"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โกลาหลกลสั่งตาย"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด
กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป
การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ
ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี
#โกลาหลกลสั่งตาย
WARNING
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม
นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น
อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ
ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)
TRIGGER WARNING
Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย
Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย
Blood มีเลือด
Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ
Cutting ใช้ของมีคม
Corpse ศพ
Dead การตาย
Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย
Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน
Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี
Ghost ภูตผี
Gore เนื้อหามีความโหดร้าย
Hallucinations มีอาการประสาทหลอน
Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ
Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต
Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย
Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ
Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ
Violence มีการใช้ความรุนแรง
Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&%3Bref=embed_page
X : https://x.com/Writer_RTKDN
TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn
เงื่อนไขในการติดเหรียญ
ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน
ตอนที่ 0-6 ฟรี!!!
อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)
ตอนพิเศษติดถาวร
(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)
Publish Date
ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024
ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์
เปิดเรื่อง : 11/10/2024
ปิดเรื่อง : 0/0/2024
“มาหากูเหรอ”
“มาซิ”
“ขึ้นมา”
ดวงตาเบิกโพลงขึ้นด้วยความตกใจ หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินเสียงที่อยู่ในฝัน
ลูกปัดและกระดิ่งหลายเม็ดกระทบกันจนเกิดเสียงดังก้องกังวาน เป็นจังหวะเดียวกับเสียงฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินไปมาบริเวณชั้นสองของบ้าน
“ตกลงยังไงสิง ให้หาห้องไหน” ปราปยืนรอคำตอบอยู่นาน เริ่มหงุดหงิดที่เด็กหนุ่มเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมพูด
และมันดันเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงฝีเท้านั่นหยุดลง
“ผม…คือ…”
“งั้นค้นห้องนอนก่อนเลย” ปราปพูดโดยไม่สนใจสิง พวกเขาทั้งหมดจึงต้องเดินไปยังห้องที่อยู่ติดกับบันไดตามคำสั่ง
ประตูไม้สีขาวฉลุลายยุควิคตอเรียเปิดอ้าออกด้วยฝีมือของหมวดเมฆ ทุกคนทยอยก้าวเข้าไปในนั้น มีเพียงสิงที่หยุดเดินเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงลมอุ่น ๆ จากพระพุทธรูปปางนาคปรกบนหัวเตียง ที่ดันเป็นหลักฐานชั้นดีว่าของไสยดำพวกนั้นไม่มีทางอยู่ในห้องนี้ “นี้ห้องนอนของคุณเจเจเหรอครับ?”
“ใช้ดิ ทำไมเหรอสิง” หมวดเมฆที่เดินเข้าไปค้นบนเตียงนอนขนาดคิงไซต์เงยหน้าขึ้นมาพูดด้วย
จะให้เขาพูดยังไงดีละ ทั้งบ้านเต็มไปด้วยของอวิชชา ครั้งก่อนที่เขาเจอเจเจ รอบตัวก็เต็มไปด้วยเงาดำทะมึนจากของต่ำที่ยูทูปเบอร์ชื่อดังเก็บเอาไว้ใกล้ตัว แตกต่างกับห้องนี้ที่หันหน้าเข้าหาแสงอาทิตย์ แถมยังมีพระพุทธรูปวางประจันหน้ากับประตู มันจึงทำให้สิ่งที่แออัดอยู่ภายนอกไม่สามารถย่างกรายเข้ามาได้
“พี่เมฆแน่ใจเหรอครับ?”
“ทำไมถึงถามแบบนั้น ของของคุณเจเจก็มีออกเต็มห้อง” ปราปถามสวนเสียงแข็ง ราวกับไม่สบอารมณ์ที่คำพูดของสิงเหมือนจะฟังดูกวนประสาท
“เอ่อ ปะเปล่าครับ ผมแค่…คิดว่าของน่าจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้” สิงตอบเสียงตะกุกตะกัก
ปราปถอนหายใจหนักอีกครั้ง แล้วค่อยเดินอาด ๆ เข้ามาหาตัวปัญหาที่ยังยืนอยู่หน้าประตูห้อง เขาเดินมาหยุดลงตรงหน้าพลางเชิดหน้าพูดอย่างหาเรื่อง “เอาไงแน่ เมื่อกี้บอกไม่รู้ ตอนนี้บอกไม่มี”
“เอ่อ…ขอโทษครับ” สิงก้มหน้างุดจนคางชิดอก รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของภารกิจนี้ยังไงยังงั้น
“แล้วเอาไง ให้ไปหาที่ไหน”
“เอ่อ ผมขอเดินดูรอบ ๆ ก่อนได้ไหมครับ”
“นี้สถานที่เกิดเหตุนะสิง ไม่ใช่สวนสาธารณะ จะได้มีเวลามาเดินเล่น” ปราปที่ช่วงนี้อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะคดีที่เขารับผิดชอบไม่มีความคืบหน้า ซ้ำยังถูกพวกคนใหญ่คนโตที่สักแต่ชี้นิ้วสั่งกดดันมาอีก ไหนจะการที่เขาเพิ่งถูกผีหลอกมาหมาด ๆ ทุกอย่างมันประเดประดังกันเข้ามาจนนายตำรวจหนุ่มยากที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เผลอพูดประชดคนไม่สนิททั้ง ๆ ที่ปกติเขามักจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่านี้
“เห้ย! ใจเย็น ๆ ดิวะ เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อนสิงเอง” รามทนยืนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้รีบเข้ามาห้าม ก่อนที่เพื่อนตัวดีที่คาดว่าน่าจะไม่ได้นอนมาหลายวันด่ากราดจนเด็กหนุ่มตาขาวร้องไห้
“ไม่ต้อง มึงช่วยไอเมฆหาของอยู่นี้แหละ กูไปเอง เกิดสิงเป็นอะไรขึ้นมาคุณอินเอากูตายแน่”
“แต่ตอนนี้มึงกำลังทำให้น้องกลัว”
“แล้วกูทำเชี้ยไร”
“โถ่ไอห่า ก็เล่นโมโหใส่น้องมันแบบนี้ มันไม่กลัวมึงก็แย่ล่ะ”
“ก็กูเป็นของกูแบบนี้ มึงจะให้กูทำไง”
“กูถึงบอกไง ให้กูไปเป็นเพื่อนสิง ส่วนมึงก็ค้นอยู่นี้แหละ”
“ไม่เป็นไรครับหมอราม ผมไปกับสารวัตรได้ครับ” สิงรีบพูดดักทาง บทสวดท้าวเวสสุวรรณช่วยได้เพียงชั่วคราว คงจะมีแต่บารมีของพระพุทธรูปปางนาคปรกเท่านั้นที่น่าจะช่วยคุ้มครองหมอรามได้ในขณะที่ยังอยู่ในบ้านหลังนี้
“เอางั้นเหรอ” รามถามย้ำ
“ครับ”
“โอเค งั้นมึงก็ช่วยใจเย็นลงหน่อย”
“เป็นแม่กูรึไง”
“แล้วมึงจะทำไหม งานอะ”
ปราปกลอกตามองบน “ทำ!” เขาพูดกระแทกเสียง ก่อนเดินออกไปนอกห้องพร้อมกับออกแรงดึงแขนเด็กหนุ่มให้เดินตามออกไป
“เอาไง ทางไหนว่ามา”
“ทางนี้ครับ”
สิงเดินนำหน้าสารวัตรปราปตรงไปยังทางที่เขาได้ยินเสียงเรียกของวิญญาณตนนั่น โดยที่ไม่จำเป็นต้องให้ใครนำทาง
ระยะทางจากหน้าห้องนอนยาวไปจนถึงบริเวณที่สิงได้ยินเสียงนับว่าไม่ไกลเลย ใช้ระยะเดินเพียงไม่กี่สิบก้าวแต่เขากลับรู้สึกอึดอัด ราวกับกำลังเดินอยู่ในพื้นที่แออัดที่ทอดยาวไม่รู้จบ พร้อมกันนั่นยังได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากเหล่าวิญญาณผีตายโหงที่ถูกสะกดไว้ใช้งานร่วมกับของคุณไสยมนต์ดำอยู่รอบตัว
“กลิ่นอะไรวะ! เหม็นฉิบหาย!”
“สารวัตรได้กลิ่นด้วยเหรอครับ?” สิงอดแปลกใจไม่ได้จึงหันไปถาม
“ใช้ สิงก็ได้กลิ่นเหรอ?”
“เอ่อ ได้กลิ่นครับ” …แต่เขาแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมปราปถึงได้กลิ่นมันด้วย
สิงเดินผ่านมาหลายห้องแล้ว แต่ก็ยังคงไม่ได้กลิ่นที่เขาตามหา ตอนนี้มีเพียงห้องเก็บของที่อยู่สุดทางเดินเท่านั้น หากไม่อยู่ในนั้น มันอาจจะหมายความว่า…ภารกิจล้มเหลว
“ห้องนี้ครับ”
“โอเค งั้นหลบก่อน” ปราปดันให้เด็กหนุ่มไปยืนอยู่ด้านหลัง แล้วเขาค่อยยื่นมือไปเปิดประตูช้า ๆ เมื่อมันแง้มออกเล็กน้อยเขาจึงใช้สายตากวาดมองสำรวจความปลอดภัย เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร บานประตูจึงถูกเปิดอ้าออกเต็มบาน “เดี๋ยวฉันเข้าไปก่อน เดินตามมาแล้วกัน”
“ครับ”
ปราปเดินเข้าไปในห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะวางกระจายอยู่เต็มพื้นที่ นอกจากสิ่งของที่อยู่ภายในห้องแล้ว ยังมีกลิ่นอับชื้นที่น่าจะเกิดจากรอยรั่วบนหลังคาจนกลายเป็นเชื้อราสีดำเต็มฝ้าเพดาน
ปราปเริ่มหาจากชั้นวางที่อยู่ใกล้มือมากที่สุด เขาใช้ไฟฉายส่องไปตามซอกมุมต่าง ๆ เพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในการมองเห็น สิงที่เดินตามหลังมาจึงพยายามดมกลิ่นเพื่อช่วยหาหลักฐานอีกแรง
ปัง!!!
บานประตูถูกปิดกระแทกอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว คนที่จดจ่ออยู่กับการหาหลักฐานถึงกับสะดุ้งตัวโยงด้วยความตกใจ
“ประตูปิดได้ไงวะ”
หน้าต่างบานเล็กบานเดียวที่ใช้เพื่อระบายอากาศภายในห้องถูกลงกลอนเอาไว้อย่างแน่นหนา ดังนั้นจึงไม่น่าจะมีช่องลมช่องอื่นที่ทำให้บานประตูนั่นปิดได้เลย
เชี้ยไรวะเนี่ย?!
“หาต่อเถอะ”
ความคิดในหัวปราปกำลังตีกันวุ่น ในขณะที่มือกำลังคุ้ยหาของกลาง ไม่ว่าจะที่โรงพักหรือที่นี่ ล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดจนไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้
ผีเหี้ยไร ไม่มีจริงหรอก
สิงแยกตัวไปอีกฝั่งเพื่อให้การค้นหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้กลิ่นนั่น เกือบจะถอดใจอยู่แล้วแต่จู่ ๆ เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างดลบันดาลให้เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองบนฝ้าเพดาน
“สารวัตรครับ”
“ว่า?” ปราปละสายตาก่อนหันไปมองตามเสียงเรียก “อยู่บนนั่นเหรอ” นายตำรวจหนุ่มถามพลางก้าวเข้ามาใกล้พร้อมกับแหงนหน้ามองตามสิง
“ลองเปิดดูได้ไหมครับ?”
“โอเค รอแป๊บ” เป็นเรื่องดีที่พวกเขาอยู่ในห้องเก็บของ การจะหาบันไดอะลูมิเนียมที่พิงอยู่บนผนังท้ายห้องจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ปราปเดินไปหยิบบันไดมากางไว้ตรงต่ำแหน่งที่สิงบอก โดยเขาอาสาที่จะเป็นคนปีนขึ้นไปเองและให้สิงเป็นคนจับยึดบันไดเอาไว้
ตึง ตึง ตึง
กำปั้นแกร่งทุบฝ้าเพดานไม้อัดแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสบานนึงจนสุดแรง ดันจนมันหลุดออกจากตัวล็อกแล้วค่อยพลิกตะแคงให้มันหลุดออกมาจากช่อง ก่อนส่งมันไปให้สิงที่รออยู่ข้างล่าง
“รับหน่อย ระวังหัว ถือดี ๆ” ปราปก้มลงไปส่งของในมือให้สิง คอยดูจนเด็กหนุ่มวางมันลงบนพื้นอย่างปลอดภัย แล้วค่อยปีนสูงขึ้นไปอีกจนเขาสามารถมองเห็นภายในช่องใต้หลังคาได้
เนื่องจากมันมืดมากทำให้เขามองไม่เห็นอะไร จึงใช้มือข้างนึงคลำหาไฟฉายที่เก็บเอาไว้ในซองตรงบั้นเอว แต่ไม่ว่าจะกดเปิดสวิตช์สักกี่ครั้งเจ้าหลอดไฟก็ไม่มีทีท่าจะทำงานตามที่เขาต้องการ
“เป็นเชี้ยไรวะ เมื่อกี้ยังติดอยู่เลย” ปราปเขย่าแท่งไฟฉาย เผื่อวิธีโบราณจะใช้ได้ผล “แม่ง!” เขย่าจนข้อมือเคล็ดมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะติด ปราปจึงเก็บมันกลับไปไว้ที่เดิม แล้วค่อยล้วงไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาใช้งานแทน
“หึ!”
“ไม่หลาบจำ”
“อยากลองดีกับกูเหรอ”
โหมดไฟฉายยังไม่ถูกเปิดแต่ปราปกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากบนฝ้าเพดาน จึงรีบเงยขึ้นไปมองตามสัญชาตญาณ พลางคิดว่าตัวเองคงหูแว่วไปเอง คนดี ๆ ที่ไหนจะไปอยู่บนนั่นได้
“กูเอง!”
เปลือกตาของนายตำรวจหนุ่มผู้ไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเบิกโพลงมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเหลือเชื่อ กล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างกายหดเกร็งจนเขาไม่สามารถขยับได้อย่างใจคิด ลมหายใจขาดช่วงจากอาการตกใจกลัวสุดขีดจนลืมหายใจไปชั่วขณะ
ใบหน้าสีขาวซีดโน้มมาใกล้หน้าปราป จนมันห่างกันเพียงปลายนิ้วกั้น แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงลมหายใจ มีเพียงไอความเย็นยะเยือกที่ถูกแผ่ซ่านออกมาจากตัวของเธอ
ดวงตาที่นัยน์ตาดำหดเล็กกว่าคนปกติจ้องมองปราปด้วยสายตาโกรธเคืองอย่างไม่ละสายตา และมันเป็นเหมือนกับการสะกดจิตให้ปราปไม่สามารถขับตัวไปไหนได้
กรี๊ด!!!
เธออ้าปากกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นจนปราปหลุดออกจากภวังค์ ก่อนที่เขาจะเสียหลังตกลงมาจากบันไดเหล็ก เคราะห์ดีที่สิงรับไว้ได้ทันทำให้ปราปไม่บาดเจ็บมากนัก
สิงพยุงให้ปราปนั่งพิงชั้นวางของ ก่อนจะยกมือขึ้นไปกุมสร้อยทองที่ทวดทิ้งเอาไว้ให้แล้วเริ่มบริกรรมคาถา
ตะ มตฺถํ ปะกา เสนโต สตํธา อะหะ อิเม อะวิตะ อฺ อะมิ มะสะ นะโม
โอมกำเนิด พระวิสูตร กูจะปลิกพระวินํย กูจะใช้พระขํน โอมปลฺก ๆ ๆ ๆ ลูก ๆ สวาหะ
กูจะปลฺกทั้งตํวนะ กูจะปลฺกทั้งตํวโม กูจะปลฺกทั้งตํวอิติปิโส นามพระพฺทธเจ้า กูจะปลฺกพระธรรมะเจ้า ทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขํน กูจะปลุกทั้งอิติกรรไกร กูจะปลฺกพระสูตร ทั้งพระวินัย ทั้งพระแปดคํมภีร์ เข้าอยู่ในหํวใจกู เอกหิมะมะ นะโมพฺทธายะ ยะธาพฺทโมนะ ยะนะโมธาพฺท นะผูกโมมํด พฺทรํดธารํง ยะกลึงคะเร สวาหะ พุทธํงกลึง ธํมมํงกลึง สํงฆํงกลึง ด้วยนะโมพฺทธายะ สวาโหม อาคํจฉามะ
สิงถอดสร้อยออกมาถือไว้ในมือ เขาปีนขึ้นไปบนบันไดด้วยตัวเอง ก้าวแต่ละก้าวทำได้อย่างแม่นยำราวกับคนตาดี ปราปที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เมื่อปีนขึ้นไปเหยียบบนบันไดขั้นสุดท้าย ผีสาวตนนั่นก็แสยะยิ้มให้กับเขาก่อนจะสลายตัวไปในอากาศภายในเสี้ยววินาที สิงจึงสามารถเอื้อมมือขึ้นไปคลำหาของที่อยู่บนฝ้าเพดานได้
กึก!
มือของสิงสัมผัสเข้ากับห่อผ้าในช่องใต้หลังคา เขาดึงมันเข้ามาใกล้ ๆ ตัว แล้วใช้แขนข้างนึงโอบมันเอาไว้ ก่อนจะใช้แขนอีกข้างช่วยพยุงตัวปีนลงมาจากบันไดได้อย่างปลอดภัย
สิงนั่งชันเข่าข้างปราป “สารวัตรเป็นไงบ้างครับ เดินไหวไหม?”
ปราปพยักหน้าตอบเด็กหนุ่ม ใบหน้าเหม่อลอยคล้ายคนสติหลุด “ไหว”
สิงช่วยพยุงปราปออกมาจากห้องเก็บของพร้อมกับห่อผ้าดิบในมือ เมฆและรามเดินมือเปล่าออกมาจากห้องนอนเห็นคนตาบอดหิ้วปีกหิ้วปีกคนตาดีออกมาจึงรีบวิ่งเข้ามาช่วย
“เป็นเหี้ยไรวะไอปราป” รามถามด้วยน้ำเสียงและสีหน้าตื่นตระหนก
“น่าจะข้อเท้าพลิก แต่กูไม่เป็นไร โอเค”
“แล้วมึงไปทำอิท่าไหนวะ ตาดีซะเปล่า”
“นั่นซิครับสารวัตร เกิดอะไรขึ้นครับ”
“ตกบันได รีบไปเหอะ”
รามและเมฆช่วยกันหิ้วปีกปราปออกมาจากบ้านของเจเจ โดยมีสิงบริกรรมคาถาให้แคล้วคลาดปลอดภัยตามหลัง พอพ้นอาณาเขตบ้านสิงจึงได้หยุดท่อง
เมื่อจำนวนผู้โดยสารครบ สารถีที่ถูกเปลี่ยนจากปราปเป็นเมฆก็สตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมออกเดินทางต่อ
“เมฆขับไปโรงพยาบาลใกล้ ๆ นี้เลย”
“ครับหมอราม”
“ไม่ต้อง กูไม่เป็นไรมาก เดี๋ยวก็หาย”
“ข้อเท้าพลิกนะเว้ย ต้องไปให้หมอดูก่อน”
“มึงไงหมอ จะไปทำไมโรงพยาบาล เสียเวลา”
“ไอเหี้ยปราป! ถ้าไม่รักษาให้ดีกระดูกอาจจะผิดรูปได้นะเว้ย!”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป เสียเวลา มึงเป็นหมอมึงดูให้กูก็จบแล้วป่ะ”
“โว้ย! ตอนนั้นอะไรดลใจให้กูคบมึงเป็นเพื่อนวะ”
“ใจเย็น ๆ ครับหมอราม สารวัตร” หมวดเมฆต้องคอยเป็นฝ่ายห้ามทัพอยู่ร่ำไป
หมอรามถอนหายใจกับความดื้อที่คงเส้นคงวาจนเขาปวดหัว “งั้นช่วยจอดร้านขายยาให้หน่อยแล้วกัน”
“ได้ครับหมอ ว่าแต่ ได้หลักฐานมาแล้วเหรอครับสารวัตร” เมฆตอบหมอรามผ่านกระจกมองหลัง ก่อนจะหันมามองปราปที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“อือ อยู่ที่สิงอะ”
สิงนั่งกอดพยานหลักฐานสำคัญในคดีอยู่ รีบยื่นห่อผ้าดิบไปให้สารวัตรปราปทันที “เอ่อ นี้ครับ”
ปราปยื่นมือไปรับของมาไว้ในมือ “ขอบใจ”
ภายในรถกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เพราะไม่มีใครคิดจะพูดอะไร รวมไปถึงปราปที่ยังคงประมวลผลภาพสิ่งที่เขาเพิ่งพบเจอมากับตัวเห็นมากับตา สิงไม่แน่ใจว่าปราปเห็นผีมโนราห์ตนนั่นรึเปล่า แค่คาดเดาจากสถานการณ์ว่าปราปน่าจะเห็นเธอถึงได้พลัดตกลงมา จึงไม่อยากเอ่ยปากถามอะไรที่จะไปกระตุ้นความกลัวของอีกฝ่าย
“ร้านข้างหน้าพอจะได้ไหมครับหมอราม” หมวดเมฆทำลายบรรยากาศอึดอัดด้วยการเอ่ยถามถึงร้านขายยาที่หมอรามเคยสั่งเอาไว้
“ได้ ๆ จอดข้างหน้าเลย”
“ครับ”
รถยุโรปชะลอตัวลงจนจอดสนิทอยู่ที่หน้าร้านขายยาข้างทาง ฝนที่ยังกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้หมอหนุ่มต้องรีบเปิดประตูรถแล้ววิ่งผ่าฝนเข้าไป
ทิ้งให้นายตำรวจสองนายกับเด็กหนุ่มวัยยี่สิบสามนั่งจมอยู่กับบรรยากาศอันน่าอึดอัดต่อไป ก่อนที่เสียงเรียกเข้าจากมือถือของสิงจะแผดดังขึ้น
“สวัสดีครับ”
[สิง! อยู่ไหน?!] เสียงตื่นตระหนกจากปลายสายทำให้ใจของเด็กหนุ่มวูบโหวง
“สิงกำลังกลับ พี่เจตมีอะไรรึเปล่าครับ”
[อินหมดสติไป! ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล!]
หลังจากส่งสิงไปกับสารวัตรปราปแล้ว อินก็แยกไปทำงานของตัวเองเหมือนกัน แถมยังเป็นงานหินอีกต่างหาก เพราะนอกจากเขาจะต้องถ่ายรายการสดแล้ว รายการนั่นยังมีพิธีกรฝีปากกล้าแห่งวงการบันเทิงอย่างพี่เจซซี่ ที่ไม่ว่าใครจะมาเป็นแขกรับเชิญก็มักจะถูกเธอถามคำถามที่ต้อนอีกฝ่ายจนจนมุม และวันรุ่งขึ้นประเด็นนั่นก็จะกลายเป็นข่าวดัง
อินขับรถมาถึงสตูดิโอก่อนเวลา เขาจึงใช้เวลาที่เหลือในการอ่านสคริปต์รวมทั้งปล่อยให้พี่ ๆ ช่างแต่งหน้าทำผมได้มีเวลาทำงานมากขึ้น
“ออกกำลังกายมาเหรอคะน้องอิน” ช่างทำผมสาวประเภทสองเอ่ยทักหลังจากที่เริ่มแต่งหน้าทำผมไปได้ไม่ถึงหนึ่งนาที
“เปล่าครับ มีกลิ่นเหงื่อเหรอ?” ภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนใช้หน้าตาทำงาน และการที่ถูกทักแบบนี้ทำให้เขาเสียความมั่นใจ
“มีกลิ่นนิดหน่อยค่ะ นี้ตรงมาจากวัดใช่ไหม?”
“ใช้ครับ พอดีช่วงเช้าผมว่าง เลยเข้าไปช่วยงานศพไอเสือ”
“ว่าละ เอาน้ำหอมมาฉีดกลบดีไหม?”
“ก็ดีเหมือนกันครับ ขอโทษด้วยนะครับ” อินพูดพลางเดินไปหยิบน้ำหอมที่พกไปไหนมาไหนด้วยตลอดขึ้นมาฉีดพ่นบนเสื้อผ้า
“ไม่เป็นไรจ้า ที่วัดคนเยอะไหม?”
“เยอะเหมือนกันครับ พี่เจตกับแฟนวิ่งกันวุ่นเลย”
“ถึงว่าอินมาคนเดียว พี่เสียใจด้วยนะ”
“ครับพี่”
ในระหว่างที่กำลังแต่งหน้าแต่งตัวกันอยู่ เจซซี่ พิธีกรสาวรูปร่างท้วม เจ้าของรายการเดินเข้ามาทักทายแขกรับเชิญ
“สวัสดีค่ะน้องอิน”
“สวัสดีครับพี่เจซซี่” อินหันไปยกมือไหว้พิธีกรสาวตามมารยาท
“วันนี้มาคนเดียว เจตไม่มาด้วยเหรอ?” เจซซี่พูดพลางเดินมานั่งลงบนเกาอี้ตัวที่อยู่ถัดไป
“พี่เจตรับแขกอยู่ที่วัดครับ ผมเลยมาคนเดียว”
“อ่าห์ พี่ขอโทษนะที่ต้องให้อินมาถ่าย ทั้ง ๆ ที่ควรจะอยู่ที่วัด แต่วันก่อนเราเลื่อนนัดพี่อ่ะ” พิธีกรปั้นหน้าเศร้าพลางพูดจิกกัด
อินยิ้มแห้งกับคำพูดประชดประชันของเธอ “ผมต่างหากครับพี่เจซซี่ที่ต้องขอโทษ วันก่อนผมติดธุระด่วนจริง ๆ เลยมาไม่ได้”
“ไม่เป็นไร เจตบอกแล้วว่าอินต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ วันนั่นพี่เลยเอาคนอื่นมาแทน ดีนะที่เขาให้คิวพี่ ไม่งั้นพี่ซวยเลย”
อินจำต้องก้มหน้ารับผิด ถึงว่าแม้คำพูดกระแทกแดกดันของพิธีกรสาวจะฟังไม่เข้าหูก็ตาม “ขอโทษอีกครั้งนะครับพี่เจซซี่”
“เอาเถอะจ้ะ ไม่เป็นไร… เตรียมตัวเถอะ เดี๋ยวเจอกันในเซต”
พูดจบเธอก็สะบัดตูดออกไปจากห้องพักของอิน ปล่อยให้เขาได้นั่งทำสมาธิเตรียมตัวรับศึกหนักที่เธอกำลังหยิบยื่นไปให้
เมื่อหน้าผมเป็นที่พอใจแล้ว พี่ช่างหน้าช่างผมก็เก็บอุปกรณ์ออกไปจากห้อง ปล่อยให้อินได้มีเวลาส่วนตัว เขาจึงใช้เวลาว่างที่เหลือนั่งพักสายตา ร่างโปร่งเอนตัวนอนบนเก้าอี้ตัวเดิม ด้วยบรรยากาศเย็นสบายและค่อนข้างเงียบ ทำให้เขาเคล้มจนเกือบจะผล็อยหลับอยู่รอมร่อ
‘ฮึ’
ในช่วงเวลากึ่งหลับกึ่งตื่น อินกลับได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของผู้หญิงคนนึง แต่เขากลับได้ยินมันไม่ชัด จึงไม่คิดจะลุกขึ้นตามหาต้นตอของเสียงเพราะความง่วงนอนที่มีมากกว่า
“อือ”
หลังจากที่อินเข้าสู่ห้วงนิทราไปได้เพียงไม่กี่นาที เขากลับรู้สึกว่ามีคนกำลังแกล้งลูบไล้ใบหน้าเพื่อปลุกให้เขาตื่น ด้วยความรำคาญอินจึงใช้มือปัดออก
“จิ๊”
อินส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมาด้วยความรำคาญ เพราะไม่ว่าจะปัดป่ายสักแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะว่าจะหยุดกวนการนอนพักผ่อนของเขา อินจึงลืมตาขึ้นมาหวังว่าจะวีนใส่เจ้าตัวสักหน่อย
ดวงตาของอินเบิกโพลงขึ้นจนลูกตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า เพราะเขาดันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมีใบหน้าซีดเซียว ดวงตาสีขาวโพลนไร้นัยน์ตาดำ ริมฝีปากสีดำคล้ำแสยะยิ้มให้กับเขา ชุดนางรำที่เธอสวมอยู่ขาดวิ่งจนเม็ดลูกปัดตกลงมาเกลือกกลิ้งไปบนพื้นห้อง นอกจากนั่นชุดของเธอยังเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งเกรอะกรัง
ภาพของเธอฉายชัดอยู่ในกระจกบานใหญ่ที่ถูกติดตั้งไว้บนฝาผนังตรงหน้าอิน เธอเดินเข้ามาหาเขาอย่างเชื่องช้า สายตาจดจ่ออยู่บนใบหน้าของดาราหนุ่ม เธอหยุดเดินและยืนประชิดหลังเขาก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนชิดใบหู ฝ่ามือสีขาวซีดมีเส้นเลือดดำปูดโปนยื่นมาแตะลาดไหล่ เพราะยืนใกล้กันมากจึงทำให้อินได้กลิ่นเหม็นสาบจากตัวเธอชัดเจน
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูทำให้เธอหายวับไปกับตา จากนั่นเสียงเรียกของโปรดิวเซอร์รายการจึงดังขึ้นที่นอกห้อง “น้องอิน ได้เวลาแล้วค่ะ”
อินหอบหายใจหนัก เมื่อรู้สึกว่าร่างกายกำลังจะขาดอากาศหายใจ เหงื่อกาฬไหลซึมไปทั่วแผ่นหลังทั้ง ๆ ที่เครื่องปรับอากาศถูกปรับให้อยู่ในอุณหภูมิสิบแปดองศา
โปรดิวเซอร์สาวร่างสูงไม่ได้รับการตอบกลับจึงเคาะเรียกอีกครั้ง “น้องอินอยู่ไหม พี่เข้าไปนะ”
พูดจบก็ผลักประตูเข้ามาเห็นอินกำลังนั่งหอบหายใจหนักราวกับคนเป็นโรคหอบหืด แถบสีหน้ายังซีดเผือดไร้เลือดฝาด เธอจึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหา
“อิน! เป็นอะไรรึเปล่า”
อินหันหน้าไปมองโปรดิวเซอร์สาวพลางฝืนยิ้มอ่อน “มะไม่เป็นไรครับพี่ ผมโอเค” ด้วยสปิริตนักแสดง ถึงจะกลัวแค่ไหนอินก็ต้องรีบตั้งสติแล้วกลับไปทำงาน …The Show Must Go On
“สวัสดีค่ะทุกคน ยินดีต้องรับเข้าสู่รายการ จับเข่าแฉ วันนี้เรามีแขกสุดพิเศษ ที่ใครหลาย ๆ คนรอคอย พระเอกซีรีส์ชื่อดังเจ้าของรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมแห่งปีกับ อินทร์ นภาสวัสดิ์นิรันดร์”
“สวัสดีครับพี่เจซซี่ สวัสดีครับทุกคน” อินยกมือสวัสดีพิธีกรสาวฝีปากกล้าก่อนจะสลับไปไหว้ผู้ชมผ่านกล้องหลัก
“เป็นไงคะช่วงนี้ หนักหน่วงเลยใช่ไหม”
“ก็นิดหน่อยครับ มีหลายเรื่องให้ต้องดูแล”
“หนึ่งในนั้นคือเรื่องของน้องเสือใช่ไหมคะ”
สิงยิ้มแห้ง “ก็ส่วนนึงครับ”
“พูดถึงเรื่องน้องเสือ พี่อยากรู้จังเลยค่ะ ว่าน้องเสือเสียชีวิตได้ยังไง?”
“เรื่องนั่น…ผมคิดว่ารอฟังการแถลงข่าวจากทางตำรวจดีกว่านะครับ จะได้ข้อมูลที่ชัดเจนกว่า”
“แหม่น่าเสียดายจัง ถ้าอย่างงั้น น้องสิง น้องชายของน้องเสือจะอยู่ในความดูแลของใครคะ?”
“สิงจะอยู่ในความดูแลของผมครับ”
“แล้วจริงรึเปล่าคะ ที่สิงเป็นผู้ต้องสงสัยหลักในคดีของน้องเสือ?”
“สิงเคยเป็นผู้ต้องสงสัยจริงครับ แต่ตอนนี้น้องพ้นทุกข้อกล่าวหาแล้ว”
“พี่ได้ข่าวจากวงในมา…”
ในระหว่างที่เจซซี่กำลังสัมภาษณ์สด จู่ ๆ หูของอินก็เกิดอาการอื้อขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เสียงรอบตัวเหมือนจะเบาบางลง แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังชัดเจนขึ้นมา เสียงลูกปัดหลายสิบลูกกระทบกันเป็นจังหวะการเดินดังก้องภายในสตูดิโอถ่ายทำ
สายตาเริ่มพร่ามัวจนอินรู้สึกราวกับว่าดวงตาของเขาไม่สามารถสู้แสงสปอตไลต์ได้เหมือนเดิม เขาพยายามกะพริบตาเพื่อให้ทัศนวิสัยกลับมาเป็นปกติ
“ว่าไงคะน้องอิน?”
เสียงของเจซซี่ดึงให้อินออกจากภวังค์ “ขอโทษนะครับ เมื่อกี้พี่เจซซี่ถามว่าอะไรน่ะครับ” อินหันไปมองพิธีกรสาว แต่ภาพที่เขามองเห็นกลับมัวจนไม่สามารถโฟกัสอะไรได้เลย
“แหม่ ~ ใจลอยไปถึงไหนแล้วคะ พี่ถามว่าน้องอินกับน้องเสือมีความสัมพันธ์แบบมากกว่าเพื่อนกันรึเปล่าคะ?”
“เอ่อ… ผมกับเสือเราเป็นเพื่อนสนิทกันครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เราเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีต่อกัน ทำงานด้วยกัน เลยสนิทกันมากจนอาจจะทำให้ทุกคนเข้าใจผิดได้”
“แต่ข่าวที่พี่ได้ยินมามันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ”
วิ้ง ~
อาการหูอื้อเหมือนจะเป็นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เสียงวิ้งดังต่อเนื่องอยู่ในหูทำให้เขาแทบจะล้มพับลงไปเต็มที หากอินไม่พยายามฝืนให้ตัวเองนั่งจนกว่าจะจบงาน
“ผมยืนยันครับ…ว่าเราสองคนเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น” อินตอบเสียงตะกุกตะกักพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่กำลังไหลซึมบนใบหน้าสีซีด
“ถ้าอย่างงั้น ข่าวที่พี่ได้ยินมาว่าเราทะเลาะกันก่อนเสือจะเสียชีวิต เป็นเรื่องจริงรึเปล่า แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไรคะ?”
พิธีกรสาวยังคงจี้ถามตามสไตล์การสัมภาษณ์ของเธอ แต่แขกรับเชิญกลับไม่ได้ยินอะไรที่เธอพูดอีกแล้ว เสียงวิ้งดังขึ้นเรื่อย ๆ จนหูดับ อาการเวียนหัวโจมตีร่างโปร่งเข้าอย่างจังจนเขาไม่สามารถนั่งตัวตรงได้อีกต่อไป
ร่างกายของอินเอนเอียงไปมาราวกับมันเป็นของเหลว ก่อนที่เขาจะไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป ร่างโปร่งล้มตึงไปกับพื้น มือข้างนึงยกขึ้นมาคลำหาสร้อยที่สิงเคยให้เขาเอาไว้ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า
ภาพสุดท้ายที่อินเห็นคือภาพของวิญญาณนางรำ เธอยืนมองจ้องหน้าเขาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน ท่ามกลางทีมงานที่กำลังแตกตื่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีใครเลยที่จะมองเห็นเธอ บางคนถึงขั้นวิ่งทะลุผ่านไปราวกับเธอเป็นอากาศธาตุ
วิญญาณอาฆาตแสยะยิ้มและพยายามพูดอะไรบางอย่างกับอิน แต่สติของเขากลับเลือนหายไปเสียก่อนจะเข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่อสารอะไร
“กูอยากได้มัน”
“มันต้องตาย”
รถยุโรปคันงามถูกหมวดเมฆเหยียบคันเร่งจนมิดไมล์ จากคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่กำลังตวาดเสียงดังลั่นรถ ด้วยความรำคาญที่ตัวเองดันเท้าพลิกจนไม่สามารถขับรถด้วยตัวเอง ซ้ำร้ายลูกน้องคนสนิทยังขับรถไม่ได้ดั่งใจ ต้องคอยสั่งให้เบี่ยงซ้ายแทรกขวาจนเสียงแหบเสียงแห้งกว่าจะถึงที่หมาย
สิงรีบพุ่งตัวออกไปจากรถคนแรก ตามด้วยหมอรามที่เดินไปช่วยพยุงเพื่อนก่อนที่เจ้าหน้าที่เปลจะนำรถเข็นมาให้
“มาโรงพยาบาลก็ดี มึงจะได้หาหมอเลยทีเดียว”
“เรื่องตีนกูช่างมันก่อนเถอะ มึงช่วยรีบ ๆ เดินได้ไหม ไอสิงเดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้” ปราปพูดด้วยความหงุดหงิดที่เพื่อนสนิทเดินช้าไม่ทันใจ
“มึงจะรีบไปไหนวะ คุณอินเค้าอยู่ในมือหมอแล้ว”
“เรื่องของกู! เดินเร็ว ๆ”
หมอรามกลอกตามองบน ระอาความเจ้ากี้เจ้าการของเพื่อนรัก แต่ถึงจะรำคาญยังไงก็ยังต้องสาวเท้าให้เร็วตามความต้องการของเพื่อนอยู่ดี
รีบขนาดนี้ เป็นหมอรึไง!
“สิง ทางนี้!” เจตเห็นเด็กหนุ่มกำลังเดินตรงมาที่หน้าห้องฉุกเฉินเลยตะโกนเรียก
สิงรีบวิ่งตัวลอยตรงมาตามเสียงเรียก เขาวิ่งมาหยุดหอบหายใจอยู่ตรงหน้าเจต พลางเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่อินละครับ พี่อินอยู่ไหน?!”
“อยู่ในห้องฉุกเฉิน หมอกำลังดูอาการอยู่” เจตตอบเสียงตะกุกตะกัก เขาเองก็เป็นห่วงเด็กในสังกัดไม่แพ้กัน เพราะแม้แต่จะนั่งรอบนเก้าอี้ดี ๆ ยังทำไม่ได้ ราวกับว่ามันร้อนจนไม่สามารถหย่อนก้นได้
“ทำไมพี่อินถึงหมดสติไปละครับ?”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ทีมงานบอกว่าอินหมดสติตอนที่ถ่ายทอดสด”
“พี่อินเข้าไปนานรึยังครับ?”
“ประมาณครึ่งชั่วโมง”
ตอนนี้สิ่งที่ทุกคนทำได้มีเพียงแค่รอคำวินิจฉัยจากแพทย์เท่านั้น สิงและคนอื่น ๆ จึงจำเป็นต้องนั่งรออย่างใจจดใจจ่อกันต่อไป ในระหว่างที่รอก็มีทีมงานของรายการกลุ่มนึงเดินมาสมทบ พร้อมกับยื่นข้าวของของอินให้กับเจต
“พี่เจซซี่กำลังแก้ไขสถานการณ์อยู่ เดี๋ยวแกจะตามมานะพี่เจต” ผู้ช่วยของเจซซี่ที่มาพร้อมกับทีมงานพูดกับเจตอย่างสนิทสนม
“โอเค ว่าแต่ ไออินมันหมดสติไปได้ไง?”
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันพี่ แต่พี่น้ำ โปรดิวเซอร์รายการบอกว่าตอนที่ไปตามพี่อินที่ห้องแต่งตัว ตอนนั้นพี่อินเหมือนจะไม่สบาย แกบอกพี่อินหน้าซีดมาก”
“ตอนเช้ามันก็ยังปกติอยู่น่ะ”
แต่ไม่ทันที่ผู้ช่วยสาวจะได้พูดต่อพยาบาลห้องฉุกเฉินก็เดินออกมาถามหาญาติของอินซะก่อน เจตจึงต้องรีบพุ่งตัวไปแสดงตน
“คุณหมอเชิญด้านในค่ะ” พยาบาลวัยกลางคนผายมือให้เจตเดินตามเธอเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เจตจึงเดินมาจูงมือสิงให้เข้าไปพร้อมกัน
“อินเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ?” เจตเดินมาถึงเตียงผู้ป่วยเอ่ยถามหมอเจ้าของไข้อย่างร้อนใจ
“ก่อนหน้าที่จะตอบคำถาม ผมของซักประวัติคนไข้เพิ่มเติมหน่อยได้ไหมครับ ไม่ทราบว่าคนไข้เป็นโรคเลือดจางรึเปล่า?”
เจตส่ายหน้าทันควัน “ไม่ครับ อินมันแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัวอะไร”
“รวมถึงโรคทางจิตเวชด้วยใช่ไหมครับ?”
เจตถึงกับทำสีหน้าไม่ถูก เพราะดูยังไงอินก็ไม่น่าจะใช้คนที่มีอาการทางจิตได้ “เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจครับ เพราะอินไม่ได้รับการตรวจสุขภาพจิตมาระยะนึงแล้ว แต่โดยรวมก็ปกติดีครับ มีเครียดบ้างเป็นบางครั้ง”
“จากผลเลือด พบว่าคนไข้มีอาการของโรคเลือดจางครับ หากไม่มีประวัติเป็นโรคนี้ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมคงวินิจฉัยได้ว่าคนไข้พักผ่อนน้อย และอาจจะมีอาการทางจิตร่วมด้วย เพราะคนไข้มีอาการชักเกร็งในระหว่างที่นอนไม่ได้สติ ส่วนตอนนี้เราฉีดยาคลายเครียดให้แล้ว หมอคงต้องขอให้คนไข้แอดมิทอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลสักวันสองวันนะครับ แล้วก็ขอแนะนำให้คนไข้เข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ด้วยจะเป็นการดีที่สุดครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้างั้น ผมจะให้พยาบาลทำการนัดหมายจิตแพทย์ให้นะครับ”
“ได้ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอ”
อินถูกย้ายขึ้นมาในหอผู้ป่วยใน ภายในห้องพักเต็มไปด้วยผู้คนที่เข้ามาเยี่ยมดูอาการ ดีที่เป็นห้องพี่เศษไม่อย่างนั้นขนาดของห้องคงไม่สามารถรับรองแขกได้
ปราปถามอาการของอินกับเด็กหนุ่มที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ หลังจากที่ตัวเองต้องปลีกตัวไปเข้ารับการรักษาอาการข้อเท้าพลิก “สิง อาการของคุณอินเป็นยังไงบ้าง”
“...”
“สิง!”
“ครับ!” เสียงเรียกของปราปดึงให้สิงหลุดออกจากภวังค์
“อาการคุณอินแย่มากเลยเหรอ” ปราปเห็นท่าทางของสิงแล้วทำให้ยิ่งวิตกกังวลกับอาการของร่างโปร่งมากกว่าเดิม
“เอ่อ… เปล่าครับ คุณหมอบอกว่าพี่อินแค่พักผ่อนน้อย แล้วก็เครียดครับ”
“แล้วทำไมนั่งหน้าเครียดขนาดนั้น มีอะไรรึเปล่า?”
“...” สิงพยายามฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้าตอบ แต่ทุกคนดูออกว่าเด็กหนุ่มมีเรื่องที่คิดไม่ตกอยู่ภายในใจ เพียงแค่ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัวของสิงนั่น มันร้ายแรงมากกว่าจะตีความจากสีหน้าของเขาเสียอีก
ในครั้งแรกสิงพยายามหลอกตัวเอง ว่าประสาทการดมกลิ่นของตัวเองคงรวน เพราะกลิ่นเหม็นเน่าที่ตลบอบอวลไปทั่วบ้านเจเจ น่าแปลกที่เขาดันได้กลิ่นของผีนางมโนราห์ตนนั่นที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง แต่มันบางเบาและกลมกลืนไปกับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาล สิงจึงคิดว่ากลิ่นนั่นคงติดจมูกมาตั้งแต่บ้านเจเจ แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ตัวอินมากเท่าไหร่ กลิ่นนี้ก็ยิ่งชัดมากขึ้นและเขายังคงได้กลิ่นมันอยู่ในตอนนี้…
เด็กหนุ่มคลำหามือเรียวของคนพี่มากอบกุมเอาไว้อย่างหวงแหน
“สิง ถ้าเหนื่อยก็ไปพักนะ” หมอรามพูดปลอบพลางยกมือขึ้นตบบ่าสิงเบา ๆ
“ไม่เป็นไรครับ ผมไหว ว่าแต่ข้อเท้าเป็นยังไงบ้างครับสารวัตร” สิงพูดกับหมอรามก่อนจะหันไปพูดประโยคหลังกับปราป
“เข้าเฝือกอ่อน คงต้องใช้ไม้ค้ำไปอีกสองสามอาทิตย์” หมอรามตอบแทน
“เอ่อ…คือ…” ปราปทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เหมือนลังเลว่าจะพูดเรื่องที่อยู่ในใจกับเจ้าเด็กสัมผัสพิเศษดีรึเปล่า
“สารวัตรมีอะไรรึเปล่าครับ?” สิงสามารถรับรู้ได้จากน้ำเสียงของอีกฝ่ายว่าปราปกำลังกังวลเรื่องอะไรจึงเอ่ยถามแทน
“ไม่มีอะไร ช่างเถอะ” ปราปเมินเฉยความใคร่รู้ของตัวเองและดึงดันที่จะเชื่อความคิดและหลักเหตุผลของตัวเองต่อไป
“เราไปคุยกันที่ระเบียงไหมครับ?” สิงถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ สำหรับเขาที่สัมผัสถึงโลกหลังความตายได้ตั้งแต่เด็กยังไม่ชินกับเรื่องนี้เลย นับประสาอะไรกับปราปที่ทั้งชีวิตไม่เคยเจอเรื่องพวกนี้มาก่อน
“...”
สิงปล่อยมืออินแล้วค่อยลุกขึ้นไปเข็นรถเข็นที่ปราปนั่งอยู่ ตรงไปยังระเบียงห้องพักราวกับคนตาดี แต่ที่จริงแล้วเขาแค่ได้ยินเสียงลมลอดเข้ามาผ่านช่องประตูเท่านั้น
สิงจอดรถเข็นไว้ชิดริมระเบียง ก่อนจะเดินไปยืนข้าง ๆ กัน “สารวัตรโอเคไหมครับ?”
ปราปถอนหายใจหนักพลางส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่รู้ซิ มันค่อนข้างสับสนน่ะ”
“ผมเข้าใจครับ”
“...”
“สิงคงเจอมาจนชินแล้วซินะ”
สิ่งส่ายหน้า “ไม่เลยครับ ผมไม่เคยชินกับเรื่องแบบนั้นได้เลย”
“แต่ฉันเห็นสิงนิ่งมากเลยนิ”
ใบหน้ากลมผุดยิ้มบาง “ไม่หรอกครับ ผมกลัวจนตัวสั่นมากกว่า สารวัตรอาจจะไม่ทันได้สังเกต”
“อะไรกัน ยังไม่ชินอีกเหรอ ฉันเห็นนายคอยปกป้องคุณอินอยู่นิ”
“พี่อินเป็นคนสำคัญคนเดียวที่ผมเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ผมเสียพี่เขาไปอีกไม่ได้หรอกครับ”
ปราปเงยหน้าขึ้นไปมอง ในใจรู้สึกสงสารจับจิตกับคำพูดตัดพ้อของสิง เขาคงไม่สามาถเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียคนที่รักไปจนหมดแบบนี้ได้ แต่การที่ต้องอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้คงว้าเหว่น่าดู
แต่ไอคำว่าคนสำคัญของสิง มันสามารถแปลความหมายได้หลายอย่าง และมันอาจจะมีความหมายเหมือนกับความรู้สึกของเขาที่มีต่ออิน…
ไอเด็กนี้คิดไม่ซื่อกับคุณอินแน่ ๆ
“สิ่งที่สารวัตรเจอวันนี้ เป็นสิ่งสิ่งเดียวกับที่ผมสัมผัสได้มาตลอดในทุก ๆ คดีครับ”
“หมายถึง…” ปราปนิ่งเงียบไปพลางคิดถึงใบหน้าชวนขนหัวลุกของเธอ “นะ นางรำตนนั่นเหรอ”
“ครับ”
“พอจะรู้ไหม ว่าเธอเป็นใคร?”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่กลิ่นจากตัวเธอ เป็นกลิ่นที่ผมคุ้นเคยมาตลอดหลายปี”
“ยังไง?”
“ก่อนหน้านี้ผมสัมผัสได้แค่กลิ่นของเธอ แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเธอมีตัวตนอยู่ก็หลังจากที่พี่เสือตายไปแล้ว”
“แล้วก่อนหน้านี้สิงได้กลิ่นของเธอได้ยังไง”
“มันมาจากตัวพี่เสือครับ อันที่จริงผมรู้อยู่แล้วครับว่าพี่เสือมีของพวกนี้อยู่กับตัว แต่มันหายไปช่วงนึง ตอนที่ผมกับพี่เสือทะเลาะกันเพราะมัน จนสุดท้ายมันก็กลับมาอีกและพี่เสือก็ตาย”
“คุณเสือตายเพราะของไสยดำนั่นน่ะเหรอ?”
“มันคือยาสั่งครับ”
“ยาสั่งเหรอ?”
“มันคือของที่หมอรามเจอในตัวพี่เสือครับ”
“สิงหมายถึงไอกองเส้นผมพวกนั่นนะเหรอ?แล้วไอ…ตุ๊กตานั่นละ”
“ใช้ครับ ส่วนตุ๊กตาคุณไสยน่าจะเป็นของที่พี่เสือบูชามันด้วยตัวเอง มันเป็นศาสตร์หนึ่งในการเพิ่มเสน่ห์ คล้าย ๆ ยาเสน่ห์นั่นแหละครับ แต่ที่พี่เสือคาดไม่ถึงและคงไม่คิดว่าจะโดนยาสั่งจนทำให้ต้องตาย”
“ยาสั่งนี้เป็นยังไงเหรอ?”
“มันเป็นไสยศาสตร์ทางภาคใต้ครับ สามารถทำได้หลายแบบ ทำให้เจ็บป่วยหรือตายก็ได้ ส่วนวิธีการทำ...ผมเองก็ไม่มั่นใจ เท่าที่รู้คือมันสามารถผสมกับของที่กินหรือเสกเข้าท้องไปเลยก็ได้ครับ”
“อารมณ์เสกหนังควายเข้าท้องอะนะ?!”
สิงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “ประมาณนั่นแหละครับ”
“ถ้างั้นคนที่ทำเสน่ห์กันคนที่ทำยาสั่ง เป็นคนคนเดียวกันเหรอ?ทั้งช่วยทั้งฆ่าเนี่ยน่ะ?!”
“ผมเองก็ไม่รู้ครับ แต่ที่แน่ ๆ การตายของทุกคน เกี่ยวข้องกับผีมโนราห์ตนนั่น”
“มโนราห์?!อ่าห์ ~ นั่นชุดมโนราห์หรอกเหรอ”
“ครับ”
“มันเป็นแพทเทิร์นผีไทยเหรอที่ต้องเป็นนางรำ”
สิงหลุดขำหน่อย ๆ “ไม่รู้ซิครับ ถึงผมจะสัมผัสถึงพวกเค้าได้ แต่ผมไม่เคยถามอะไรพวกนี้เลยครับ”
“อาว ฉันเห็นสิงคุยกับผีอยู่นิ ที่บอกจะมีคนตายไง”
สิงกำลังจะเถียงว่าสิ่งที่เขาสื่อสารด้วยนั่นไม่ใช่ผี แต่นึกขึ้นได้ว่าผีตายายก็คือ ผี “แฮ่ ๆ นั่นผีตายายครับ”
“คือ?”
“วิญญาณของบรรพบุรุษนะครับ”
“แล้วไม่ใช่ผีเหรอ?”
“ก็…ใช้ครับ”
“แล้วมันแตกต่างกันเหรอ?”
“ไม่ต่างครับ”
“ถ้าไม่ต่าง แล้วทำไมถึงสื่อสารกับผีตายาย แต่ไม่สื่อสารกับผีตัวอื่นละ”
“สารวัตรพอจะรู้จักร่างทรงไหมครับ”
“รู้ซิ ออกข่าวอยู่ทุกวัน อย่าบอกนะว่าสิงเป็นร่างทรงอ่ะ”
“คนใต้เรียกว่าครูหมอโนราครับ แต่ผมคงไม่นับเพราะไม่เคยทำพิธีไหว้ครู ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสามารถสื่อสารกับผีตายายได้อยู่ดี ส่วนที่ไม่สื่อสารกับผีตนอื่น เพราะไม่อยากคุยด้วยครับ”
“ก็ไม่แปลก เป็นฉัน ฉันก็ไม่อยากคุย ว่าแต่ผีตายายได้บอกอะไรสิงอีกไหม”
สิงส่ายหน้า “ถ้าสารวัตรหมายถึงจะมีคนตายเพิ่มอีกไหม… ไม่ได้บอกครับ”
“งั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดี แค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”
“เรื่องปวดหัวยังไม่หมดหรอกครับ” สิงพูดเสียงเรียบพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า
“ไหนบอกไม่มีคนตาย แล้วเรื่องปวดหัวจะมาจากไหนอีก”
“มาจากผีนางรำตนนั่นนั่นแหละครับ” สิงหันกลับมามองจ้องหน้าปราป “การที่เธอสามารถปรากฏตัวให้สารวัตรเห็นได้ แสดงว่าเธอแข็งแกร่งกว่าที่ผมคิด”
“แล้วมันจะสร้างปัญหาได้ยังไง?”
“คนทั่วไปไม่สามารถมองเห็นวิญญาณได้หรอกครับ เว้นเสียแต่ว่ามันต้องการที่จะปรากฏตัวให้เห็น และมันต้องใช้พลังงานมาก เท่าที่ผมรู้ การบูชายัญ เป็นวิธีการนึงที่ทำให้วิญญาณไสย์ดำมีพลังเพิ่มขึ้น”
“บูชายัญแบบที่เห็นในหนังนะเหรอ”
“ครับ มันต้องใช้วิญญาณของสิ่งมีชีวิต ยิ่งวิญญาณที่สังเวยมีแรงปรารถนาแรงอาฆาตมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้มีพลังมากขึ้นเท่านั้น”
ปราปส่ายหน้าระอา “แสดงว่ามันต้องฆ่าคนที่มีแรงอาฆาตมาก เพื่อมาปรากฏตัวให้ฉันเห็นเหรอ ทุ่มทุนไปไหม”
“วิญญาณฆ่าคนไม่ได้หรอกครับ ต้องมีคนเป็นคอยช่วย และมันอาจฆ่าคนไปเยอะมากแล้วก็ได้”
“ไม่ใช่แค่สาม นี้คือสิ่งที่สิงกำลังจะบอกฉันใช่ไหม”
สิงพยักหน้า
“ปวดหัวจริงด้วย ไว้ฉันจะกลับไปค้นคดีเก่า ๆ ดูก็แล้วกัน”
“ขอบคุณนะครับสารวัตร ที่เชื่อคำพูดของผม”
ปราปยกยิ้มมุมปากพลางส่งเสียงหึในลำคอ “ไม่เจอกับตัวคงไม่เชื่อหรอก”
สิงกับปราปยืนสูดอากาศอยู่ครู่นึง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเข็นคนเจ็บเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย แต่ทันทีที่เดินเข้ามาก็เห็นเจตและคนอื่น ๆ กำลังยืนมุมดูอะไรบางอย่างอยู่
“ไปตั้งนาน คุยอะไรกันวะ?” รามละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมามองเพื่อน
“ก็เรื่องคดีนี้แหละ แล้วมึงดูอะไรอยู่”
“ไลฟ์ตอนที่คุณอินหมดสติกลายเป็นคลิปไวรัลไปแล้ว แค่ไม่กี่ชั่วโมงปาไปเกือบสิบล้านวิว”
ปราปทำสีหน้าตาตื่นพลางยื่นมือไปขอโทรศัพท์ในมือเพื่อนมาดู “กูขอดูหน่อย”
รามเดินมายื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้ปราป “อะ เอาไป”
ภาพของอินที่กำลังให้สัมภาษณ์รายการสดดำเนินไปอย่างเป็นปกติ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที อินก็แสดงอาการความผิดปกติออกมาให้เห็น ก่อนจะหมดสติและล้มพับลงไปกับพื้นจากนั้นภาพก็ตัดไป
“คุณอินคงโหมงานหนักจริง ๆ แหละ” รามพูดหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์มือถือคืนจากเพื่อน
“มึงคิดงั้นเหรอ?” ปราปถาม
“อาการก็ชัดอยู่นะ หน้าซีด ตาพร่ามัว เหงื่อซึมทั้ง ๆ ที่ในสตูดิโอน่าจะเปิดแอร์แล้วก็หมดสติไป เหมือนที่กูเคยเตือนมึงไง ว่าถ้ามึงไม่นอนร่างกายจะบังคับให้มึงนอน”
“แล้วอาการจะรุนแรงมากไหมครับหมอราม?” เจตที่ยืนฟังอยู่ด้านหลังรีบถามสวน
รามหันไปคลี่ยิ้มอ่อนให้ร่างเล็กคลายกังวล “แค่พักผ่อนเยอะ ๆ ก็พอครับ อย่าโหมงานหนัก ไม่งั้นก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ร่างกายของคนเราถ้าถูกชัตดาวน์บ่อย ๆ มันก็ไม่ดีหรอกครับ”
“สิง ช่วงนี้ไออินมันนอนน้อยเหรอ หลังจากเกิดเรื่องเสือ พี่ก็ไม่ได้รับงานที่ไหนให้มันอีกเลยนะ แถมแคนเซิลไปเยอะแล้วด้วย”
“ไม่นะครับพี่เจต ปกติสี่ห้าทุ่มพี่อินก็เข้านอนแล้ว”
คิ้วน้อย ๆ ของเจตย่นเข้าหากันจนหน้ายับแต่กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูในสายตาหมอหนุ่มจนเขาแอบยืนอมยิ้มเพ้อพกอยู่คนเดียว
“ตอนเช้า ๆ มันก็ไม่ยอมตื่น พี่ต้องให้สิงไปปลุกมันทุกเช้า แล้วมันจะไปพักผ่อนน้อยได้ยังไง”
“ความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุนึงนะครับคุณเจต ยิ่งมีเรื่องคุณเสือด้วยแล้ว คุณอินอาจจะเครียดโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้”
“ถ้าหมอรามว่าแบบนั้น ก็คงใช้ครับ คงไม่มีใครไม่เครียดเรื่องเสือ” เจตพูดจบก็ทอดถอนใจ นัยน์ตาฉายแววความเศร้า
“คุณเจตเองก็ต้องพักผ่อน แล้วก็อย่าเครียดมากนะครับ ถ้าไม่อยากมานอนข้าง ๆ คุณอิน”
เจตตวัดสายตามองค้อนคนปากไม่ดี “นี้ขู่กันเหรอครับ”
หมอรามยิ้มอวดฟันขาวอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่ได้ขู่ครับ แค่เป็นห่วง”