"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โกลาหลกลสั่งตาย"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด
กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป
การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ
ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี
#โกลาหลกลสั่งตาย
WARNING
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม
นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น
อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ
ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)
TRIGGER WARNING
Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย
Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย
Blood มีเลือด
Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ
Cutting ใช้ของมีคม
Corpse ศพ
Dead การตาย
Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย
Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน
Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี
Ghost ภูตผี
Gore เนื้อหามีความโหดร้าย
Hallucinations มีอาการประสาทหลอน
Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ
Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต
Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย
Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ
Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ
Violence มีการใช้ความรุนแรง
Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&%3Bref=embed_page
X : https://x.com/Writer_RTKDN
TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn
เงื่อนไขในการติดเหรียญ
ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน
ตอนที่ 0-6 ฟรี!!!
อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)
ตอนพิเศษติดถาวร
(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)
Publish Date
ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024
ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์
เปิดเรื่อง : 11/10/2024
ปิดเรื่อง : 0/0/2024
ปลายนิ้วเรียวสัมผัสของภายในกล่องอย่างละเมียดละไม ท้องนิ้วสัมผัสลวดลายวิจิตรงดงามของศิลปะบ้านเกิด แสงหลอดไฟนีออนตกกระทบพื้นผิวของแผ่นแก้วสะท้องแสงแวววับคล้ายสีรุ้ง
“ฮึ่ ชฎาเหรอ?”
“มันคือ เทริด ครับพี่อิน”
“เทริดเหรอ?”
“มันคือเครื่องหัวของชุดมโนราห์ครับ”
“อ่า ~” อินตอบลากเสียงก่อนที่หางตาของเขาจะเหลือบไปเห็นซองจดหมายหลายฉบับอยู่ในซอกหลืบ
“มีจดหมายอยู่ด้วยน่ะ”
คนพี่ถือวิสาสะล้วงมือเข้าไปหยิบมันออกมาส่งให้น้อง ซองจดหมายจากเดิมที่คาดว่าน่าจะเป็นสีขาว แต่เพราะผ่านกาลเวลาไปนานหลายปี จึงทำให้มันกลายเป็นสีเหลืองอ่อน ๆ แต่ถึงสภาพจะเก่าเก็บสักแค่ไหน ซองจดหมายยังคงเรียบแปล้ราวกับของใหม่ไม่มีแม้แต่รอยยับ ดูแล้วน่าจะถูกเก็บไว้เป็นอย่างดีราวกับเป็นของสำคัญ
ผิวสัมผัสหน้าซองจดหมายทำให้สิงเผยยิ้มน้อย ๆ “มันเป็นจดหมายที่สิงส่งให้ทวดครับ”
“ไม่ใช่ว่ามึงเรียนแค่อักษรเบรลล์หรอกเหรอ?”
“ผมขอให้อาจารย์ที่โรงเรียนช่วยสอนครับ”
“ถ้ามึงส่งจดหมายให้ทวด แล้วมึงอ่านจดหมายทวดได้ยังไง”
เด็กหนุ่มยิ้มหน้าเจื่อน “ผมขอให้อาจารย์ช่วยอ่านให้ฟังครับ”
“ทำหน้าแบบนี้ มึงแอบไอเสือส่งใช่ไหม แล้วทำไมไม่มาขอให้กูช่วยอ่านให้ฟัง”
“ผมไม่อยากรบกวนพี่อินครับ พี่มีงานเยอะแล้ว”
“แค่อ่านจดหมาย ใช้เวลาไม่นานหรอก… งั้นกูขอดูจดหมายที่มึงส่งให้ทวดได้ป่ะ?”
สิงพยักหน้าพลางยื่นซองจดหมายทั้งหมดไปให้
แววตาใส่ไล่อ่านเนื้อความในจดหมาย ก่อนเงยหน้าขึ้นมองจ้องน้องชายพร้อมระบายยิ้มอ่อน แม้จะตาบอดแต่พยายามเขียนตอบกลับจดหมายจากทวดด้วยลายมือที่ดูแล้วน่าจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการเขียนให้คนแก่อ่านออก ไหนจะตัวหนังสือที่ไม่ต่างกับลายมือเด็กหัดเขียน ดูแล้วทวดภาสก็น่าจะต้องใช้ความพยายามในการอ่านลายมือหลานอยู่พอสมควร
“มึงนี้น่ารักดีเน๊อะ”
“ครับ?!” เขาไม่รู้ว่าทำไมคนพี่พูดแบบนั้น แต่การได้รับคำชมจากคนที่แอบชอบ มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ใบหน้าของเด็กไม่ประสีประสาเห่อร้อน
“ทำไม ชมไม่ได้เลย!”
สิงยิ้มขัดเขินพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เขิน “ดะ…ได้ครับ”
“คอมึงแหกแล้วไอสิง เลิกเกาก่อน” เห็นสิงเกาจนคอแดงก็อดที่จะแซวไม่ได้ ยิ่งเห็นแก้มขาวขึ้นสีแล้วอยากจะจับมาฟัดซะให้จมเขี้ยว
ทั้งชมทั้งแซวแบบนี้ ทำเอาสิงเลิกลักทำอะไรไม่ถูก จนอินหลุดขำน้ำตาแทบเล็ด
“เออ ๆ กูไม่แกล้งแล้วก็ได้”
“...”
“หยุดเขินกี่โมง?” อินเอียงคอถาม
ไหนบอกจะไม่แกล้งแล้ว?! สิงรีบก้มหน้างุดจนคางชิดอกเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจากคนที่จ้องแต่จะแกล้งเขา “พี่อินก็เลิกมองสิงก่อนซิครับ”
“มึงรู้ได้ไงว่ากูมอง”
“ผมรู้สึกได้ครับ”
“โว้ย! มองหน้าก็ไม่ได้ ไอสิงเอ้ย! โคตรอ่อน เออ ๆ กูไม่มองก็ได้” อินแกล้งเบี่ยงหน้าไปมองทางอื่น แต่แอบเหลือบมองเด็กหมายักษ์ทางหางตา เพราะอยากรู้ว่าน้องมันจะทำท่าทางแบบไหน
ในขณะเดียวกันนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็กำลังก่อตัวขึ้นในใจของคนที่เรียกตัวเองว่า พี่ชาย โดยที่เจ้าตัวไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้... ไอสิงมันน่ารักจังวะ?!
“ว่าแต่…ทวดมึงส่งเทริดมาให้ มึงไม่ลองสวมดูละ”
“สวมไม่ได้หรอกครับพี่อิน มันเป็นของสูง ต้องทำพิธีก่อน”
“อ๋อเหรอ ความรู้ใหม่ ว่าแต่กูขอเอาออกมาดูได้ไหม?”
“ได้ซิครับ แต่จับระวัง ๆ หน่อยนะครับ”
“กูไม่ทำพังหรอก หายห่วง”
“ผมไม่กลัวพี่อินทำพังหรอกครับ แต่กลัวพี่อินไม่ระวังจนแก้วบาดมือต่างหาก”
อินยกมือไหว้เทริดตามธรรมเนียมนาฏศิลป์ แล้วล้วงมือลงไปยกเทริดออกมาจากกล่องไม้อย่างเบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตึก!
เหมือนมีของแข็งบางอย่างตกกระทบก้นกล่องไม้ ทำเอาคนพี่หน้าซีดเผือด “เชี้ย! กูทำอะไรพังรึเปล่าวะ”
เพิ่งพูดออกไปหยก ๆ ว่าจะไม่ทำของมันพัง
“มีอะไรรึเปล่าครับพี่อิน”
“กูทำอะไรตกไม่รู้วะ โทษทีนะมึง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่อิน”
อินรีบยกเทริดขึ้นมาวางไว้บนเตียงก่อนชะโงกหน้ากลับไปมองสำรวจภายในกล่อง
“ทวดมึงให้สร้องทองมาด้วย” อินหยิบกล่องพลาสติกกลมสีแดงฝาใส่ฉลุลวดลายสีทองเห่ย ๆ ที่ร้านทองในสมัยก่อนมักจะใช้ใส่ทองให้กับลูกค้าส่งไปให้เจ้าของตัวจริง
“ในกรอบทอง ทวดมึงใส่อะไรมาวะ” อินถาม
สิงมองอะไรไม่เห็นจึงยื่นสร้อยทองไปให้ร่างโปร่งดูด้วยตัวเอง
ในกรอบทองมีทั้งผงสีเทาควันบุหรี่ทั้งแบบหยาบและละเอียดคล้าย... “ผงแบบนี้เหมือนอัฐิเลยวะ สวมไว้ไหม เดี๋ยวกูใส่ให้”
“ครับ”
อินโน้มไปสวมสร้อยทองลงบนลำคอคนตรงหน้า “เสร็จแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
“เก็บของไหม ดึกแล้ว พรุ่งนี้มึงต้องไปวัดอีกน่ะ”
“ครับพี่อิน”
สองคนพี่น้องช่วยกันเก็บของลงกล่อง จากนั้นอินอาสานำกล่องไปเก็บเอาไว้ในห้องแต่งตัว พอเสร็จก็เดินไปนอนบนเตียงฝั่งเดิมกะว่าจะปิดไฟนอน แต่ไอเด็กหมายักษ์ของเขาดันเขยิบเข้ามานั่งประชิดตัว ก่อนที่มันจะยื่นมือมาบีบนวดบนตัวเขา
“ทำอะไร?”
“ก็นวดให้พี่อินไงครับ”
“ไม่ต้อง นอนเหอะ ดึกแล้ว”
“ผมนวดได้ครับ พี่อินนอนเถอะ ฝันดีนะครับ”
อินหัวเราะในลำคอ พลางมองไอเด้นน้อยของเขาไล่บีบนวดตัวเขาอย่างตั้งใจ “เออ ฝันดี”
สิงตั้งใจนวดผ่อนคลายให้ร่างโปร่งจนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอ จึงล้มตัวลงนอนข้าง ๆ พร้อมกับถือวิสาสะกุมมือของอินเอาไว้จนผล็อยหลับไป
“ทำไมวันนี้พี่อินตื่นเช้าจังคับ”
สิงถืออาหารเช้าและกาแฟดำกลิ่นหอมของอินไว้ในมือ เพราะกะว่าวันนี้จะเสิร์ฟให้ถึงเตียง แต่พอเดินเข้ามาในห้องนอนกลับไม่พบร่างโปร่ง มีเพียงเสียงขยุกขยิกในห้องแต่งตัว
“วันนี้มีงาน กูเลยลุกขึ้นมาเตรียมตัว”
“ยังมีงานอีกเหรอครับพี่อิน เมื่อวานไม่ใช่งานสุดท้ายก่อนหยุดพักเหรอครับ”
“เป็นงานที่กูเลื่อนไปเมื่อวันก่อนอะ มันเลื่อนอีกไม่ได้ เลยต้องไปวันนี้ มีแค่งานนี้งานเดียวแหละ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะรีบตามไปที่วัด”
“ผมทำพี่ลำบากรึเปล่าครับพี่อิน” สิงพูดในขณะที่เดินเข้าไปหาคู่สนทนา
อินส่งสายตาดุในขณะติดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวเก่ง “เอาอีกแล้วนะมึง เมื่อไหร่จะเลิกโทษตัวเองวะ อย่าให้กูได้ยินอีกน่ะ กูไปกับมึง เพราะกูกระเสือกกระสนจะไปเอง”
“ครับ” สิงตอบเสียงอ่อย ริมฝีปากคว่ำลงอย่างเห็นได้ชัดว่า ‘น้อยใจ’
อินแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จก็หันมาหยิกแก้มนุ่มจนเกิดรอยแดงจาง ๆ พอใจแล้วก็เดินผ่านคนน้องไปที่ห้องนอนก่อนจะหยิบอาหารเช้าขึ้นมาโซ้ยอย่างมูมมาม
“สิง!หยิบสคริปต์ในกระเป๋ามาให้กูหน่อย”
“อยู่ตรงไหนครับ?”
“ในกระเป๋าหนังสีดำที่กูใช้บ่อย ๆ นั่นแหละ”
สิงพลิกตัวกลับเข้าไปในห้องแต่งตัวแล้วเดินตรงไปยังตู้เก็บกระเป๋า หยิบกระเป๋าหนังสีดำที่ถูกแขวนอยู่บนประตูตู้ออกมาแล้วเดินกลับไปหาอินพร้อมกับยื่นเอกสารไปให้คนที่กำลังกินไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย
“วันนี้เหรอครับ?”
[ใช้ครับ พอดีผมพอจะมีเวลาว่าง เลยจะเข้าไปเคารพศพคุณเสือที่วัด แล้วจะรับคุณอินกับสิงไปด้วยกันเลย]
“ผมคงไปด้วยไม่ได้หรอกครับ พอดีผมติดงานสำคัญ”
[อาวเหรอครับ]
“สักครู่นะครับสารวัตร” อินลดโทรศัพท์มือถือลง ก่อนเงยหน้าขึ้นมาถามความเห็นน้อง “สิง วันนี้มึงไปค้นบ้านไอเด็กเจเจกับสารวัตรปราปได้ไหมวะ?”
“ได้ครับพี่อิน”
“กูไม่ได้ไปด้วย ดูแลตัวเองดี ๆ ละมึง ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรหากู เข้าใจไหม?” ใจจริงอินก็ไม่อยากปล่อยให้สิงไปโดยไม่มีเขา แต่ดูจากการไปค้นบ้านเสือและเพรียวแล้ว ต่อให้มีเขาไปด้วยก็ใช้ว่าจะช่วยอะไรได้ และถ้าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปตามที่สิงเคยพูด นั้นก็หมายความว่าพวกเขากำลังปล่อยให้ฆาตกรลอยนวลไปอีกหนึ่งวัน
“ครับ”
อินยกโทรศัพท์ขึ้นมาคุยกับปลายสายอีกครั้ง “ถ้างั้นวันนี้ สารวัตรมารับสิงที่วัดนะครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ไปด้วยไม่ได้”
[หรือคุณอินอยากจะเลื่อนไปเป็นวันอื่นไหมครับ?]
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่อยากรบกวนเวลาทำงานของสารวัตร ผมฝากน้องด้วยนะครับ”
[ได้ครับ ไม่ต้องเป็นห่วง]
“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้เจอกันครับ”
[ครับ เจอกันที่วัดนะครับ]
อินลากน้องมานั่งประจันหน้ากับตัวเอง “สิง มึงรับปากกูว่าจะไม่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง แผลบนมือมึงเนี่ย ไม่เอาอีกแล้ว โอเคไหม” เขาพูดแกมบังคับ
“คับ”
“ดูแลตัวเองดี ๆ มึงสวดมนต์ได้ก็สวดไล่ไปให้หมด อันไหนสู้ไม่ได้ก็ช่างแม่ง! วิ่งให้เร็วกว่าก็ผีพอ เข้าใจไหม”
มุกตลกทำให้มุมปากสิงยกขึ้นเล็กน้อย “ครับ”
“กูขออ่านสคริปต์รายการแป๊บนึง เดี๋ยวกูไปส่งที่วัด”
ประสบการณ์ได้สอนอินแล้วว่าไม่ควรขับรถเข้าทางหน้า ไม่งั้นจะเจอฝูงนักข่าวรุมจิกรุมทึ้ง รถสปอร์ตจึงเลี้ยวไปจอดที่ด้านหลังวัดแทน
อินเดินจูงมือสิงเข้าไปในศาลาตั้งศพ กลุ่มแฟนคลับเห็นดาราหนุ่มคู้จิ้นในตำนาน ‘อินเสือ’ เดินเข้ามาพร้อมกับหนุ่มน้อยน่ารักจึงรีบเดินเข้าไปให้กำลังใจกันยกใหญ่
เจตปล่อยให้อินและสิงพูดคุยกับเหล่าแฟนคลับหลายนาที จากนั้นเขาก็เข้ามาลากคนทั่งคู่ไปคุยด้วย
“แกอ่านสคริปต์รายการแล้วรึยัง จำคำถามคร่าว ๆ ของพี่เจซซี่ได้แล้วใช่ไหม?”
“จำได้แล้วพี่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ไม่ห่วงก็บ้าละ รายการพี่เจซซี่เลยนะ พี่แกจะจี้ถามอะไรแกบ้างก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องเสือ ไม่ต้องตอบอะไรนะรู้ไหม ห้ามหลุดเลย”
“โอเค ๆ รู้แล้ว ไม่หลุดหรอก วางใจได้”
“วางไม่ลงเลย ยิ่งแกไปคนเดียวอีก ฉันยิ่งเป็นห่วง”
“อาว ทำไมพี่อินไปคนเดียวละครับ?” สิงพูดแทรกขึ้นมาทันควันเมื่อได้ยินว่าดาราหนุ่มต้องไปทำงานคนเดียว
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้แขกเหรื่อมากันเยอะ ให้พี่เจตอยู่ที่นี่ดีแล้ว กูไปคนเดียวได้”
“ไม่ให้พี่แฟนไปเป็นเพื่อนละครับ?”
“ให้มันอยู่นี้แหละ ช่วยพี่เจตรับแขก แล้วก็ช่วยดูแลมึงด้วย”
“ผมดูแลตัวเองได้ครับ ไม่ใช่เด็กสักหน่อย”
“ไม่เด็ก แต่กูเป็นห่วง จบน่ะ” อินพูดเสียงแข็งราวกับเป็นอาญาสิทธิ์ที่สิงไม่สามารถปฏิเสธได้
งานฌาปนกิจศพของเสือดำเนินไปด้วยความวุ่นวายตั้งแต่ช่วงเช้า คนในวงการที่เคยร่วมงานกับเขาต่างพากันมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
“สารวัตรปราป หมอราม หมวดเมฆ สวัสดีคับ” เจตยืนอยู่หน้าศาลาคอยรับแขก เห็นคนคุ้นเคยเดินเข้ามาในงานก็รีบเดินเข้าไปทักทาย
“ขอบคุณที่ส่งโลเคชั่นมาให้นะครับคุณเจต” รามเดินนำเพื่อนเข้ามาหาร่างเล็ก พลางยกยิ้มหน้าบานอย่างออกนอกหน้าจนเพื่อนสนิทได้แต่ส่ายหน้าระอากับความเจ้าชู้ที่ไม่ค่อยรู้กาลเทศะ
มันลืมรึไงว่านี้งานศพ ไม่ใช่งานแต่ง?!
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงเข้าไปเคารพศพกันก่อนดีกว่า”
เจตเดินนำข้าราชการทั้งสามคนเข้าไปจุดธูปเคารพศพเสือ
“สวัสดีครับคุณอิน” ปราปทักทายร่างโปร่งที่ยืนอยู่หน้าโลงศพก่อนใครเพื่อน โดยมองข้ามเด็กหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไปราวกับน้องเป็นอากาศธาตุ
“สวัสดีครับสารวัตรปราป หมวดเมฆ หมอราม” อินทักทายกลับตามมารยาท
“ว่าไงสิง สบายดีไหม?” เมฆรู้สึกราวกับตัวเองไม่มีตัวตนอยู่ตรงนี้หันไปเห็นสิงที่รู้สึกไม่ต่างกันจึงทักทายน้องอย่างเป็นกันเอง
“ก็ดีครับ แล้วหมวดเมฆสบายดีไหมครับ”
“เรียกพี่ก็ได้ เจอหน้ากันบ่อยจนเหมือนจะเป็นเครือญาติกันอยู่แล้ว”
“ครับพี่เมฆ”
“กินข้าวกินปลารึยัง เดี๋ยวต้องไปช่วยงานหลวงนะ”
“กินแล้วครับ”
“คุณอินละครับ กินอะไรรึยัง” ปราปถามแทรก
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยพลางยกยิ้มอย่างเก้ ๆ กัง ๆ รู้สึกตงิดใจยังไงชอบกล ราวกับสิ่งที่คนตรงหน้าทำมีนัยยะอะไรบางอย่างแอบแฝง “เรียบร้อยแล้วครับ”
แปลกตั้งแต่ที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อเช้าแล้ว…
“ว่าแต่ทั้งสามคนกินอะไรมารึยัง” เจตถามแทรก
“ผมอยากกินนะครับคุณเจต แต่เดี๋ยวพวกเรามีงานต่อ เสียดายจัง” รามพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
“เดี๋ยวผมให้แฟนไปแพ็คให้ครับ ไว้กินในรถกันก็ได้” เจตพูดจบก็หันไปสั่งให้แฟนนำของว่างใส่ถุงให้กับแขกทั้งสามคน
“ขอบคุณนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” เจตตอบก่อนหันไปคุยกับเด็กในสังกัด “อิน พี่ว่าแกไปได้แล้วแหละ เดี๋ยวรถติดนะ”
อินยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาตามคำผู้จัดการบอก “โอเคพี่ เดี๋ยวผมไป สิงดูแลตัวเองดี ๆ นะ แล้วก็เอานี่คืนไปด้วย” อินทำท่าจะถอดสร้อยพระที่สิงเคยให้ คืนให้คนน้องกลับไปสวมไว้เพื่อป้องกันตัว
“พี่อินสวมไว้เถอะครับ ไม่ต้องคืนให้สิงหรอก” สิงพูดพลางยกมือขึ้นห้าม
“ไม่ได้! มึงต้องใส่เอาไว้ กูเป็นห่วง”
“สิงมีเยอะแล้วครับ พี่อินใส่ไว้เถอะ สิงขอนะครับ”
“เดี๋ยวนี้มึงดื้อนะสิง”
“ขอโทษครับ แต่พี่อินช่วยสวมไว้ได้ไหม นะครับนะ”
เมื่อเจ้าเด้นอ้อนหนักขนาดนี้มีเหรออินจะใจแข็งอยู่ได้ เอ็นดูเจ้าเด็กสัมผัสพิศวงนี้มาตั้งแต่เด็ก ใครจะไปใจร้ายปฏิเสธได้ลงคอ
“เออก็ได้ งั้นมึงดูแลตัวเองดี ๆ มีอะไรก็โทรหากูเข้าใจไหม?”
“ครับพี่อิน”
“นี้! ไออิน น้องมันจะไปรบรึไง เป็นห่วงอะไรมันขนาดนั้น” เจตอดรำคาญไม่ได้ เห็นแล้วหมั่นไส้
“ไม่ได้ไปรบ แต่ไปเจอผีอะดิ” อินพูดเสียงแผ่วราวกับจะพูดให้ตัวเองได้ยินเพียงคนเดียว แต่เด็กหูดีดันได้ยินไปด้วย มุมปากของเจ้าเด็กยักษ์จึงยกขึ้นอย่างขำขัน
“แกว่าอะไรนะ?!” เจตที่ยืนห่างออกมาถามย้ำ เพราะเจ้าตัวดันพูดเบาจนได้ยินอะไรไม่ค่อยชัด
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ มันก็ไปช่วยงานราชการธรรมดานั่นแหละ” คำโกหกหลุดออกมาเต็มปาก
“ก็ถ้าไปช่วยงานธรรมดา แล้วแกจะหวงอะไรออกนอกหน้าขนาดนั้น รำคาญ!” ร่างเล็กยืนเท้าสะเอวพูด
“ผมหวงของผม แล้วพี่เดือดร้อนทำไม” อินทำหน้าเหลอหลา แกล้งหยอกเย้าผู้จัดการส่วนตัวเล่นขำ ๆ ก่อนไปทำงาน โดยไม่ได้หันไปสังเกตคนที่อยู่ข้าง ๆ ว่าตอนนี้ ตั้งแต่ลำคอลามไปจนถึงใบหน้าและใบหูเห่อร้อนจนขึ้นสีอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะที่อีกฝั่งมีนายตำรวจหนุ่มแต่ตัวเต็มยศยืนนิ่งเงียบ ไม่แสดงท่าที แต่น้ำตากลับตกในรู้สึกแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม
“อ้าว! ไออิน! ปากดีนักนะ เดี๋ยวแม่ตบคว่ำซะนี้” เจตชูฝ่ามืออรหันต์ขู่ ดาราหนุ่มมาดกวนรีบเอียงแก้มให้ ซ้ำยังยกนิ้วชี้อย่างยียวนตามนิสัย
“เกรงใจแขกหน่อยไหมพี่เจต พี่อิน” แฟนที่เดินกลับมาพร้อมกับถุงกระดาษบรรจุอาหารว่าง เห็นชายวัยสามสิบสองคนทะเลาะกันอย่างกับเด็กสามขวบ จำต้องรีบจ้ำอ้าวเข้ามาห้ามทัพ “แล้วพี่จะไปแซวพี่อินทำไม ก็รู้อยู่แล้วว่าพี่เสือกับพี่อินห่วงสิงอย่างกับไข่ในหิน ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม”
“ก็แค่รำคาญ!” เจตพูดกระแทกเสียงพลางถลึงตาใส่
อินเลิกสนใจคนแก่ทำตัวเด็ก แล้วหันมาสนใจเด็กตัวจริง เขายื่นมือไปจับแขนคนน้องเอาไว้แล้วออกแรงบีบเล็กน้อย สิงจึงยกยิ้มและพยักหน้าตอบให้คนพี่เข้าใจว่าเขา…จะดูแลตัวเองดี ๆ
อินจูงมือสิงเดินมาส่งถึงรถของสารวัตรปราป เปิดประตูให้สิงเข้าไปนั่ง แล้วค่อยหันมาบอกลาคนอื่น ๆ “ฝากสิงด้วยนะครับ”
“จะดูแลให้อย่างดีเลยครับ” หมอรามที่นั่งฝั่งเดียวกับสิงตอบรับคำพร้อมขยิบตาให้
อินยิ้มตอบรามแล้วค่อยหันไปมองเจ้าของรถ “ขับรถดี ๆ นะครับสารวัตร”
“ครับ คุณอิน”
หลังจากกล่าวลากันเสร็จต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง
ปราปขับรถตรงไปยังหมู่บ้านของเหยื่อรายที่สาม รามที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับการค้นสถานที่เกิดเหตุที่สุด พูดทำลายความเงียบภายในรถ
“กูขอถามหน่อย ทำไมกูต้องไปกับมึงด้วยวะไอปราป”
“ไปไหน ค้นบ้านเหรอ?”
“เออ”
“มึงเสือกติดรถกูมาเอง ถ้าไม่อยากไป กูจะได้จอด ส่วนมึงก็ไสหัวออกไปจากรถกู”
“หมดความสำคัญแล้วมึงก็ถีบหัวส่งกูเลยเหรอไอเพื่อนเหี้ย”
“แล้วจะไปไม่ไป”
“มาขนาดนี้แล้ว กลับไม่ทันแล้วป่ะ?!”
หมวดเมฆนั่งยิ้ม มองดูเพื่อนรักสองคนเถียงกันไปมาพูดขัดเพื่อหยุดสงครามน้ำลาย “แค่ไปค้นบ้านเองครับหมอราม ไม่มีอะไรหรอก”
“ถ้าไม่มีอะไรจริง ๆ ทำไมต้องพาสิงมาด้วยละ” รามเลิกคิ้วถามอย่างไม่เอาคำตอบ เพราะเขาเคยได้ยินเรื่องแปลก ๆ ของเด็กหนุ่มจากเพื่อนรักมาบ้างแล้ว
“สิงเป็นตัวนำโชคไงครับ” หมวดเมฆเลื่อนขั้นให้สิงจากเด็กน้อยสัมผัสพิศวง กลายเป็นเด็กน้อยนำโชคไปซะอย่างนั้น ความสามารถของเขาคงช่วยงานราชการได้ไม่มากก็น้อย
“สิง” รามเอี้ยวตัวไปมองสิงที่อยู่เบาะหลัง
“ครับ?”
“พอจะมีของขลังเหลือเผื่อแผ่มาถึงพี่บ้างไหม?”
สิงยกยิ้ม “ไม่มีแล้วครับ ผมให้พี่อินไปแล้ว ขอโทษด้วยนะครับหมอราม”
ปราปนั่งขับรถอยู่ได้ยินชื่อของคนที่สนใจในบทสนทนา จึงเลียบเคียงถามคลายความสงสัย “สิงกับคุณอินสนิทกันจังเลยเน๊อะ”
รามตวัดสายตาลอบมองเพื่อนรักผ่านหางตา พลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ได้พูดขัด
สิงยิ้มโดยไม่ตอบอะไร อีกฝ่ายน่าจะพออ่านภาษากายออก
“คุณอินเขาห่วงสิงน่าดู”
“พี่อินห่วงผม คงเพราะผมมองไม่เห็นมั้งครับ”
“ว่าแต่…คุณอินเขามีแฟนรึเปล่า?”
“ไม่ทราบครับ แต่ผมคิดว่าไม่มี”
ปราปพยักหน้ารับรู้ ในใจอยากถามอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะเต็มหัวไปหมด แต่เพราะปากหนักเกินกว่าที่จะถามต่อ
เป็นรามที่นึกสนุก เห็นเพื่อนไม่กล้าถามเลยจะถามให้แทน “แล้วคุณอินเค้าชอบคนแบบไหนเหรอสิง?”
ปราปถึงกับหันขวับมาถลึงตาใส่เพื่อน แต่รามไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ
“ผมไม่รู้หรอกครับ พี่อินไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นเลย”
“ไม่เคยมีแฟนเลยเหรอ?” รามถามเสียงหลง
“ก่อนเข้าวงการเคยมีครับ แต่หลังจากเข้าวงการแล้ว…ไม่น่าจะมีครับ”
“เหงาตายเลย” หมวดเมฆผสมโรง
“นั้นดิ” รามเสริม
“พูดเหมือนพวกมึงมี” ปราปพูดดักคอเพื่อนและลูกน้องคนสนิท ราวกับเขาสามารถปล่อยไฟหลายล้านโวลต์ได้เหมือนกับเป็นโรงไฟฟ้าเคลื่อนที่
หมวดเมฆยิ้มแห้ง ส่วนหมอรามหน้าแห้งแต่ก็มิวายหันไปมองค้อนเพื่อน
ไม่ทันที่บทสนทนาบทใหม่จะเริ่มขึ้น เสียงฟ้าผ่ากลับดังสนั่นหวั่นไหวแทรกขึ้นมาเสียงก่อน เรียกความสนใจจากคนบนรถให้ชะเง้อหน้าออกไปมอง เม็ดฝนเม็ดเล็กตกกระทบกระจกบังลมด้านหน้าก่อนที่มันจะเทกระจาดลงมาจนปราปแทบจะมองไม่เห็นทาง
เมฆชะโงกหน้ามองท้องฟ้า บ่นพึมพำกับตัวเองแต่ดังพอให้คนอื่นบนรถได้ยิน “มาตกอะไรตอนนี้วะ”
เนื่องจากฝนที่ตกลงมาทำให้การจราจรเริ่มติดขัด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่คณามือนายตำรวจหนุ่มที่รู้เส้นทางลัดเลาะในกรุงเทพฯ แทบจะทุกสาย
เอี๊ยด!
เสียงผ้าเบรกดัง เมื่อฝ่าเท้าของนายตำรวจหนุ่มเหยียบแป้นเบรกเข้าไปเต็มแรง เพื่อรักษาชีวิตแมวดำที่จู่ ๆ ก็วิ่งตัดผ่านหน้ารถ
“เชี้ยแม่ง!”
พลขับสบทออกมาอย่างไม่พอใจ สายตาเกรี้ยวกราดถอดมองตามแมวดำที่วิ่งหายเข้าไปในพงหญ้าข้างทางอย่างเอาเรื่อง
“โอเคไหมเมฆ สิง”
หมอรามรีบหันกลับไปมองผู้โดยสารสองคนที่นั่งอยู่เบาะหลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก กลัวว่าจะพาน้องชายสุดรักสุดหวงของดาราหนุ่มมาตายเสียแล้ว
“ไม่เป็นไรครับหมอราม สิง เป็นไรไหม?” หมวดเมฆตอบในขณะที่หันไปมองคนอายุน้อยสุดในรถ
“ไม่เป็นไรครับพี่เมฆ”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” รามพลิกตัวหลับไปมองค้อนคนที่ขับไม่ระวัง “มึงจะรีบไปไหนวะไอปราป ขับช้า ๆ ก็ได้”
“กูไม่ได้รีบ กูขอโทษละกัน”
“ขับดี ๆ ฝนตก ถนนมันลื่น”
“อือ”
ปราปขับรถต่อไปยังบ้านของเจเจ แต่ครั้งนี้เขาผ่อนแรงเหยียบคันเร่งลงตามคำของเพื่อน สายตาคอยสาดส่องสองข้างทางอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุแบบเมื่อครู่อีก
“เห้ย!! ไอปราประวัง!!”
รามร้องเสียงหลงเมื่อต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงห้าเมตรกำลังหักโค่นลงมาพาดถนนเส้นรองที่ปราปลัดเลาะเข้ามาเพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทาง
ต้นไม้ต้นที่กำลังจะล้มลงบนหลังคารถยุโรปคันงาม ปราปจึงรีบหมุนพวงมาลัยหลบหลีก การตัดสินใจเพียงแค่เสี้ยววินาทีทำให้คนทั้งหมดรอดพ้นจากอันตราย…ต้นไม้หักโค่นห่างจากท้ายรถแค่ฉิวเฉียด
“เชี้ยไรวะเนี่ย?!” รามสบท เรื่องแมวดำเมื่อครู่อาจเป็นอุบัติเหตุ แต่คนอะไรจะซวยหนังถึงขั้นเจอเรื่องเฉียดตายถึงสองครั้งติดภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที
“ผมว่ามันเริ่มแปลก ๆ แล้วนะครับสารวัตร” เมฆแสดงความเห็นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างกับราม
“อะไรที่ว่าแปลก?” ปราปถามเสียงเรียบ
“ยังจะถามอีก! ทั้งแมวดำ ทั้งต้นไม้ มึงไม่คิดว่ามันแปลกเหรอวะ” หมอรามเถียง
“ก็แค่อุบัติเหตุ มึงอย่างมงายดิ๊ หมอเหี้ยไรเพ้อเจ้อฉิบหาย” ปราปเถียง สายตายังคงจ้องเขม็งอยู่กับเส้นทางเบื้องหน้า จากเดิมที่ขับช้าอยู่แล้วจนตอนนี้เหลือเพียงหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ลงเดินยังถึงเร็วกว่า เสียชื่อรถยุโรปฉิบหาย
“เอ้า! ไอนี้ ก็มันน่าคิดป่ะ”
ปราปพ่นลมทางจมูกเสียงหนัก “พอ ๆ เลิกเพ้อเจ้อ”
รามยอมเงียบปาก เพราะรู้ว่าต่อให้พูดไป ระดับความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติของเพื่อนรักก็ไม่กระเตื้องขึ้นมา
“สิง ทำไมนั่งเกร็งขนาดนั้น กลัวเหรอ” เมฆละสายตาจากหน้ารถกลับมามองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เห็นเด็กหนุ่มนั่งหลังตรงคอเกร็งจนอึดอัดแทน
สิงส่ายหน้าพลางระบายยิ้มอ่อน “ไม่เป็นไรครับ”
“ช่วยด้วย ฮือ ๆ”
“พากูกลับบ้านที”
“เจ็บ หนาว ช่วยที”
เสียงร้องโหยหวนเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ปราปขับรถลัดเลาะเข้ามาในถนนเส้นรอง มันดังแผ่วเบาในช่วงแรกแต่ยิ่งตัวรถขับเข้ามาลึกมากแค่ไหนเสียงพวกนี้ก็ยิ่งดังชัดมากขึ้นเท่านั้น มีทั้งเสียงของผู้หญิง ผู้ชาย และเด็กปะปนกันไป มันกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ผ่านไปผ่านมา โดยหวังให้มีคนมาช่วยปลดปล่อยพวกมันจากบ่วงทุกข์
เปลือกตาของสิงปิดลงอย่างเชื่องช้าพลางท่องบทสวดเแผ่เมตตาในใจเพื่อแผ่บุญกุศลไปให้สัมภเวสีเหล่านั้น
“มึงได้ยินกูเหรอ!”
“ช่วยกูที”
“พากูกลับบ้าน”
“พากูกลับบ้าน”
เสียงพวกนั้นทำให้บทสวดหยุดชะงัก เด็กหนุ่มสัมผัสพิศวงนั่งตัวเกร็งจนแทบไม่ไหวติง เหงื่อกาฬไหลอาบแก้มขาวเนียน ความกลัวแล่นผ่านตัวราวกับสายฟ้าฟาด ไม่ว่าจะเจอมามากแค่ไหนก็ไม่เคยสร้างความเคยชินให้กับเขาเลยสักครั้ง
สิงพยายามกำหนดลมหายใจและตั้งสติเพื่อสวดบทแผ่เมตตาต่อ
“ช่วยฉันด้วย”
“ฉันเจ็บ ฮือ ๆ”
“พาฉันกลับบ้านที”
บทสวดแผ่เมตตาไม่เป็นผล... เสียงร้องโหยหวนของสัมภเวสีดังหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีเสียงอึกทึกครึกโครมบางอย่างที่ฟังดูแล้วเหมือนมีอะไรวิ่งไล่ตามรถคันนี้อยู่
วิญญาณเร่ร่อนเป็นสิบ ๆ ตนวิ่งโร่งกันเข้ามาราวกับมีแม่เหล็กขนาดใหญ่ดูดพวกมันเอาไว้ บางตนยังอยู่ในสภาพดี มีเพียงเลือดไหลอาบร่าง บางตนอวัยวะขาดหาย แต่บางตนมีแผลเหวอะหวะแขนขาขาดวิ่นห้อยโตงเตงข้างลำตัว ที่หนักสุดมีเครื่องในห้อยย้อยลากไปตามทางดูน่าสะอิดสะเอียนชวนสำรอก
ตะ มตฺถํ ปะกา เสนโต สตํธา อะหะ อิเม อะวิตะ อฺ อะมิ มะสะ นะโม
นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ
พาหฺง สะหํสสะ มะภินมิตะสา วฺธํนตงครี เมขะลํง อฺทิจโฆระสะเสนรํง ทานานทิ ธํมมะวิธินา ชิตวามฺนินโท ตํนเตชะสา ภะวะตฺ เต ชะยะมังคะลานิฯ โอมเพี้ยงให้มารจงพ่ายแพ้ล่าถอยนี้ไปในบัดดล
“สวดอะไรเหรอสิง”
หมอรามเงยหน้ามองผ่านกระจกหลัง เห็นเด็กหนุ่มกำลังพนมมือแนบอก ปากบ่นพึมพำอะไรสักอย่างที่คาดว่าน่าจะเป็นบทสวด
เปลือกตาของสิงลืมขึ้นตามเสียงเรียก แต่ยังไม่สนใจที่จะตอบคำถาม ใบหูข้างนึงกระดิกขึ้นลง เงี่ยหูฟังเสียงร้องโหยหวนหลังรถ เมื่อมันเริ่มจางหายไปแล้วเขาถึงหายใจได้อยากคล่องคอ
“สวดมนต์ทั่วไปครับ”
รถยุโรปขนาดสี่ประตูจอดหน้าบ้านหลังใหญ่ของยูทูปเบอร์ชื่อดังอย่างปลอดภัย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมนต์คาถาที่สิงสวดหรือเป็นเพราะสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นมารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้วกันแน่ เพราะทันทีที่ประตูรถถูกเปิดออก กลิ่นเหม็นเน่าก็ประเดประดังกันเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ แถมยังมีเสียงหวีดร้องดังอื้ออึงออกมาให้ได้ยินจากภายในบ้าน นั้นยังไม่รวมถึงเงาดำมืดหลายเงาเรียงรายรอพวกเขาอยู่รอบบ้าน
นั้นบ้านหรือป่าช้า?!
“ไปกันเหอะ ไอเมฆกุญแจอยู่ที่แกรึเปล่า” ปราปหันไปถามลูกน้อง
“ครับสารวัตร”
“สิง ไปกัน” รามที่เห็นว่าเด็กหนุ่มมองไม่เห็น จึงอาสาเดินเข้าไปจูงมือนำทางอย่างที่เคยเห็นอินทำ
สิงเห็นแบบนั้นก็ไม่ปฏิเสธความหวังดี เดินตามแรงลากจูงไปอย่างว่าง่าย ถึงแม้มันจะไม่จำเป็นสำหรับเขาก็ตาม
“หยุด!”
เสียงแหบทุ้มต่ำคุ้นหูสั่งห้าม ฝีเท้าสิงจึงชะงักไปชั่วครู่ คนนำทางเองก็สะดุดไปด้วยจึงหันกลับมาถาม
“เป็นอะไรรึเปล่าสิง?”
“ไม่เป็นไรครับหมอราม”
ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่สิงก็ยังยืนนิ่งไม่ยอมก้าวขาเข้าไปภายในอาณาเขตบ้าน
“มึงไม่ควรเข้าไป”
“กูเข้าไปไม่ได้”
ผีตายายข่มเสียงต่ำเตือนเขาให้ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปในบ้านหลังนี้ เพราะทันทีที่เขาก้าวผ่านรั่วไป นั้นหมายความว่าเขาต้องดูแลตัวเองจากสิ่งอัปมงคลที่เขาสัมผัสได้จนเกินจินตนาการ
‘ผมต้องเข้าไปครับ’
สิงตัดสินใจเด็ดขาดพลางเอ่ยตอบผีตายายในใจ ก่อนก้าวเท้าเข้าไปในเขตบ้าน แม้จะไม่ค่อยมั่นใจว่าตัวเองจะรอดกลับมาครบสามสิบสองรึเปล่า
แสงจากภายนอกไม่เพียงพอให้พวกเขามองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในบ้าน เมฆที่เป็นคนเดินนำจึงเดินไปเปิดสวิตช์ไฟตรงทางเข้า
“ทำไมยังไม่เปิดไฟอีกวะเมฆ” ปราปเห็นเมฆเดินมาเปิดไฟครู่นึงแล้วแต่ไฟในบ้านยังไม่ติดจึงเดินมาตาม
เมฆที่กำลังสู้รบตบตีอยู่กับสวิตช์ไฟหันมาตอบ “น่าจะพังแล้วละครับสารวัตร”
“งั้นช่างมัน ใช้ไฟฉายก็ได้” พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปหาราม หยิบไฟฉายสำรองที่พกมาด้วยโยนให้เพื่อนไป “ไฟไม่ติด น่าจะพัง”
รามคว้ารับไฟฉายมาไว้ในมือได้ถูกจังหวะ พลางบ่นพึมพำให้เพื่อนได้ยิน “หึ ลางดีเหลือเกิน กูคิดถูกคิดผิดวะที่มาด้วย”
“เริ่มหาจากตรงไหนก่อนดีครับสารวัตร” เมฆถามในขณะที่เดินตามหลังปราป
“ถามผิดคนแล้ว” ปราปตอบเสียงเรียบ พลางกลอกตามองเด็กหนุ่มตัวปัญหาที่ทำให้พวกเขาทุกคนมายืนอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง หลังจากที่ทำการตรวจสอบไปแล้วเมื่อวาน
หมวดเมฆเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ปราปต้องการจะสื่อ จึงเบือนหน้าไปถามน้อง “ว่าไงสิง เริ่มจากตรงไหนดี”
ถึงแม้สิงจะเริ่มชินกับคำพูดประชดประชันของปราปแล้ว แต่กลิ่นที่รุนแรงขนาดนี้ไม่ว่าจะอยู่นานแค่ไหน เขาก็ไม่ชินเอาเสียเลย แถมมันยังรบกวนประสาทการดมกลิ่นของเขาอีกต่างหาก คำถามนี้คงต้องใช้ทักษะ หมา อย่างที่อินชอบเรียกเขาแล้วล่ะ
“ผมไม่แน่ใจครับ แต่คุณเจเจน่าจะเก็บของสำคัญไว้ใกล้ตัว”
“ถ้างั้นก็ขึ้นไปข้างบน” ปราปพูดจบก็สาวเท้าตรงไปยังบันไดขึ้นชั้นสองของบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางบ้าน บันไดหินอ่อนให้ความรู้สึกหรูหราเข้าตัวบ้านที่ตกแต่งสไตล์โรมัน คล้ายบ้านผีสิงสไตล์ยุโรป
“บันไดนะสิง ระวัง” หมอรามที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางพูดเตือนให้สิงก้าวอย่างระมัดระวัง
“ครับ” สิงเดินตามหมอรามขึ้นไปบนชั้นสอง ทั้งคู่ใช้เวลานานกว่าคนอื่น เพราะนายแพทย์หนุ่มมัวแต่พะวงว่าเด็กตาบอดจะเกิดอุบัติเหตุ ขึ้นไปหนึ่งขั้นหันมามองสิงหนึ่งที เหมือนลืมสิ่งที่ปราปเคยบอกไปหมดสิ้น
ครืดด ~
รามหยุดเดินเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหยุดก้าวเท้าตาม “มีอะไรรึเปล่าสิง?”
ครืดด ~
ราวกับหูดับ คำถามของหมอรามไม่ได้แทรงซึมเข้ามาในโสตประสาทของสิงเลย มีเพียงสิ่งเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเขา นั้นคือเสียงครูดจากอะไรบางอย่างบนราวบันได และมันกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ
ลำคอของรามกระตุกเกร็งตามสัญชาตญาณ เมื่อมีสัมผัสจากปลายนิ้วเรียวยาวเย็นยะเยือกเตะลงบนผิวอ่อนนุ่ม
“ไอเชี้ยปราป กูไม่เล่น!” รามตวัดสายตาคุกรุ่นไปมองเพื่อนอย่างเอาเรื่อง
“เล่นเชี้ยไรมึง!” ปราปที่เดินขึ้นไปจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วหันหลังกลับลงมามองเพื่อน
จากระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคน ปราปไม่มีทางจะแกล้งอะไรรามได้เว้นเสียแต่ว่าแขนของเขาจะยาวเกินมนุษย์มนา
“ไอเมฆ มึงแกล้งมันเหรอ” รามหันไปถามหมวดเมฆที่เดินตามหลังมาติด ๆ
“ไม่ใช่ผมนะครับสารวัตร” เมฆส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
รามมองสลับไปมาระหว่างปราป เมฆ และระยะห่างระหว่างพวกเขาอย่างเหลือเชื่อ ความคิดแปลก ๆ แล่นข้ามาในหัวจนทำให้ลำคอของหมอหนุ่มก็แห้งผาก เนื้อตัวเริ่มหดเกร็งก่อนสั่นเทาจากไอเย็นยะเยือกรอบลำคอ
สิงรับรู้ได้จากแรงบีบบนฝ่ามือว่าอีกฝ่ายน่าจะอยู่ในอาการตื่นกลัวจึงพยายามพูดปลอบ “คงเป็นลมมั้งครับหมอราม”
ใบหน้าเปื้อนเลือดเอียงคอมอง ลูกตากลมเกลือกกลิ้งมองสิง อีกข้างถลนออกมาจากเบ้าลอยโตงเตงไปมาไร้ทิศทาง ผิวหนังบริเวณริมฝีปากถูกเฉือนทิ้งจนเห็นแผงฟังดำ ผมเผ้าขาดแหว่งเป็นหย่อม ๆ เล็บยาวจิกเกร็งลงบนหนังศีรษะ ฝ่าเท้าเปื้อนดินโคลนย้ำลงบนลาดไหล่กว้างของรามจนอีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
ลิ้นเรียวยาวเกินมนุษย์สีแดงก่ำแลบออกมาจากโพรงปากที่เต็มไปด้วยคราบเลือด โลมเลียเกี่ยวพันรอบลำคอแกร่ง สายตาอาฆาตยังคงจ้องมองหน้าสิงไม่อย่างไม่ลดละ ความชื้นแฉะที่เกิดจากการโลมเลีย ทวีคูณความปวดเมื่อยให้กับเหยื่อในเงื้อมมือ
อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ
ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะ พันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง
อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ
วิญญาณผีตายโหงใบหน้าบิดเบี้ยวสามตนที่เกาะเกี่ยวอยู่บนฝ้าเพดานหยุดชะงัก ผีสาวที่เคยอยู่บนหลังหมอรามยอมล่าถอยไปเมื่อพลังของบทสวดทำให้พวกมันปวดแสบปวดร้อนจนทนไม่ไหว แต่สิงรู้ดีว่ามันจะกลับมาเพราะเขาไม่ได้มีวิชาแก่กล้าขนาดนั้น
“หมอรามไหวไหมครับ?”
รามค่อย ๆ หมุนลำคอคลายเส้นพลางยกมือขึ้นไปช่วยบีบนวด “พี่โอเค แค่เมื่อยนิดหน่อย ไปกันเถอะ”
“เอาไง เริ่มหาจากไหน” ปราปหันมาถามสิงในขณะที่เขาก้าวขึ้นมายืนบนชั้นสอง
เสียงอื้ออึงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ทั้งเสียงกรีดร้องโหยหวน และเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยแรงอาฆาต ยังไม่นับรวมถึงกลิ่นที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้สิงพอจะคาดคะเนได้ว่าในบ้านหลังนี้มีวิญญาณและสิ่งอัปมงคลอยู่มากน้อยแค่ไหน
“มาหากูเหรอ”
“มาซิ”
“ขึ้นมา”