"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
โกลาหลกลสั่งตาย"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"
'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด
กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป
การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ
ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี
#โกลาหลกลสั่งตาย
WARNING
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม
นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น
อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ
ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย
นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)
TRIGGER WARNING
Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย
Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย
Blood มีเลือด
Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ
Cutting ใช้ของมีคม
Corpse ศพ
Dead การตาย
Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย
Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน
Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี
Ghost ภูตผี
Gore เนื้อหามีความโหดร้าย
Hallucinations มีอาการประสาทหลอน
Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ
Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต
Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย
Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ
Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ
Violence มีการใช้ความรุนแรง
Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&%3Bref=embed_page
X : https://x.com/Writer_RTKDN
TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn
เงื่อนไขในการติดเหรียญ
ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน
ตอนที่ 0-6 ฟรี!!!
อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)
ตอนพิเศษติดถาวร
(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)
Publish Date
ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024
ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์
เปิดเรื่อง : 11/10/2024
ปิดเรื่อง : 0/0/2024
การเดินทางบนฟ้ากินเวลาชั่วโมงครึ่งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อินงีบหลับมาตลอดทาง พอใกล้เวลาลงจอดเด็กหนุ่มก็ปลุกคนขี้เซาให้ตื่นขึ้นมาเตรียมตัว ดาราหน้าหล่อบิดขี้เกียจปลดปล่อยข้อต่อและกล้ามเนื้อจากความเมื่อยล้าที่มาตามวัย
“กลับไปกูต้องซื้อแคลเซียมมาแดกละ” คนที่กำลังจะอายุสามสิบสี่ในไม่ช้าบ่นปอดแปดราวกับคนแก่ใกล้เกษียณ
ในขณะที่คนน้องเอื้อมไปหยิบสัมภาระที่คนพี่แบกมาบนช่องเก็บสัมภาระเหนือที่นั่ง “ทำไมละครับ”
อินยื่นมือไปช่วยคนน้องถือของ “กระดูกกระเดี้ยวมันไม่ค่อยดี กูเริ่มแก่ละ”
สิงหยิบถุงของฝากถุงสุดท้ายลงมา ก่อนจะหันมาแกล้งแซวคนพี่เล่นขำ ๆ “เพิ่งเริ่มเองเหรอครับ”
“อาวไอสิง เล่นกูแล้วไงมึง จ้าา ไอละอ่อน” อินเดินออกจากเครื่องพลางเอี้ยวหน้าหันไปมองค่อนแขวะคนน้องที่เดินอยู่ข้างหลัง
“ฮ่า ๆ ผมล้อเล่นครับ พี่อินไม่แก่หรอก ออกกำลังหนักขนาดนั้น”
“พูดดีเอาไปยี่สิบ”
สองคนพี่น้องพูดหยอกเย้ากันไปเรื่อย ๆ จนเห็นยายน้อยยืนรออยู่ที่ปลายงวงช้าง อินจึงรีบจูงมือสิงให้เดินตามเขาเข้าไปหาหญิงชรา
“สวัสดีครับยาย” อินยกมือไหว้พลางยื่นมือไปรับกระเป๋าเดินทางในมือยายน้อยมาถือเอาไว้เอง
สิงยกมือที่หิ้วของพะรุงพะรังขึ้นมายกมือไหว้ญาติสนิท “ยายน้อยหลบบ้านพันพรือครับ” [ยายน้อยกลับบ้านยังไงครับ]
“ยายถ้าคนเท่บ้านมารับ สิงหลบกับยายม้าย” [ยายรอคนที่บ้านมารับ สิงกลับบ้านกับยายไหม?]
“พี่อินเช่ารถไว้แล้วคับ ยายน้อยหลบกับสิงม้าย ม้ายต้องลำบากคนที่บ้านยุหลาว” [พี่อินเช่ารถเอาไว้แล้วครับ ยายน้อยกลับกับสิงไหม จะได้ไม่ต้องลำบากคนที่บ้าน]
“ม้ายพรือ ยายเกรงใจ” [ไม่เป็นไร ยายเกรงใจ]
“ไม่ต้องเกรจใจครับคุณยาย ยังไงก็ไปทางเดียวกัน” อินพูดแทรกอย่างนอบน้อม เพราะเห็นอีกฝ่ายเป็นญาติสนิทของน้อง
“ขอบใจนะจ๊ะ งั้นยายโทรบอกคนที่บ้านก่อน ว่าไม่ต้องออกมาแล้ว” ยายน้อยพูดภาษากลางกับอิน กลัวหนุ่มกรุงเทพฯ จะไม่เข้าใจภาษาท้องถิ่น ก่อนจะปลีกตัวไปโทรหาคนที่บ้าน “ยายโทรบอกคนที่บ้านแล้ว ยังไงยายขอรบกวนหน่อยนะ”
“ไม่รบกวนเลยครับคุณยาย ไปกันดีกว่าครับ” อินเดินนำทุกคนไปยังเคาน์เตอร์รถเช่า พูดคุยกับพนักงานอยู่ครู่นึง ก่อนจะได้กุญแจรถมา แต่ยังไม่ได้ไปไหนเพราะพนักงานเคาน์เตอร์ขอถ่ายรูปด้วย
“เห็นไหมครับ พี่อินไม่แก่สักหน่อย มีคนขอถ่ายรูปเต็มเลย” เด็กหนุ่มแซวในขณะที่เดินไปที่รถเช่า
“ต้องขอบคุณหมอ ดึงหน้ากูซะตึงเลย”
“ฮ่า ๆ พี่อิน”
“ยายก็ว่าหล่อ เสียดายวันงานไม่ได้เจอ เลยไม่ได้ถ่ายรูปกับหนูอินเลย” ยายน้อยผสมโรง เอ่ยปากชมดาราดาวรุ่งที่กำลังเป็นข่าวดังอยู่ในช่วงนี้
“งั้นเตรียมกล้องไว้ได้เลยครับ คุณยายอยากถ่ายมุมไหน จัดไปเลย”
“ขอบใจนะจ๊ะหนูอิน”
“ด้วยความยินดีครับ”
อินเดินไปเปิดประตูรถให้หญิงชรา ก่อนจะเดินไปนั่งประจำที่คนขับ รอจนสิงเก็บของใส่หลังรถเสร็จรถเก๋งญี่ปุ่นสีขาวถึงเคลื่อนตัวออกจากสนามบิน เข้าสู่ถนนเส้นหลังที่ตรงไปยังบ้านเก่าสิง
อินขับรถไปด้วยคุยกับยายน้อยที่อยู่เบาะหลังไปด้วยอย่าสนุกปาก เพราะคนที่เป็นหัวข้อในการสนทนาคงไม่พ้นนายสิงหรในวัยเด็ก คนที่ถูกพูดถึงได้แต่นั่งฟังไปเงียบ ๆ อย่างขัดเขินจากคำชมของยายน้อย และการล้อเลียนจากคนพี่
หมับ!
มือเย็นของสิงคว้าหมับเข้ากับหลังมือของอินอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คนที่ถูกกุมมือตั้งใจว่าจะหันไปถามสักหน่อยว่าเป็นอะไรแต่ใบหน้าไร้เลือดฝาดนัยน์ตาเบิกโพลงราวกับคนตื่นกลัว บวกกับเหงื่อกาฬที่ผุดซึมอยู่ตรงขมับ ทำให้อินรู้ว่าสิงกำลังเผชิญหน้ากับอะไร
เดี๋ยวนี้ผีไม่ต้องมาตอนค่ำแล้วเหรอ แอดวานซ์ไปป่ะ?!
“เอ่อ…พี่อินครับ” สิงพูดเสียงตะกุกตะกัก
“มีอะไรมึง” อินถามกลับเสียงเรียบ
“เอ่อ…ขับเร็วกว่านี้อีกหน่อยได้ไหมครับ”
สิงเลี่ยงที่จะพูดในสิ่งที่สัมผัสได้มาตลอดทาง แต่ดูเหมือนว่าหากเขาไม่พูดอะไรตอนนี้ คาดว่าสัมภเวสีผีตายโหงฝูงนึงที่วิ่งตามมาด้านหลังอาจจะก่อให้เกิดปัญหาบางอย่างที่สิงเองก็รับมือไม่ไหว
“อะ…เออได้ ๆ เดี๋ยวกูเร่งให้”
ว่าแล้วอินก็เหยียบคันเร่งจนตัวเลขบนหน้าปัดวิ่งไปเกือบถึงร้อยยี่สิบ ถึงแม้จะมองไม่เห็นหรือสัมผัสไม่ได้เหมือนกับไอเด็กที่นั่งอยู่ด้านข้าง แต่เขาเคยผ่านประสบการณ์ระทึกขวัญมาแล้วและยังจำความรู้สึกพวกนั้นได้ดี จนถึงตอนนี้ยังขนลุกไม่หาย
ตามมาทำเหี้ยไรนักหนาวะ?!
เสียงฝีเท้าเป็นสิบ ๆ คู่กำลังวิ่งเข้าใส่รถเช่าที่กำแล่นไปอย่างรวดเร็วบนถนนทางหลวง พวกที่ยังมีขาครบทั้งสองข้างพยายามไล่ตามให้ทัน ใช้มือที่มีผิวหนังขาดวิ่น บ้างก็ขาดจนกระดูกโผล่ไขว่คว้างกระโปรรถด้านหลัง พวกที่ขาขาดก็ใช้มือคลานตามมา แต่บางส่วนที่ไม่สมประกอบทั้งขาและแขน กลับใช้คางในการดันร่างของมันแทน เสียงเนื้อเละ ๆ และกระดูกที่โผล่พ้นออกมาจากเนื้อหนังของพวกมันครูดไปกับพื้นถนนฟังดูแล้วน่าขยะแขยง
“ตาย”
“ตาย”
“ตาย”
สิงพนมมือขึ้นแนบอก ตั้งสมาธิให้มั่นก่อนจะลงมือสวดบทแผ่เมตตาไปให้กับพวกสัมภเวสีที่ตามมา และดูเหมือนบทสวดจะได้ผลเพราะพวกมันเริ่มล่าถอยกันไปหมดแล้ว
ฟูว ~
หนุ่มน้อยสัมผัสพิเศษถอนหายใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้คนพี่รับรู้ อินพ่นลมออกทางปากเพื่อคลายความตึงเครียด ฝ่าเท้าที่กำลังเหยียบแป้นคันเร่งค่อย ๆ ผ่อนแรงลง
ริมฝีปากสีม่วงก่ำจนเกือบดำกำลังแสยะยิ้มอย่างพอใจ ที่ได้เห็นเหยื่อของมันอีกครั้ง นัยน์ตาขาวโพลนมองจ้องรถญี่ปุ่นสีขาวที่กำลังแล่นตรงไปตามทางข้างหน้าอย่างไม่วางตา ก่อนร่างของมันจะเลือนหายไปในอากาศภายในเสี้ยววินาที
‘ยินดีต้องรับกลับบ้าน’
รถแล่นไปบนถนนหลวงขนาดสองเลนส์ สองข้างทางเต็มไปด้วยพืชสวนไร่นาของคนในพื้นที่ ทั้งต้นปาล์มและต้นยางพาราที่เป็นต้นไม้เศรษฐกิจของทางภาคใต้ ตรงหน้ามีภูเขาสูงใหญ่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีดูแล้วให้ความรู้สึกผ่อนคลาย อินขับรถชมวิวข้างทางไปด้วยจนใกล้จะถึงที่อยู่ที่สิงให้ไว้ อินจึงหันไปพูดกับยายน้อยผ่านกระจกมองหลัง “คุณยายครับ ให้ผมไปส่งที่ไหนดีครับ”
“ไปที่บ้านสิงเลยก็ได้หนูอิน บ้านยายอยู่ถัดจากบ้านสิงไปสองหลังเองจ้ะ”
“ได้เลยครับ”
อินขับรถเข้ามาในซอยแคบ พื้นถนนที่เคยเป็นดินลูกรังได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นพื้นคอนกรีตไปแล้ว รถญี่ปุ่นคนเล็กเลี้ยวเข้าไปในรั้วบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน ที่ดูจากสภาพแล้วน่าจะสร้างมาไม่ต่ำกว่าสามสี่สิบปี และยิ่งทรุดโทรมเข้าไปอีกเมื่อไม่มีคนอยู่อาศัยมาเกือบสิบปี
รถค่อย ๆ จอดสนิทอยู่ตรงลานหน้าบ้านด้วยฝีมือของสารถีหน้าตาดี สิงเดินลงไปหยิบกระเป๋าสัมภาระที่หลังรถ อินที่เพิ่งเดินตามออกมาอาสาเดินไปส่งยายน้อยที่บ้านพร้อมกัน
เดินผ่านบ้านหลังเล็ก ๆ ที่สร้างด้วยปูนสองหลัง ก็เจอเข้ากับบ้านไม้ยกพื้นสูงที่ก็ดูเก่าไม่แพ้กัน เพียงแต่พงหญ้ารอบ ๆ บ้านไม่ขึ้นสูงเหมือนกับบ้านของสิงเพราะมีคนอยู่อาศัยคอยตัดแต่ง
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้านยกยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาทักทาย “สิงม้ายนิ๊” [ใช่สิงรึเปล่า] เธอถามด้วยสีหน้าตกอกตกใจที่ได้เห็นหน้าคนคุ้นเคยที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี
“ครับ” สิงยกมือไหว้หญิงสาววัยกลางคนตรงหน้าโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือใคร
“พี่นิต ลูกสาวยาย พี่แต่ไอนัทแลลูก” [พี่นิต ลูกสาวยาย เป็นพี่สาวของพี่นัท] ยายน้อยหันมาแนะนำลูกสาวอีกคนของแกให้สิงรู้จัก เพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มจำเธอไม่ได้แน่นอน
“มันไปเสียตั้งแต่ห้าปีได้ม้ายแม่” [สิงไปจากที่นี่ตั้งแต่น้องอายุห้าปีใช่ไหมแม่] นิตหันไปถามคนเป็นแม่
“หมันแล ตัวเท่าลูกหมาตอนฮั้น” [ใช่ ตอนนั้นสิงตัวเล็กเท่าลูกหมา]
“แหลงไปต๊ะแม่ ตอนนี่มันตัวสูงคาด หล่อหนัด” [อย่าพูดไป ตอนนี้น้องตัวสูงแถมยังหล่ออีกต่างหาก] นิตยกมือขึ้นบีบไหล่สิงเบา ๆ พลางมองอย่างภาคภูมิใจกับเด็กน้อยที่เห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก แต่ตอนนี้กลับตัวสูงใหญ่แถมหล่อจนจำแทบไม่ได้
สิงยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร แค่ยืนฟังสองแม่ลูกชื่นชมตัวเองไปเงียบ ๆ อย่างขัดเขิน
“ถึงนี้ใครนิ๊ หล่อหวาไอสิงหล่าว” [แล้วนี่ใคร หล่อกว่าสิงอีก] นิตเปลี่ยนความสนใจจากคนน้องไปหาคนที่ยืนออร่าพุ่งอยู่ด้านข้างแทน ก่อนที่เจ้าหล่อนจะก้าวเข้าไปพินิจพิเคราะห์ดวงหน้าคมของอินใกล้ ๆ “หน้าคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน”
“โททัศน์” [โทรทัศน์] ยายน้อยตอบแทน
“โททัศน์ไหนเอาะแม่” [โทรทัศน์ที่ไหนเหรอแม่] เหมือนลูกสาวจะยังไม่เข้าใจคำใบ้ของแม่ หัวคิ้วสวยยังคงขมวดกันเป็นปมใหญ่อยู่กลางหน้าผากที่เริ่มย่นเล็กน้อยตามวัย
“ฮาย! โบ่จริงมึง เขาเป็นดารา ก่าต้องเห็นเค่าในโททัศน์ม้ายอะ” [โอ๊ย! โง่จริง ๆ เลย เขาเป็นดาราก็ต้องเห็นเขาในโทรทัศน์รึเปล่า]
สายตาของสาววัยสี่สิบ ค่อย ๆ หันมามองชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคาย เธอนิ่งอึ้งไปครู่นึงก่อนริมฝีปากจะยกยิ้มด้วยความตื่นเต้นที่ได้เจอดาราตัวเป็น ๆ มายืนอยู่หน้าบ้าน “น้องอินม้ายนิ๊” [ใช่น้องอินรึเปล่า?]
อินยกยิ้มทักทายจนตาโตกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “หมันคับ” [ใช่ครับ] อินพยายามตอบเลียนแบบเสียงของคนท้องถิ่น แต่ก็ยังแอบเหน่อ ๆ แบบที่คนใต้เรียกว่า ‘ทองแดง’
สำเนียงแปร่ง ๆ ที่อินพยายามพูดเรียกเสียงหัวเราะจากคนท้องถิ่นทั้งสามคนได้เป็นอย่างดี จากนั้นอินก็โดนสองแม่ลูกลากไปถ่ายรูปเพื่อเอาไว้อวดคนแถวบ้าน ดาราหนุ่มยิ้มจนเหงือกแห้ง ยายน้อยถึงได้นึกขึ้นได้ว่าควรจะปล่อยให้อินกับสิงไปพักผ่อน
“ขอบใจนะหนูอิน ยายรบกวนซะนานเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน”
“เออ! ยายว่าจะถามอยู่ กลับบ้านมาทำอะไรกันละ”
อินเหลือบไปมองน้องเพื่อรอให้เจ้าตัวตอบด้วยตัวเอง
“ยายน้อย ยายโร้จักคณะโนราห์มั้งหม้ายคับ” [ยายน้อยรู้จักคณะมโนราห์บ้างไหมครับ]
“ก่าพอโร้จักอยู่ลูก สิงอีทำไอไหร่ แก้บนเห้อะ?” [ก็พอรู้จักอยู่ลูก สิงจะทำอะไร จะแก้บนเหรอ?]
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปอึดใจนึง พยายามเรียบเรียงคำพูดในใจก่อนจะเอ่ยปากบอกไปตามตรง “สิงอีทำพิธีโนราลงครูครับ” [สิงจะทำพิธีโนราลงครูครับ]
ยายน้อยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าเด็กหนุ่มต้องการทำอะไร ก่อนที่รอยยิ้มบางจะปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงชรา “เดี๋ยวยายโทรหาทวดพันห้าย แกเป็นเกลอกับทวดภาส เป็นโนราห์ใหญ่” [เดี๋ยวยายโทรหาทวดพันให้ แกเป็นเกลอกับทวดภาส แล้วก็เป็นโนราห์ใหญ่ด้วย]
“ขอบคุณครับ”
ยายน้อยยกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจในตัวหลาน เธอก้าวเข้ามากอดสิงด้วยความรักและเอ็นดู ใช้มือลูบหลังเด็กน้อยเป็นการปลอบโยนไปด้วย “ดีแล้วลูก ดีแล้ว”
หลังจากนัดแนะกันเรื่องพิธีเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปพักผ่อน กุญแจบ้านที่ทวดเคยส่งไปรษณีย์ให้เมื่อหลายปีก่อนเริ่มขึ้นสนิม แต่ก็ยังสามารถไขแม่กุญแจที่ล็อกประตูบ้านเอาไว้ได้
ทันทีที่ประตูบ้านถูกเปิดออกกลิ่นความชื้นรวมไปถึงฝุ่นที่เคยเกาะอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของตัวบ้านก็พวยพุ่งเข้ามากระทบใบหน้าของสองพี่น้อง
อินเบือนหน้าไปมองสิง “นอนได้แหละเน๊อะ!”
เด็กหนุ่มทำหน้าเจื่อน หากมือทั้งสองไม่เต็มไปด้วยสัมภาระมากมาย ป่านนี้ท้ายทอยคงกลายเป็นที่ระบายแก้เขินไปแล้ว “ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจะรีบทำความสะอาดให้”
อินแสร้งยิ้มประชดประชัน “รีบ ๆ เลย!” พูดกระแทกใส่หน้าคนน้องเสร็จก็เดินอาด ๆ เข้าไปในบ้าน วางสัมภาระในมือไว้บนแคร่ไม้ที่อยู่ถัดไปจากประตูทางเข้า
สิงรีบเดินเข้าไปวางของแล้วพุ่งตัวออกไปสำรวจบ้าน ที่ไม่ได้กลับมานานกว่ายี่สิบปี ควานหาอุปกรณ์ทำความสะอาดที่คิดว่าน่าจะอยู่ในครัว
“ไอสิงโว้ย!” อินเห็นว่าคนน้องหายเข้าในหลังบ้านนานแล้วแต่ยังไม่ออกมาสักที ไม่รู้ว่าไปหาของหรือไปสร้างบ้านใหม่อยู่กันแน่ เลยตะโกนเรียกซะเสียงดังลั่นบ้าน
“ครับพี่อิน!” สิงตะโกนดังมาจากหลังบ้าน ก่อนที่เจ้าตัวดีจะมายืนยิ้มแป้นแล้นอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมกับชูไม้กวาดและไม้ถูพื้นในมือทั้งสองข้างให้ดู
“เอาไม้กวาดมา มึงถูพื้นไป” อินทำท่าจะเอื้อมไปหยิบไม้กวาดมาจากมือสิงแต่เจ้าตัวดีกลับชักมันกลับไป ทำให้อินคว้าได้แต่อากาศ ร่างโปร่งจึงเอียงคอถามด้วยสีหน้าหาเรื่อง
“พี่อินนั่งพักเถอะครับ เดี๋ยวผมทำเอง”
“มึงทำคนเดียวเมื่อไหร่จะเสร็จ”
“แป๊บเดียวก็เสร็จแล้วครับ”
“ช่วย ๆ กันทำ จะได้เสร็จเร็ว ๆ กูหิวข้าวแล้ว”
“งั้นผมไปทำอะไรให้กินก่อนดีไหมครับ”
“มึงพูดเหมือนในบ้านนี้มีของกิน”
“แฮ่ ๆ ไม่มีครับ”
อินกลอกตามองบนให้ความซื่อเข้าขั้นโง่ของหมาน้อยในปกครอง “เอามา!” เสียงดุของคนพี่ทำให้สิงต้องยอมยื่นไม้กวาดไปให้อย่างเลี่ยงไม่ได้ “ให้ตั้งแต่แรกก็จบ”
“งั้นไปทำที่ห้องนอนก่อนไหมครับ ส่วนอื่นเดี๋ยวผมค่อยทำเองวันหลัง”
“เออ เอาแบบนั้นก็ได้”
สิงเดินนำอินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน เป็นส่วนที่สร้างด้วยไม้ทั้งหมด น้ำหนักของชายฉกรรจ์ถึงสองคนทำให้พื้นไม้ที่ผุพังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ทำเอาคนพี่ต้องพยายามเดินแบบผ่อนแรงลงน้ำหนักที่ปลายเท้า เพราะกลัวบ้านจะทรุดจนไม่มีที่ซุกหัวนอน
แต่ละห้องที่เปิดเข้าไปล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยฝุ่นผงจนแทบจะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ยกเว้นห้องนอนว่างเปล่าที่หันไปทางหน้าบ้าน
“ทำไมห้องนี้ไม่มีของอะไรเลยวะ”
“ก่อนหน้านี่มันเป็นห้องนอนของสิงกับพี่เสือครับ”
“แล้วข้าวของไปไหนหมด”
“ทวดน่าจะเก็บเอาไว้ครับ”
“ทวดมึงอยู่บ้านนี้คนเดียวเหรอ ไม่มีใครมาคอยดูแลแกเลย?”
“ในจดหมาย ทวดบอกว่ายายน้อยกับลูกสาวคอยมาดูแลแกอยู่ครับ”
“อ๋อ แล้วพ่อกับแม่มึงนอนห้องไหนอะ ทำไมกูเห็นห้องนอนแค่ห้องเดียว”
“ในห้องพระนั้นไงครับ ก่อนหน้านี่มันเป็นห้องนอนของพ่อกับแม่ แต่หลังจากท่านเสียไปทวดก็เปลี่ยนให้มันเป็นห้องพระ”
“งั้นจะนอนห้องไหน ห้องทวดมึงไหม”
“สิงว่านอนห้องสิงดีกว่าครับ พวกฟูกนอนทวดน่าจะเก็บเอาไว้ในห้องเก็บของ คงจะไม่โดนฝุ่นเกาะมากเท่าไหร่ ใช้นอนคืนนี้ไปก่อน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมค่อยเอาผ้าไปซักให้”
“โอเค ตามนั้น”
สองคนพี่น้องช่วยกันทำความสะอาดที่ซุกหัวนอน เมื่อห้องกลับมาสะอาดเอี่ยมอ่องแล้ว สิงจึงเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหยิบฟูกพับสามตอนในห้องใต้บันได
อินเห็นคนน้องกำลังเดินแบกฟูกขึ้นบันไดมาก็รีบก้าวเข้าไปช่วย “ไม่เรียกวะ จะได้ไปช่วย”
“แค่นี้เองครับ”
อินส่ายหน้าให้กับความขี้เกรงใจของคนน้องโดยไม่ได้ดุด่าอะไรกลับไป เพราะคิดว่าต่อให้ด่ายังไงไอเด็กหมายักษ์ของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปหรอก
กินเวลาร่วมสามสิบนาที ห้องว่างเปล่าที่เคยมีฝุ่นเกาะหนาเป็นนิ้ว ก็กลายเป็นห้องที่อินและสิงจะใช้นอนหลับพักผ่อนในคืนนี้ได้ คนพี่ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาด้วยความเหนื่อยล้า
“ไม่หิวแล้วเหรอครับ”
“หิวดิ! แต่ขอพักแป๊บได้ไหมล่ะ เหนื่อยไว้ย!”
“ผมบอกให้พี่อินพักก็ไม่เชื่อ”
“เชื่อมึง พรุ่งนี้กูคงได้แดกข้าว มานั่งนี้!” อินพูดพลางใช้ฝ่ามือตบลงบนเบาะ เพื่อเรียกให้สิงไปนั่งข้าง ๆ เขา สิงจึงเดินไปนั่งตามที่อินต้องการอย่างไม่อิดออด
“กูถามอะไรหน่อยดิ”
“ครับ”
“ผีพวกนั้นมันไม่ตามพวกเรามาแล้วเหรอวะ”
“ไม่แล้วละครับ”
“แล้วทำไมพวกมันต้องตามพวกเรามาด้วย เป็นผีที่ไอฆาตกรมันส่งมารึเปล่า”
“ไม่รู้ซิครับ แต่ตรงนั้นเป็นโค้งอันตราย พี่อินไม่เห็นป้ายเหรอครับ”
“ไม่ได้สังเกตอะ”
“คงเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ครอบครัวยังไม่มาทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณมั้งครับ”
“แน่ใจ?!” อินเลิกคิ้วถาม
สิงส่ายหน้าถี่รัว “ไม่แน่ใจครับ”
“ถ้าเป็นผีเร่ร่อนก็แล้วไป แต่ถ้าเป็นผีที่ไอห่านั้นส่งมา มันแปลก ๆ นะ”
“ยังไงเหรอครับ”
“ก็ก่อนหน้านี่มันยังอยู่ที่กรุงเทพอยู่เลย ตอนนี่มันมาหลอกหลอนถึงนี้เลยเหรอวะ”
“พี่อินคิดว่าเค้าตามพวกเรามาเหรอครับ”
“ตามมาไม่เท่าไหร่ แต่ที่แย่กว่าคือมันรู้ได้ไงว่าพวกเราจะมาที่นี่ กูไม่ได้บอกใครเลยนะขนาดพี่เจตกูยังตอแหลเลย”
“หรือเค้าจะคอยสะกดรอยตามพวกเราครับ”
“ก็ไม่แน่ กูเลยถามไงว่าผีพวกนั้นมันไม่ตามเรามาแล้วใช่ไหม”
“พี่อินคิดว่าเค้าส่งผีมาตามพวกเราเหรอครับ”
“หมอผีก็ต้องใช้ผีป่าววะ”
“ในบ้านนี้ไม่มีหรอกครับ ทวดสิงเป็นครูหมอโนรา บ้านหลังนี้เลยมีอาคมป้องกันเอาไว้”
“เชี้ย ~ โคตรเจ๋ง”
“ไปกินข้าวกันดีกว่าครับพี่อิน ถ้าไปช้ากว่านี้สิงกลัวว่าร้านจะปิด ที่นี่ร้านค้าปิดเร็วห้าหกโมงก็ปิดหมดแล้วครับ”
“ปิดเร็วจังวะ เออ ไปๆ”
อินขับรถเข้ามาในตัวอำเภอที่อยู่ห่างจากบ้านสิงเกือบยี่สิบกิโล ไหนจะต้องขับรถวนหาร้านอาหารที่ยังเปิดอยู่ จากที่ฟ้าสว่างก็เริ่มมืดครึ้มแล้ว กว่าข้าวเย็นจะตกถึงท้องก็ปาไปเกือบหนึ่งทุ่มตรง ดาราหนุ่มชื่อดังที่หิ้วท้องมาตั้งแต่บ่ายกำลังกินไปบ่นไป แต่ดีที่รสชาติอาหารถูกปาก การบ่นของคนเกือบแก่จึงค่อย ๆ เบาบางลงไปตามจานอาหารที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ
“เราซื้อของกินเข้าไปตุนไว้ดีไหมครับพี่อิน”
“ก็ดีนะ บ้านมึงไกลสัส เผื่อกูหิวตอนดึก”
“โอเคครับ”
อินเขมือบกับข้าวห้าอย่างข้าวสวยสองจานลงท้องไปจนหมดเกลี้ยง ส่วนคนน้องกินไปแค่แมวดมเท่านั้นเพราะมัวแต่พิรี้พิไรจนทำให้กินไม่ทันอีกคน
“ผมไปจ่ายเงินก่อนนะครับ”
“เออ กูแดกเยอะเดินไม่ไหวละ ฝาหน่อยแล้วกัน”
“ได้ครับ”
สิงเดินเข้าไปจ่ายเงินกับเถ้าแก่ในร้าน ก่อนจะเดินกลับออกมาลากคนพี่ไปขึ้นรถ ขืนปล่อยให้นั่งรอย่อยไปอย่างนั้น คงได้นั่งขึ้นอืดไปยันเช้า ขนาดขับรถมาจนถึงร้านสะดวกซื้อที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ก็ยังไม่ยอมลุกไปไหน ได้แต่ออเดอร์ให้สิงไปซื้อให้แล้วนั่งรออย่างสบายใจอยู่บนรถแทน
ของทุกอย่างที่อินสั่งถูกคนน้องหยิบลงตะกร้า แบบไม่มีขาดไม่มีเกินจากความช่วยเหลือของพนักงานในร้าน จนลืมไปเลยว่าของที่เลือกมามีแต่ของอิน ไม่มีของตัวเองเลยสักกะอย่างเดียว
“ผมซื้อให้ตามที่สั่งแล้วนะครับ พี่อินจะเอาอะไรอีกไหม”
“จะเอาเหี้ยไรเพิ่มอีก ที่ถืออยู่นั้นก็สองถุงใหญ่แล้วนะ”
“โอเคครับ”
เสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้อินก็ขับรถกลับบ้านทันที เคราะห์ดีที่ระหว่างทางไม่ได้เกิดปัญหาเหมือนขาที่มาจากสนามบิน แต่ไอเด็กสัมผัสวิญญาณก็ยังนั่งเงียบตลอดทาง ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา แถมฝ่ามือยังชื้นเหงื่อหน่อย ๆ ด้วย
“พวกผีอีกแล้วเหรอ”
สิงหันไปยิ้มบาง “ก็เป็นปกติแหละครับ แต่พวกเขาไม่ได้ทำอะไร แค่ยืนอยู่ตรงที่ที่น่าจะเคยเสียชีวิตมาก่อน”
“ที่มึงใส่บาตรทุกเช้าก็เพราะพวกนี้เหรอ”
“ครับ”
“ชีวิตมึงเนี่ยน้าา~” อินบ่นให้กับเคราะห์กรรมที่หมาเด็กของเขาต้องเผชิญมาตั้งแต่เด็กจนโต และไม่รู้มันจะไปจบลงที่ตรงไหน “แล้วหลังจากทำพิธี นอกจากตามึงจะกลับมามองเห็นแล้ว มึงยังจะเห็นผีด้วยไหมวะ”
“ไม่รู้ซิครับ”
“รีบกลับบ้านกันดีกว่า กูเริ่มง่วงแล้ว” อินเปลี่ยนเรื่องคุย
“ครับ”
คนขับเร่งเครื่องยนต์เพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทาง รถญี่ปุ่นแล่นฉิวไปบนถนนทางหลวงชนบทที่แทบจะไม่มีรถสัญจรไปมา ยิ่งพอรถเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นรอง ก็ยิ่งไม่มีรถสัญจรไปมาอีกเลย แต่ดีที่มีแสงไฟส่องสว่างมาจากเสาไฟโซล่าเซลล์ข้างถนน ทำให้บรรยากาศไม่ดูวังเวงจนเกินไป
“สวนหลังบ้านเป็นสวนของบ้านมึงเหรอ” อินถามในขณะที่เปิดประตูลงมาจากรถ
“ครับ”
“เศรษฐีสวนยางเหรอมึง”
“เศรษฐีอะไรกันครับ สวนยางมีแค่ไม่กี่ไร่เอง”
“ไม่กี่ไร่ของมึงคือร้อยไร่ป่ะ?!” อินแกล้งพูดประชด
“สามร้อยครับ”
“โห่! ไอเหี้ย! รวยขนาดนี้แล้วมาให้กูเลี้ยง ไอห่าสิง!”
“ขอโทษครับ”
“เปลี่ยนจากคำขอโทษ เป็นมึงมาเลี้ยงกูแทนเป็นไง เดี๋ยวเสร็จภารกิจปราปผีแล้วกูจะกลับไปลาออกจากวงการเลย”
“แต่สวนยางพวกนี้ไม่ใช่ของผมนะครับ”
“เอ้า! ไหงงั้นอะ” อินพูดด้วยสีหน้าราวกับเสียดายแทนคนน้อง
“ทวดเขียนพินัยกรรมยกสวนครึ่งนึงให้ยายน้อยกับเกลอสนิทไปครับ”
“ก็เหลืออีกตั้งร้อยห้าสิบป่ะ”
“เหลือแค่ร้อยนึงต่างหากครับ เพราะอีกห้าสิบทวดยกให้ใครไป ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับทวดไม่ได้บอกไว้”
“แล้วบ้านอะ”
“ทวดยกให้พี่เสือครับ”
“นี้ยาจกอย่างกูเลี้ยงดูเศรษฐีอยู่เหรอวะ บ้านไอเสือมึงก็ได้ ไหนจะบ้านกับสวนที่นี่อีก”
“ผมยกให้พี่อินหมดเลยดีไหมครับ”
“เพื่อ?!”
“ผมจะได้เป็นยาจก พี่อินจะได้เลี้ยงดูผมต่อไปไงครับ”
“นี้มึงโง่หรือมึงโง่วะไอสิง”
“มันต้องแกล้งโง่ไม่ใช่เหรอครับ”
“เด็กหมายักษ์อย่างมึงอะ ไม่แกล้งโง่หรอก โง่จริง!”
“ฮ่า ๆ งั้นพี่อินช่วยเลี้ยงดูเด็กโง่คนนี้ต่อไปด้วยนะครับ”
“ไม่รู้กูเลี้ยงมึงหรือมึงเลี้ยงกูแหละ แต่ยังไงมึงกับกูก็ต้องอยู่ด้วยกันไปจนตายนี้แหละ ไป! ไปนอนได้แล้ว กูง่วง!”
อินลากสิงไปอาบน้ำนอน ถึงแม้ว่าตอนเด็ก ๆ เขาจะเคยตักน้ำในตุ่มอาบมาก่อน แต่ก็ห่างหายมานานหลายสิบปีแล้ว แถมยังต้องอาบน้ำในบรรยากาศวังเวงจากสวนหลังบ้านที่เต็มไปด้วยต้นยางพารา และเสียงกรีดร้องจากกบเขียดและจิ้งหรีด ใครกล้าอาบคนเดียวก็อาบไปเลย คนคนนั้นไม่ใช่อิน
“เร็วไอสิง! โคตรเย็นเลยไอเหี้ยเอ้ย!”
อาบน้ำเสร็จคนพี่ก็เอาผ้าขาวม้ามาพันไว้ที่เอว แล้ววิ่งตัวปลิวเข้าบ้าน ทิ้งให้คนน้องเก็บข้าวของของตัวเองแล้วค่อยเดินตามมาทีหลัง
แต่งเนื้อแต่งตัวพร้อมเข้านอนก็ทิ้งตัวลงบนฟูก รอคนน้องเดินตามมาสมทบ สิงหยิบผ้าไปของอินที่กองอยู่บนพื้นไปตากไว้ตรงระเบียง แล้วค่อยเดินกลับมาปิดไฟล้มตัวลงนอนข้าง ๆ อีกฝ่าย
“ฝันดีนะครับพี่อิน”
“ฝันดีไอหมายักษ์”
แสงอาทิตย์เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้ามาได้ไม่ทันไร เด็กหนุ่มก็ตื่นขึ้นมาทำความสะอาดบ้านตามคำสั่งของอีกคนที่ยังนอนอยู่
“สิง! อยู่บ้านม้ายลูก” [สิงอยู่บ้านรึเปล่าลูก]
สิงพิงไม้กวาดไว้บนกำแพงบ้าน ก่อนจะรีบเดินเร็วออกเปิดประตูรับแขก
สิงยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ “สวัสดีคับ”
“จำได้ม้าย ทวดพัน เกลอทวดภาส” [จำได้ไหม ทวดพันเพื่อนของทวดภาส] ยายน้อยแนะนำชายชราที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ให้สิงรู้จัก
เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มแห้งเพราะเขาจำใครไม่ได้เลยจริง ๆ “ไม่ได้เลยครับ”
“มันเด็กอยู่เหล้ยตอนฮั่น จำไม่ได้ก่าไม่พรือ” [สิงมันยังเด็กตอนนั้น จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร] ทวดพันหันไปพูดกับยายน้อยอย่างไม่นึกโกรธเคืองที่เด็กหนุ่มจำเขาไม่ได้
“เข้ามานั่งในบ้านก่อนครับ เดี๋ยวสิงไปเอาน้ำมาให้” สิงเชิญคนแก่ทั้งสองเข้ามาในบนแคร่ไม้ในบ้าน ก่อนจะวิ่งเข้าไปหยิบน้ำใส่ขันเหล็กมาให้ “กินน้ำก่อนครับ”
คนแก่สองคนรับน้ำจากเด็กหนุ่มมาดื่มแก้กระหาย ก่อนจะเริ่มบทสนทนาด้วยการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบทั่วไป
“บายดีม้ายลูก” [สบายดีไหมลูก] ทวดพันเริ่มถามก่อน
“บายดีครับ ทวดบายดีม้าย เจ็บไข้ตรงไหนมั้ง” [สบายดีครับ ทวดสบายดีไหม เจ็บป่วยตรงไหนรึเปล่าครับ]
“ตามประสาคนแก่นั้นแล เห็นยายน้อยว่าสิงอีรับครูเห้อ” [ตามประสาคนแก่นั่นแหละ เห็นยายน้อยบอกว่าสิงอยากรับครูหมอโนราเหรอ]
“หมันครับ” [ใช่ครับ]
“ถ้าพี่ภาสยังอยู่ พี่ภาสต้องดีใจแน่” ทวดพันหันไปยกยิ้มกับยายน้อยที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“หมันค่ะ น้อยเลยแขบโทรหาทวดแล็กหัวเช้า” [ใช่ค่ะ น้อยเลยรีบโทรหาทวดเมื่อตอนเช้า]
“ทวดแลวันให้แล้ว เดือนนี้อาทิตย์สุดท้าย ม้ายก่าต้องถ้าเดือนเก้าปีหน้าโด้” [ทวดดูวันให้แล้ว เดือนนี้อาทิตย์สุดท้าย หรือไม่ก็ต้องรอเดือนเก้าปีหน้า] ทวดพันหันมาพูดกับสิง
“เดือนนี้เลยได้ม้ายครับ” [เดือนนี้เลยได้ไหมครับ]
“แขบหนัด ได้ลูกได้ แขบทำก่าดี” [รีบจัง ได้เลยลูก รีบทำก็ดีเหมือนกัน]
“ต้องใช้ไอไหร่มั้งอะทวด น้อยได้หาไว้ให้” [ต้องใช้อะไรบ้างเหรอคะทวด น้อยจะได้เตรียวไว้ให้]
“ของในพิธีเดี๋ยวกูเอามาเอง มึงหาพานหมากพลูมารับโนราห์ก่าพอ” [ของในพิธีเดี๋ยวทวดหามาเอง น้อยหาพานหมากพลูมารับโนราห์ก็พอ] ทวดพันหันไปพูดกับยายน้อยด้วยคำพูดที่เป็นกันเอง ตามประสาคนเก่าคนแก่พูดกับเด็กที่อายุน้อยกว่า
“ได้ค่ะ”
“สิงหาเองก่าได้ครับยายน้อย เกรงใจ” [สิงเตรียมเองก็ได้ครับยายน้อย เกรงใจ]
“ไม่พรือลูก ยายกินทุกวัน” [ไม่เป็นไรลูก ยายกินทุกวัน] ยายน้อยพูดพลางหัวเราะขำขันกับนิสัยคนแก่ของตัวเอง
สิงยิ้มตอบ “ขอบคุณครับ”
สิงนั่งคุยเล่นกับยายน้อยและทวดพันอยู่เกือบชั่วโมง ทั้งสองคนจึงขอตัวกลับก่อน เด็กหนุ่มเอาของฝากที่อินซื้อมาให้ทวดพัน ก่อนจะเดินออกไปส่งทั้งคู่ที่หน้าบ้าน พอเดินกลับเข้ามาก็เห็นคนพี่เดินงัวเงียลงมาจากชั้นสอง
“ไปไหนมาวะสิง”
“ออกไปส่งยายน้อยกับทวดพันมาครับ”
“อ่าว! แกมาที่บ้านเหรอ ทำไมไม่ขึ้นไปปลุกกูวะ”
“ผมเห็นพี่อินนอนอยู่เลยไม่อยากกวนครับ”
“แล้วแกว่าไงบ้าง จัดพิธีได้ไหม”
“ได้ครับ วันพุธนี้”
“เชี้ย! เร็วไปป่ะ มะรืนนี้แล้วดิ”
“มันจะหมดเดือนหกแล้วครับ ไม่งั้นก็ต้องรอเดือนเก้าปีหน้า”
“โอเค ๆ แล้วต้องเตรียมอะไรไหม”
“ทวดพันจะเตรียมของในพิธีให้ครับ ส่วนยายน้อยจะหาพานหมากพลูมาให้”
“มึงไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ”
สิงยกยิ้มมุมปาก “ผมก็ต้องเตรียมเงินไงครับ พิธีโนราห์โรงครูขนาดใหญ่จัดสามวันสองคืน ใช้เงินเยอะนะครับ”
“มึงพูดเหมือนมันมีขนาดเล็กด้วยอย่างงั้นอะ”
“มีซิครับ จัดแค่หนึ่งวัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้เป็นหลักประกัน ในกรณีที่ลูกหลานบ้านนั้นไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะจัดตามกำหนด”
“มีประกันด้วย! แล้วไง ต้องใช้เงินกี่บาท”
“ก็หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนครับ”
“โห่ แพงอยู่นะ”
“ทวดพันไม่ได้เรียกเงิน แต่ผมกะว่าจะใส่ซองให้แกเองครับ ยังไงก็ต้องมีค่าครูกันบ้าง”
“ดีแล้ว งั้นกูขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน แล้วค่อยว่ากันอีกที ว่าวันนี้จะไปไหนบ้าง”
อินพูดจบก็พลิกตัวกลับขึ้นไปเอาข้าวของในห้องนอน แล้วค่อยลงมาอาบน้ำที่ตุ่มหลังบ้าน ปกติแล้วดาราหนุ่มใช้เวลาอาบน้ำไม่นานอยู่แล้ว แต่การที่ต้องอาบน้ำเย็นเหมือนน้ำแข็งขนาดนี้ ร่างโปร่งยิ่งใช้เวลาอาบน้ำเร็วกว่าเดิมหลายเท่า จะเรียกว่าวิ่งผ่านน้ำก็ไม่เกินไปเท่าไหร่
ในขณะที่อินอาบน้ำ สิงก็เดินเข้าไปในครัว เตรียมข้าวเช้าที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อมาเตรียมไว้ให้อิน พร้อมกับกาแฟกระป๋อง ที่เขาเอาไปอุ่นในหมอน้ำร้อนมาวางไว้ให้ด้วย
กิจวัตรประจำวันตอนเช้าเสร็จไปอย่างรวดเร็ว เพราะคนพี่ไม่อยากเสียเวลามากนัก หากมีเรื่องที่จะต้องตระเตรียมเยอะตอนที่ออกไปข้างนอก
“เอาไง ไปไหนบ้าง” อินถามหลังจากที่กระดกกาแฟหยดสุดท้ายลงท้อง
“ไปธนาคารครับ”
“แล้ว”
“ไม่มีแล้วครับ พี่อินอยากไปไหนอีกไหมครับ”
“มึงว่าจะมีใครรู้เรื่องคดีเก่า ๆ ที่สารวัตรเอาให้พวกเราดูบ้างวะ”
“ก็คงเป็นนายตำรวจที่เคยทำคดีนั้นมั้งครับ”
“ถ้าขอใช้เส้นสายของสารวัตรปราปไปหาเค้าได้ไหมวะ”
“ลองโทรหาสารวัตรปราปดูซิครับ”
“โอเค งั้นเดี๋ยวกูขึ้นไปเอาโทรศัพท์ก่อน”
อินเดินหายขึ้นไปโทรหาสารวัตรปราปบนชั้นสองอยู่นานสองนาน ก่อนจะเดินลงมาหาเด็กหนุ่มข้างล่างด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ส่งเสียงฟึดฟัดอย่างไม่พอใจราวกับเพิ่งไปทะเลาะกับใครมา
“มีอะไรรึเปล่าครับพี่อิน”
“จะอะไรอีกละ ไอสารวัตรปราปมันด่ากูอะดิ”
“สารวัตรเนี่ยนะครับ จะด่าพี่อิน” สิงทำตาโตอย่างเหลือเชื่อ เขาพอจะสัมผัสได้ว่านายตำรวจหนุ่มยศใหญ่คนที่อินพูดถึงนั้นแอบชอบคนคนเดียวกับเขา ปกติแล้วปราปมักจะพูดดีกับอินเสมอ
“ก็ไม่เชิง แต่เค้าบอกว่ากูไม่ควรเข้าไปยุ่งเพราะมันอันตราย”
“สารวัตรคงเป็นห่วงพี่อินมั้งครับ”
“มึงหยุดเลยไอสิง ถ้ากูไม่ควรเข้าไปยุ่ง ก็ไม่ควรให้กูกับมึงเข้าไปช่วยหาหลักฐานป่ะ”
“แต่นี้พี่อินกำลังจะตามตัวฆาตกรเลยนะครับ”
“หรือมึงไม่อยากหาตัวมัน”
“อยากซิครับ ไม่งั้นผมจะมาที่นี่ทำไม”
“แล้วเอาไงอะทีนี้”
“ก็ถ้าสารวัตรไม่ยอมช่วย เราก็คงต้องช่วยตัวเองไงครับ ยังไงเราก็รู้อยู่แล้วนิครับว่าคดีเกิดที่ไหน”
“สิงหนครอะนะ”
“ครับ”
“เอางั้นก็ได้ งั้นไปธนาคารก่อนแล้วกัน”
รถญี่ปุ่นขับผ่านเส้นทางเดิม เพื่อตรงเข้าไปยังตัวอำเภอ ขับวนหาธนาคารที่จะทำการถอนเงินออกมาใช้ในพิธีครูหมอโนรา แต่ก่อนจะได้ถอนเงิน เด็กหมายักษ์กับเจ้าของของมันตีกันไปยกนึงกับเรื่องที่ว่าจะใช้เงินของใครในการจ่ายค่าครู ถึงแม้สิงจะยอมอินมาตลอด แต่เรื่องนี้เด็กที่เคยว่านอนสอนง่ายกลับดื้อและคว้าชัยชนะไปได้ในที่สุด
“มึงแม่งดื้อ!” อินบ่นคนน้องที่กอดเงินจำนวนสองแสนบาทอยู่ในอ้อมอก ขณะกำลังเดินกลับมาขึ้นรถ
“ขอโทษครับ” สิงตอบเสียงอ่อยพลางทำปากคว่ำแล้วช้อนตามองคนพี่อย่างออดอ้อน
“ไม่ได้ดั่งใจแต่เช้าเลย อารมณ์เสีย!” อินพูดกระแทกเสียง ก่อนจะหย่อนก้นกลับไปนั่งประจำที่คนขับ แล้วกระแทกประตูรถประชดประชันคนน้อง
คนน้องที่ตามมาติด ๆ ได้แต่นั่งกอดเงินที่กดมาเงียบ ๆ เพราะกลัวว่าถ้าพูดอะไรไปตอนนี้จะทำให้คนพี่ยิ่งโกรธมากขึ้น
รถเคลื่อนตัวออกไปแล้วแต่ผู้โดยสารบนรถไม่มีใครคิดจะพูดอะไรเลย มีแต่อินที่ถอนหายใจหนัก ๆ ไปหลายรอบ ถ้าถอนหายใจแล้วอายุสั้นเหมือนอย่างที่คนเฒ่าคนแก่ว่า อายุอินคงหดหายไปหลายปี
“ทำไมมึงไม่ใช่เงินกู”
“...”
“ไอสิง กูถามมึงอยู่”
“ก็ผมไม่รบกวนพี่อินนิครับ”
“ไม่อยากรบกวนเหี้ยไร กูต้องบอกมึงอีกกี่ร้อยรอบว่ะ ว่าการมีมึงในชีวิตกูไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร กูเต็มใจที่จะดูแลมึง”
“ผมรู้ครับ แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง เพราะสิงเลือกที่จะรับครูหมอโนรา”
“แต่กูอยากให้มึงเก็บเงินมึงเอาไว้ เผื่อฉุกเฉินหรือเผื่อกูไม่ได้อยู่กับมึง มึงจะได้ดูแลตัวเองได้”
สิงหันขวับไปมองหน้า รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเท่าไหร่ “พี่อินไม่อยู่กับสิง พี่อินจะไปไหนครับ?!”
“ไปตายไงไอเด็กเวร” อินพูดประชด
“ถ้าพี่อินตายสิงก็ไม่อยากอยู่ครับ สิงจะไปกับพี่ด้วย” สิงพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ดูจริงจัง
“เอ้า! ไอห่านี้ กูแก่กว่ามึงป่ะ ถ้าว่ากันตามอายุ ยังไงกูก็ต้องตายก่อนมึง”
สิงสะบัดหน้าหนีไม่ชอบใจที่อินเอาแต่พูดเรื่องความเป็นความตาย และมันดันเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากฟังมากที่สุด “ผมพูดคำไหนคำนั้นครับ ถ้าพี่ตายผมจะตายตามพี่ไปด้วย”
อินทอดถอนใจ บทเด็กหมายักษ์จะดื้อมันก็ดื้อจนสุดฤทธิ์จริง ๆ แถมตอนนี้คนที่ต้องง้อกลับเป็นตัวเขาไปซะงั้น
ตกลงใครโกรธใครกันแน่วะ?!
“เออ! ตายไปด้วยกันนี้แหละ โอเคไหม” อินพยายามพูดง้อเด็กในปกครองตามแบบฉบับของตัวเอง ที่ฟังดูแข็งกระด้างไปบ้างแต่เขามั่นใจว่าคนน้องต้องเข้าใจความหมายของมัน
“ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมให้พี่อินเป็นอะไรเด็ดขาด”
อินหรี่ตามองคนน้องผ่านทางหางตาในขณะที่ขับรถตามแมพ “เอาที่มึงสบายใจเลยครับ ไอน้องสิงสุดที่รักของพี่อิน” ร่างโปร่งพูดประชดเด็กน้อยที่เถียงคำไม่ตกฟาก โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดที่พูดเล่น ๆ กลับทำให้หัวใจของคนที่แอบชอบเต้นแรงราวกับมันจะทะลุออกมาจากกลางอก
สิงนั่งเงียบไปตลอดทาง พยายามทำสมาธิให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว เก็บข่มความรู้สึกที่มันพรั่งพรูออกมา เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวหรือระแคะระคาย แต่คนพี่กลับเข้าใจผิดคิดว่าสิงยังงอนไม่หาย ถึงได้วอแวเขาไม่เลิก
“ไอสิงของน้ำกินหน่อย”
“ไอสิงของหนมกินหน่อย”
“ไอสิงเปิดเพลงให้ฟังหน่อย”
ใช้งานคนน้องสารพัด เพื่อนให้เด็กมันยอมหายโกรธและกลับมาพูดคุยหยอกล้อกันเหมือนเดิม ส่วนเด็กหมายักษ์ก็ทำตามที่คนพี่ว่าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ก็ยังไม่ยอมพูดด้วย
“ไอสิง มึงโกรธอะไรกูนักหนาเนี่ย กูง้อมึงตั้งนานแล้วนะ เมื่อไหร่จะหายงอน”
“สิงไปโกรธพี่อินตอนไหนครับ พี่อินต่างหากที่โกรธสิง”
“ก็มึงนั่งเงียบไม่พูดไม่จา”
“ปกติสิงก็ไม่พูดมากอยู่แล้วนิครับ”
“ตกลงกูเข้าใจผิดไปเอง งี้?!”
“ครับ”
“เออ ไม่งอนก็ไม่งอน แล้วนี่มึงปักหมุดไว้ที่ไหน”
“สภ.สิงหนครครับ”
“ไปที่นั่นแล้วตำรวจเค้าจะช่วยเราเหรอวะ”
“ลองไปถามดูก่อนก็ได้ครับ ยังไงเราก็ทำได้แค่นี้”
“เออ ๆ”
ระยะห่างระหว่างสองอำเภอเกือบห้าสิบกิโลเมตร ทำให้สารถีอย่างอินต้องนั่งกุมบังเหียนนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เล่นเอากระดูกข้อต่อร้องท้วง พอรถจอดสนิทที่ลานจอดรถหน้าสถานีตำรวจ ร่างโปร่งก็รีบดันเบาะที่นั่งอยู่ให้เอนลง เพื่อบิดตัวคลายความเมื่อยล้า
“ให้ผมช่วยนวดให้ไหมครับ”
“กลับบ้านค่อยนวดแล้วกัน ตอนนี้ไปทำธุระให้เสร็จก่อนเหอะ”
“ครับ”
สองคนพี่น้องรีบพุ่งตัวเข้าไปในสถานีตำรวจ คนตาดีรับหน้าที่ผู้นำ เข้าไปถามไถ่ข้อมูลจากนายตำรวจที่นั่งอยู่ตรงจุดประชาสัมพันธ์
“สวัสดีครับ”
นายตำรวจลุกขึ้นก่อนจะทำท่าวันทยหัตถ์เป็นการทักทายผู้มาเยือน “สวัสดีครับ!”
“เอ่อ ผมมีเรื่องอยากสอบถามหน่อยครับ”
นายตำรวจหนุ่มยศนายสิบนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้สำนักงานตัวเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับอิน “เรื่องอะไรครับ”
“เอ่อ ผมมาสอบถามเรื่องคดีที่เกิดขึ้นเมื่อสิบแปดปีก่อน พอจะมีข้อมูลเก็บเอาไว้บ้างไหมครับ”
“โห สิบแปดปีเลยเหรอครับ เรื่องนั้นผมไม่แน่ใจครับ เพราะคดีในสมัยนั้นมีการจัดเก็บเป็นเอกสาร ไม่ได้นำมารวมในระบบเหมือนในสมัยนี้”
“งั้นพอจะมีใครที่พอจะรู้เรื่องคดีเมื่อสิบแปดปีก่อนบ้างไหมครับ”
นายตำรวจหนุ่มนิ่งเงียบไปครู่นึง พยายามใช้ความคิดดูว่ามีนายตำรวจคนไหนที่ประจำการอยู่ที่นี่เมื่อสิบแปดปีก่อนบ้าง “หมวดนุ้ย! รอสักครู่นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าวันนี้แกมาทำงานรึเปล่า”
อินพยักหน้ารับ นายตำรวจประชาสัมพันธ์เลยเดินเข้าไปในสำนักงานด้านหลังประตูกระจกที่ติดฟิล์มดำ เขาเข้าไปนานเกือบสิบนาทีก่อนจะเดินออกมาคนเดียว
“หมวดนุ้ยไม่ยังไม่เข้ามาที่สน. เลยครับ แกน่าจะอยู่ที่บ้านพักด้านหลัง เดี๋ยวผมลองโทรหาแกให้ เชิญคุณนั่งรอก่อนนะครับ”
“ได้ครับ ขอบคุณครับ” อินตอบรับอีกฝ่ายแล้วค่อยหมุนตัวกลับไปดึงสิงให้เดินมานั่งรอบนโต๊ะหินอ่อนที่วางอยู่หน้าโรงพัก
“หมวดนุ้ยกำลังเดินมานะครับ” นายตำรวจคนเดิมเดินออกมาบอกข่าวดี
“ขอบคุณนะครับ”
“ยินดีครับ”
ตำรวจยศนายสิบพูดจบก็เดินกลับไปนั่งประจำที่ตามเดิม อินกับสิงนั่งรออย่างลุ้นระทึก โดยไม่มีใครพูดอะไรสักอย่าง ในใจกลัวว่าหากนายตำรวจคนนั้นไม่รู้เรื่องคดีฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น หรือที่แย่กว่านั้นคือรู้แต่ไม่ยอมบอกข้อมูลเพราะพวกเขาไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ แบบนี้ก็เหมือนพวกเขามาเสียเที่ยว
“สวัสดีครับ” เสียงทักทายสำเนียงทองแดงดังมาจากทางด้านข้าง ทำให้อินและสิงรีบหันไปตามทางของเสียง ก็พบว่ามีชายวัยกลางคนผมขาวเกือบหมดหัวคนนึงเดินตรงมายังโต๊ะหินอ่อนที่พวกเขากำลังนั่งอยู่
อินและสิงลุกขึ้นยืนทักทายคนที่คาดว่าน่าจะเป็นหมวดนุ้ย “สวัสดีครับ ใช่หมวดนุ้ยรึเปล่าครับ” อินเป็นฝ่ายพูดทักทายก่อน
“ใช่ครับ เชิญนั่งก่อนครับ” หมวดนุ้ยผายมือให้อินกับสิงนั่งลงตามเดิมก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมานั่งที่ฝั่งตรงข้าม “ใช่คุณอินรึเปล่านิ๊” นายตำรวจชี้นิ้วถาม
“เอ่อ ใช่ครับ รู้จักผมด้วยเหรอครับ” อินถามอย่างงง ๆ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้จักตัวเองด้วย โดยลืมไปว่าตัวเองเป็นดาราดัง
“หลานสาวผมชอบคุณจะตาย นี้ผมก็เพิ่งดูละครที่คุณเล่นกับหลานอยู่เลย ไม่คิดว่าจะบังเอิญขนาดนี้ ฮ่า ๆ”
อินยกยิ้มให้นายตำรวจรุ่นใหญ่ “ขอบคุณนะครับที่ติดตาม”
“ถ้าไม่รบกวน ถ่ายรูปกับหลานสาวผมหลังคุยเสร็จได้ไหม”
“แน่นอนครับ”
“เห็นบอกว่ามีเรื่องจะถามเกี่ยวกับคดีเมื่อสิบแปดปีก่อนเหรอครับ ไม่ทราบว่าคดีไหนครับ”
“เอ่อ… พอดีผมอยากถามเกี่ยวกับคดีฆ่าตัวตายเมื่อสิบแปดปีก่อนครับ ช่วงเดือนมิถุนา”
“เดือนมิถุนา” หมวดนุ้ยพูดย้ำกับอิน ก่อนจะก้มลงไปเปิดสมุดจดของตำรวจที่อยู่ในมือ กระดาษที่เคยขาวสะอาดตา กลายเป็นสีเหลืองอ่อนเกือบเข้มเพราะผ่านกาลเวลามานานหลายปี “เจอแล้ว… ตอนนั้นมีอยู่สามคดี”
จำนวนคดีฆ่าตัวตายที่หมวดนุ้ยบอก ทำเอาอินรีบหันไปมองหน้าน้องด้วยความตกใจ ไม่คิดว่ามันจะพอเหมาะพอเจาะขนาดนี้ “รายละเอียดของทั้งสามคดีเป็นยังไงบ้างครับ พอจะบอกได้ไหม”
“เอาจริง ๆ ก็บอกไม่ได้หรอก แต่คดีพวกนี้มันหมดอายุความไปนานแล้ว ก็พอบอกได้ตามที่จดไว้ แล้วก็ตามที่จำได้นี้แหละ”
“ไม่เป็นไรครับ เอาเท่าที่ได้ก็พอ”
“ผมเองก็ไม่ได้มีข้อมูลมากเท่าไหร่นะ พอดีตอนนั้นยังเป็นนายสิบ ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่เท่าไหร่ สารวัตรที่รับผิดชอบคดีในตอนนั้นก็ล้มหายตายจากไปบ้างแล้ว”
หมวดนุ้ยก้มไปอ่านรายละเอียดของคดีที่แกจดไว้ในสมุดพกสลับกับเงยขึ้นมามองหน้าคู่สนทนา
“คดีแรกเราได้รับแจ้งหลังจากวันที่ผู้ตายกินยาฆ่าตัวตายหนึ่งวัน เราได้รับแจ้งวันพฤหัส ผู้ตายน่าจะฆ่าตัวตายตั้งแต่วันพุธ รายที่สองตายวันพฤหัส แต่คดีนี้เราได้รับแจ้งวันเสาร์ ส่วนคดีสุดท้ายตายวันอาทิตย์ เราได้รับแจ้งวันนั้นเลย แม่เป็นคนโทรแจ้ง”
“วันอาทิตย์เหรอครับ” สิงที่นั่งเงียบใช้สมาธิเก็บข้อมูลที่หมวดนุ้ยบอก พูดแทรกขึ้นมาเมื่อมีข้อมูลอะไรผิดแปลกไปจากข้อมูลที่ตัวเองมี
“ใช่ มันหลอนยาเลยปาดคอตัวเองตาย”
“ถ้าอย่างนั้นคนที่ตายวันพุธกับวันพฤหัสตายยังไงเหรอครับ”
“ผลการชันสูตรบอกว่ากินยาฆ่าตัวตาย”
“ผมขอถามได้ไหมครับว่ามีอะไรแปลก ๆ ในบ้านของผู้ตายบ้างไหมครับ”
“อะไรแปลก ๆ เหรอ?” หมวดนุ้ยถามย้ำ ก่อนจะก้มลงไปอ่านรายละเอียดที่ตัวเองจดด้วยลายมือหวัดจนแทบจะอ่านไม่ออกถ้าไม่ใช่เจ้าตัวอ่านเอง “อ่า! ผู้หญิงคนแรกที่ตายเล่นของ น่าจะอยากให้ผัวรักผัวหลง เห็นว่าเป็นเมียน้อยเศรษฐีในเมืองหาดใหญ่”
“ของเป็นยังไงเหรอครับเคยเห็นไหม”
“ไม่เคยเห็นหรอก แต่ได้ยินว่าเป็นน้ำมันพราย กับสีผึ้งมหาเสน่ห์”
“แล้วคนที่สองละครับ”
“ผู้หญิงเหมือนกัน คนนี้ลุงเป็นคนรับแจ้งเหตุเอง สภาพศพก็นอนตายปกตินะ ไม่มีอะไรผิดปกติ”
“งั้นเหรอครับ” สิงแอบเสียดายเพราะข้อมูลของรายที่สองไม่มากพอให้เชื่อมโยงกับคนร้ายมากนัก
“อ้อ! จำได้แล้ว ไอสาวนั้นมันกำผ้ายันต์สีแดงไว้ในมือ แต่ก็ดูเป็นผ้ายันต์ธรรมดานะ”
“คุณลุงจำลายผ้ายันต์นั้นได้ไหมครับ” สิงถามสวนทันควัน รู้สึกราวกับเดินในถ้ำที่มืดมิดแล้วเจอแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์
“จำได้อยู่นะไอบ่าว แต่ให้วาดคงยาก”
“ถ้าผมมีรูปให้ดู ลุงพอจะบอกได้ไหมครับ” สิงพูดยังไม่ทันจบประโยคดี คนพี่ก็รีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเปิดรูปห่อผ้ายันต์ที่เจอที่บ้านของเสือขึ้นมาส่งให้หมวดนุ้ยดู
หมวดนุ้ยรับโทรศัพท์ไปไปจากมือของอิน เขายื่นโทรศัพท์ออกไปสุดแขน ก่อนจะหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองรายละเอียดบนผืนผ้ายันต์สีแดงที่อยู่บนหน้าจอตามประสาคนแก่สายตายาว
“ใช่เลยไอบ่าว ลายนี้แหละ”