"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด

เจตที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดรีบพลิกตัวกลับมาหาเด็กในสังกัด

“เกิดอะไร ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องเลยอิน”

“เอ่อ…” ความวัวยังไม่หายความควายดันเข้ามาแทรก เรื่องที่กะว่าจะปกปิดเอาไว้ก่อนเหมือนจะไม่เป็นไปตามแผน อินตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก อยากกันเจตออกจากเรื่องอันตรายแต่เหมือนร่างเล็กจะกลายเป็นเรื่องอันตรายในชีวิตเขาตอนนี้ไปซะแล้ว

“อิน” เจตกดเสียงต่ำพลางมองจ้องหน้าคาดคั้นเอาความจริง

“...” อินยิ้มแห้ง ยังคงลังเลที่จะพูดเรื่องทุกอย่างให้เจตฟัง กลัวว่าจะเป็นลมไปก่อนที่เขาจะเล่าจบ เพราะขนาดยังไม่รู้รายละเอียดอะไรมากเจตยังเกือบเป็นลมไปแล้วสองสามรอบ

“เล่าให้พี่เจตฟังเถอะครับพี่อิน” สิงพูดพลางวางมือลงบนหน้าขาของคนพี่

ในเมื่อทำอะไรไม่ได้นอกจากเล่าความจริงก็ต้องให้มันเป็นไปตามนั่น ส่วนเจตจะเป็นลมเป็นแล้งไปไหมให้เป็นหน้าที่ของหมอรามแล้วกัน

“นั่งลงก่อนพี่ เดี๋ยวอินเล่าให้ฟัง” เจตนั่งลงตรงหน้าอิน จ้องมองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจรับฟัง “พี่เจต อินไม่ได้ตั้งใจจะปิดปังพี่นะ แต่เรื่องคดีไอเสือมันมีอะไรมากกว่าที่เราคิด”

“ฉันรอฟังอยู่” เจตตอบสวนแบบไม่เว้นช่องไฟ

“มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่อินอยากให้พี่ฟังเงียบ ๆ จนกว่าจะจบ แล้วพี่ก็ตัดสินใจเอาเองเลยว่าจะเชื่ออินรึเปล่า โอเคไหม”

เจตพยักหน้าตอบยอมทำตามแต่โดยดี อินจึงเริ่มเล่ารายละเอียดคดีของเสือตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงเรื่องที่เขาวางแผนจะไปหาหลวงพ่อทศที่อยุธยาด้วย

อินเล่าจบไปสักครู่แล้ว แต่เจตยังคงนั่งเงียบไม่พูดอะไรออกมาสักคำ คนอื่นที่นั่งร่วมวงอยู่ด้วยลุ้นอย่างใจจดใจจ่อกับท่าทีของเจตกับเรื่องที่ได้ฟัง

คนบ่อน้ำตาตื้นที่อ่อนไหวกับเรื่องนี้อยู่แล้วถึงกับปล่อยโฮ “พี่ดูแลเสือไม่ดีเหรออิน ทำไมมันทำแบบนั้น ฮึก”

ถึงอินจะเป็นคนแนะนำให้เขาดึงเสือเข้าสังกัด แต่หลังจากนั้นเขามั่นใจว่าตัวเองดูแลเสือเป็นอย่างดี หาและกรองงานให้เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเสือถึงทำแบบนั้น มันเลือกที่จะเอาตัวเองไปเลี่ยงกับของพวกนั้นทำไม...หรือสิ่งที่เขาทำให้น้องมันยังไม่เพียงพอ

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกพี่เจต พี่อย่างคิดมากเลย เรายังไม่รู้ว่าทำไมไอเสือมันทำคุณไสย บางทีมันอาจจะมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นก็ได้” 

“ไม่ พี่ผิดเองแหละ พี่เห็นว่ามันเงียบไม่โต้เถียงอะไร โยนงานอะไรให้ก็ทำ เลยละเลยความรู้สึกมันไป”

“พี่เจต พี่กำลังทำให้อินรู้สึกผิดที่บอกเรื่องนี้กับพี่นะ อินบอกแล้วไง เรายังไม่รู้เลยว่าอะไรทำให้ไอเสือทำเรื่องพวกนั้น พี่อย่าโทษตัวเอง ตอนนี้เราต้องช่วยกันหาสาเหตุ แล้วก็หาให้ได้ว่าใครฆ่ามัน” อินพูดพลางซับน้ำตาบนใบหน้าเจต

“แล้วแกจะไปหาที่ไหน ไอพวกเล่นของพวกนี้มันหากันได้ง่าย ๆ ซะที่ไหน อีกอย่างถ้าแกหามันเจอ แล้วแกจะเอาอะไรไปสู้มัน”

“มันก็คนเหมือนพวกเรานี้แหละพี่”

“แต่มันมีผี! ผีที่มาหลอกแก ทำให้แกเกือบตายไปอีกคน”

“ผมก็มีไอเด็กนี้ไงพี่” อินชี้นิ้วไปทางคนน้องพลางฉีกยิ้มยียวน “สิง! เด็กน้อยสัมผัสพิศวง”

“ไออิน! แกช่วยจริงจังหน่อยได้ไหม อย่าทำเป็นเล่นไปซะหมด เรื่องคอขาดบาดตายยังจะเล่นอยู่ได้”

“อาว! ถ้าไม่มีไอสิง เราก็หาหลักฐานไม่เจอนะพี่”

“สิงมันสัมผัสได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าน้องจะสู้กับฆาตกรได้นะไออิน ไอเสือตายไปคนนึงแล้ว มึงยังจะเอาน้องไปเสี่ยงอีกเหรอ”

“...”

“ให้สารวัตรปราปเขาจัดการเรื่องนี้ดีกว่าไหม”

“ผมก็ไม่ได้จะเข้าไปยุ่งอะไรนิพี่ แค่จะไปหาหลวงพ่อ เผื่อท่านจะช่วยอะไรได้”

“แล้วจะไปเมื่อไหร่”

“วันสองวันนี้แหละ”

“แล้วจะกลับเมื่อไหร่”

“ไม่รู้ดิพี่ ผมไม่ได้เจอหลวงพ่อนานแล้ว คงอยู่ที่วัดสักสองสามวัน”

“เออดี อยู่เป็นเพื่อนท่านบ้าง”

“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก พี่อะเลิกโทษตัวเองรึยัง”

“อือ ไม่คิดแล้วก็ได้” ...เดี๋ยวค่อยคิดใหม่ตอนอยู่คนเดียว

“ดี อินขี้เกียจปลอบ”

“ไออิน ไอน้องเวร!” เป็นความสามารถพิเศษของปกปักรักษาที่ทำให้คนหายเศร้าได้ด้วยการกวนส่วนล่างของอีกฝ่ายแทน เจตที่เริ่มชินแต่ไม่ชาสะบัดตูดหนีขึ้นไปเก็บข้าวของพร้อมกับแฟน

“คุณอินจะไปหาหลวงพ่อที่ไหนเหรอครับ” ปราปถามหลังจากที่เก็บงำเอาไว้ตั้งแต่เจตกับอินสนทนากัน

“ที่อยุธยาครับ”

“เกจิอาจารย์ชื่อดังเหรอครับ”

อินหลุดหัวเราะในลำคอพลางยกไม้ยกมือขึ้นมาโบกปฏิเสธคำพูดของนายตำรวจ “เปล่าครับ ท่านเป็นพ่อของผมเอง”

ปราปเลิกคิ้วถม “พ่อเหรอครับ?!”

“ใช้ครับ พ่อผมบวชไม่สึกตั้งแต่ผมยังเด็กแล้วละครับ”

“แล้วแบบนี้ คุณแม่ของคุณอินอยู่ที่ไหนเหรอครับ”

“แม่ผมตายในวันที่ผมเกิดครับ”

ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั่นถึงตัว แถมมันยังเร็วติดจรวดแบบที่ปราปตั้งรับไม่ทัน “ขอโทษนะครับคุณอิน”

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องมันนานมาแล้ว แต่เรื่องพวกนี้สารวัตรไม่รู้ได้ยังไงครับ ประวัติผมไม่น่าจะหายากขนาดนั้น”

“เพื่อนผมเพิ่งมาสนใจโลกภายนอกก็เพราะคุณอินนี้แหละครับ ก่อนหน้านี้ชีวิตมันมีแต่เรื่องคดี” รามพูดแทรกพลางเหลือบมองปราปที่กำลังจ้องเขาไม่วางตา ในใจพ้นคำด่าหยาบคายร้อยพันแปดแบบที่เจ้าตัวรู้ว่าโดนด่าแต่ก็นำพา

อินหรี่ตามองสองเพื่อนรักที่กำลังหยุมหัวกันผ่านสายตาหลังจากวิเคราะห์คำพูดกำกวมของหมอรามกับการกระทำหลายอย่างของรามที่ทำให้เขาตงิดใจก็ถึงบางอ้อ แต่จะให้ปฏิเสธความรู้สึกอีกฝ่ายออกไปตรง ๆ ก็ดูจะมั่นหน้าไปสักหน่อย ตอนนี้คงทำได้แค่รักษาระยะห่างให้ได้มากที่สุด “งั้นเหรอครับ มีตำรวจแบบนี้เยอะ ๆ ก็คงดีซิครับ ประชาชนจะได้อุ่นใจ”

รอให้พูดออกมาตรง ๆ แล้วค่อยหาทางปฏิเสธก็แล้วกัน

ปราปฝืนยิ้มรับคำชม ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าอินพยายามพูดเบี่ยงประเด็น… นี้คงเป็นการปฏิเสธแบบมีมารยาทซินะ

 

มื้อเย็นถูกรังสรรค์โดยเชฟตาบอดถูกวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะกินข้าวที่ไม่ได้ใช้มานานแรมปี บรรยากาศวันนี้แตกต่างไปจากทุกวัน เพราะปกติจะมีแค่สิงและอินเท่านั้น นาน ๆ ทีถึงจะมีเจตและคนอื่นมาร่วมแจม แต่วันนี้กลับมีตัวแถมอย่างสารวัตรปราปและหมอรามร่วมวงด้วย ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่ำครึกครื้นกว่าทุกวัน

หมอรามแทรกตัวไปนั่งข้างเจตอย่างที่ไม่มีใครขัด คอยบริการตักนู้นเช็ดนี้ให้โดยที่เจตแทบจะไม่ต้องกระดิกตัวทำอะไร อินลอบสังเกตอาการของผู้จัดการส่วนตัวที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธหรืออึดอัด ดูออกจะชอบเสียด้วยซ้ำจากการกินข้าวไปมองหน้ากันไป อินจึงวางใจปล่อยให้หมอหนุ่มกับผู้จัดการดาราจีบกันกะหนุงกะหนิงตามชอบ

หนังท้องตึงหนังตาหย่อน แต่จานชามในซิงค์ล้างจานสูงเป็นกองพะเนินจนแทบจะไม่มีใครอยากรับหน้าที่นี้ยกเว้นสิง อินที่เพิ่งส่งแขกเสร็จเดินปรี่เข้ามาในครัวเพื่อช่วยคนน้องล้างจาน

“มา กูช่วย” อินพูดพลางถกแขนเสื้อขึ้น ทำท่าจะล้วงมือไปหยิบจานที่คนน้องล้างคราบแล้วมาล้างฟองออก

“ไม่เป็นไรครับ พี่อินไปพักผ่อนเถอะ”

“ได้ไง มึงทำกับข้าว กูก็ต้องล้างดิ”

“มันใกล้จะหมดแล้วครับ ไม่เป็นไรหรอก พี่อินยืนเป็นเพื่อนสิงก็พอ”

“เอางั้นเหรอ” คนพี่ถามย้ำ

“ครับ”

“เออ โอเค” อินก้าวถอยหลังไปยืนพิงเคาน์เตอร์ครัว “มึงว่าหมอรามเป็นไงบ้างวะ”

“หวงพี่เจตเหรอครับ” คนน้องตอบอย่างรู้ทัน

“ไม่ได้หวงเว้ย แค่เป็นห่วง”

“หมอรามก็น่ารักดีนะครับ ตลกดี”

“แต่กูว่าเขาดูแพรวพราวอยู่นะ เจ้าชู้น่าดู”

“ถ้าพี่อินคิดว่าหมอรามเจ้าชู้ แล้วจะห้ามไม่ให้พี่เจตคบกับหมอรามเหรอครับ”

“กูจะไปห้ามอะไรพี่เจตได้”

“ถ้างั้นพี่อินจะทำไงครับ ถ้าหมอรามเจ้าชู้จริง”

“ปลอบไง ทำเหี้ยไรได้อีก”

“พี่อินพูดขนาดนี้ พี่เจตชอบหมอรามแล้วเหรอครับ”

“ไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธละวะ ปกติไอพี่เจตมันแคร์ใครที่ไหน ถ้ามันไม่ชอบมันด่าลูกเดียวแต่นี่นอกจากจะไม่รำคาญแล้ว ยังยิ้มรับอีกต่างหาก”

รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างจาน นัยน์ตาฉายแววความผิดหวังอย่างชัดเจน... ถ้ามีใครแถวนี้สังเกตเห็นบ้างก็ดี

‘แล้วผมละ พี่อินดูไม่ออกเหรอ ว่าผมคิดยังไงกับพี่’

“ช่างเหอะ ล้างเสร็จยัง ไหนบอกใกล้เสร็จแล้วไง ทำไมช้าจัง”

คนพี่เริ่มบ่น สิงที่ล้างคราบฟองสบู่จากจานใบสุดท้ายเสร็จ เช็ดไม้เช็ดมือก่อนจะหันมาปั้นหน้ายิ้มหวานให้

“เสร็จแล้วครับ”

“งั้นไปอาบน้ำเหอะ กูเหนื่อยสายตัวแทบขาด”

“พี่อินไปอาบน้ำก่อนเลยครับ ผมขอไปห้องพระก่อน”

“โอเค ได้”

 

สองคนพี่น้องช่วยกันเดินปิดไฟตามมุมต่าง ๆ ของบ้าน ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องด้วยกัน สิงแยกไปไหว้พระในห้องพระ นั่งทำสมาธิอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้องนอน ได้ยินเสียงอินกำลังเล่นเกมอยู่บนเตียง พร้อมกับกลิ่นสบู่หอมอ่อน ๆ กลิ่นสะอาดสดชื่นที่เป็นกลิ่นประจำตัวของอีกฝ่าย

เด็กหนุ่มปล่อยให้อินเพลิดเพลินกับเกม ส่วนตัวเองก็เดินแยกไปทำธุระส่วนตัว แต่พอเดินกลับมากะว่าจะนอนพร้อมกันคนพี่ดันติดลมเกิดอาการดื้อแพ่งไม่ยอมนอน

“ไหนบอกว่าเหนื่อยไงครับ”

“ขอตานึง” อินพูดโดยไม่ได้ละสายตาไปจากหน้าจอโทรศัพท์

สิงนอนรอคนพี่เล่นเกม แต่ดูเหมือนมันจะนานกว่าที่เจ้าตัวขอ เพราะตอนนี้หนังตาเขาหนักมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า แม้จะพยายามลืมตาตื่นเพื่อรอนอนพร้อมคนพี่แค่ไหน แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะเลิกเล่น และเขาเองก็ง่วงเกินกว่าจะฝืนลืมตาได้แล้ว …จนเผลอหลับไปตอนไหนเขาเองก็ยังไม่รู้ตัว

 

จนกระทั่งเช้าวันใหม่ วันที่ต้องไปเก็บอัฐิของเสือที่วัด ทุกคนตื่นเช้าโดยอัตโนมัติ ยกเว้นอินที่สิงต้องคอยปลุกอยู่นานกว่าจะตื่น สมาชิกสี่คนที่อยู่ในบ้านรวมตัวกันบนรถตู้คันงามของเจต ที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังวัด

เมื่อมาถึงเจตก็ปลีกตัวไปพูดคุยกับเจ้าอาวาสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มทำพิธีเก็บอัฐิที่สัปเหร่อนำออกมาจากเตาเผา คณะสงฆ์สวดบังสุกุลตายเสร็จ จึงค่อยให้ญาติเข้าไปช่วยกันเก็บอัฐิของเสือใส่โกศ

 

สิงนำอัฐิขึ้นไปวางไว้ในห้องพระก่อนจะเดินกลับลงไปสมทบกับคนอื่นที่นั่งรอเขามาร่วมแจมมื้อเย็น หลังจากยัดอาหารขนาดสิบคนกินลงท้อง ทุกคนก็มานั่งเอกเขนกอย่างคนขี้เกียจอยู่บนโซฟากลางบ้านที่ประจำ

“แกจะไปหาหลวงพ่อวันไหน”

“พรุ่งนี้มะรืนนี้แหละพี่”

“โอเค แล้วพาสิงไปด้วยป่ะ”

“แน่นอน ผมไปไหนมันต้องไปด้วยกันกับผมอยู่แล้ว”

“เป็นแฝดสยามเหรอ?!”

“เป็นปรสิต”

“อ๋อ แกเป็นปรสิตในชีวิตน้อง เข้าใจละ”

อินกลอกตามองบนอย่ารำคาญคนรู้ทัน สิงล้างจานเพิ่งเสร็จเดินออกมานั่งข้างอินโดยไม่ได้พูดอะไรมากนัก ตามวิสัยคนพูดน้อย

หลังจากพูดคุยกันจนมืดค่ำก็ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับบ้าน

“พี่เจตไปส่งแฟนด้วยนะ”

“เออรู้แล้ว ฉันเคยปล่อยให้แกกลับบ้านเองเหรอไอแฟน” เจตหันไปบ่นผู้ช่วยในขณะที่เดินมาขึ้นรถตู้ที่จอดรออยู่ที่ลานหน้าบ้าน “กลับแล้วนะ จะไปก็ขับรถดี ๆ ละ ดูแลน้องดูแลตัวเองด้วย”

“คับ”

“สวัสดีครับพี่เจต” สิงยกมือไหว้ลาเจต

“ฝากอินด้วยนะสิง พี่ไปละ”

อินกับสิงแยกกันไปทำธุระส่วนตัวที่ห้องของตัวเองเพื่อความรวดเร็ว สิงเดินกลับไปที่ห้องของคนพี่ก่อนจะพบว่าอินนอนเล่นเกมรออยู่แล้ว แถมยังนอนกระดิกเท้าอย่างสบายใจอีกต่างหาก

“อย่าเล่นจนดึกเหมือนเมื่อวานนะครับพี่อิน”

“เออ มึงนอนก่อนเลย ฝันดีนะ”

“ฝันดีครับ”

เด็กหนุ่มอยากจะรอนอนพร้อมกับคนพี่ แต่เข็มนาฬิกาที่เคลื่อนจากเลขสิบไปเลขสิบเอ็ดก็แล้ว อีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเลิกเล่น ถึงจะแอบน้อยใจแต่ก็ไม่อยากจะงอแงให้อีกฝ่ายรำคาญ บวกกับความเหนื่อยล้ามาทั้งวันจึงผล็อยหลับไปคนเดียวอีกหนึ่งคืน

 

สิงตื่นเช้าเป็นประจำทุกวัน ตื่นมาทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย เตรียมอาหารเช้าไว้ให้คนพี่เสร็จสรรพ ก็ขึ้นไปแง้มประตูดูสักหน่อยว่าคนที่เขารอตื่นแล้วรึยัง

เมื่อวานเล่นจะถึงเช้าแน่ ๆ สิบโมงแล้วยังไม่ตื่น

สิงเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากปลุก ได้แต่ปิดประตูให้เงียบที่สุดแล้วลงไปรอข้างล่าง หาทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยจนไม่มีอะไรให้ทำแล้วแต่อินก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

“สวัสดีครับยายน้อย นี้สิงเองนะครับ” เด็กหนุ่มกดโทรออกหาญาติที่คาดว่าน่าจะรู้ข่าวสารเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านบ้าง

[เออ สิงเห้อ ว่าพรือลูก] (เออ สิงเหรอ ว่ายังไงลูก) ยายน้อยทักทายเด็กหนุ่มด้วยสำเนียงท้องถิ่นอย่างเป็นกันเอง

“ยายบายดีหม้าย ยังโยกรุงเทพฯ เหล่อยม้าย” [ยายสบายดีไหมครับ ยังอยู่ที่กรุงเทพฯ ใช่ไหมครับ]

[บายดีลูก ยายอยู่บ้านพี่นัทนิ๊] (สบายดีลูก ยายยังอยู่ที่บ้านพี่นัท)

“ยายน้อย สิงถามไหร่ฮิ๊ดด้ายม้าย” [ยายน้อย สิงขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ?]

[ไอไหร่ลูก] (อะไรเหรอลูก?)

“ก่อนเท่ทวดอีย้ายมาอยู่รัตภูมิ บ้านเดิมทวดอยู่ไหนครับ” [ก่อนที่ทวดจะย้ายมาอยู่รัตภูมิ บ้านเดิมของทวดอยู่ที่ไหนครับ?] สิงเคยได้ยินจากเสือมาก่อนว่าที่อยู่เดิมของทวดไม่ได้อยู่ที่รัตภูมิ แต่ย้ายมาอยู่นานมากแล้วตั้งแต่ปู่ยังเด็ก

ยายน้อยเงียบไปนาน จนสิงคิดว่าสัญญาณน่าจะไม่ดี จึงส่งเสียงเรียกปลายสาย “ยายน้อยคับ?”

[สิงไปโร่มาจากไหนลูก] (สิงไปรู้มาจากไหนลูก?) ยายน้อยถามเสียงเบา

“สิงเคยได้ยินพี่เสือแหลงครับ แต่สิงจำไม่ได้แล้วว่าเคยโยเท่ไหน” [สิงเคยได้ยินพี่เสือพูดถึงครับ แต่จำไม่ได้แล้วว่าเคยอยู่ที่ไหน]

[สิงหนคร]

 

หลังจากวางสายจากย้ายน้อย สิงก็เดินขึ้นไปบนห้องพระ กราบประพุทธรูปองค์สีทองที่ตั้งตระหง่านเป็นพระประธาน ก่อนจะหันไปทางเทริดสีเหลืองทองอร่ามที่อยู่ในกล่องอะคริลิคใสด้านข้าง

‘ทวดบอกสิงหน่อยได้ไหม ว่าคนที่ทำแบบนั้นกับพี่เสือคือใคร’ เด็กหนุ่มเพ้อถามคนเฒ่าคนแก่ในใจอย่างสิ้นหวัง

“อย่าไปยุ่งกับมัน”

สิงรีบหันขวับไปตามทางของเสียงจนผมเผ้าปลิวไปตามแรงเหวี่ยง เขาเพียงแค่คิดถามในใจเท่านั้น ไม่คิดว่าเสียงที่คุ้นเคยจะตอบ หลังจากที่ไม่ได้ยินมาหลายวันนับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุกับอินที่โรงพยาบาล

“หายไปไหนมากครับ เป็นอะไรไหม”

“อยู่ให้ห่างจากมัน”

“บอกผมหน่อยได้ไหมครับ ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร”

“...”

สิงรออยู่สักพัก เพื่อรอให้อีกฝ่ายตอบ แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผีตายายไม่ตอบคำถามของเขา ทุกครั้งที่โต้ตอบกันก็จะมีแต่การห้ามปรามไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้

สิงก้มหน้าก้มตาด้วยความผิดหวัง เขาไม่รู้ว่าจะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ยังไง มันดูหนักหนาเกินกว่าที่คนอย่างเขาจะรับไหวตามที่ผีตายายบอก

“หรือผมต้องกลับไปที่บ้านจริง ๆ ครับ?” สิงเงยหน้าถามผีตายาย โดยที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังอยู่ฟังเขาอยู่รึเปล่า

สิงเดินคอตกออกมาจากห้องพระหลังจากนั่งสวดมนต์ทำสมาธิไปเกือบชั่วโมงเพื่อให้จิตใจสงบ เป็นเวลาเดียวกันกับตอนที่อินเปิดประตูออกมาจากห้องนอน

“ไหว้พระอีกแล้วเหรอวะ เป็นอะไรรึเปล่า” อินถามน้องที่เดินหูตกหางลู่ออกมาจากห้องพระ ทั้ง ๆ ที่ควรจะออกมาแบบอิ่มบุญแท้ ๆ

“เปล่าครับ” สิงตอบเสียงอ่อยพลางทำหน้างอ

“เป็นไร ไหนบอกกูดิ๊” อินยื่นมือไปประคองใบหน้าขาวให้เงยขึ้นมา พลางใช้ฝ่ามือบีบแก้มนุ่มเบา ๆ อย่างหยอกเย้า

“มันจะเป็นไปได้ไหมครับ ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นที่บ้านสิง”

อินผละมือออกแล้วยืนมองหน้าน้องด้วยท่าทางจริงจัง “อธิบาย กูไม่เก็ต”

“ก็ที่สารวัตรบอกไงครับ คดีแรกอาจจะเกิดที่บ้านสิง”

“แต่คดีมันเกิดคนละอำเภอกับบ้านมึงนิ”

สิงส่ายหน้า “บ้านเก่าของทวดอยู่ที่สิงหนครครับ สิงเพิ่งโทรถามยายน้อยมา”

อินนิ่งเงียบไปครู่นึง พยายามปะติดปะต่อเรื่องในใจ “เอางี้ งั้นวันนี้เราไปอยุธยากัน เผื่อหลวงพ่อช่วยได้ ถ้าเรื่องมันเกิดที่บ้านมึงจริงเราค่อยบินไปก็ไม่สาย โอเคไหม”

“มันจะอันตรายรึเปล่าครับ สิงเป็นห่วงพี่อิน”

อินยกยิ้มพลางยกมือขึ้นลูบหัวน้องเบา ๆ “มันคงไม่มีอะไรหนักหนาไปกว่าการโดนผีเหยียบอกแล้วแหละ แล้วนี่ก็เป็นเรื่องของไอเสือ พี่ชายมึง เพื่อนรักกู มึงคิดว่าพวกเราควรปล่อยเรื่องนี้ไปเหรอ”

สิงส่ายหน้ารัว

“ถ้าปล่อยไปไม่ได้ก็ไม่ต้องปล่อย ไปเก็บเสื้อผ้า”

“พี่อินลงไปกินข้าวเช้าก่อนดีกว่าครับ สิงเตรียมไว้ให้แล้ว”

“น่ารักจังวะ”

“พี่อินลงไปกินข้าวเถอะครับ กาแฟอยู่ในกานะครับ ถ้าไม่ร้อนก็เปิดสวิตช์เอานะ เดี๋ยวสิงไปเก็บกระเป๋าให้”

“โอเค ขอบใจนะ”

 

กว่าล้อจะหมุดออกจากบ้านก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมงแล้ว พอขับออกมาเจอถนนใหญ่ก็ต้องเจอกับการจราจรที่ติดขัดจนแทบจะไม่มีการขยับเขยื้อนตัวของรถที่จอดเรียงรายอยู่เลย เรียกได้ว่าลงเดินยังจะถึงก่อนเสียอีก

รถสปอร์ตคันงามขับพ้นเขตกรุงเทพฯ ตอนเข็มสั้นชี้เลขสามพอดี ตลอดทางเด็กหนุ่มต้องคอยฟังสารถีหน้าตาดีบ่นจนหูชาแต่ก็ยังยิ้มรับ แถมยังคอยพูดให้อีกฝ่ายใจเย็นลง คอยป้อนน้ำป้อนขนมให้ตลอดทางอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย

“กูจอดปั๊มแป๊บนึงนะ ปวดฉี่วะ” คนพี่พูดปุ๊บก็ตบไฟเลี้ยวเข้าปั๊มปั๊บ พอรถจอดสนิทเจ้าตัวก็รีบวิ่งสี่คูณร้อยเข้าไปในห้องน้ำทันที

สิงเดินตามไปเข้าห้องน้ำด้วย ก่อนจะเดินตรงไปที่ร้านสะดวกซื้อพร้อมกับอิน ซื้อของกินไปตุนเพิ่มระหว่างทางโดยที่ไม่ลืมหยิบกาแฟเย็นมาเป็นตัวช่วยให้คนพี่ได้ตาสว่างไปตลอดทาง

“หิวข้าวไหมมึง” อินเอ่ยปากถามน้องระหว่างเดินกลับมาที่รถ

“ไม่หิวครับ”

“งั้นค่อยไปกินที่อยุธยาเลยแล้วกัน”

 

หลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกจากปั๊มน้ำมัน อินก็เร่งความเร็วเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทางให้เร็วที่สุด จุดหมายปลายทางแรกคือวัดที่หลวงพ่อทศจำวัดอยู่ แล้วค่อยพาเจ้าหมาน้อยของเขาออกมาหาอะไรกินหลังจากนั้น

 

“พี่อินเดินเข้าไปกราบหลวงพ่อก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวสิงหยิบของเสร็จแล้วจะตามไป” สิงหันไปพูดกับคนพี่ที่กำลังปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้พ้นตัว

“ไม่เป็นไร ไปพร้อมกัน เดี๋ยวกูช่วย” อินเปิดประตูลงไป เปิดกระโปรงหลังรถ หยิบของที่เขานำมาฝากหลวงพ่อออกมาถือ อันไหนที่เบา ๆ ก็โยนไปให้คนน้องช่วยถือ

อินและสิงเดินเข้ามาในกุฏิของหลวงพ่อทศ วางของฝากไว้ด้านข้างแล้วก้มกราบพระประทาน ก่อนจะหันมากราบหลวงพ่อทศที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“เจริญพร เป็นไงมาไงละ ทำไมมาถึงนี้ได้”

“ผมคิดถึงหลวงพ่อไงครับ” อินตอบอย่างฉอเลาะ

พระสงฆ์วัยชราผิวหนังเริ่มเหี่ยวย่นไปตามกาลเวลายกยิ้มอย่างมีเมตตา “แล้วเป็นยังไง สบายดีเหรอโยมอิน โยมสิง”

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับหลวงพ่อ” อินตอบ

“ดีขึ้นแล้วรึยังละ”

“ดีขึ้นแล้ว ไม่ต้องห่วงผมนะครับ” อินตอบแบบที่ไม่ต้องอธิบายว่าเขาไม่สบายตรงไหน เพราะคิดว่าหลวงพ่อรู้อยู่แล้วไม่งั้นคงไม่ไปปลุกสิงให้ตื่นขึ้นมาช่วยเขาหรอก

หลวงพ่อทศพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มที่เดินตามลูกชายมาด้วย “โยมสิงละ เป็นยังไงบ้าง”

“ผมสบายดีครับ หลวงพ่อเป็นยังไงบ้างครับ ยังปวดหลังปวดเข่าอยู่อีกไหมครับ”

“ก็เป็นไปตามสังขารแหละโยม”

“ผมเลยซื้อของบำรุงพวกนี้มาฝากหลวงพ่อไงครับ” อินพูดแทรกขึ้นมาทันควัน พร้อมกับเอี้ยวตัวไปหยิบถุงของฝากมาถวายให้กับหลวงพ่อ

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะ”

อินฉีกยิ้มกว้าง แล้วสาธยายสรรพคุณของของฝากที่เขาซื้อมาให้ “หลวงพ่อต้องฉันให้หมดนะครับ ที่ปวด ๆ จะได้หาย”

หลวงพ่อทศยกยิ้มพลางส่ายหน้าให้กับความใส่ใจเกินความจำเป็นของลูกชาย “ฉันไปก็เท่านั้นแหละโยมอิน อาตมาแก่แล้ว สังขารยังไงมันก็อยู่ไม่เที่ยงหรอก”

“ผมซื้อมาแล้วนิครับ ยังไงหลวงพ่อก็ต้องฉันให้หมดนะครับ ไม่งั้นผมเสียใจแย่”

“อาตมาจะพยายาม” หลวงพ่อทศพูดกับอินจบก็ละสายตาไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “ขอบใจนะที่ช่วยโยมอินไว้”

สิงส่ายหน้าถี่รัวจนผมหน้าม้าไม่เป็นทรง “ต้องโทษผมมากกว่าครับที่ดึงพี่อินมาเดือดร้อน”

อินหันมามองค้อนหน้าเตรียมจะอ้าปากด่า แต่หลวงพ่อทศเอ่ยประโยคปริศนาขึ้นมาเสียก่อน เจ้าตัวเลยต้องเงียบปากไป “ไม่ใช่หรอก โยมทั้งสองคนต้องเผชิญเรื่องนี้ด้วยกัน มันถูกกำหนดมาแล้ว”

“หลวงพ่อหมายความว่าไงครับ” อินถามแทรก

“เรื่องพวกนี้ พวกโยมต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง”

“จะหาจากไหนละครับ ที่ผมมาหาหลวงพ่อ เพราะอยากให้หลวงพ่อช่วยนะครับ”

“อาตมาคงช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก คงบอกได้แค่ว่า คำตอบมันอยู่ในใจของพวกโยมแล้ว”

“แต่ผมไม่มีอะไรในใจเลยนะครับหลวงพ่อ” อินร้องท้วงด้วยสีหน้าเป็นกังวล หลวงพ่อทศจึงช่วยอินคลายความสงสัยด้วยการเหลือบสายตาไปมองสิงที่นั่งหน้านิ้วคิ้วขมวด

อินหันไปมองหน้าน้อง ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วถามย้ำกับหลวงพ่อทศว่าคนที่มีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้วคนนั้นคือไอเด็กสัมผัสพิศวงของเขาเหรอ?

“สิง มึงรู้เหรอว่าคนที่ทำเรื่องพวกนี้เป็นใคร”

“ไม่รู้หรอกครับพี่อิน แต่ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดขึ้นที่บ้านเก่าของทวด”

“ที่มึงบอกกูอะนะ”

“ครับ”

“งั้นคงต้องลงใต้จริง ๆ ซินะ”

 

อินกับสิงตัดสินใจจะอยู่ปฏิบัติธรรมระยะสั้น ใช้เวลาสองสามวันตามที่หลวงพ่อแนะนำ ทั่งคู่ต้องนุ่งขาวห่มขาวและอาศัยกินนอนอยู่ในวัดเสื้อผ้าที่นำมาจึงเป็นหม้าย

ช่วงเช้าของวันช่วยกันกวาดลานวัด ช่วงเวลาอื่น ๆ ก็จะสวดมนต์ทำสมาธิตามที่หลวงพ่อทศสั่ง วันเวลาผ่านพ้นไปจนเข้าสู่วันสุดท้ายที่พวกเขาจะต้องกลับไปทำภารกิจที่ติดค้างเอาไว้

“โยมอิน โยมสิง ตามอาตมามา” หลวงพ่อทศเดินมาตามอินและสิงที่กำลังช่วยกันทำความสะอาดกุฏิของหลวงพ่อ

อินและสิงวางข้าวของที่อยู่ในมือแล้วเดินตามหลวงพ่อทศไปที่ท้ายวัดอย่างสำรวม เมื่อเดินตามมาเรื่อย ๆ ก็เห็นกุฏิไม้ยกพื้นสูงหลังนึงตั้งอยู่กลางป่าท้ายวัด

อินหันไปมองคนน้องอย่างงง ๆ อยากจะถามอะไรบางอย่างแต่ก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้เพราะคิดว่าเดี๋ยวตามไปก็รู้เอง

และก็เป็นไปตามที่คิด หลังจากเดินตามหลวงพ่อทศขึ้นมาบนกุฏิ ทั้งคู่เห็นพระสงฆ์องค์นึงที่ดูชราภาพมากแล้วนั่งสมาธิอยู่บนอาสนะหน้าแท่นพระประธานสีเขียวมรกตที่ดูมีมนต์ขลัง

หลวงพ่อทศก้มกราบพระประธานและพระสงฆ์เจ้าของกุฏิ อินและสิงจึงทำตาม

“มากันแล้วเหรอ” เสียงแหบแห้งถูกเปล่งออกมาจากพระสงฆ์วัยชรา

“นี้หลวงปู่ก้อน ส่วนนี้โยมอินกับโยมสิงครับหลวงปู่” หลวงพ่อทศแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายรู้จักกัน

“สวัสดีครับหลวงปู่”

สองพี่น้องยกมือไหว้พระอาวุโส ก่อนจะกลับไปนั่งพับเพียบ แล้วก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรักษามารยาทเมื่อต้องพูดคุยกับผู้ที่อายุมากกว่า

หลวงปู่ยกยิ้มบางส่งไปให้สองหนุ่มที่มาเยี่ยมเยียน ก่อนจะหันไปมองหน้าสิง “ในที่สุดก็ได้เจอกันหนา โยมสิงหร”

สิงเงยหน้าขึ้นทันควัน ดวงตาเบิกโตขึ้นด้วยความตกใจ กับเสียงเรียกขานชื่อของเขา เพราะมันเป็นเสียงเดียวกันกับเสียงที่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาช่วยอิน

“นั่นเสียงหลวงปู่เหรอครับ ผมนึกว่า…”

“นึกว่าเสียงพระทศเหรอ”

สิงพยักหน้าตอบ

“เป็นอย่างไรบ้างละ ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช้หรือไม่”

“ผมไม่เป็นไรครับ แต่พี่อิน…” เด็กหนุ่มพูดพลางหันไปมองหน้าคนพี่

“เคราะห์กรรมครั้งนี้ของพวกโยมหนักหนานัก ต้องตั้งสติให้มั่น ถึงจะผ่านมันไปได้ วิญญาณที่ตามคุ้มครองโยมเขาแข็งแกร่งก็จริง แต่ยังไงเขาก็ยังเป็นแค่วิญญาณ ไม่สามารถสร้างบุญกุศลด้วยตัวเองได้ ไม่เหมือนฝั่งนู้นที่สร้างเวรกรรมเผื่อแผ่ไปจนถึงวิญญาณอาฆาตตนนั่นได้”

“หลวงปู่หมายถึงผีตายายเหรอครับ”

“ใช้ ยังไงเขาก็เป็นผี บางที่มันมีเทวดาปกปักรักษา ไม่สามารถตามโยมไปทุกที่ได้ แล้วตอนนี้มันก็เริ่มอ่อนแรงแล้วด้วย”

“แต่ผมทำบุญให้ท่านตลอดนะครับ”

“แต่ตอนนี้เขาเป็นแค่กาฝาก โยมยังไม่ได้ยอมรับเขา”

“น้องต้องยอมเป็นร่างทรงเหรอครับหลวงปู่” อินถามแทรกด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาไม่บังคับให้สิงต้องปฏิเสธเหมือนเสือแน่นอน แต่เขาก็อยากมั่นใจเหมือนกันว่าหากสิงต้องรับแล้วมันจะเกิดผลร้ายอะไรกับตัวน้องบ้าง

“มันก็แล้วแต่เจ้าตัว ไม่มีใครไปบังคับใครได้หรอกโยม”

“ถ้าสิงรับ แล้วมันจะเป็นอะไรไหมครับหลวงปู่”

“อาตมาตอบไม่ได้หรอกโยมอิน แต่อาการที่โยมสิงเป็นอยู่ตอนนี้ก็เพราะไม่ยอมรับเขาไม่ใช่เหรอ”

“ถ้าสิงยอมรับ มันจะกลับมามองเห็นไหมครับหลวงปู่”

หลวงปู่ส่ายหน้าตอบ “อาตมาไม่รู้หรอก แต่เขาต้องการใช้ร่างโยมสิงเป็นที่อยู่อาศัย อาตมาคิดว่าคงไม่มีใครอยากทำลายบ้านของตัวเองหรอกหนา อีกอย่างเขาเป็นบรรพบุรุษของโยมไม่ใช่เหรอ” หลวงปู่พูดพลางชี้นิ้วตรงไปยังอกแกร่งของเด็กหนุ่ม

สิงยกมือขึ้นคลำหน้าอกตัวเอง ก่อนจะพบว่ามีกรอบทองที่บรรจุผงสีเทาบางอย่างห้อยอยู่ “นี้เป็นเถ้ากระดูกของผีตายายเหรอครับ”

“มันเป็นเถ้ากระดูกบรรพบุรุษหลายคนของโยม”

“ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับหลวงปู่”

“อาตมาคิดว่าโยมรู้ดีว่าวิญญาณพี่ชายโยมอยู่ที่ไหน” หลวงปู่ตอบโดยที่สิงไม่ต้องเอ่ยปากถาม ราวกับอ่านความคิดของเด็กหนุ่มได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

สิงหน้าถอดสีทันทีที่ได้คำตอบย้ำชัดจากปากของหลวงปู่ก้อน ‘สิงสัมผัสพิศวง’ คำนี้คงไม่เกินจริง แต่ตั้งแต่ที่เสือตายไป สิงไม่เคยสัมผัสถึงวิญญาณของพี่ชายตัวเองเลย ทั้ง ๆ ที่เขามักจะสัมผัสถึงวิญญาณผีเร่ร่อนตนอื่น ๆ อยู่ตลอด

“ตอนนี้พี่เสือเป็นยังไงบ้างครับ”

“คงไม่สบายนักหรอกโยม อยู่กับพวกคนทำกรรมชั่ว”

“ผมต้องทำยังไงพี่เสือถึงจะเป็นอิสระครับ”

“เรื่องนี้โยมรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องถามอาตมาหรอก”

อินที่นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ ยื่นมือไปวางบนไหล่กว้างของน้อง เพื่อปลอบโยน เขาเพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าวิญญาณของเสือไม่ได้ไปสู่สุคติเพราะตลอดเวลาสิงไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ และเขาก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้ด้วย คิดแค่ว่าเพื่อนรักไปสบายแล้วเท่านั้น

“พระทศ ช่วยหยิบกล่องไม้ให้อาตมาหน่อย” หลวงปู่หันไปพูดกับหลวงพ่อทศที่นั่งเยื้องอยู่ข้างอาสนะของท่าน

“ครับหลวงปู่” หลวงพ่อทศลุกขึ้นไหวพระพุทธรูปหยกสีเขียวมรกตก่อนจะยื่นมือไปยกพระประธานออก แล้วใช้มืออีกข้างหยิบกล่องไม้ที่เคยเป็นแท่นรองออกมาตามคำขอของหลวงปู่ก้อน

เมื่อวางพระประธานกลับลงไปที่เดิมแล้ว ก็หันกลับมานั่งลงข้าง ๆ หลวงปู่ก้อนตามเดิมแล้วยื่นกล่องไม้ไปให้ “นี้ครับหลวงปู่”

มือของพระสงฆ์วัยชรายื่นมาหยิบกล่องไม้ไปเปิดสลักออก เผยให้เห็นสร้อยพระสองเส้นอยู่ในกล่อง ท่านยกกล่องไม้ขึ้นประนมมือบริกรรมคาถาบางอย่างแล้วจึงค่อยยื่นไปให้อิน

“สวมไว้”

อินยกมือไหว้ขอบคุณแล้วยื่นมือมารับกล่องไม้ไป “ครับหลวงปู่” อินตอบพลางหยิบสร้อยเส้นนึงออกมาจากกล่องแล้วสวมสร้อยอีกเส้นให้น้อง

“ขอบคุณครับหลวงปู่” สิงยกมือไหว้ขอบคุณบ้าง

อินกับสิงกล่าวลาหลวงปู่ก้อนเสร็จก็กลับไปเก็บข้าวเก็บของเตรียมตัวกลับกรุงเทพ เพราะพวกเขาต้องเดินทางต่อไปใต้ จากคำแนะนำของหลวงปู่ก้อนที่ว่า หากอยากทำพิธีครูหมอโนรา สิงจะต้องทำภายในเดือนนี้ไม่อย่างนั้นก็จะต้องรอไปจนถึงเดือนเก้า ซึ่งหากต้องทิ้งระยะห่างไปนานขนาดนั้น กลัวว่าคนร้ายจะหนีหายเข้ากลีบเมฆไปซะก่อน

“ผมลาแล้วนะครับหลวงพ่อ” อินก้มลงกราบลาหลวงพ่อที่หน้าลานวัดพร้อมกับสิง

“เดินทางปลอดภัย ขอให้ผ่านพ้นเรื่องร้ายไปได้”

 

เมื่อกล่าวลากันเสร็จ อินก็ขับรถยิงยาวกลับกรุงเทพโดยไม่ได้แวะพักที่ไหนอีกเลย การเดินทางขากลับมักสั้นกว่าขามาเสมอ ดังนั้นรถสปอร์ตคันงานจึงโลดแล่นอยู่บนถนนยางมะตอยเพียงไม่นานก็มาจอดสนิทลงที่หน้าบ้าน

“สิง มึงจะไปเอาอะไรที่บ้านมึงก่อนลงใต้ไหม” อินถามน้องในขณะที่เดินเข้าบ้านพร้อมกัน

“ผมอยากกลับไปเอาสมุดของทวดแล้วก็อัฐิพ่อกับแม่ครับ”

“โอเค งั้นเข้าไปเก็บของก่อน เดี๋ยวกูพาไป ขากลับจะได้กินข้าวข้างนอกเลย ไม่ต้องให้มึงเหนื่อยทำอีก”

“พี่อินไม่กลัวแล้วเหรอครับ”

“ผีที่บ้านมึงอะนะ เคยไปแล้วนิถ้ามันจะหลอกซ้ำก็ช่างมันเหอะ”

ไม่ว่าจะเจอเรื่องหนักแค่ไหน อินก็ยังคงเป็นอิน เขามักจะทำให้เรื่องเครียดกลายเป็นเรื่องตลกได้เสมอ สิงเดินตามคนพี่ไปยิ้มไปราวกับหมาน้อยเดินตามเจ้านาย

งานบ้านยังคงเป็นงานที่สิงอาสาที่จะทำ เด็กหนุ่มลากให้อินไปนอนพักสายตาจากการขับรถมาอย่างยาวนาน ก่อนเขาจะเดินไปซักผ้า และปัดกวาดเช็ดถูอีกนิดหน่อยตามประสาคนที่อยู่นิ่งไม่ค่อยได้

 

อินที่นอนกลางวันไปชั่วโมงกว่าลืมตาตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นคนน้องอยู่ข้าง ๆ ทั้ง ๆ ที่มันสัญญาไว้แล้วว่าถ้าทำงานบ้านเสร็จจะมานอนเอาแรงเหมือนกัน

อินเดินลงมาชั้นล่างเห็นสิงกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ที่สวนหน้าบ้าน จึงแอบย่องเบา ๆ ไปด้านหลัง ก่อนจะง้างมือตบหัวทุยดังป้าบ!

“โอ๊ย! พี่อิน” สิงยกมือกุมหัวแล้วหันมาหาคนที่ทำร้ายร่างกาย

“ไหนมึงบอกจะไปนอนไง ทำไมกูตื่นมาไม่เจอมึง อย่าบอกว่ามึงนอนแล้ว กูไม่เชื่อ”

“ก็ผมไม่ง่วงนิครับ”

“ดื้อนะมึง!”

“ขอโทษครับ” สิงแกล้งทำหน้างอปากจู๋ให้ดูน่าสงสาร

“แล้วจะไปรึยัง”

“ไปเลยก็ดีครับ ถึงช่วงโพล้เพล้แล้วไม่ดีเท่าไหร่”

“ช่วงผีบุกซินะ งั้นเลิกรดน้ำต้นไม้แล้วไปรดน้ำตัวเองซะ จะได้รีบไป”

“ครับ” สิงพูดจบก็เดินไปปิดก๊อกน้ำ พันสายยางกลับเข้าที่เดิมแล้ววิ่งตรงดิ่งหายเข้าบ้านไป อินเลยใช้ช่วงเวลาที่คนน้องไปอาบน้ำมานั่งซื้อตั๋วเครื่องบินไปสงขลา พอได้เที่ยวบินที่ต้องการแล้วก็ทำการเช่ารถต่อเลย

“เสร็จแล้วครับพี่อิน”

“โอเค กูจองรถเช่าเพิ่งเสร็จพอดี”

อินขับรถเป็นรอบที่สองของวัน จุดหมายปลายทางคือบ้านของเสือ แต่สิ่งที่แปลกไปคือวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แถมยังมีลมเบา ๆ โชยมาให้คลายร้อน ถึงแม้จะมีช่วงคอขวดที่รถชะลอตัวบ้าง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อระยะเวลาการเดินทางเท่าไหร่

อินจอดรถหน้ารั้วบ้านโดยที่ยังไม่ดับเครื่องยนต์ ก่อนจะชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้าน “ได้ยินเสียงผีบ้างไหมวะ” อินถามโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากตัวบ้าน

“ไม่เลยครับ”

“ฟังดียัง” อินหันมาถามย้ำ

“ถ้ามีแล้วพี่อินจะไม่ลงเหรอครับ”

“ลง” อินตอบหน้าตาย

สิงยกยิ้ม “ไม่มีหรอกครับ สิงไม่ได้ยินไม่ได้กลิ่นอะไรเลยครับ”

“แปลก ผีพวกนั้นมันไปไหนแล้ววะ”

“มันถูกใช้เพื่อปลุกเสกของไสยดำ ถ้าของไม่อยู่วิญญาณพวกนั้นก็คงไม่อยู่แล้วละครับ”

“อาว งี้ผีพวกนั้นไม่หลอกหมอรามจนหัวโกร๋นไปแล้วเหรอวะ” อินพูดติดตลก

“ไม่รู้ซิครับ” สิงตอบพลางยกยิ้มกรุ้มกริ่ม

“ช่างแม่ง! ไม่มาหลอกกูก็พอละ ช่วยตัวเองไปก่อนแล้วกันนะหมอราม”

 

ฮัดเช้ย!

หมอหนุ่มจามเสียงดังลั่นห้องแล็บ ราวกับว่าการนินทาจากที่ไกลสามารถส่งผ่านทางสายลมมาได้ “ไอเหี้ยปราปด่าอะไรลับหลังกูอีกวะ แม่ง!” ชายผิวเข้มในเสื้อกาวน์ยกหลังมือขึ้นมาเช็ดจมูกเบา ๆ สายตายังคงจดจ่ออยู่กับรายงานการชันสูตรบนหน้าจอ โดยไม่ได้สังเกตว่ามีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องอยู่เบื้องหลัง

 

“ไม่มีจริงนะไอสิง” อินพูดขัดคนน้องที่กำลังยื่นมือไปกดรหัสประตูเข้าบ้านของตัวเอง

“ไม่มีจริง ๆ ครับพี่อิน ถ้าพี่อินกลัว จับมือสิงไว้ไหมครับ” เด็กหนุ่มยื่นมือไปหาคนตรงหน้า

อินไม่รอช้า รีบคว้ามือน้องมากุมเอาไว้แน่น “เปิดดิ”

สิงเปิดประตูเข้าไปในบ้าน มีเพียงกลิ่นอับชื้นจากบ้านที่ขาดการดูแลเท่านั้น กลิ่นเหม็นเน่าที่เขาเคยได้กลิ่นกลับเลือนหายไปหมดแล้ว หลอดไฟในบ้านก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีอาการติด ๆ ดับ ๆ เหมือนวันก่อน

การหยิบของสองอย่างที่เด็กหนุ่มต้องการจึงใช้เวลาไม่นาน อินเห็นว่าเหลือเวลาอีกเยอะและบรรยากาศก็ไม่น่าอึดอัดเหมือนครั้งก่อนที่มา จึงลากคนน้องไปเอาเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวเพิ่ม

ทุกอย่างเสร็จภายในเวลาครึ่งชั่วโมง เพลนที่จะกินข้าวเย็นนอกบ้านจึงต้องถูกยกเลิกไป ครั้นจะให้กินข้าวเย็นตอนบ่ายสองก็เร็วเกินไปหน่อย

“อยากไปไหนไหม” อินหันมาถามคนน้องในขณะที่ขับรถไปตามทางอย่างไร้จุดหมาย

“พี่อินขับรถมาทั้งวันแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะครับ”

“กูนอนไปแล้วไง”

“สิงยังไงก็ได้ครับ แล้วแต่พี่อิน”

“งั้นไปซื้อของใช้กัน กูจองตั๋วไว้วันมะรืนนี้ตอนเก้าโมง”

“ครับ”

“แถวบ้านมึงมีญาติกี่คนวะ กูจะได้ซื้อของไปฝากถูก”

“สิงเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับพี่อิน ไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่ออกมา”

“ซื้อเยอะ ๆ ไปก่อนแล้วกัน เหลือดีกว่าขาด”

 

กว่าจะขับรถไปถึงห้าง กว่าจะเลือกซื้อของเสร็จก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี สองคนพี่น้องหอบถุงช้อปปิ้งกันคนละไม้คนละมือเดินเข้าไปในร้านหมาล่าชื่อดัง ด้วยความหิวร่างโปร่งจึงสั่งมาจนเต็มโต๊ะ แต่สิ่งที่คนน้องคาดไม่ถึงคือคนพี่กินเรียบแทบไม่เหลือแม้แต่ผักตกแต่งจาน

“พี่อินหิวมากเลยเหรอครับ”

“หิวด้วยอยากด้วย ปกติกูต้องรักษาหุ่น แดกติดมันแบบนี้ไม่ได้หรอก ได้แดกทั้งทีเอาให้คุ้ม”

“งั้นสั่งเพิ่มอีกไหมครับ”

“ซิกแพคกูหายหมดละไอสิง พอก่อน”

“งั้นเรากลับบ้านกันเลยไหมครับ”

“โอเค”

มื้อนี้เด็กหนุ่มขอเป็นเจ้ามือ เพราะเห็นอีกฝ่ายกินมันอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งคู่เดินตรงดิ่งไปยังลานจอดรถโดยไม่แวะดูอะไรอีกเพราะทั้งอิ่มและเหนื่อยจนอยากจะทิ้งตัวลงบนฟูกนิ่ม ๆ

เมื่อถึงบ้าน สิงใช้ให้อินไปอาบน้ำนอน ข้าวของที่ซื้อมาเขาจะเป็นคนจัดการเอง คนพี่ก็ไม่อิดออดรีบทำตามอย่างว่าง่ายเพราะอยากขึ้นไปนอนเล่นเกมเต็มที

“อย่าเล่นจนดึกอีกนะครับพี่อิน”

สิงที่เพิ่งเดินขึ้นมาบนห้องเห็นคนพี่กำลังเมามันอยู่กับเกมในมือถือจึงเอ่ยปากเตือน เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากร่างโปร่งสิงเลยเดินตรงเข้าไปอาบน้ำอาบท่า พอเดินออกมาก็ยังเห็นคนพี่เล่นอยู่โดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้กระทั่งตัวเขาเอง (อีกแล้ว?!)

“พี่อินเล่นเกมอะไรเหรอครับ”

“ฟีฟาย”

“สนุกมากเลยเหรอครับ”

คำถามแปลก ๆ ของสิง ทำเอาอินหยุดชะงัก ก่อนจะหันมามองคนน้องโดยไม่สนใจว่าเกมที่ตัวเองเล่นจะยังอยู่ดีรึเปล่า “เป็นไร เหงาเหรอ”

“เปล่าซะหน่อยครับ”

อินยกยิ้มมุมปาก มันเขี้ยวไอเด็กหมาน้อยตรงหน้าเกินจะทน รีบกดปิดเกม โยนโทรศัพท์ไปให้พ้นตัว ก่อนจะพลิกตัวกลับไปหาคนน้อง แล้วยื่นมือไปหยิกแก้มขาวเนียนจนขึ้นสี “ทำไมมึงน่ารักจังวะสิง ห๊ะ!”

“อื้อ! พี่อิน”

“มึงรู้ตัวไหมว่ามึงน่ารักอะ อยากได้แฟนน่ารัก ๆ แบบมึงโว้ย!”

“ทำไมไม่เป็นผมละครับ” สิงเผลอพูดสิ่งที่ใจคิดออกมาอย่างไม่รู้ตัว

อินเหมือนจะได้ยินคำพูดของคนน้อง แต่ไม่อยากเชื่อหูตัวเองจึงถามย้ำอีกครั้ง “ห๊ะ! มึงว่าไรนะ”

“เอ่อ…ไม่มีอะไรครับ” เด็กหนุ่มพูดเสียงตะกุกตะกัก

“แต่เมื่อกี้มึงพูด กูได้ยิน”

“ช่างมันเถอะครับ พี่อินเมื่อยไหมเดี๋ยวสิงนวดให้”

อินหรี่ตามองคนน้องอย่างคาดโทษ แต่ก็ยอมเปลี่ยนเรื่องคุยตามที่มันต้องการ “เมื่อย! นวดให้กูเลย”

“ครับ!” สิงตอบรับเสียงดังฟังชัด

อินล้มตัวลงนอนเพื่อให้สิงนวดได้สะดวก แต่ก็ยังไม่วายจ้องหน้าน้องไปด้วย เด็กหนุ่มที่แปลงร่างเป็นหมอนวดลงมือนวดไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างโปร่ง พยายามไม่หันไปทางคนพี่เพราะรู้สึกได้ว่าโดยอีกฝ่ายจ้องมองอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขานวดไปนานแค่ไหนแล้วเพราะรู้ตัวอีกทีก็ได้เสียงกรนเบา ๆ ทำให้เขารู้ว่าถึงเวลาพักผ่อนของเขาบ้างแล้ว

“ฝันดีนะครับพี่อิน”

วันถัดไปเป็นวันว่าง ๆ ของสองหนุ่ม การที่เห็นสิงเดินลงมาก่อน ดูเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับบ้านหลังนี้ คนน้องตื่นมาทำอาหารเช้าง่าย ๆ พร้อมกับอเมริกาโน่ร้อน ๆ ให้คนพี่เป็นกิจวัตรประจำวัน เมื่อทำงานบ้านเสร็จก็เดินขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า รอกินข้าวเช้า (หรือสาย) พร้อมกับคนที่ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่

“ทำไมตื่นเช้าจังครับ” เดินออกมาจากห้องแต่งตัวก็เห็นคนนอนกินบ้านกินเมืองนั่งพิงหัวเตียงด้วยอาการงัวเงีย

“ได้ยินเสียงมึงอาบน้ำ”

“ขอโทษครับ”

“กูล้อเล่น! เมื่อคืนกูนอนเร็วไง มึงเล่นนวดดีซะกูใหลตายไปเลย”

“งั้นลงไปกินข้าวไหมครับ”

“กูอาบน้ำก่อน เดี๋ยวตามไป”

“พี่อินครับ”

“ว่า” อินหันมาตอบเด็กหนุ่มในขณะที่เดินสวนคนน้องเข้าไปในห้องแต่งตัว

“ผมขอนำอัฐิพ่อกับแม่ไปไว้ในห้องพระได้ไหมครับ”

“มึงจะขอเพื่อ?!นี้ก็บ้านมึงไอสิง!”

“ขอบคุณครับ”

อินแยกไปอาบน้ำ ส่วนคนน้องก็เดินตรงไปที่ห้องพระ ก้มกราบพระประธานสีเหลืองอร่ามกลางห้อง ก่อนจะนำอัฐิของพ่อกับแม่ที่นำมาจากบ้านไปวางรวมกับอัฐิของเสือและแม่อิน

“พ่อกับแม่มาโหย่กับน้องเท่นี่นะ” [พ่อกับแม่มาอยู่กับสิงที่นี่นะ] สิงพูดกับอัฐิพ่อกับแม่เป็นภาษาบ้านเกิด

“เท่นี่บ้านพี่อินเพื่อนพี่เสือ พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะ น้องอีไปช่วยพี่เสือให้ได้ ฝากพ่อกับแม่คุมครองพี่อินให้น้องกัน” [ที่นี่เป็นบ้านของพี่อินเพื่อนของพี่เสือ พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วง สิงจะไปช่วยพี่เสือออกมาให้ได้ ฝากพ่อกับแม่คุ้มครองพี่อินด้วย]

สิงก้มกราบพ่อกับแม่ ก่อนจะเดินออกจากห้องพระไปเตรียมอาหารเช้าให้กับอิน กาแฟกลิ่นหอมโชยไปไกล ดึงให้อินรีบวิ่งลงมาจากชั้นสอง

“หิวเหรอครับพี่อิน”

“กลิ่นกาแฟหอม เลยรีบวิ่งมา”

“นั่งก่อนครับ”

สิงบอกให้คนพี่นั่งตรงที่ประจำ แล้วหันไปหยิบอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้ตรงหน้าเหมือนเคย สองพี่น้องคุยเล่นกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งคนพี่กินอาหารเช้าเสร็จ ก็ลากกันไปเก็บข้าวของลงกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าจะไปกันนานแค่ไหน กว่าจะเก็บของเสร็จก็ใช้เวลาจนเกือบเย็น เพราะคนพี่เอาแต่เล่นส่วนคนน้องก็ไม่คิดจะห้ามปราม ก้มหน้าก้มตาพับเสื้อตัวเดิมสองสามครั้งก็ไม่ปริปากบ่น

 

“พี่อินได้โทรบอกพี่เจตรึยังครับ”

“บอก แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปบ้านมึง”

“อ่าว ทำไมละครับ”

“มึงจำไม่ได้เหรอ วันก่อนที่สารวัตรมากินข้าวที่บ้าน พี่เจตพูดว่าอะไร”

“พี่เจตคงเป็นห่วงพวกเรามั้งครับ”

“เพราะงั้นไงกูเลยไม่ได้บอก กูบอกแค่ว่าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกับมึง”

“แล้วพี่เจตจะไม่โกรธเหรอครับ”

“เอาไว้รอดชีวิตกลับมาค่อยง้อ”

“อย่าพูดแบบนั้นซิครับพี่อิน”

“เออ ๆ กูขอโทษ ก็ปากกูหมาอะ”

“ผมไม่ยอมให้พี่อินเป็นอะไรหรอกครับ” ...ต่อให้ผมต้องตายก็ตาม… ประโยคหลังเป็นประโยคที่สิงไม่ได้พูดออกไป แต่เขาหมายความตามที่คิดจริง ๆ อินเป็นคนสำคัญเพียงคนเดียวในชีวิตของสิงตอนนี้ คนที่เขาไม่สามารถปล่อยให้อะไรก็ตามมาทำร้ายได้

“เออ ปกป้องกูให้ดีละ” อินหันไปยกยิ้มให้น้องที่นอนอยู่ข้าง ๆ

“ครับ” สิงตอบเสียงดังราวกับทหารรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา

“เออ นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้า”

“ฝันดีครับพี่อิน”

“ฝันดีไอหมาสิง”

 

“พี่อินเร็วครับ เค้าประกาศเรียกขึ้นเครื่องแล้ว” สิงเร่งให้คนพี่รีบเดินตรงไปยังประตูขึ้นเครื่องหลังจากที่เพิ่งผ่านด่านตรวจสัมภาระในสนามบิน เหตุการณ์พวกนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากร่างโปร่งยอมตื่นตามที่ได้สัญญากับคนน้องไว้ว่า ‘เออ กูขอห้านาที’

“กูรีบอยู่นี้ไง”

เสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องดังขึ้นอีกครั้ง เร่งเร้าให้พวกเขาทั้งสองคนต้องวิ่งแทนที่จะเดินเร็วอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้

“ไม่ทันแล้วครับพี่อิน มาครับสิงช่วย” สิงก้าวเข้าไปหยิบสัมภาระในมือคนพี่มาช่วยถือ

ภาพตรงหน้าอาจทำให้ผู้คนที่อยู่ในสนามบินตกตะลึงได้ มันจะมีที่ไหนคนตาบอดจูงมือคนตาดีวิ่ง แต่ดีที่อินให้สิงสวมแว่นกันแดดเอาไว้ คนอื่น ๆ จึงไม่รู้ว่าไอเด็กนี้ตาบอด แต่ก็ไม่รู้ว่ามันตาบอดยังไงวิ่งมาถูกประตูขึ้นเครื่องซะด้วย

ทั้งคนพี่และคนน้องยืนหอบหายใจอยู่หน้าประตูขึ้นเครื่องที่มีเพียงพนักงานต้องรับภาคพื้นรออยู่สองสามคน พวกเธอมองมาที่พวกเขาอย่างกดดัน อินจึงต้องเลิกหอบไปก่อนชั่วคราว แล้วเดินไปขึ้นเครื่องพร้อมกัน

“สิง!” เสียงแหบ ๆ ของหญิงชราคนนึงดังขึ้นในระหว่างที่อินและสิงกำลังเดินตรงไปยังที่นั่งตามหมายเลขบนตั๋วเครื่องบิน

“ยายน้อย” สิงและอินยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าตามมารยาท

“ไปไหนอะลูก”

“หลบบ้านครับ”