
“พวกมึงจะเอาแบบนี้ใช้ไหม?!!!”
“ฮี่ ฮี่ ฮี่”
เสียงหัวเราะเล็กแหลมบาดหูดังขึ้นมาจากทั่วทุกทิศทาง หลอดไฟในห้องที่เคยดับไปกลับติดขึ้นมาก่อนที่มันจะดับไปอีกครั้งและติดขึ้นมาในอีกไม่กี่อึดใจ ติดดับติดดับแบบนั้นเคล้าไปตามเสียงหัวเราะอันโหยหวนที่ไม่มีที่มาที่ไป
ปราปหันไปเห็นหญิงสาวคนนึงสวมชุดนางรำยืนมองเขาอยู่นอกหน้าต่าง ใบหน้าของเธอขาวซีดราวกับกระดาษ นัยน์ขาวโพลนจ้องมองมายังคนที่อยู่ภายในห้องด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว กรอบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีดำคล้ำ ร่างของเธอหายวับไปในอากาศราวกับหายตัวได้ก่อนที่ไฟในห้องจะกลับมาติดอีกครั้ง
กริ๊ง!~
เสียงเรียกเข้าทำเอาเจ้าของเครื่องสะดุ้งโหยง ปราปรีบตั้งสติแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แสงไฟสาดส่องมาจากหน้าจอสมาร์ตโฟนเผยให้เห็นรายชื่อโทรเข้าที่เขาบันทึกเอาไว้ ‘หมอผี (ราม) ’ ปราปพ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้วค่อยกดรับสายเพื่อนรัก
“โทรมาทำเชี่ยไร!”
[หึ ทักทายกันไพเราะเสนาะหูจริง]
“มี อะ ไร” ปราปพูดเน้นคำ
หมอรามหลุดขำกับท่าทีของเพื่อนสนิท แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วไม่น่าจะมีอารมณ์อยากจะมาต่อล้อต่อเถียงกับเขาจึงรีบพูดตรงเข้าประเด็น [หุ่นไม้ที่มึงเอามา กูตรวจให้แล้วนะ]
“เร็วอะไรขนาดนั้น” ปราปขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัยเพราะเขาเพิ่งจะขับรถเอาหลักฐานที่ได้จากสวนหลังบ้านเพรียวไปให้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
[ก็ไม่เร็วนะ มึงเอามาตั้งแต่บ่าย นี้จะตีหนึ่งละ]
“ก็ปกติมันไม่เร็วขนาดนี้”
[กูมันคนสองมาตรฐาน] รามตอบด้วยเสียงหยอกเย้า
“หึ หาเรื่องไปคุยกับคุณเจตเหรอมึง” ปราปเอ่ยปากแซวอย่างตรงไปตรงมาไม่มีอ้อมค้อม
[ถ้ารู้ดีขนาดนี้ มะรืนนี้มึงไปงานศพคุณเสือกับกูเลย]
“มึงรู้ตัวไหมว่ามึงเลว เอาความเศร้าของคนอื่นมาเป็นบันไดสร้างความสุขให้ตัวเอง”
[มึงอย่ามองกูในแง่ร้ายได้ไหมวะ กูตั้งใจจะไปปลอบเค้าต่างหาก]
“หึ แล้วแต่มึงเถอะ แล้วผลเป็นไง” ปราปส่ายหน้าระอากับความหน้าหม้อของเพื่อนสนิท
[ไม้ชนิดเดียวกัน] รามกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างเป็นงานเป็นการ
“ไม้อะไร”
[ไม้สักธรรมดา]
“นอกจากนั้นมีอะไรอีกไหม”
[ผ้าห่อก็เป็นผ้าดิบเหมือนกัน แต่น้ำหมึกที่เขียนนี้ดิที่น่าสนใจ]
“ยังไง”
[มันมีส่วนประกอบหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นคือน้ำเหลืองของสิ่งมีชีวิต]
“น้ำเหลืองที่ออกมาจากศพอะนะ” ปราปถามเสียงหลง
[อือ]
“แล้วไอ้สิ่งมีชีวิตที่มึงว่ามันใช้คนป่ะ?”
หมอรามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเค้นเสียงในลำคอตอบคำถามเพื่อน [... อือ]
น้ำท่วมปากนายตำรวจยศใหญ่ทันที ในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องสับสนงุนงงผสมปนเปกันเป็นปมใหญ่ จนเขาไม่รู้แล้วว่าควรจะใช้หลักเหตุและผลมาแก้ปม หรือควรจะปล่อยให้มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติดี
“มึงเคยเห็นผีไหม”
รามที่อยู่ปลายสายแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่คิดว่าเพื่อนรักจะถามอะไรแบบนี้ออกมาจากปากของมันเอง [มึงเป็นไร แปลก ๆ นะ]
“ก่อนมึงโทรมา กูโดนผีหลอก” ปราปพูดเสียงเรียบราวกับกำลังพูดเรื่องทั่วไป
[ห๊ะ?!] รามร้องเสียงหลง
“กูอาจจะหลอนไปเองก็ได้”
[กูว่ามึงพักผ่อนน้อย กลับบ้านไปนอนบ้างนะ กูไม่อยากผ่าศพเพื่อนเร็ว ๆ นี้]
“นอนไปก็นอนไม่หลับหรอก ทำงานดีกว่า” ปราปเมินประโยคประชดประชันของเพื่อนรัก
[เอาดี ๆ มึงพักผ่อนบ้างนะไอ้ปราป สมองมันก็ต้องการการพักผ่อนนะเว้ย เห็นภาพหลอนเป็นหนึ่งในอาการที่มึงเป็นอยู่นะ]
“ตอนนี้กูเห็นภาพหลอน แล้วอาการหลังจากนี้จะเป็นไงต่อ”
[สัส! มึงควรจะถามหาวิธีรักษาตัว ไม่ใช่อาการหลังจากนี้ ไอควาย!] รามอดที่จะขึ้นเสียงใส่ต้นสายไม่ได้ เพราะนอกจากจะไม่คิดจะรักษาตัวแล้ว ยังไม่คิดจะหยุดทำงานแล้วหาเวลาพักผ่อนอีกด้วย
“ตกลงยังไง”
[โว้ย! น็อกไงไอเพื่อนเวร ในเมื่อมึงไม่คิดจะนอน ร่างกายมันก็จะทำให้มึงนอนเอง]
“อือ งั้นไว้นอนทีเดียวตอนนั้นเลย”
[เจริญซิมึง เห้อ~… เอาที่มึงสบายใจเลย ทำงานให้พอ ตายเมื่อไหร่ก็มาเข้าฝันบอกกูด้วย แค่นี้นะ]
“อือ”
ปราปยังคงนั่งทำงานต่อไปเรื่อย ๆ จนรุ่งสาง แม้ว่าจะเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเป็นภาพหลอนอย่างที่รามว่าหรือจะเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างการ เห็นผี
ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากการที่เขาไม่เชื่อเรื่องผีสางหรือเพราะเขาเชื่อว่าตัวเองเห็นภาพหลอน แต่ตอนนี้กลับพบว่านายตำรวจหนุ่มกำลังเดินวนเวียนอยู่ในตลาดเช้าเพื่อหาซื้ออาหารสำหรับใส่บาตร
“นิมนต์ครับหลวงพ่อ”
หลังจากหาซื้ออาหารใส่บาตรเสร็จก็เดินมานั่งคุกเข่ารออยู่ริมถนน พอเห็นพระสงฆ์เดินมาพร้อมกับเด็กวัดก็รีบประนมมือเรียกท่านทันที นายตำรวจหนุ่มถวายอาหารใส่บาตรแล้วค่อยพนมมือรับพร
“ไม่เห็น ไม่ใช่ไม่มี ถึงเห็น แต่ก็อาจไม่มี”
คำกล่าวอย่างมีนัยยะของพระสงฆ์องค์เจ้าที่ยืนรับบาตรอยู่ตรงหน้า ทำเอาปราปเงยหน้ามองด้วยความสงสัย
“ครับ?”
พระภิกษุยกยิ้มบางด้วยนึกเอ็นดูชายที่อยู่ตรงหน้า “จงกระทำแต่สิ่งดี ๆ แล้วผลบุญจะส่งให้โยมและคนที่โยมรักมีแต่ความสุขความเจริญ รับพรนะโยม”
อภิวาทนสีลิสฺส นิจฺจํ วุฑฺฒาปจายิโน จตฺตาโร ธมฺมา วฑฺฒนฺติ อายุ วณฺโณ สุขํ พลํ
“สาธุ”
พระภิกษุก้มมองตรงมายังใบหน้าของปราป เปลือกตาของท่านค่อย ๆ หลับตาลงพร้อมกับบริกรรมคาถาอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ไม่ได้ยิน หลังจากนั้นค่อยลืมตาขึ้นมา แล้วค่อยพลิกตัวเดินกลับออกไปรับภัตตาหารจากญาติโยมคนอื่น ๆ
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอน พร้อมกับสายลมอ่อน ๆ พัดปลิวเข้ามาผ่านช่องหน้าต่างที่อินเปิดเอาไว้ระบายอากาศ เปลือกตาของเด็กหนุ่มลืมขึ้นมา เขาหันไปมองทางคนพี่อย่างที่เคยทำก่อนจะพบว่าศีรษะของเขายังคงนอนหนุนแขนของคนพี่อยู่
มุมปากทั้งสองข้างเผลอยกยิ้มขึ้นมากับความอ่อนโยนที่คนพี่มอบให้ “ไหนบอกว่าจะดึงออกไปหลังจากที่ผมหลับไงครับ” สิงบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วค่อยลุกออกไปทำธุระส่วนตัว
สิงเดินลงมาเตรียมอาหารเช้าง่าย ๆ ให้กับคนพี่ที่ยังนอนหลับลึกอยู่บนห้อง ในขณะที่เขากำลังเติมน้ำใส่กาเพื่อชงกาแฟให้อิน จู่ ๆ ก็มีสายโทรเข้ามาในโทรศัพท์มือถือรุ่นปุ่มกดของเขา
“สวัสดีครับ”
[สิง ช่วยปลุกอินให้พี่ด้วยนะ บอกมันว่าวันนี้ให้ขับรถมาเอง พี่ส่งโลเคชั่นให้มันแล้ว]
“ได้ครับพี่เจต เดี๋ยวสิงไปปลุกให้ครับ”
[ขอบใจมากนะ โคตรดีเลยที่สิงอยู่กับมัน พี่จะได้ไม่ต้องขับรถไปปลุกมันทุกเช้า]
สิงยกยิ้มจนตาหยี “คราวหลังบอกสิงไว้ล่วงหน้าก็ได้ครับ”
[ได้เหรอ ~] เจตแสร้งพูดราวกับเกรงใจทั้ง ๆ ที่ในใจรู้สึกดีที่มีคนมาช่วยงาน
สิงหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ได้ซิครับ”
[น่ารักจริง ๆ ขอบใจนะ เอ้อ! พี่ให้แฟนไปช่วยงานที่วัดนะ เดี๋ยวพี่เสร็จงานแล้วจะตามไป]
“ขอบคุณครับพี่เจต”
[งั้นแค่นี้ก่อนนะ พี่ไปทำงานก่อน]
สิงเดินกลับขึ้นไปปลุกคนพี่ ซึ่งรอบนี้ก็ใช้เวลาปลุกเหมือนเคย เพราะร่างโปร่งไม่ยอมตื่นง่าย ๆ ขอผัดไปทีละสามนาที ห้านาที จนเขาต้องช่วงดึงให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
อินทำหน้ามุ่ยไม่พอใจที่ถูกคนน้องปลุกพลางยื่นแขนข้างที่สิงนอนทับไปหาคนน้องที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “มึงนอนทับแขนกูทั้งคืน กูปวดไปหมดแล้วเนี่ย!”
สิงยกยิ้มกริ่มแล้วยื่นมือไปนวดแขนให้ “แรงไปไหมครับ”
อินส่ายหน้า “ไม่ กำลังดี” พูดจบก็นั่งหลับตาพริ้มเพลิดเพลินไปกับแรงบีบนวดของหมอนวดจำเป็น
“พี่เจตบอกให้พี่อินขับรถไปเองนะครับ พอดีพี่เค้าติดธุระ”
“อือ โอเค กูจะได้ไปส่งมึงที่วัดก่อนไปทำงาน”
“สิงไปเองก็ได้ครับพี่อิน”
“ไม่เป็นไร ยังพอมีเวลา”
“ครับ เป็นไงครับดีขึ้นไหม”
“คนนวดดี ก็ต้องดีขึ้นดิวะ” อินเอ่ยปากชมเด็กน้อยในปกครองพลางหรี่ตาขึ้นมามองอย่างคนเจ้าเล่ห์
หลังจากได้รับคำชมจากปากของคนพี่ แรงนวดก็ดีขึ้นกว่าเดิม แถมหมอนวดจำเป็นยังยิ้มไปนวดไปเหมือนคนบ้า
อินแอบลืมตาขึ้นมามอง เห็นหมอนวดหนุ่มกำลังนั่งยิ้มเป็นบ้าเป็นหลัง ได้แต่นึกเอ็นดูก่อนจะหลับตาพริ้มลงไปอีกครั้งจนเกือบจะหลับไปจริง ๆ
“พี่อินไปอาบน้ำก่อนดีกว่าไหมครับ เดี๋ยวสิงนวดให้อีกที”
อินตอบรับในลำคอก่อนจะลุกเดินหายออกไปในห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกัน ดาราหนุ่มใช้เวลาทำธุระส่วนตัวไม่นานก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
“สิง กลิ่นไหนดีวะ”
อินเดินถือขวดน้ำหอมแบรนด์เนมออกมายื่นให้คนน้องดม
“อันไหน อันนี้ หรือ อันนี้” อินยื่นขวดน้ำหอมไปที่ละขวดให้น้องดม อีกฝ่ายก็ย่นจมูกสูดกลิ่นจากปากขวดน้ำหอมคล้ายสุนัขดมกลิ่น ทำเอาคนพี่แอบอมยิ้มกับความไร้เดียงสาของเด็กอายุยี่สิบสาม
“กลิ่นที่สองเหมาะกับพี่สิงดีนะครับ”
“เปลี่ยนชื่อดีไหมมึง จากน้องสิงเป็นน้องเด้น”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยพลางเอียงคอถามคนพี่ “น้องเด้นเหรอครับ?”
“อือ หมาโกลเด้นไง”
“สิงไม่ใช่หมานะครับ”
“ไม่ใช่ แต่คล้ายอยู่นะ”
สิงแกล้งทำหน้ายู่ใส่ เรียกเสียงหัวเราะของคนพี่ได้เป็นอย่างดี ก่อนจะเดินหายกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวโดยที่ยังไม่หยุดขำ
“วันนี้มีไรกินบ้าง หิว!” อินตะโกนถามออกมาจากภายในห้อง
“ผมทำแซนด์วิชไว้ เดี๋ยวผมลงไปชงกาแฟให้ พี่อินเดินตามลงไปนะครับ”
“เออ โอเค!”
สิงเดินกลับลงมาเตรียมอาหารเช้าให้อิน เขายกอาหารเช้าและกาแฟที่เพิ่งชงมาวางไว้ให้อินบนเคาท์เตอร์ครัว รออยู่ไม่นานคนพี่ก็เดินลงมาจากชั้นสอง
อินเดินมานั่งกินอาหารเช้าที่สิงเตรียมไว้ให้ ส่วนสิงก็เดินมานั่งข้าง ๆ แล้วลงมือนวดแขนให้อินอีกครั้ง
“กูว่าจะถามมึงตั้งแต่เมื่อวานแต่กูลืม” อินวางแก้วกาแฟลงบนถาดรองก่อนจะหันไปมองอีกฝ่าย “มึงสวดอะไรวะตอนที่อยู่บ้านคุณเพรียว”
“สวดมนต์ไงครับ”
“มึงไปเรียนมาจากไหน”
“สมุดสวดมนต์ที่ทวดเคยส่งให้สิงครับ”
อินชะงักไปตอนที่สิงพูดถึงทวดที่ตายไปเมื่อหลายปีก่อนพลางนึกถึงเรื่องระหว่างเสือกับครอบครัว “จนตาย พี่มึงก็ยังไม่ยอมให้อภัยทวด เห้อ ~” อินถึงกับถอนหายใจกับความดื้อดึงและทิฐิที่สูงเฉียดฟ้าของเพื่อนสนิท
เขายังจำมันได้ดี วันเลี้ยงปิดกล้องซีรีส์เรื่องแรกที่ถ่ายด้วยกัน เสือเมาแล้วก็เริ่มพูดไม่รู้เรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่องที่เขาทะเลาะกับทวดจนต้องหนีมาอยู่กรุงเทพ ใจจริงอินก็อยากจะถามเรื่องนี้กับเพื่อนสนิทแต่มันไม่ใช่วิสัยของเขาที่จะถามเซ้าซี้จากคนที่ไม่แม้แต่จะพูดเรื่องนั้นในขณะที่ยังมีสติครบถ้วน
อินหันกลับไปมองน้องเห็นมันทำหน้าเศร้าก็พอจะอ่านอะไรบางอย่างออก “เห็นท่าทางมึงแล้ว กูพอจะเดาได้เลยว่าทำไมพี่มึงถึงโกรธทวดมึง เรื่องครูหมอโนราใช้ไหม”
“ครับ” สิงตอบเสียงอ่อยอย่างคนรู้สึกผิด
“อย่าคิดมากเลย มึงเลือกไม่ได้นิ ใครจะไปรู้วะว่าจะเกิดมาในตระกูลร่างทรง”
“ครับ”
“รีบแดกข้าวดีกว่า เดี๋ยวไม่ทัน”
อินขับรถสปอร์ตคันงามมาส่งสิงที่วัด แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรมาทางด้านหน้าหลังจากเห็นหมู่มวลนักข่าวและเหล่าแฟนคลับของเสือที่ยืนออกันอยู่ที่หน้าทางเข้าศาลา ดาราหนุ่มจึงทำท่าจะกลับรถออกไปจากวัด เพื่อที่จะเข้าทางด้านหลังแทน แต่ไม่ทันแล้ว เพราะดันมีนักข่าวคนนึงหันมาเห็นรถของเขาซะก่อน เธอชี้ให้ทุกคนเห็นฝูงนักข่าวจึงกรูกันเข้ามาประชิดตัวรถได้ทัน
เสียงดังอื้ออึงอยู่ภายนอกตัวรถพร้อมกับไฟแฟลชสาดส่องเข้ามาผ่านกระจกรถที่ถึงแม้จะติดฟิล์มทึบแล้วก็ตามทำให้ดาราหนุ่มถึงกับหงุดหงิดกับความสะเพร่าของตัวเอง
“ทำไงดีครับพี่อิน” สิงหันมาขอความช่วยเหลือจากดาราหนุ่มที่คุ้นเคยกับเหตุการณ์พวกนี้ดี
“รอก่อน ไอแฟนน่าจะกำลังพาการ์ดเข้ามาช่วย”
คนในรถรออยู่ครู่นึงก็ได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของแฟน ผู้ช่วยผู้จัดการดาราแผดเสียงขอทางนักข่าว โดยมีการ์ดชุดดำสองสามคนช่วยกรุยทางให้
เมื่อเห็นว่าแฟนเดินเข้ามาประชิดตัวรถแล้วอินจึงเปิดประตูออกไป แล้วค่อยกรุยทางไปทางฝั่งข้างคนขับ เขาเปิดประตูรถเพื่อให้สิงลุกออกมาจากในตัวรถแล้วลาแขนน้องให้เดินตามเขาเข้าไปในวัด แฟนรู้หน้าที่ดีรีบแหวกหมู่มวลนักข่าวให้เปิดทางให้เด็กหนุ่มตาบอดเดินได้อย่างสะดวกเท่าที่จะทำได้
“คุณเสือเสียชีวิตได้ยังไงครับ”
“ฆ่าตัวตายหรือโดนฆาตกรรมคะ”
“คุณสิงมีส่วนเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหนกับการตายของพี่ชายคะ”
“ทำไมคุณสิงถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีคะ”
คำถามของนักข่าวดังออกมาจากทุกทิศทาง ถึงแม้จะไม่ได้รับคำตอบใด ๆ เลยจากปากของคนใกล้ชิดแม้แต่น้อย มีเพียงแฟนที่ตะโกนบอกให้รอการแถลงข่าวจากทางตำรวจ เมื่อผ่านเสากั้นพื้นที่มาได้ อินก็จูงน้องไปนั่งพักในศาลา
“มึงอยู่ได้ใช้ไหม”
“ได้ครับพี่อิน พี่รีบไปทำงานเถอะครับ”
“โอเค ฝากสิงด้วยนะแฟน” ดาราหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปฝากฝังน้องชายกับผู้ชายผู้จัดการคนสนิท
“ได้พี่อิน ไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อได้รับคำยืนยัน อินจึงเดินตรงไปทางหลังวัดเพื่อไปรอรับรถที่การ์ดเป็นคนขับมาให้
อินขับรถขึ้นทางด่วนเพื่อตรงไปยังสตูดิโอถ่ายทำซีรีส์ที่เขาต้องถ่ายแก้เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนเมืองกรุงในช่วงเวลาเร่งด่วน
อินใช้เวลาไม่นานก็ขับรถมาจนถึงสถานที่ถ่ายทำที่อยู่ชานเมือง เขาเดินเข้าไปในสตูดิโอ พลางยกมือไหว้ทักทายคนในกองถ่ายตามมารยาท
ผู้ช่วยผู้กำกับร่างเพรียวเงยหน้าจากจอมอนิเตอร์ ขึ้นมามองผู้มาเยือน “อ้าวพี่อิน” เธอชูมือทักทายดาราหนุ่มอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะหันไปยกยิ้มทักทายหญิงสาวคนนึงที่ยืนอยู่ไกล ๆ ตรงหน้าประตูสตูดิโอ “ผู้ช่วยคนใหม่เหรอพี่อิน”
หัวคิ้วเรียงสวยของอินขมวดเข้าหากันเป็นปมใหญ่ “ใคร?”
ผู้ช่วยผู้กำกับสาวทำหน้าเหวอ ก่อนจะชี้นิ้วตรงไปยังกรอบประตูสตูดิโอ “คนนั้นไงพี่ หนูเห็นเขาเดินตามพี่มา ไม่ใช่ผู้ช่วยคนใหม่หรอกเหรอ”
อินหันไปมองตามที่เธอชี้ แต่กลับไปไม่พบแม้แต่เงาของใครเลย “ไม่เห็นมีใครเลย”
“อ้าว!” ร่างเล็กเอี้ยวตัวไปมองตรงตำแหน่งเดิมและก็เป็นไปตามที่อินว่า ผู้หญิงคนเมื่อครู่หายไปแล้ว “หนูอาจจะตาฝาด โทษทีพี่ ช่วงนี้นอนน้อย”
อินยิ้มตอบอย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไร แต่เราอะ นอนบ้างนะ”
ร่างเล็กทำหน้าหงอทันที “ถ้าพี่พลให้หนูนอนนะพี่”
“เออ แล้วพี่พลไปไหนล่ะ เห็นแต่ผู้ช่วย ไม่เห็นหน้าผู้กำกับเลย”
“พี่พลคุมงานทีมอาร์ตอยู่หลังสตูอะพี่อิน ว่าแต่พีเจตกับแฟนไม่มาด้วยเหรอคะ”
“เดี๋ยวพี่เจตตามมา ส่วนไอแฟน ช่วยงานอยู่ที่วัด”
ร่าบางหน้าหม่นลงทันที “เสียใจด้วยนะคะพี่อิน แล้วก็…ขอโทษด้วยนะพี่ ที่เลื่อนงานวันนี้ไม่ได้”
“ไม่เป็นไร งั้นพี่ไปแต่งตัวก่อนนะ”
“เดี๋ยวหนูพาไป”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้มาครั้งแรกสักหน่อย”
อินเดินตรงไปยังโซนห้องพักส่วนตัว แต่ยังไม่ทันที่จะใช้ฝ่ามือผลักประตูห้องพักเข้าไป เขาก็ต้องหันกลับมามองด้านหลังเพราะรู้สึกเหมือนกับมีคนกำลังจ้องมองอยู่ แต่พอมองกลับไปเขาไม่เห็นแม้แต่เงาของใครเลย
‘นี้กูหลอนไปเองเหรอวะ?!’
ดาราหนุ่มบ่นอุบอิบอยู่ในใจ แต่ก็แอบกลัวอยู่เบา ๆ เพราะเขาเองก็เพิ่งผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญมาไม่นาน เรียกว่าภาพยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำ
ประตูห้องพักถูกผลักด้วยมือเรียวของร่างโปร่ง เผยให้เห็นพี่ ๆ สาวประเภทสองที่รอแต่งหน้าทำผมให้เขาอยู่ในห้อง
ทันทีที่เห็นใบหน้าราวเทพสร้างของดาราหนุ่ม ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมถึงกับยกยิ้มกว้างแทบจะฉีกถึงใบหู “น้องอิน คิดถึงจังเลยค้า”
อินยกยิ้มทักทาย “คิดถึงอะไรครับ เพิ่งเจอเมื่อวันก่อนเอง ไม่เจอกันวันเดียวยังโอเคใช่ไหมครับ” ดาราหนุ่มแซวทีมงานอย่างเป็นกันเอง
“ก็ตามสภาพกะเทยแก่เอาเงินเปย์ผู้ชายแหละคะน้องอิน”
อินหลุดขำ “ก็คนมันรวยนิเน๊อะ ช่วยไม่ได้”
“อย่าแซวคนแก่ซิคะน้องอิน มาค่ะมาแต่งหน้ากันดีกว่า” พี่ช่างแต่งหน้ากวักมือเรียกดาราหนุ่ม
อินจึงเดินเอากระเป๋าเข้าไปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปนั่งหน้ากระจก ให้พี่ช่างแต่งหน้าทำผมละเลงผลงาน ส่วนเขาก็นั่งอ่านบทที่ต้องถ่ายซ้อมไปพลาง ๆ
“มาแล้วเหรอคะน้องเจต”
พี่ช่างทำผมหันไปเห็นประตูถูกเปิดโดยผู้จัดการส่วนตัวของดาราหนุ่มที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา จึงเอ่ยปากทักทายก่อน
“คับ ติดอยู่บนถนนตั้งนาน” อินพูดพลางเดินไปยืนข้าง ๆ อินที่นั่งแต่งหน้าแต่งตาอยู่หน้ากระจก “เมื่อวานตอนเที่ยงแกรีบไปไหนห๊ะ! ไม่รอฉันเลย” ร่างเล็กบ่นเด็กในสังกัด
“ไปสน.นั่นแหละพี่ พอดีนัดสารวัตรปราปเอาไว้”
“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”
“ก็เรื่องคดีนั่นแหละพี่ สารวัตรปราปเขาขอความช่วยเหลือมา”
“อ๋อ โอเค” พอได้ยินว่าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายอะไร ร่างเล็กจึงเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋า แล้วเดินไปนั่งรอบนโซฟาตัวยาวที่อยู่ในห้องพัก
“เอ้อ! อย่าลืมงานพรุ่งนี้นะอิน งานสุดท้ายแล้ว”
“ไม่ลืมหรอกพี่ ว่าแต่งานใคร ทำไมยกเลิกไม่ได้”
“รายการพี่เจซซี่ ขอเลื่อนให้แกไปทีนึงแล้ว ฉันไม่อยากจะมีปัญหาอีก นั้นเจ้าแม่แห่งวงการบันเทิงเลยนะ”
“โอเค แล้วงานศพไอเสืออะพี่เจต”
“ฉันจัดการเอง พรุ่งนี้แกไปคนเดียวได้ไหม หรือจะให้ไอแฟนไปเป็นเพื่อน”
“ไม่เป็นไร ผมไปเองได้ ให้ไอแฟนมันช่วยดูไอสิงเหอะ”
“โอเค งั้นตามนี้ สคริปต์รายการฉันพรินต์มาให้ละ อยู่ในรถ ถ่ายที่ตึกเหมือนเดิมนะ”
“โอเคพี่”
“เสร็จแล้วค่ะน้องอิน ไปแต่งตัวได้เลยค่ะ” ทันทีที่เขาคุยธุระกับผู้จัดการส่วนตัวเสร็จ ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่พี่ช่างแต่งหน้าทำผมละเลงผลงานลงบนเรือนร่างเขาเสร็จ
“ขอบคุณครับ”
อินลุกไปหยิบเสื้อผ้าที่แขวนเอาไว้ที่ราว ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงมุมห้อง เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ครู่นึงก็เดินออกมาให้ผู้จัดการส่วนตัวเช็กความเรียบร้อย
“พี่อิน หน้าเซตพร้อมถ่ายแล้วนะคะ” ผู้ช่วยผู้กำกับสาวเอี้ยวตัวออกมาจากกรอบประตู
“โอเค เดี๋ยวพี่ตามออกไป”
“รับทราบคะ”
อินเดินไปเข้าฉากเตรียมถ่ายเซตแรกหลังจากได้อ่านบทซีรีส์มาแล้ว หลังจากได้ยินเสียงสั่ง ‘แอคชั่น’ จากผู้กำกับ อินก็สวมบทบาทความเป็นดาราเบอร์ใหญ่ทันที
ในระหว่างที่ถ่ายทำเขารู้สึกราวกับมีสายตานึงกำลังจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เพราะกำลังอยู่ในช่วยถ่ายทำ ทำให้เขาไม่สามารถว่อกแว่กได้ พอถึงเวลาพักกองเขาก็พยายามมองหาแต่ก็ไม่พบใครนอกจากคนในกองถ่าย
“แกมองหาใครวะอิน” เจตที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถามเด็กในสังกัดที่กำลังมองหาอะไรบางอย่างจนคอแทบจะบิดเป็นเกลียว
“เปล่าพี่ ไม่มีไรหรอก”
“เตรียมตัวเซตต่อไปรึยัง”
อินพยักหน้า “เดี๋ยวผมมาน่ะพี่ ไปโทรหาไอสิงแป๊บ”
“อือ โอเค รีบไปรีบมา”
อินเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายออกมากดโทรหาคนน้องเพื่อถามไถ่สถานการณ์ในวัด แต่สิ่งที่ได้มาคือสิงยังไม่ได้กินข้าว ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าแล้ว ไอเด็กน้อยตัวปัญหาให้เหตุผลกับเขาว่ารับแขกจนไม่มีเวลากินข้าว ทำให้อินต้องดุไปทีนึง หมาน้อยตัวยักษ์หูลู่ลงจำต้องเดินคอตกไปโรงครัวเพื่อกินข้าวตามคำสั่ง
อินกดวางสายและเก็บโทรศัพท์กลับไปในกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวจะออกไปถ่ายเซตต่อไป
แกร๊ก!
‘ใครล็อกประตูวะ’ อินพูดกับตัวเองหลังจากที่เขาพยายามบิดลูกบิดประตู แต่ไม่สามารถเปิดได้ ทั้ง ๆ ที่กลอนประตูน่าจะไม่สามารถถูกล็อกจากภายนอกได้
“เห้ย!”
ไม่ทันที่อินจะได้ทุบประตูขอความช่วยเหลือจากคนภายนอก จู่ ๆ ไฟในห้องเกิดอาการติด ๆ ดับ ๆ ราวกับหลอดไฟเสียง …แต่เมื่อกี้ยังดีอยู่เลย
ความกลัวมาพร้อมกับจินตนาการที่เกินเรื่องในสมอง ใครใช้ให้เขาเพิ่งผ่านสมรภูมิมิติลี้ลับมาหมาด ๆ ละ แถมสถานการณ์ตรงหน้าก็อดทำให้เขาคิดมากไม่ได้
ก้อนเนื้อกลางอกแกร่งเต้นถี่รัวจนแทบจะทลุออกมา ขนอ่อนของหนุ่มร่างโปร่งตั้งชูชันไปทั่วทั้งตัว มือเรียวเริ่มสั่นเทาจนเจ้าตัวต้องนำมือทั้งสองข้างมาประสานกันเพื่อกดข่มอารมณ์ ดาราหนุ่มพยายามตั้งสติให้อยู่กับตัวพลางมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาทางออก
ทำไงดีวะ ไอเหี้ย!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
“เชี้ย!”
อินสะดุ้งโหยงใจหายลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาหลับตาปี๋ด้วยความกลัว ก่อนจะหมุนตัวไปทางประตูทางออกช้า ๆ
“อิน เสร็จรึยัง”
อินพ่นลมหายใจออกมาจากปากด้วยความโล่งใจ ทีแรกกลัวว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงที่เขาไม่พึงประสงค์ แต่มันกลับเป็นเสียงสวรรค์จากผู้จัดการส่วนตัวคนสนิท
“เสร็จแล้วพี่!”
อินตะโกนตอบกลับในเวลาเดียวกันกับที่เจตเปิดประตูเข้ามาดูเด็กในสังกัด
“ขอบคุณนะพี่ ไปกันเหอะ”
อินยกยิ้มร่าให้เจตก่อนจะรีบเดินเร็วออกจากห้องแต่งตัว โดยไม่ลืมที่จะดันหลังผู้จัดการให้เดินออกไปที่หน้าเซตพร้อมกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอินหันกลับไปมองภายในห้องพบว่าหลอดไฟกลับมาติดเหมือนเดิมราวกับมันไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
กูโดนดีเข้าแล้วไง
“สิง มีญาติิสิงจากใต้มาหา”
แฟนที่ยืนรับแขกแทนเจ้าภาพอย่างสิง ที่ถูกดุจนต้องเดินคอตกมากินข้าวอยู่ในโรงครัว รีบเดินมาตามเด็กหนุ่มให้ออกไปรับญาติิที่เดินทางมาจาก…สงขลา
สิงที่กำลังเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปากเงยหน้ามามองแฟนด้วยความสงสัย เพราะเท่าที่เขารู้นอกจากทวดที่เสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อนเขาก็ไม่มีญาติิที่ไหนอีกแล้ว
“ใครเหรอครับพี่แฟน”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แกบอกว่าแกเป็นญาติิสิง มาจากสงขลา แกมากับลูกชาย แกเข้าไปเคารพศพแล้ว แต่แกบอกว่าแกมีของสำคัญจะให้สิง พี่เลยมาตาม”
สิงพยักหน้ารับ แล้วรีบยัดข้าวในจานเข้าปากก่อนจะรีบเดินตามแรงลากจูงของร่างเล็กไปทางศาลาวัด
“สวัสดีครับ”
สิงยกมือไหว้แขกที่เขามองไม่เห็นหน้า มีเพียงกลิ่นเชี่ยนหมากที่โชยออกมาทำให้สิงรู้ว่าหญิงตรงหน้าชรามากแล้ว
หญิงชราก้าวเข้ามาหาสิงพลางยกมือขึ้นจับใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กน้อยเอาไว้ด้วยความเอ็นดู ในขณะเดียวกันนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้มย้นของเธอ “บายดีหม้ายลูก ยายน้อยนิ จำได้หม้าย” [สบายดีไหม นี้ยายน้อยเอง จำได้ไหม?]
สิงจำต้องส่ายหน้าตอบตามความจริงเพราะเขาไม่รู้จักเธอ ตอนที่ย้ายมากรุงเทพพร้อมกับเสือเขาอายุเพียงแค่ห้าขวบเท่านั้น
“ยายน้อย ลูกสาวทวดนิตย์ เกลอหนิดกับทวดภาส” [ยายน้อยเป็นลูกสาวทวดนิตย์ เพื่อนสนิทของทวดภาส]
เหมือนสิงจะเคยได้ยินชื่อทวดนิตย์มาก่อนจากในจดหมายที่ทวดเขียนหาสิงมาตลอดหลายปี “ทวดนิตย์ จำได้แล้วครับ ทวดเคยแหลงให้ฟังอยู่” [ทวดนิตย์ จำได้แล้วครับ ทวดเคยพูดถึง]
“หมันแลลูก นี้พี่นัท โลกชายยาย” [ใช้แล้วลูก นี้พี่นัท ลูกชายยาย] ยายดึงมือลูกชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มาจับมือสิงเพื่อแนะนำให้เด็กหนุ่มรู้จักญาติิอีกคน
สิงรีบยกมือไว้คนอายุแก่กว่า “หวัดดีครับพี่นัท”
นัดยื่นมืออีกข้างมาตบบ่าน้องเบา ๆ “ไม่พรื่อนะสิงนะ ยังเรื่องไอไหร่ ก่ามาหาพี่ พี่ทำงานอยู่กรุงเทพ” [ไม่เป็นไรนะสิง มีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็มาหาพี่ พี่ทำงานอยู่ที่กรุงเทพ]
“ขอบคุณครับ”
“ยายเอาของเท่ทวดภาสฝากมาห้าย” [ยายเอาของที่ทวดภาสฝาเอาไว้มาให้]
กล่องไม้ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่บนโต๊ะรับแขก เป็นนัทที่อาสาเดินกลับไปเอาแล้วค่อยส่งไปให้สิง
“ทวดภาสฝากไว้ห้ายสิง ก่อนเท่แกอีเสีย” [ทวดภาสฝากไว้ให้สิง ก่อนที่ท่านจะเสีย]
แฟนยื่นมือไปรับแทนสิง
“ขอบคุณครับที่อดส่าห์เอามาให้ ยายพักที่ไหนครับ บ้านพี่นัดหม้าย” [ขอบคุณที่อุตส่าห์เอามาให้ ยายพักที่ไหนครับ บ้านพี่นัดเหรอ?]
“หมันแลลูก” [ใช้แล้วลูก]
“ยายกินไอไหรมาแล้วม้ายครับ” [ยายกินอะไรมารึยังครับ?]
“กินแล้วลูกไม่พรือ สิงพันพรือมั้ง เสียใจมากหม้ายลูก” [กินแล้วลูก ไม่เป็นไร สิงเป็นยังไงบ้าง เสียใจมากใช้ไหม?]
“ไม่พรือครับ สิงยังพวกพี่ ๆ เขาอยู่เป็นเพื่อน” [ไม่เป็นไรครับ สิงมีพวกพี่เค้าอยู่เป็นเพื่อน]
“ดีแล้วลูก ดีแล้ว ยายได้ยินพันนี้ยายก่าบายใจ พันฮั่นยายหลบแล้วนะ ถ้ายังไหร่ก่าติดต่อพี่นัทนะ เข้าใจหม้ายลูก” [ดีแล้วลูก ดีแล้ว ยายได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ ถ้าอย่างนั้นยายกลับก่อนน่ะ ถ้ามีเรื่องอะไรก็ติดต่อพี่นัท เข้าใจไหม?]
“ครับ ยายน้อย”
ยายน้อยยกมือขึ้นจับใบหน้าของเด็กหนุ่มอีกครั้ง ก่อนเอ่ยคำอวยพรเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่เขา “อย่าเจ็บ อย่าไข้นะลูกนะ อยู่ให้มีความสุข ความเจริญ”
“ขอบคุณครับ” สิงยกมือไหว้ยายน้อยอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปส่งแกกับลูกชายที่ลานจอดรถ
สิงอยู่ช่วยงานศพจนมืดค่ำ อินที่เพิ่งเสร็จงานก็รีบบึ่งรถมารับเด็กหนุ่มที่วัดทันที ระหว่างทางอินลังเลที่จะพูดเรื่องที่ตัวเองเจอให้น้องฟัง แต่เห็นเด็กหนุ่มนั่งกอดกล่องไม้ใบนึงเอาไว้จึงเลือกที่จะคุยเรื่องนั้นแทน
“กล่องอะไรวะสิง”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับพี่อิน ญาติิผมจากใต้เอามาให้ บอกว่าทวดฝากเอาไว้ให้สิงก่อนที่ท่านจะจากไป”
“มึงยังไม่ได้เปิดดูเหรอ”
“ยังเลยครับ พอดีงานที่วัดยุ่ง ๆ”
“เหนื่อยไหม หิวไหม”
สิงยกยิ้ม “หิวนิดหน่อยครับ”
“งั้นจะกินข้างนอก หรือ จะซื้อกลับไปกินที่บ้าน”
“แล้วแต่พี่อินเลยครับ”
“โอเค”
อินเลือกที่จะจอดรถข้างทางฟุตบาท ที่ตั้งของร้านอาหารข้างทางที่เขาโปรดปราน เมนูที่สั่งก็ยังไม่พ่น ‘พี่อินกินอะไร สิงก็กินอันนั่นแหละครับ’ เรียกได้ว่าเด้นน้อยของเขากินง่ายอยู่ง่ายสุด ๆ พวกเขาใช้เวลาโซ้ยอาหารเข้าปากไม่นานก็ย้ายก้นกลับมาบนรถ แล้วรีบตรงดิ่งกลับบ้านทันที
“มึงช่วยนวดตัวให้กูอีกได้ป่ะ กูเมื่อยไปทั้งตัวเลยวะ”
“ได้ครับ งั้นพี่อินไปอาบน้ำก่อนน่ะครับ”
อินจึงเดินไปอาบน้ำตามคำสั่งของหมอนวดจำเป็น หลังจากนั้นเขาก็ไล่ให้หมอนวดไปอาบน้ำบ้าง พอเด็กหนุ่มแต่งตัวเสร็จ เดินออกมาจากห้องแต่งตัว คนพี่ก็เดินไปลากให้สิงเดินมานั่งบนเตียง
“เริ่มนวดตรงไหนก่อนดีครับ”
“ก่อนมึงจะนวดให้กู มึงเปิดกล่องที่ทวดมึงทิ้งเอาไว้ให้ก่อนไหม แต่ถ้ามึงไม่อยากให้กู…”
“อยากครับ ผมอยากให้พี่อินอยู่เป็นเพื่อน ตอนที่เปิดกล่องนี้” สิงพูดขัดขึ้นมาทันควันเพราะเขารู้ดีว่าร่างโปร่งจะพูดอะไร
อินคลี่ยิ้มบางพลางมองน้องด้วยความเอ็นดู “ได้ กูจะอยู่เป็นเพื่อน ให้กูช่วยเปิดไหม”
สิงพยักหน้าก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจจากกระเป๋าสตางค์มายื่นให้กับอิน เขาจึงยื่นมือไปรับกุญแจมาไขแม่กุญแจให้ แต่ให้คนน้องเปิดฝากล่องเอาเอง
อินยื่นมือไปจับมือน้องมาวางไว้บนฝากล่อง เพื่อให้น้องเปิดกล่องด้วยตัวเอง มือของเด็กหนุ่มสั่นเล็กน้อยจากความตื่นเต้นที่ภายในก้อนเนื้อกลางอก
ฝากล่องแง้มออกอย่างเชื่องช้าด้วยแรงผลัก ก่อนสิงจะยื่นมือทั้งสองข้างเข้าไปในกล่องเพื่อสัมผัสสิ่งที่อยู่ภายใน ร่างโปร่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ชะโงกหน้าไปมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ฮึ่! ชฎาเหรอ?”