"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู

“ใช่เลยไอบ่าว ลายนี้แหละ”

“ลุงแน่ใจใช่ไหมครับ?” สิงถามย้ำ

“ตอนแรกก็ไม่แน่ใจหรอก แต่ลุงจำลายสาริกาคู่นี้ได้ เพื่อนที่สภ. ทุ่งสงเคยให้ลุงดู”

“เพื่อนของลุงเขาบูชาผ้ายันต์แบบเดียวกันเหรอครับ?”

“ไม่ใช่ ๆ มันเป็นหลักฐานในคดีที่เพื่อนลุงรับผิดชอบ พอดีลุงเป็นเซียนพระมันเลยส่งมาให้ลุงช่วยดู”

“พอจะเล่ารายละเอียดได้ไหมครับ”

หมวดนุ้ยทำท่ากระอักกระอ่วน เพราะไม่ใช่คดีที่ตัวเองรับผิดชอบ หากบอกรายละเอียดไปแล้วเกิดปัญหาตามมา อาจส่งผลต่อหน้าที่การงานของตัวเองและเพื่อน 

“ลุงบอกเท่าที่บอกได้แล้วกันน่ะไอบ่าว คืองี้! สภาพศพของผู้ตายมันเหมือนฆ่าตัวตาย แต่เพื่อนบ้านบอกว่าได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจากบ้านหลังนั้น เพื่อนลุงมันเลยปิดคดีไม่ได้ มันเจอผ้ายันต์ผืนนี้แล้วส่งมาให้ลุงช่วยดูว่ามันใช้ทำอะไร แต่สุดท้ายคดีก็ถูกสรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย”

“คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่เหรอครับ”

“สักสิบปีได้แล้ว แต่ที่ลุงจำได้เพราะเพื่อนลุงมันย้ายไปประจำที่นครปฐม แล้วมันเจอคดีที่มีผ้ายันต์แบบเดียวกันเมื่อสองสามปีก่อนนี้เอง”

“คดีฆ่าตัวตายเหรอครับ”

“ไม่ใช่ ๆ คดีฉกชิงวิ่งราว มันไปฉกกระเป๋าสะพายของเหยื่อมาแล้วถูกจับได้ เพื่อนลุงมันจำได้เลยส่งมาให้ลุงดู”

“เหยื่อเป็นผู้หญิงเหรอครับ”

“สาวประเภทสอง แต่เห็นว่าหลังจากนั้นเหยื่อก็ฆ่าตัวตายนะ”

คำพูดของหมวดนุ้ยเป็นเหมือนการกดปุ่มหยุดเล่นวิดีโอบรรยากาศรอบตัวหยุดนิ่ง ลมที่เคยพัดปลิวไสวพัดเอาใบไม้แห้งให้บินวนในอากาศลอยตกลงสู่พื้นดินเมื่อไม่มีแรงส่ง ร่างกายของคนฟังรู้สึกชาตั้งแต่ปลายนิ้วเคลือบคลานเข้าสู่ก้อนเนื้อขนาดเท่ากำปั้นกลางอก

อินถามถึงคดีอื่น ๆ ที่คล้ายกัน หมวดนุ้ยบอกว่าคดีที่เกิดก่อนสิบแปดปี แกไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่เพราะแกเพิ่งบรรจุที่นี่เมื่อสิบแปดปีก่อน คดีฆ่าตัวตายหลังจากนั้นเยอะแต่ถ้าจะให้ลงรายละเอียดไปถึงคุณไสยหรือผ้ายันต์มันค่อนข้างยาก ส่วนเรื่องการฆ่าตัวตายของเหยื่อในจังหวัดนครปฐมไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่แกเลยไม่รู้รายละเอียด 

เมื่อได้ข้อมูลตามที่ต้องการ ก็ถึงเวลาที่อินจะต้องทำตามที่หมวดนุ้ยขอไว้ ดาราหนุ่มเดินตรงไปยังบ้านพักตำรวจหลังโรงพักเพื่อเจอกับแฟนคลับตัวน้อย ทันทีที่เธอเห็นอินตัวเป็น ๆ เด็กหญิงก็ร้องกรี๊ดด้วยความดีใจ เธอกระโดดโหยง ๆ อยู่ในบ้านก่อนจะวิ่งเข้ามากอดอิน แฟนเซอร์วิสสำหรับแฟนคลับวีไอพีกินเวลาเกือบสิบนาที จากนั้นหมวดนุ้ยเดินมาส่งอินและสิงที่รถ 

“วันนี้ขอบคุณมากนะครับหมวดนุ้ย”

“ยินดีครับ ขับรถดี ๆ นะครับ”

“ขอบคุณครับ”

กล่าวลากันเสร็จก็ถึงเวลากลับบ้าน เข็มนาฬิกาเลยเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว แต่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง น้ำย่อยก็เริ่มกัดกร่อนกระเพาะอาหาร อินจึงมองหาร้านอาหารข้างทางเพื่อฝากท้องเอาไว้สำหรับมื้อเกือบเย็น 

“เป็นดาราก็มีข้อดีเหมือนกันเน้อะ กูไม่น่าโทรหาไอสารวัตรปราปให้มันด่ากูตั้งแต่แรกเลย” อินบ่นพลางทำหน้าล้อเลียน 

“โกรธอะไรขนาดนั้นครับ”

“ไม่ได้โกรธ แค่หมั่นไส้”

“งั้นจะไม่บอกข้อมูลที่ได้มากับสารวัตรเหรอครับ”

“ต้องบอกด้วยเหรอ เป็นตำรวจเหมือนกันนิน่าจะหากันเองได้ป่ะ”

สิงแอบอมยิ้มกับความเจ้าคิดเจ้าแค้นและอาการปากไม่ตรงกับใจ ไหนบอกไม่โกรธแค่บอกข้อมูลสำคัญที่ได้มากับนายตำรวจเจ้าของคดีร่างโปร่งยังไม่อยากจะทำเลย

“แล้วเราจะเอายังไงกันดีครับ เรื่องฆาตกร”

“หายากเหมือนกันนะ สิบแปดปีที่แล้วกล้องวงจรปิดไม่น่าจะมี คงต้องใช้วิธีโบราณ”

“ยังไงครับ”

“ถามครอบครัวเหยื่อไง”

“มันจะดีเหรอครับ เหมือนไปตอกย้ำความเจ็บปวดของพวกเขาเลย”

“ถ้างั้นจะให้ไปถามใคร คนในพื้นที่เหรอ ทวดมึงเคยอยู่สิงหนครนิอยู่แถวไหนอะ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ สิงแค่เคยได้ยินพี่เสือบอกคงต้องถามยายน้อย”

“งั้นเริ่มจากยายน้อยก่อนเลย แต่เรื่องนี้ไว้ค่อยว่ากันวันหลัง ตอนนี้มึงสนใจแค่เรื่องทำพิธีก็พอ”

“ครับ ว่าแต่พี่อินเหนื่อยรึยัง อยากไปเที่ยวสงขลาไหม”

มุมปากข้างนึงยกขึ้นอย่างพอใจกับความคิดของเจ้าบ้าน “ก็ดีเหมือนกันนะ กูไม่เคยมาที่นี่มาก่อน อยากเห็นเหมือนกันว่าหาดใหญ่มันเป็นยังไง” 

“งั้นเรารีบกินไหมครับ จะได้รีบไป”

“จัดไป”

อาหารตามสั่งคนละจานหมดไปอย่างรวดเร็ว พอท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้อินชะงักไปก่อนที่จะได้ออกตัวรถ เพราะเส้นทางที่คนน้องบอกมันเป็นเส้นทางที่ต้องผ่าน ‘โค้งอันตราย’ 

“มันมีทางเดียวเหรอวะไอสิง”

“ทำไมเหรอครับพี่อิน”

“ก็มันผ่านทางที่เราผ่านเมื่อวันก่อนไง”

สิงยิ้มแห้ง “จริง ๆ มันก็มีทางสายเก่าครับ แต่ระยะทางมันไกลกว่ากันหลายกิโล”

อินพ่นลมออกจากปากด้วยความรำคาญใจ “มึงยัดหูฟังใส่รูหูไว้เลย จะได้ไม่ได้ยินห่าเหวอะไรอีก”

“แต่ผมก็ยังได้กลิ่นอยู่ดีนะครับ” สิงหันไปยิ้มซื่อ ๆ ให้คนพี่

“ช่างแม่ง! ขับเร็ว ๆ เอาแล้วกัน”

“มันมีกล้องตรวจจับความเร็วนะครับ” สิงหาทางแกล้งคนพี่เล่น ไม่อยากให้อินเครียดและตื่นกลัวกับเรื่องพวกนี้จนเกินไป 

แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผล เพราะอีกฝ่ายกลับทำหน้าเครียดหนักกว่าเดิม แถมยังหันมามองค้อนคน(หัด)แกล้งอย่างเอาเรื่อง “ไอสิง มึงกวนตีนกูเหรอ”

สิงระเบิดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “ขอโทษครับ ก็สิงไม่อยากให้พี่อินเครียด เรามีพระที่หลวงปู่ก้อนให้มาอยู่นะครับ คงไม่เป็นไรหรอก”

“ขามาก็กูใส่เหอะ!”

“เขาแค่มาขอส่วนบุญครับ เราทำบุญให้พวกเขาซะก็จบเรื่องแล้วครับ เชื่อสิงนะไม่มีอะไรหรอก”

“มีหรือไม่มีอยู่กับเด็กดูดวิญญาณแบบมึง ยังไงก็ต้องเจออยู่ดี”

“นี้ผมมีฉายาอะไรบ้างครับเนี่ย เยอะแยะไปหมดจำไม่ได้แล้ว” สิงแกล้งพูดหยอกเย้าร่างโปร่ง ยังคงไม่ลดละความพยายามที่จะทำให้อีกฝ่ายเลิกคิดถึงเรื่องน่ากลัวพวกนั้น

“ไม่ต้องจำหรอก กูครีเอทใหม่ให้มึงทุกวันแบบไม่คิดเงิน”

“ขอบคุณครับ” สิงหันไปยิ้มให้

“คุยกับมึงแล้วเสียเวลา ไปดีกว่า เจอผีก็เรื่องของมึงเลย สวดคาถาของมึงไปละกัน!”

ประชดจนพอใจแล้วค่อยหันกลับไปขับรถตรงไปยังจุดหมายปลายทาง ขับรถไปเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึง ‘โค้งอันตราย’ จุดที่อินเร่งความเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว โดยไม่แคร์ว่ากล้องจับความเร็วจะถ่ายภาพเอาไว้ได้รึเปล่า เขาขอแค่ผ่านตรงนี้ไปให้เร็วที่สุดก็พอ 

รถขับมาไกลจากโค้งอันตรายพอสมควร อินจึงค่อยผ่อนความเร็วลง เขาหันไปสังเกตสีหน้าสิงแต่กลับไม่พบอาการผิดปกติเหมือนขามา 

“เจออะไรไหมวะ”

สิงพยักหน้าตอบ

“แล้วทำไมไม่บอกกู”

“จะให้สิงบอกอะไรละครับ ให้ขับเร็วขึ้นเหรอครับ พี่อินเล่นเหยียบจนเกือบมิดไมล์ขนาดนั้น ยังจะเร็วกว่านั้นได้อีกเหรอ”

“นี้มึงประชดกูเหรอไอสิง!”

“สิงเปล่าซะหน่อยครับ ก็แค่ไม่รู้ว่าจะบอกอะไร แถมวิญญาณพวกนั้นก็ดูเหมือนจะยืนอยู่ข้างทางเฉย ๆ ไม่ได้ตามมาเหมือนครั้งก่อน”

“ไหงเป็นงั้นวะ”

“ไม่รู้ซิครับ สิงไม่ใช่ผีพวกนั้นเลยตอบไม่ได้”

“มึงอยากลงเดินไหมน้องรัก” อินประชดเสียงแข็ง

เด็กหนุ่มทำหน้าเจื่อน “แฮ่ ๆ ไม่ดีกว่าครับ” เขานั่งเงียบอย่างเจียมตัว ไม่ทำให้ร่างโปร่งโกรธอีกจะเป็นการดีที่สุด 

อินขับรถไปเงียบ ๆ โดยมีเสียงเพลงคลอเบา ๆ เมื่อรถเก๋งเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตเมือง อินก็เริ่มกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสนอกสนใจกับความเจริญในต่างจังหวัด 

“หาดใหญ่เจริญกว่าอยุธยาบ้านกูซะอีก”

“มันเป็นเขตเศรษฐกิจของภาคใต้ครับ เลยได้รับการพัฒนามากกว่าส่วนอื่น ๆ”

“ก็จริง ทางที่ผ่านมากับตัวเมืองหาดใหญ่ ต่างกันลิบลับเลย”

“พี่อินไม่เคยมางานอีเวนต์ที่หาดใหญ่เลยเหรอครับ”

“เคยจะได้มาละ แต่ติดโควิดซะก่อน อดเลอะ”

“งั้นพี่อินอยากไปเที่ยวที่ไหนครับ”

“ที่ไหนน่าไปบ้าง”

“สิงเองก็ไม่แน่ใจครับ เคยมาหาดใหญ่ตั้งแต่ตอนที่พ่อกับแม่ยังอยู่ มันเด็กมากจนจำอะไรไม่ได้แล้ว” 

“กูอยากกินไก่ทอดหาดใหญ่”

“หึ ๆ ที่กรุงเทพก็มีนะครับ”

“มันไม่ออริจินอล ยูโนวว”

“มีร้านดังอยู่นะครับ”

“ร้านไหน?” คนพี่ถามอย่างกระตือรือร้น ราวกับว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาพวกเขาไม่ได้แวะกินข้าว หรือมันเป็นเพียงแค่อาหารเรียกน้ำย่อย (?!)

รถแล่นเข้ามาในตัวเมืองที่ถนนเริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ แถมการจราจรก็เริ่มติดขัดมากขึ้นและยังต้องเพิ่มการขับขี่อย่างระมัดระวัง เพราะคนในเมืองหาดใหญ่มักจะใช้มอเตอร์ไซค์ในการสัญจรไปมาในระยะทางสั้น ๆ 

“เชี้ย! หอมวะไอสิง ไปรีบไปกัน” ลงมาจากรถไม่ทันไร จมูกเจ้ากรรมก็ได้กลิ่นไก่ทอดมาจากร้านที่น้องแนะนำ น้ำย่อยในเรียกให้คนพี่รีบคว้ามือน้องเดินเร็วไปต่อคิวที่หน้าร้าน 

“พี่อิน! พี่อินใช่ไหมคะ?!” เด็กวัยรุ่นผู้หญิงที่ยืนต่อคิวก่อนหน้าหันมาทักเมื่อเห็นใบหน้าหล่อคมคายของดาราหนุ่มที่ยืนอยู่ติดกัน เรียกว่าบัตรวีไอพียังเข้าใกล้ไม่ได้ขนาดนี้เลย

อินยิ้มหล่อ ๆ กลับไปให้เธอหนึ่งแมชเป็นการตอบคำถามอีกฝ่ายโดยไม่ต้องพูดอะไร แต่นั่นเป็นตัวจุดชนวนชั้นดีเพราะหลังจากเธอได้รับรอยยิ้มพิฆาตนั้นไป เสียงกรี๊ดของเจ้าหล่อนเรียกความสนใจจากคนทั้งซอยให้หันมามองพวกเขากันเป็นตาเดียว 

อินรับศึกหนัก ถ่ายรูปกับแฟนคลับทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ไปเกือบสิบนาที นั้นรวมถึงแม่ครัวและเจ้าของร้านขายไก่ทอดหาดใหญ่ด้วย 

ถึงแม้อินจะยิ้มจนกรามค้าง แต่สุดท้ายดาราหนุ่มและเด็กหมายักษ์ก็ได้รับค่าตอบแทนเป็นการกินไก่ทอดหาดใหญ่ รวมไปถึงชาชักฟรีแบบไม่อั้น ถึงแม้อินจะชอบใจกับค่าตอบแทนแค่ไหนแต่เขาไม่สามารถเอาหน้าที่การงานมาหากินได้ อินจำต้องยัดเงินค่าอาหารให้กับเจ้าของร้านพร้อมกับคำชม ก่อนจะมุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไปเพื่อเดินย่อย

 

“เชี้ย! โคตรสวย” อินรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปวิวเมืองหาดใหญ่จากยอดเขาคอหงส์ “ไอสิง มาถ่ายรูปกัน”

อินดึงน้องให้เขามายืนประชิดตัว แล้วเก็บภาพเอาไว้เป็นความทรงจำดี ๆ ช่างภาพกดชัตเตอร์ไปเป็นสิบครั้งเปลี่ยนมุมถ่ายไปหลายรอบกว่าจะได้ภาพที่ต้องการ คนมีหน้าที่ยืนนิ่ง ๆ เป็นหุ่นและทำตามคำสั่งปล่อยให้อินจัดแจงจนพอใจอย่างไม่ปริปากบ่น 

“พี่อินชอบที่นี่ไหมครับ”

“โคตรชอบ!”

“สิงดีใจที่พี่อินชอบนะครับ” 

“แล้วมึงไม่ชอบเหรอ?”

“สิงชอบทุกที่ที่มีพี่อินอยู่ครับ”

อินมองจ้องใบหน้าสิงครู่ใหญ่ ราวกับต้องมนต์สะกดอะไรสักอย่างจากความซื่อของเด็กหมายักษ์ จังหวะของหัวใจยังเต้นเป็นปกติแต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจแปลก ๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้คนตรงหน้า อาจเป็นเพราะเขาเห็นสิงมาตั้งแต่เด็ก แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ มันเริ่มก่อตัวมาตั้งแต่ตอนไหนเขาเองก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือ...

“กูชอบมึงวะสิง” 

สิงหันไปสนใจวิวเมืองตรงหน้า ทำให้ไม่ได้ใส่ใจฟังในสิ่งที่อินพูด ได้ยินเพียงแค่คำเรียกชื่อตัวเองเท่านั้นจึงเอ่ยปากถามย้ำ “อะไรนะครับพี่อิน?” 

“มะ…ไม่มีอะไร ดูวิวดีกว่า” อินพูดตะกุกตะกัก พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย เพื่อไม่ให้น้องหันมาสนใจเรื่องเพ้อเจ้อของตัวเอง พลางก่นด่าในใจให้เลิกคิดเพ้อเจ้อกับน้องชายเพื่อนสนิท 

เด็กหนุ่มเจ้าถิ่นพาอินเที่ยวอีกสองสามที่ก่อนจะมาจบทริปที่หน้าหาดสมิหลา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์กำลังตกดินพอดี สีส้มจากแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์อยู่ตรงเส้นขอบฟ้า ไล่สีอ่อนจนเบลนด์เข้ากับสีน้ำเงินเข้มได้อย่างสวยงาม ยิ่งทำให้ภาพบรรยากาศดูโรแมนติกมากขึ้นไปอีก

“ทะเลนี้ดีจังวะ” อินพูดในขณะที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นทราย เงยหน้าขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์ที่หาจากเมืองกรุงไม่ได้ กลิ่นเค็มของน้ำทะเลทำให้เด็กที่เกิดในถิ่นลุ่มแม่น้ำผ่อนคลายและหลงลืมสถานการณ์อันตรายที่กำลังเผชิญอยู่ 

“จบเรื่องนี้ เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหมครับ” 

อินหันมามองนัยน์ตาสีเทาเกือบขาวของเด็กหมายักษ์ เขาระบายยิ้มสายตาจ้องมองน้องด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ “เอาดิ ถึงตอนนั้นมึงคงมองเห็นแล้ว ถ้ามึงอยากไปที่ไหน มึงบอกกู กูจะพาไปทุกที่เลย”

สิงยกยิ้มกว้าง จนตาที่เคยกลมโตกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว “ขอบคุณนะครับ” เสียงของความรู้สึกที่มากล้นจนเกินเก็บตะโกนบอกให้เขาพูดความในใจกับคนพี่ ในสถานที่ที่เป็นใจ “เอ่อ… พี่อิน…”

ร่างโปร่งเลิกคิ้วรอฟังในสิ่งที่คนน้องกำลังจะพูด แต่มันดูพูดยากราวกับกลัวว่าดอกพิกุลทองจะร่วงหล่นออกจากปาก จนคนฟังต้องคอยลุ้นไปด้วย

“เอ่อ…คือ…”

“คือ?”

“สิง…ชะ ชอบ”

“ชอบ?”

“ชอบ…ชอบที่นี่มากเลยครับ”  

ผีที่เจอมาทั้งชีวิตยังกลัว นับประสาอะไรกับความรู้สึกของคนพี่ หากเขาบอกไปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอินไม่เหมือนเดิมเขาจะทำยังไง

สิงไม่อาจเสียคนตรงหน้าไปได้ ต่อให้จะต้องเป็นพี่น้องไปจนตาย เขาก็ต้องยอมรับมันให้ได้ 

“ไอสิง ไอห่า! กูอุตส่าห์รอฟัง เดี๋ยวนี้กวนตีนกูเก่งขึ้นนะ” อินชี้หน้าด่าคนน้องอย่างไม่จริงจัง

“ขอโทษครับ”

“มันน่านัก” อินพูดจบก็พุ่งตัวใส่ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นยีหัวทุย ๆ จนผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด ด้วยน้ำหนักตัวที่แตกต่างกัน คนนึงเต็มไปด้วยมัดกล้ามอีกคนผอมแห้งจนหนังติดกระดูก คนที่ต้องรองรับน้ำหนักเยอะกว่าไม่สามารถสู้แรงได้จึงล้มตึงลงบนพื้นทราย 

แต่อย่าหวังจะได้เจอกับจังหวะโรแมนติกเหมือนในซีรีส์ เพราะมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้กับชายที่ชื่อว่าอิน แม้จะล้มลงไปจนใบหน้าอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งเซน แต่เขาเลือกที่จะเป่าลมปากพิฆาตที่เพิ่งผ่านการกินกระเทียมและหัวหอมมาอย่างจัดเต็มเป็นการแสดงความรักตามแบบฉบับของตัวเอง 

สิงหลับตาตามสัญชาตญาณทันทีที่มีแรงลมมาปะทะ แต่ประสาทรับกลิ่นกลับตั้งตัวไม่ทัน รับกลิ่นอาหารจากลมปากของอินมาเต็มสตรีม 

“ไก่ทอดหอมมากเลยครับ” สิงประชด

“ฮ่า ๆ กินอีกไหมล่ะ?” อินระเบิดหัวเราะ พ่วงด้วยการแถมลมหายใจพิฆาตไปให้อีกระลอก ก่อนจะยอมปล่อยให้อีกคนเป็นอิสระ

“พรุ่งนี้เขาจะทำพิธีกี่โมงวะ”

“เริ่มช่วงเย็นครับ คนใต้เรียกว่ายามนกชุมรัง” 

“ไอยามนกชุมรังนี่มันกี่โมง”

“หกโมงเย็นครับ”

“เวลาโพล้เพล้เลยนี่หว่า เรียกยามผีชุมดูจะเข้าใจง่ายกว่า”

“พี่อินกลัวเหรอครับ”

“ผีน่ะครับน้อง ก็ต้องกลัวซิครับ”

“แต่ถ้าสิงทำพิธี ผีตายายจะมาอยู่ในร่างสิงนะครับ พี่อินจะไม่กลัวสิงเหรอ”

อินกลอกตาไปมาอย่างคิดหนัก พลางเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรงไม่กล้าถามน้องออกไปตรง ๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ถามออกไปจนได้ “จะบอกว่าไม่กลัวก็ดูตอแหล แต่ยังไงมันก็ร่างกายมึงอยู่ดี ต่อให้วิญญาณจะไม่ใช่ก็เหอะ ว่าแต่…”

“อะไรเหรอครับ”

“เค้าจะเข้าร่างมึงตลอดไปเลยรึเปล่าวะ” 

“ไม่หรอกครับ แค่บางช่วงเท่านั้น”

“แล้วรู้ได้ไงว่าเค้าจะเข้าตอนไหน”

“เท่าที่รู้น่าจะเป็นแค่ช่วงทำพิธีครับ”

“ไม่ใช่ว่าอยากจะเข้าตอนไหนก็เข้าเหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่เท่าที่เคยได้ยินมาคือตอนทำพิธี โนราห์ใหญ่จะเป็นคนเชื้อเชิญมาประทับทรง”

อินถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก “กูนึกว่าอยากจะเข้าตอนไหนก็เข้า ถ้าเป็นแบบนั้นกูได้หัวใจวายตายพอดี”

สิงยกยิ้มอย่างนึกเอ็นดู “ท่านแค่คอยอยู่ข้าง ๆ เฉย ๆ ครับ ไม่เข้าร่างผมหรอกถ้าไม่ได้ทำพิธี”

“คอยอยู่ข้าง ๆ ก็น่ากลัวเหมือนกันโว้ย!”

“งั้นพี่อินจะไม่ให้สิงอยู่ด้วยเหรอครับ” สิงแสร้งทำหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร 

“มึงอยู่กับกูมาจะเดือนนึงแล้วไอสิง ไอห่านี้เดี๋ยวกูทุบให้”

 

สองคนพี่น้องพูดคุยหยอกล้อกันอยู่พักใหญ่ คนพี่ก็เริ่มหิวขึ้นมาอีกระลอก สิงที่อาหารยังเต็มกระเพาะต้องตามใจควานหาร้านอาหารทะเลชื่อดังมาให้

คนหิวรีบขับรถบึ่งตรงไปยังเกาะยอ ที่ตั้งร้านอาหารทะเลขึ้นชื่อของเมืองสงขลา ขนาดกินไปเยอะมากแล้วแต่อินก็ยังกวาดกุ้งหอยปูปลาเกือบห้ากิโลหายลงท้องไปอย่างรวดเร็ว 

พอท้องอิ่ม หนังตาก็เริ่มหย่อน อาการง่วงเหงาหาวนอนของร่างโปร่งก็เริ่มถามหาฟูกนอนนุ่ม ๆ สมรรถภาพของรถญี่ปุ่นจึงถูกขุดออกมาใช้อีกครั้ง รถแล่นตรงไปบนถนนทางหลวงเส้นเก่าเส้นเดิม แตกต่างแค่ตอนนี้ฟ้ามืดสนิทแล้ว มีเพียงแสงจากไฟหน้ารถของรถที่สัญจรผ่านไปมาบนเส้นทางหลักนี้เท่านั้น

รถขับเข้าสู่ถนนเส้นรองมาสักพัก กลิ่นอ่อน ๆ ที่คุ้นเคยโชยมาเตะจมูก สิงที่นั่งฟังเพลงอยู่เงียบ ๆ เด้งตัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติแล้วรีบหันหน้าไปตรงไหล่ทาง

“มีอะไรรึเปล่ามึง” อินเห็นอาการแปลก ๆ ก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา ไม่รู้ว่ามันไปสัมผัสเจออะไรเข้าอีก 

“เอ่อ…ไม่มีอะไรครับพี่อิน” สิงตอบเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะหันกลับมาฝืนยิ้มให้ 

“เห็นผีอีกแล้วอะดิ พรุ่งนี้ไปทำบุญไหมล่ะ” 

สิงฝืนยิ้ม “ก็…ได้ครับ” เป็นการดีกว่าหากไม่บอกเรื่องนี้ให้อินรู้ เขาเลือกที่จะไม่อธิบายอะไรปล่อยให้อินเข้าใจไปเองว่าเขาเจอกับสัมภเวสีผีเร่ร่อนทั่วไปอย่างที่เจออยู่บ่อย ๆ 

 

ตึง!

 

“เชี้ยไรตกใส่หลังคารถวะ” อินอุทานด้วยความตกใจ เมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีวัตถุอะไรบางอย่างตกกระทบลงบนหลังคารถ เขาผ่อนคันเร่งลงพลางเงยหน้าขึ้นสำรวจหลังคาที่เกิดการยุบตัวเล็กน้อย 

“พี่อินอย่ามองครับ ขับรถต่อไป” เสียงกดต่ำของน้องทำให้อินหันกลับไปมองด้วยหน้าถอดสี ราวกับเข้าใจความหมายของสิ่งที่สิงต้องการบอก 

“เชี้ยเอ้ย! หลังจากจบเรื่องนี้กูจะทำบุญเก้าสิบเก้าวัด!” อินหันกลับไปโฟกัสกับการขับรถตามที่น้องบอก สายตาเพ่งมองทางข้างหน้าด้วยความหวังที่อยากให้ระยะทางมันสั้นลงสักนิดก็ยังดี 

“เห้ย! ไอสิง! พวงมาลัย พวงมาลัยโว้ย!” อินตะโกนดังลั่นอย่างลนลาน เมื่อไม่สามารถบังคับทิศทางของพวงมาลัยได้ 

รถเก๋งญี่ปุ่นขับส่ายไปมาอยู่บนถนนยางมะตอยขนาดสองเลนส์ ไฟส่องสว่างข้างทางก็ติด ๆ ดับ ๆ ราวกับหลอดไฟใกล้พังเต็มที ไม่รู้ว่าจะเป็นเคราะห์ดีหรือร้ายที่ไม่มีคนสัญจรไปมาบนเส้นทางนี้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุกับรถคันอื่น ๆ 

สิงรีบยกมือขึ้นไปจับพวงมาลัยแล้วเริ่มสวดบริกรรมคาถา 

 

ตะ มตฺถํ ปะกา เสนโต สตํธา อะหะ อิเม อะวิตะ อฺ อะมิ มะสะ นะโม 

นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ นะโมพุทธายะ 

พาหฺง สะหํสสะ มะภินมิตะสา วฺธํนตงครี เมขะลํง อฺทิจโฆระสะเสนรํง ทานานทิ ธํมมะวิธินา ชิตวามฺนินโท ตํนเตชะสา ภะวะตฺ เต ชะยะมังคะลานิฯ โอมเพี้ยงให้มารจงพ่ายแพ้ล่าถอยนี้ไปในบัดดล 

 

การควบคุมบังเหียนกลับมาเป็นของอินอีกครั้ง ร่างโปร่งเร่งความเร็วมากกว่าเดิม เมื่อเห็นซอยเข้าบ้านสิงอยู่ห่างออกไปเพียงไม่ถึงสองร้อยเมตร เขาเตรียมเหยียบเบรกเพื่อที่จะเลี้ยวรถเข้าซอยเล็ก  

 

ตึก ตึก ตึก

 

อินพยายามย่ำเท้าลงไปบนแป้นเบรก แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทำงาน “ไอสิง! กูเหยียบเบรกไม่ได้!” อินร้องเสียงหลง

“พี่อินใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ประคองรถตรงไปข้างหน้าก่อน” เมื่ออินตั้งสติและกลับมาควบคุมรถในสถานการณ์เลวร้ายได้แล้ว เขาก็หลับตาทำสมาธิปล่อยให้จิตใจว่างเปล่า ไม่รับรู้ถึงสิ่งเร้าภายนอก แล้วค่อยบริกรรมคาถาอีกครั้ง

 

ตะ มตฺถํ ปะกา เสนโต สตํธา อะหะ อิเม อะวิตะ อฺ อะมิ มะสะ นะโม 

ปะถะมฺงพินุกฺงชาตํง ทฺติยฺงทํณฑะเมวะจะ ตะติยํงเภทะ กํญเจวะ จะตฺตถํง อฺงกฺสํมภะวํง ยะโมพฺธายะพินธฺ ทํณฑะเภทะ อํงกฺสิระ เอหิ เอหิ สวาโหม

 

เด็กหนุ่มทำตามที่ทวดเขียนไว้ในสมุดบทสวด ตั้งจิตให้มั่น และเพ่งสมาธิไปรวมกันที่จุดใดจุดหนึ่ง 

 

กรี๊ด!!!

 

เสียงกรีดร้องด้วยความโมโหดังลั่นออกมาจากวิทยุ จนอินเผลอยกมือขึ้นมาปิดหู ทำให้พวงมาลัยขาดการควบคุมไปชั่วขณะหนึ่ง รถที่กำลังพุ่งตัวลงไปในป่าข้างทางถูกพลิกให้หันกลับมาตามทางเหมือนเดิมด้วยสติที่ยังมีเหลืออยู่เพียงน้อยนิดของคนขับ

 

“เหี้ย!!!”

 

เอี๊ยดด!!!

ล้อรถเสียดสีไปกับพื้นถนนหลังจากที่อินเหยียบเบรกจนเต็มแรง เขาหลับตาปี๋ด้วยความกลัว พลางเงี่ยหูฟังเมื่อไม่ได้ยินเสียงอะไรจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองสิ่งที่ยืนขวางหน้ารถ 

“ไอเหี้ยสิง!!!” 

อินเรียกหาคนที่ยังคงอยู่ในสมาธิด้วยเสียงสั่นเครือ หลังจากที่สายตาสบเข้ากับภาพอันน่าสยดสยองของผู้หญิงที่ยืนอยู่บนกระโปรงหน้ารถ

ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วยเลือดชุ่มโชก นัยน์ตาขาวเบิกกว้าง จ้องมองชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ภายในรถด้วยความเคียดแค้น ชุดมโนราห์ที่สวมอยู่บนเรือนร่างขาดวิ่น ผ้านุ่งลายไทยเปรอะเปื้อนเลือดสีแดงสดจนเป็นดวงอยู่กลางเป้า ก่อนที่เลือดห่าใหญ่จะไหลออกมาจากหว่างขาราวกับเปิดก๊อก

ตึก ตึก ตึก 

“ไอสิง ไอสิงโว้ย!!! ช่วยกูด้วย!!!”

อินยกมือเขย่าตัวน้องเพื่อปลุกให้ตื่น โดยที่สายตายังคงจ้องค้างอยู่ที่ผีมโนราห์ มันกำลังก้าวเดินบนกระโปรงหน้ารถด้วยจังหวะเนิบนาบอย่างไม่รีบไม่ร้อน เหมือนรู้ว่าเหยื่อไม่มีทางหนีเธอพ้น

“ไอเหี้ยสิง!!! ถ้ามึงยังไม่ตื่นขึ้นมาตอนนี้ กูจะช็อกตายแล้วนะเว้ย!” อินโวยวายพลางเขย่าตัวสิง พยายามร้องเรียกหาทางรอดเดียวที่เขามีตอนนี้ 

แต่ไม่ว่าจะเขย่ายังไงสิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น อินทำอะไรไม่ถูกรีบถอดสร้อยที่สวมอยู่บนลำคอชูขึ้นไปตรงหน้าผีสาว หวังใช้มันเพื่อป้องกันตัว และทันทีที่นัยน์ตาของมันสบเข้ากับจี้พระเครื่อง ดวงตาสีขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน จากความเคียดแค้นที่สุมอยู่ในจิตวิญญาณ เส้นเลือกตรงขมับของมันแตกออก จนเห็นเป็นเส้นสีดำขยุกขยิกรอบกรอบหน้าซีด 

กรี๊ดด!!!

เสียงกรีดร้องของเธอดังจนทำให้กระจกรอบตัวรถแตกร้าว อินหลับตาปี๋ด้วยความกลัว มือทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหู ก่อนที่ในอีกครู่ต่อมาเสียงกรีดร้องจะค่อย ๆ สงบลง 

“พี่อิน” เสียงแหบพร่าส่งเสียงเรียกร่างโปร่งที่นั่งตัวสั่นเทาอยู่บนเบาะฝั่งคนขับ 

อินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองตามเสียงเรียก หรี่ตามองให้แน่ใจว่าไม่ใช่ผี “ไอสิง!” อินรีบยื่นมือไปกุมใบหน้าของน้องไว้ พลางมองสำรวจไปทั่วตัว “ทำไมเลือดกำเดาไหล แล้วทำไมกูเรียกมึงไม่ตื่น”

“ขอโทษครับ ผมทำอะไรเค้าไม่ได้เลย” ใบหน้าของเด็กหนุ่มซีดเซียวดูอิดโรยราวกับเพิ่งผ่านศึกหนัก เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดกำเดาและเหงื่อกาฬที่ผุดซึมอยู่ทั่วทั้งใบหน้า

“ทำอะไรกูไม่เข้าใจ แล้วมึงเป็นอะไร ทำไมเลือดกำเดาไหลแบบนี้” อินรีบใช้ฝ่ามือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาให้น้อง

“ผมพยายามขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำร้ายเราได้ แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย ขอโทษนะครับ”

“หมายความว่าไง นี้มึงสู้กับที่คนส่งมันมาเหรอ?”

“ผมเข้าถึงเค้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ผมอ่อนแอเกินไป”

“มึงจะไปสู้มันได้ยังไง มันเป็นหมอผี มึงเป็นแค่คนธรรมดา”

“...”

“เจ็บมากไหมวะ”

สิงส่ายหน้ารัวจนผมหน้าม้าแตกไม่เป็นทรง “ไม่เจ็บครับ แค่เหนื่อย”

“งั้นกลับบ้านกันเหอะ อยู่ตรงนี้นาน ๆ แม่งไม่ใช่เรื่องดีเลย”

รถเก๋งสีขาวกลับมาเคลื่อนตัวอีกครั้ง กระจกหน้ารถมีรอยร้าวแต่ยังมองเห็นทัศนวิสัยข้างหน้าได้อยู่ อินยูเทิร์นรถกลับไปทางเดิม เขาไม่ได้เร่งความเร็วมากนักเพราะไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุอีก

“ไปอาบน้ำไป เดี๋ยวกูไปต้มน้ำมาซับหน้ามึงให้”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นอนพักก็พอ”

“แน่ใจนะ”

“ครับ”

อินไม่อยากจะขัดน้องจึงเดินเข้าไปพยุงมันเข้าบ้าน ช่วยอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วเอนตัวนอนข้างกัน 

“ขอโทษนะครับ ที่ปล่อยพี่อินไว้คนเดียว พี่อินกลัวมากใช่ไหม”

“กลัวดิ ตัวยังสั่นอยู่เลย”

สิงรีบพลิกตัวไปกอดอินด้วยความรู้สึกสับสนปนเป ทั้งเป็นห่วง ทั้งรู้สึกผิด

“กูไม่เป็นไร” อินยกมือขึ้นเขย่าแขนสิงเบา ๆ พลางพูดปลอบเพื่อให้น้องหายขวัญเสีย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็เอาตัวแทบไม่รอดเหมือนกัน 

“พี่อินกลับกรุงเทพไปก่อนดีไหมครับ”

“ไม่!” อินตะโกนเสียงแข็ง เขาพลิกตัวหันไปมองจ้องเขม็ง “กูไม่ปล่อยมึงไว้คนเดียวหรอกสิง กูกลัวไอผีห่านั้นจนตัวสั่น แต่กูกลัวมึงเป็นอะไรไปเหมือนไอเสือมากกว่า เพราะฉะนั้นเลิกพูดเรื่องนี้แล้วนอนซะ พรุ่งนี้มึงต้องทำพิธี”

“ครับ”

“ไม่ต้องคิดมาก กูโอเค” อินพูดพลางดึงสิงมานอนบนท้องแขน เขาใช้มือข้างนึงลูบหัวยุ่ง ๆ ของเด็กหนุ่มที่นอนซบอยู่บนอกเพื่อกล่อมให้น้องหลับ 

“ฝันดีนะครับพี่อิน”

“อือ ฝันดี”

 

ฟ้ายังไม่ทันสางเสียงเรียกขานก็ดังออกมาจากทางหน้าบ้าน สิงที่ใช้พลังงานไปเยอะกับเหตุการณ์เมื่อคืน ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น อินจึงต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นไปดูด้วยตัวเอง 

“ยายน้อย พี่นิต มีอะไรรึเปล่าครับ” หลังจากเปิดประตูบ้านก็เห็นสองแม่ลูกยืนรออยู่แล้ว อินกล่าวทักทายก่อนจะเชิญแขกเข้าบ้าน 

“ทีมงานทวดพันเขาจะมาตั้งโรงโนราห์ลูก”

“อ๋อ เชิญเลยครับ มีอะไรให้อินช่วยไหมครับ”

“โรงโนราห์วางนอกบ้าน ทีมงานเขาน่าจะจัดการเอง แต่มันต้องตั้งหิ้งครูหมอโนราในบ้าน ว่าแต่สิงยังไม่ตื่นเหรอหนูอิน”

“น้องไม่ค่อยสบายเลยยังไม่ตื่นเลยครับยายน้อย”

“เอ้า! สิงเป็นอะไรน้องอิน” พี่นิตพูดแทรกขึ้นมา กลัวว่าสิงจะเป็นอะไรมากจนเข้าพิธีไม่ได้

“ไม่เป็นไรมากหรอกครับ แค่เหนื่อย ๆ”

“เอายาไหม เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้”

“ไม่เป็นไรครับพี่นิต ให้มันนอนพักก็พอแล้ว ขอบคุณนะครับ”

“งั้นหนูอินมาช่วยยายกับพี่นิตตั้งหิ้งครูหมอโนราแล้วกัน”

“ได้ครับ อินต้องทำอะไรบ้างครับ”

“เดี๋ยวยายขึ้นไปหยิบพานธูปเทียนอันเก่ามาทำความสะอาดก่อน แล้วค่อยไปเอาของใหม่ที่ยายเตรียมไว้ที่บ้าน”

“ได้ครับ”

อินเดินไปช่วยยายน้อยกับพี่นิตทำความสะอาดหิ้งครูหมอโนรา แต่ดูเหมือนคนที่กำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องจะจัดการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน ทั้งเปลี่ยนกระถางธูปใหม่ เปลี่ยนน้ำสะอาดในแก้วใหม่ เปลี่ยนดอกไม้บูชาช่อใหม่ รวมไปถึงผ้าขาวที่ใช้ขึงเป็นเพดานก็ถูกปลดลงมาซักทำความสะอาดแล้วเรียบร้อย 

“สิงมันเป็นคนรู้สาตั้งแต่เด็ก” ยายน้อยเอ่ยปากชมเด็กหนุ่มเป็นภาษาใต้ พลางเงยหน้ามองหิ้งไปยิ้มไป 

“แปลว่าอะไรเหรอครับ” อินหันไปถามคนใต้ทั้งสองคนเพื่อขอความช่วยเหลือในการแปลภาษาท้องถิ่น 

“ฮ่า ๆ มันแปลว่าสิงเป็นคนรู้ความรู้กาลเทศะตั้งแต่เด็กจ๊ะ” พี่นิตตอบแทนแม่ 

“อ่า~ ใช้ครับ มันคอยดูแลผมตลอดเลย ไม่รู้ว่าการไปรับมันมาอยู่ด้วยลำบากผมหรือมันกันแน่ ฮ่า ๆ”

“ยายต้องขอบใจหนูอินนะลูกที่เอ็นดูน้อง รับน้องไปดูแลแทนไอเสือมัน”

“ไม่ต้องขอบคุณแล้วครับ สิงมันเป็นน้องผมเหมือนกัน ผมรักมันเหมือนคนในครอบครัว ยังไงผมก็ต้องดูแลมันครับยายน้อย”

“เจริญ ๆ นะลูกนะ”

อินประนมมือรับพรจากคนแก่ ก่อนปีนขึ้นไปหยิบเชี่ยนหมากลงมา แล้วเดินตามยายน้อยกับพี่นิตไปที่บ้าน 

ยายนิตจัดเชี่ยนหมากด้วยหมากพลูสิบสองคำ ยาเส้นอีกหนึ่งตลับ ก่อจะให้อินเดินถือกลับมาวางไว้บนหิ้งตามเดิม ส่วนพี่นิตก็เดินถือเครื่องบูชาที่จะต้องวางไว้บนเพดานหิ้งตามมาข้างหลัง 

พอเดินขึ้นมาก็เห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าหิ้งพร้อมกับชายชราคนนึง ซึ่งน้องแนะนำให้คนพี่รู้จักว่าเขาคือโนราห์ใหญ่ คนที่จะมาทำพิธีให้ในวันนี้ และนอกจากนั้นยังเป็นน้องชายที่สนิทกันกับทวดภาส 

“สวัสดีครับทวดพัน”

“อินช้ายม้าย หล่อคลัน” [อินใช่ไหม หล่อมาก] ทวดพาสยกมือขึ้นลูบไหล่ร่างโปร่งเบา ๆ เป็นการทักทายตามแบบคนเฒ่าคนแก่ 

“แฮ่ ๆ ขอบคุณครับ” 

“เป็นดาราหนัง ไม่หล่อพรืออะทวด” [เป็นดารา ไม่หล่อได้เหรอทวด] พี่นิตที่ยืนอยู่ข้างหลังพูดผสมโรง

“ฮั้นเหอะ ไม่โร้หล่าว กูไม่ค่ายแลโททัศน์” [อย่างงั้นเหรอ พอดีไม่ค่อยชอบดูโทรทัศน์สักเท่าไหร่]

“แลมั้งและ ลูกหลานเติ้นกันเลาะนิ๊” [ดูบ้างซิ นี้ก็ลูกหลานทวดเหมือนกันนะ]

“แล็กเบอฮั่น กูนั่งแลหนังไอเสือกับพี่ภาส แกยิ้มไม่หุบนิ๊” [เมื่อก่อน กูเคยนั่งดูละครของเสือกับพี่ภาส แกยิ้มไม่หุบเลย]

“หลานแกเบอะ ภูมิใจมั้งไหร่มั้งแล” [หลานของแกนิ ก็ต้องภูมิใจบ้างเป็นธรรมดา]

“เออ ๆ เอา เอาเบี้ยไปใส่เชี่ยนหมากไปลูกไป” [เออ ๆ เอาเงินไปใส่เชี้ยนหมาก] ทวดพันยื่นเงินไปให้สิงเพื่อนำมันไปใส่ในเชี่ยนหมาก เขาปีนนำของถวายทั้งหมดขึ้นไปวางไว้บนหิ้ง หลังจากนั้นก็ให้ทุกคนไปรวมตัวกันที่ศาลพระภูมิ เพื่อจุดธูปบอกกล่าวให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านรับทราบและสร้างความเป็นสิริมงคล 

ทวดพันเดินไปบ้านยายน้อยเตรียมของคาวหวานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการทำพิธีหิ้วครูหมอโนรา รอให้โรงโนราห์ตั้งเสร็จแล้วค่อยทำพิธีโยงสายสิญจน์จากหิ้งไปที่โรงโนราห์ สองพี่น้องเจ้าบ้านจึงพอมีเวลาอาบน้ำแต่งตัว 

“มึงต้องเข้าทรงวันไหนวะสิง” อินถามน้องในขณะที่เดินไปสมทบกันที่บ้านยายน้อย 

“แล้วแต่พื้นที่แล้วก็โนราห์ใหญ่ครับ ปกติแล้วทวดพันจะให้ครูหมอโนราประทับทรงวันพฤหัส แต่แกบอกว่าของผมต้องทำวันศุกร์ วันสุดท้ายครับ”

“ทำไมวะ”

“สิงก็ไม่รู้เหมือนกันครับ”

สองคนพี่น้องเดินมานั่งช่วยทุกคนเตรียมข้าวของที่ใต้ถุนบ้านแล้วค่อยทยอยนำของไปวางไว้หน้าหิ้งเพื่อทำพิธี 

โรงพิธีเป็นโรงชั่วคราวทำจากไม้มีแปดเสา แบ่งออกเป็นพื้นที่ใช้ประกอบพิธีแปดส่วน คณะโนราห์ช่วยกันก่อสร้างคนละไม้คนละมือจนเสร็จภายในเวลาที่กำหนด 

“โรงใหญ่เหมือนกันนะครับ” อินเดินสำรวจโรงโนราห์ ก่อนจะเดินมาหยุดข้าง ๆ ทวดพันและสิงที่ยืนดูงานอยู่ข้างหน้า 

“มันเป็นพิธีกรรมโนราลงครูใหญ่ ต้องทำใหญ่สักฮิดนึง” [มันเป็นพิธีกรรมโนราลงครูใหญ่ ต้องทำใหญ่สักหน่อย] ทวดพันหันไปพูดกับหลานชายคนใหม่ 

“ผมเห็นมีหลายส่วนเลย มีอะไรบ้างเหรอครับ”

“ตรงกลางตัวโรงโนราเป็นรูปเส่เหลี่ยมไม่ยกพื้น เป็นเท่รำโนราห์ ตรงฮั้นพาไลช้ายตั้งเครื่องบวงสรวงสังเวยครูหมอโนรา ต้องยกพื้นสูงวางกับพื้นม้ายด้าย พื้นโรงปูกับสาดคล้าปูทับกับสาดกระจูดไว้วางหัวหมอกับบายศรี ข้างหลังตรงฮั่นเป็นเพิงพัก ไว้ห้ายโนราห์แต่งตัวเตรียมแสดง ตรงฮั่นเคาเรียกพนักทำกับไม้ไผ่ยังสองเสาฝังกับพื้นให้โนราห์นั่ง”

“โห่ มีรายละเอียดเยอะเหมือนกันนะครับ”

“ยังลุยหว่าฮันเหล่ย [มีเยอะกว่านั้นอีก] หลังคาก่าต้องทำเป็นหน้าจั่ว ของทวดทำจากมุงจากแบบเก่า แต่ของคณะอื่นก่าแล้วแต่เขา เสานี้ก่าต้องตั้งแปดเสาเท่าฮั้นไม่ขาดไม่เกินตามคนเฒ่าว่า”

“แล้วทำไมโรงโนราห์ถึงหันมาทางนี้ละครับ” อินถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ เพราะโรงโนราห์หันคนละทิศกับทางเข้าหน้าบ้าน ถ้าหากชาวบ้านรอบ ๆ สามารถมาดูได้ก็ควรตั้งให้หันไปทางถนน เพื่อให้คนผ่านไปผ่านมาได้เห็น 

“มันต้องหันทางทิศเหนือเหอว่าทิศใต้เท่าฮั้น ถ้าหันทิศเอินมันไม่ดี เขาว่ามันเป็นอัปมงคล” [มันต้องหันไปทางทิศเหนือหรือใต้เท่านั้น หากหันไปทิศอื่นมันไม่ดี เขาว่ามันเป็นอัปมงคล]

“รายละเอียดยิบย่อยเต็มไปหมดเลยนะครับ แล้วแบบนี้ใครจะมาสานต่อจากทวดละครับ”

“หลานชาย ตอนแรกว่าอีให้พ่อมัน แต่มันเบล่อเอาแต่กินเหล้าวัน ๆ หนึ่ง” [หลานชาย ตอนแรกว่าจะให้พ่อมัน แต่มันไม่รักดี แต่ละวันเอาแต่กินเหล้าเมายา]

อินยิ้มหน้าเจื่อนเมื่อต้องฟังทวดพันบ่นถึงลูกชายที่ไม่น่าจะเอาการเอางาน 

“เดี๋ยวทวดไปผูกสายสิญจน์โยงหลังคาก่อน สิงไปเอาหมากพลูที่บ้านยายน้อยมาเตรียมรอรับคณะโนราห์ไป” 

“ครับ”

สิงเดินจูงมืออินเดินตรงไปที่บ้านของยายน้อยโดยไม่เร่งรีบ เพราะยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะเริ่มทำพิธีในช่วงเย็น 

“ถ่ายรูปไว้เยอะไหมครับ” 

“โคตรเยอะ เปิดประสบการณ์ดูโนราห์ครั้งแรกในชีวิต”

“อยากเรียนรำด้วยเลยไหมครับ ทวดพันน่าจะดีใจ ฮ่า ๆ” สิงหรแกล้งแซว แอบอมยิ้มหน่อย ๆ ที่เห็นคนพี่สนุกกับเรื่องพิธีกรรมท้องถิ่นบ้านเกิด 

“พัก! กูเคยเรียนรำตอนที่เล่นหนังพีเรียด กูจะบ้า ปวดตัวปวดเอวปวดไปหมดทั้งตัว ไม่รู้จะให้งอไปถึงไหน งอจนนิ้วกูจะหัก”

“การรำต้องการความอ่อนช้อยนิครับ”

“แต่กูไม่มีไง ว่าแต่กูมึงเหอะ บรรพบุรุษเป็นโนราห์นิ”

“ใช่ครับ ทวดภาสก็เป็นโนราห์เหมือนกัน แต่ปู่กับพ่อไม่ได้สานต่อ”

“ทำไมวะ”

“สิงก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ เรื่องในอดีตไม่ค่อยมีใครยอมพูดถึงเท่าไหร่ ขนาดพี่เสือยังไม่รู้เลย แต่สิงเคยได้ยินพี่เสือทะเลาะกับทวด เรื่องที่ปู่กับพ่อตายเพราะไม่ยอมรับผีตายาย”

“งั้นมึงก็ต้องตายอะดิ ถ้าไม่รับ”

“ก็คงอย่างงั้นมั้งครับ”

“แล้วไอเสือมันดื้อด้านอะไรขนาดนั้นวะ ถ้าเกิดมึงตายขึ้นมาจะทำยังไง ไหนปากบอกเป็นห่วงน้อง”

“ปู่เป็นคนเลี้ยงพี่เสือมา พี่เสือเลยเชื่อฟังปู่มาก ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมปู่ถึงค้านหัวชนฝาขนาดนั้น แต่คงเป็นเรื่องใหญ่มาก”

“เอาเถอะ ยังไงมึงก็จะรับอยู่แล้ว ขอให้ผีตายายช่วยคุ้มครองมึงก็แล้วกัน ส่วนเรื่องของคนเฒ่าคนแก่ก็ปล่อยเค้าไปเถอะ”

ทั้งสองคุยกันมาเรื่อย ๆ จนถึงหน้าบ้านยายน้อย พี่นิตที่นั่งเตรียมของอยู่ใต้ถุนบ้าน จึงเอ่ยปากชวนทั้งคู่กินข้าวด้วยกัน สองพี่น้องเลยขอฝากท้องไว้กับที่นี่หนึ่งมื้อ 

พอตกเย็นถึงเวลาทำพิธี เจ้าภาพในงานนี้อย่างสิงจึงต้องออกไปต้อนรับคณะโนราห์ด้วยพานขันหมาก ซึ่งเป็นพานที่ใส่หมากพลู เพื่อเป็นการให้เกียรติและแสดงความเคารพ จากนั้นในช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็น คณะโนราห์ทำการขนอุปกรณ์ทุกชนิดที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมมาวางไว้ที่หน้าโรง จากนั้นทวดพันหรือโนราห์ใหญ่ก็เริ่มร่ายคาถาเพื่อขออนุญาตจากวิญญาณเจ้าที่ แล้วทำการเสกน้ำมนต์เพื่อใช้พรมอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมไปถึงโรงโนราด้วย 

เมื่อเสร็จขั้นตอนนั้นแล้ว ก็จะเป็นการไหว้ภูมิโรงเพื่อบวงสรวงตามความเชื่อด้วยอาหารคาวหวานหลากหลายอย่าง จากนั้นคณะดนตรีก็เริ่มบรรเลงดนตรีถวายครูหมอโนรา 

ดนตรี ‘สามตุ้งสามทับสามฉับสามเทิง’ บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีสามชนิดอย่าง กลอง ทับ และ โหม่ง เพื่อเป็นการบอกกล่าวแก่วิญญาณครูหมอโนราของเจ้าภาพให้ทราบว่ามีคณะโนรามาถึงบ้านแล้ว และบอกกล่าวให้ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ งานได้รับรู้ 

พอดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า พิธีกรรมการเบิกโรงจึงได้เริ่มต้นขึ้น กลอง ทับ โหม่งถูกนำมาวางไว้กลางโรงโนรา จากนั้นโนราใหญ่จะเข้ามาสวดมนต์และร่ายคาถาต่าง ๆ เพื่อขจัดเภทภัยและสิ่งไม่ดีออกไปจากพิธี เมื่อถวายหมากพลูแด่ครูบาอาจารเสร็จ นักดนตรีก็เริ่มบรรเลงเพลงโหมโรง จากนั้นจึงมีการกาศครูเป็นกลอนโนรา 

“หลังจากนี้จะเป็นพิธีสำคัญของวันนี้ อย่าลืมถ่ายไว้นะครับ” อินเห็นคนพี่วิ่งวุ่นไปทั่วงานเพื่อถ่ายภาพบรรยากาศเก็บเอาไว้จึงอดแซวไม่ได้ 

“เขาจะทำอะไรวะ” อินถามคนน้องในขณะที่หยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งเก็บลงกระเป๋ากางเกงเมื่อห้าวินาทีที่แล้วขึ้นมาถ่ายใหม่ 

“เขาเรียกว่าพิธีตั้งบ้านตั้งเมืองครับ เป็นการปักฐานจับจองที่ดินของคณะโนราในการประกอบพิธีตลอดสามวันสามคืน”

“โคตรขลัง” ไม่พูดเปล่าเดินฝ่าวงล้อมของผู้คนไปยืนถ่ายวิดีโอที่หน้าเวที 

หลังจากจบพิธีกาศครู โนราใหญ่ก็ออกมารำสิบสองท่า ซึ่งเป็นท่ารำที่ได้จากวรรณคดีไทยสิบสองเรื่อง  และมีการขับบทกลอนไปด้วยแต่ในขณะที่โนราใหญ่กำลังจะเปลี่ยนท่ารำเป็นท่าที่สอง พายุก็พัดโหมกระหน่ำจนหลังคาใบจากแทบจะปลิดปลิวไปตามแรงลม 

โนราใหญ่ชะงักไปครู่เดียว ด้วยเพราะมากประสบการณ์ ทวดพันจึงออกท่าร่ายรำและขับกล่อมบทกลอนต่อไป แม้จะมีลมจะพัดแรงแค่ไหนก็ตาม 

 

“ออกไปจากที่ของกู!!!”

 

เสียงที่สิงคุ้นเคยมาตั้งแต่ห้าขวบดังกึกก้องไปทั่วบริเวณพื้นที่จัดงาน แรงลมที่เคยกระโชกแรงกลับแน่นิ่งไปภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที เสียงตะโกนดังราวกับประกาศิตเรียกเสียงฮือฮาจากชาวบ้านที่มาร่วมงานได้เป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของผีตายาย 

ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เป็นเวลาเดียวกันกับที่โนราใหญ่ร่ายรำและขับกลอนครบสิบสองท่า จากนั้นสมาชิกในคณะโนราทุกคนก็จะออกมากราบครู เพื่อระลึกถึงครูบาอาจารย์ แล้วต่อด้วยการรำอวดความสามารถของโนราที่เน้นความบันเทิงให้กับชาวบ้านที่มาร่วมงาน จึงถือเป็นการเสร็จพิธีในวันแรก 

พิธีในวันต่อมาเริ่มในช่วงรุ่งสาง เป็นพิธีการเชิญครู คือการร้องเรียกครูหมอโนราด้วยบทกลอนประกอบดนตรีเพื่ออัญเชิญวิญญาณครูหมอโนราและสิงศักดิ์สิทธิ์องค์อื่น ๆ ให้มาชุมนุมกันในโรงพิธีเพื่อรับเครื่องเซ่นไหว้ เป็นอันเสร็จพิธีในช่วงเช้า 

สิงและอินไปช่วยยายน้อยขนกับข้าวหลายหม้อที่ทำไวมาเลี้ยงคณะโนราห์ ในขณะที่ล้อมวงกินข้าวกันอยู่ทวดพันก็ได้เอ่ยปากถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันพุธ 

“สิงหอนพบมันหม้าย” [สิงเคยเจอมันไหม?] ทวดพันถามด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียด ผิดแผกไปจากปกติที่มักจะยิ้มแย้มให้กับลูกหลานอยู่เป็นนิจ 

“ใครครับทวด” สิงเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจ

“แล็กวาฮั่นแหล๊ะ เท่ตายายยิกไปฮั้น” [เมื่อวานนั่นแหละ ที่ตายายไล่ไป]

สิงนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน 

“หลายหนครับ” [หลายครั้งครับ]

คำตอบของสิงทำเอาช้อนสเตนเลสในมือทวดพันร่วงหล่นลงในจานข้าวเซรามิก หน้าถอดสีทำให้อินจับสังเกตอะไรได้บางอย่าง แต่ไม่กล้าถามเพราะกลัวจะเสียมารยาท 

“กินข้าวต๊ะ ได้แขบทำพิธีต่อ” [กินข้าวเถอะ จะได้รีบทำพิธี]

คำพูดของทวดเหมือนเป็นคำสั่งที่ทุกคนในวงทำตามอย่างไม่ปริปากบ่น กินข้าวกินปลาเอาแรงกันเสร็จแล้ว สิงกับอินก็ยกจานชามไปล้างที่หลังบ้าน 

“เมื่อคืนตอนที่ลมพัด ไอผีนางรำนั้นมาที่นี่เหรอ” อินถามคนน้องทันทีเมื่ออยู่กันสองคน

“ครับ เธอยืนอยู่หลังสวนยาง”

“สวนยางด้านหลังเนี่ยนะ!” อินถามเสียงหลงพลางชี้นิ้วไปยังสวนยางพาราที่อยู่หลังบ้าน 

“ครับ”

“กูไม่รู้ว่าถ้ากูพูดไปมึงจะโกรธกูไหม แต่กูคิดว่าทวดพันต้องรู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับไอผีนั้น”

“...”

“ไอสิง”

“ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกันครับ”

“แล้วมึงจะเอาไง ถามแกไปตรง ๆ เลยไหม แต่กูดูท่าทางแล้วแกไม่น่าจะบอกอะไรมึง”

“งั้นคงต้องหาวิธีอื่นครับ คนแก่ดื้อจะตาย”

“เอาไว้ให้เสร็จงานก่อนแล้วกัน”

“ครับ”

สองพี่น้องช่วยกันล้างและจัดวางลงในกะละมังอย่างเป็นระเบียบ ก่อนช่วยกันขนกลับไปให้ยายน้อยที่บ้าน  ช่วงสายก็เริ่มพิธีอีกครั้ง ซึ่งพิธีในวันนี้มีความคล้ายคลึงกับพิธีกรรมตั้งบ้านตั้งเมืองเมื่อวันคืนวันพุธ เมื่อเสร็จจากการรำทำบทหน้าศาลแล้ว จะเป็นการรำทำบทสิบสองและออกพราน โดยบทกลอนที่ใช้ขับกล่อมถูกเรียบเรียงจากวรรณกรรมไทย 

โนราใหญ่จะขับกลอนประกอบการร่ายรำและสลับกับการเจรจาเพื่อสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชม มีนายพรานที่เป็นตัวตลกประจำคณะมาช่วยแสดงด้วย ชาวบ้านที่ทำการบนบานศาลกล่าวไว้ก็จะมาแก้บน 

“เขาทำอะไรกันวะ ทำไมชาวบ้านเอาของพวกนั้นมาไหว้โนราใหญ่”

“แก้บนครับ ชาวบ้านที่บนบานไว้กับครูหมอโนรา ถ้าได้ตามที่ขอก็จะต้องเอาของที่บนไว้มาแก้”

“อ่าา~ กูควรบนบ้างดีไหมวะ”

“พี่อินอยากบนว่าอะไรเหรอครับ”

“กูอยากให้เราผ่านพ้นเรื่องเหี้ย ๆ พวกนี้ไปได้สักที เกิดมากูยังไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย”

“บนได้ครับ แต่เราจะได้แก้ไหม อันนี้อีกเรื่องนึง”

“ไอสิง! ตบปาก!” อินถลึงตาใส่น้องอย่างคาดโทษที่พูดไม่คิด 

คนน้องรีบยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองตามสั่ง “ขอโทษครับ สิงแค่พูดเล่นเฉย ๆ”

“พูดเล่นก็ไม่ได้!”

“ค้าบบ”

หลังจากนั้นก็จะเป็นพิธีการผูกผ้าหรือครอบเทริด เพื่อเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นโนรา โดยจะมีการครอบเทริดให้กับผู้ที่ต้องการเป็นโนรา เมื่อเสร็จพิธีนั้นจะต่อด้วยพิธีกรรมตัดผมผีช่อ คล้ายผมแฟชั่นที่เรียกว่าเดทร็อค เชื่อว่าจะต้องตัดโดยโนราใหญ่ที่มีวิชาอาคมเท่านั้น หลังจากนั้นในช่วงสองทุ่ม จะมีการแสดงอีกครั้ง โดยเริ่มจากการกาศครู รำชุดเดี่ยว รำทำบท โต้กลอน และแสดงนิยายที่เป็นเรื่องแต่งขึ้นใหม่หรือเลียนแบบจากวรรณกรรม เป็นอันสิ้นสุดพิธีของวันที่สอง 

“สิง ต่อเช้าเตรียมตัวว้ายห้ายดีนะ” [สิง พรุ่งนี้เตรียมตัวไวให้ดีนะ] ทวดพันที่เพิ่งทำการแสดงเสร็จเดินมาพูดกับเจ้าภาพของงาน 

“ครับ”

“สิงต้องเตรียมตัวพันพรื่อมั้งทวด” [สิงต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง] ยายน้อยถามแทนหลาย

“นอนให้พอก่าได้แล้ว เข้าทรงมันต้องใช้พลังงานมาก”

“สิงจะกลับมามองเห็นไหมครับ” อินถาม

“ก่าไม่แน่ ถ้าแลตอเช้า” [ก็ไม่แน่ รอดูพรุ่งนี้]