"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา

แสงแรกของเช้าวันศุกร์พร้อมกับเสียงไก่ขันลอดผ่านเข้ามาทางช่องประตูหน้าต่างห้องนอน ปลุกให้สิงที่มีประสาทสัมผัสไวตื่นขึ้นมาก่อน 

“ทำไมพี่อินตัวรุม ๆ” อุณหภูมิร่างกายของอินสูงกว่าปกติจนสิงอดเป็นห่วงไม่ได้ จึงรีบเดินลงมาเตรียมน้ำและผ้าไปเช็ดตัวให้คนป่วย ก่อนเดินไปขอหยูกยาจากบ้านยายน้อย

“พี่อินครับ” สิงเขย่าตัวปลุกอินให้ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาที่เขาเตรียมไว้

“อือ… เช้าแล้วเหรอมึง” ร่างโปร่งตอบเสียงอู้อี้

“ครับ พี่อินตื่นมากินข้าวกินยาก่อนนะครับ” สิงพูดพลางช่วยพยุงให้อินนั่งพิงกำแพง แล้วเอี้ยวตัวไปหยิบข้าวต้มที่อุตส่าห์ไปทำมาป้อนให้คนพี่กิน 

“กินยาเพื่อ?” อินร้องท้วงแต่ก็ยังอ้าปากรับข้าวต้มที่น้องป้อน

“ก็พี่อินตัวรุม ๆ นิครับ กินยากันไว้ก่อนดีกว่า” 

ฝ่ามือเรียวแตะหน้าผากตัวเองอย่างงุนงง เขารู้สึกว่าตัวเองสบายดี แต่อุณหภูมิบนหน้าผากกลับร้อนผ่าว “กูไม่เป็นไร กูโอเค”

“กันไว้ก่อนครับ วันนี้ทำพิธีวันสุดท้าย”

“เออ ๆ แดกก็แดก” 

อินอ้าปากรับข้าวต้มเข้าปากจนเกือบหมดถ้วย ตามด้วยยาที่สิงบังคับกิน นอกจากนั้นเขายังต้องนอนพักต่ออีกหน่อยเพราะถูกไอเด้นบังคับให้นอนรอเวลาเริ่มพิธี

สิงหายไปช่วยงานตามที่คณะมโนราห์และยายน้อยสั่ง พอใกล้ถึงเวลาเริ่มพิธีถึงค่อยเดินไปปลุกอินให้ลุกไปอาบน้ำอุ่นที่เขาต้มเอาไว้ให้

พิธีในวันสุดท้ายไม่แตกต่างจากคืนก่อนหน้า มีเพียงการอัญเชิญตายายเข้าทรง การจับบทไกรทอง และ พิธีกรรมแทงจระเข้เท่านั้นที่แตกต่างกัน

เมื่อพิธีกรรมตั้งบ้านตั้งเมืองแล้วเสร็จ โนราใหญ่ก็เรียกสิงเข้าไปในบริเวณโรงโนราเพื่ออัญเชิญครูหมอโนรามาประทับทรงในช่วงหัวค่ำ

“พี่อินไหวนะครับ” สิงหันมาถามอาการป่วยของอิน ในใจนึกเป็นห่วงที่ต้องปล่อยให้อินอยู่คนเดียว 

“กูไหว มึงเหอะ ทวดพันบอกว่ามันต้องใช้พลังงานเยอะ มึงเตรียมตัวมาดีแล้วใช่ไหม”

สิงพยักหน้า “ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงสิงนะครับ”

“อือ โชคดีนะมึง”

 

ฟิ้ว ~

โนราใหญ่เริ่มทำพิธีเพื่อให้ผีตายายมาประทับทรง ในขณะที่สิงนั่งหลับตาทำสมาธิ จู่ ๆ ก็มีลมพัดโกรกเบา ๆ พัดพากระแสลมเย็นพอให้คลายร้อน สิงนั่งนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนที่เปลือกตาจะเบิกโพลงขึ้น เรียกเสียงฮือฮาจากชาวบ้านที่นั่งชมอยู่อย่างใจจดใจจ่อ 

ขาสองข้างพยุงตัวสิงให้ลุกขึ้นยืน มุมปากหยักยิ้มคล้ายพอใจอะไรบางอย่าง ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะประนมขึ้นตรงกลางอก ขาขวาย่อลง ขาซ้ายยกสูงขึ้นพร้อมงอเข่าเล็กน้อย มองดูคล้ายท่าเทพนม จากนั้นก็รำท่าทางต่อไปจนครบสิบสองท่า

‘สิงก็ยังคงเป็นสิง’ คือสิ่งที่อินคิดอยู่ภายในใจ พยายามปลอบโยนความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นอยู่ภายในห้วงความคิด เมื่อเห็นว่าในตอนนี้ร่างกายของสิงถูกควบคุมโดยผีตายาย

ใครบอกว่ากูจิตแข็ง ตอนนี้กูเริ่มจิตป่วยละ

สิงร่ายรำไปจนครบสิบสองท่า ก่อนกลับลงไปนั่งตามเดิม ชาวบ้านที่มาร่วมงานจึงเข้าไปถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ ซึ่งคำถามที่ถูกถามมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘เลขท้ายสามตัวคือเลขอะไร’

แต่ทุกคำถามล้วนถูกเมินโดยผีตายายทั้งสิ้น มีเพียงคำถามของยายน้อยเท่านั้นที่ผีตายายยอมตอบ

“ตายายเห้อ สิงมันอีหายตาบอดม้าย” [ตายาย ตาสิงจะหายบอดไหม]

“หึ ๆ” แค่เสียงหัวเราะก็ไม่ใช่เสียงของสิงแล้ว อินพยายามตั้งสติแล้วยกมือถือขึ้นถ่ายวิดีโอเก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน ในขณะที่คิดในใจว่าจะผิดไหมหากเขากลัวที่จะเข้าใกล้สิง 

“กูก่าม้ายด้ายทำให้มันตาบอด มันแลเห็นอยู่ แค่มันแลเห็นในสิ่งที่โบ้สู่แลไม่เห็น” [กูไม่ได้ทำให้มันตาบอด มันมองเห็น แค่มันมองเห็นในสิ่งที่พวกมึงมองไม่เห็น]

“แล้วหลานอีหายม้าย” ยายน้อยถามย้ำอีก เพราะเธอต้องการย้ำชัดให้แน่ใจว่าหลานชายจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง หลังจากการยอมรับครูหมอโนรา 

“...”

ผีตายายไม่ตอบคำถาม ทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปากเท่านั้น โนราใหญ่จึงหันไปพยักหน้าให้กับยายน้อยเพื่อบอกให้เธอรู้ว่าหลานชายของเธอจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง

“มึง!” 

สิงตะโกนเรียกอินเสียงดังพลางชี้นิ้วตรงมายังที่ที่เขานั่งอยู่ อินเห็นแบบนั้นก็หันมองซ้ายมองขวาอย่างลนลาน 

“หยุดสิ่งที่มึงคิดในใจซะ” 

อินถึงกับไปไม่ถูก อ้าปากหวอด้วยความตกใจปนสับสน ไม่รู้ว่าสิ่งที่ผีตายายสั่งให้เขาหยุดคิดคืออะไร เพราะตอนนี้ในหัวเขาขาวโพลนไปหมด 

“ผิดผี อุบาทว์!”

‘โอ้ว แรงส์!’ อินได้แต่สบทอยู่ในใจ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรที่เขาคิดแล้วมันผิดผี มันอุบาทว์ อินเค้นความสามารถในการดึงความทรงจำออกมาใช้งานอย่างหนัก พยายามคิดเรื่องที่ผีตายายต้องการจะสื่อ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออก จำต้องถามหาจากกึ่งคนกึ่งผีตรงหน้า “เอ่อ…หมายถึงเรื่องไหนเหรอครับ”

“เรื่องของมึงกับไอเด็กเปรตนี้ไง” 

อินรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อตไปทั่วร่าง ความรู้สึกที่เขามีต่อเด็กหนุ่มตรงหน้าย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ใจรู้สึกเจ็บแปล๊บตามคำด่าทอของผีตายาย 

อินเม้มปากแน่นจนเป็นเส้นตรง “ขอโทษครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง พลางก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาผีตายาย 

จู่ ๆ ฝ่ามือของสิงก็แตะลงบนศีรษะของคนแก่กว่า อินเหลือบมองสิ่งที่มองจ้องลงมาด้วยสายตาที่แข็งกร้าว แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความเอ็นดูจากนัยน์ตานั้น ก่อนที่อีกครู่นึงฝ่ามือนุ่นจะแผ่ความอุ่นวาบจากศีรษะลามไปถึงปลายเท้า

“กูช่วยได้แค่นี้”

ผีตายายพูดจบก็เดินกลับไปนั่งในโรงโนราตามเดิม เปลือกตาปิดลงเพียงชั่วครู่ เมื่อมันถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง นัยน์ตาที่เคยเป็นสีขาวขุ่นก็กลับมาเป็นนัยน์ตาดำเหมือนคนปกติ 

ภาพเบลอฉายอยู่ในโสตประสาทของสิง ราวกับภาพจากเลนส์กล้องที่ยังไม่ถูกโฟกัส เขาพยายามกะพริบตาเพื่อปรับการมองเห็น จากนั้นภาพแรกในชีวิตจึงค่อยฉายชัดจนทำให้แทบฝืนยืนไม่ไหว 

ใบหน้าคมคายได้รูป ดวงตาโฉบเฉี่ยวดูดุดัน คิ้วเข้มเรียงเส้นสวยงาม สันกรามเด่นชัดรับกับสันจมูกโด่งที่อยู่เหนือริมฝีปากกระจับบาง ผิวสีขาวเหลืองนวลเนียนขับให้เจ้าของเรือนร่างโดดเด่นกว่าใคร 

“พี่อิน” 

สิงเรียกชื่อของคนแก่กว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตามองจ้องใบหน้าของคนที่เขาอยากเห็นมากที่สุด

ดวงตาของอินเบิกกว้างและค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นด้วยความตกตะลึง ดีใจที่ได้เห็นว่าน้องกลับมามองเห็นอีกครั้ง เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แขนสองข้างอ้าออกเต็มความยาวเพื่อรอให้เด็กน้อยของเขาเข้ามากอด

“มานี้มา”

เสียงเรียกหาทำให้สิงพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุด แขนแกร่งทั้งสองข้างโอบรอบเอวคอด ใบหน้าซุกเข้ากับลาดไหล่แกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลเลอะเปรอะเปื้อนเสื้อขาวของอินจนชุ่ม

อินโอบกอดตอบน้อง มือข้างนึงลูบไล้เส้นผมนุ่ม อีกข้างลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังเพื่อปลอบโยน “มึงมองเห็นแล้วสิง”

“ครับ ผมมองเห็นแล้ว ผมมองเห็นพี่อินแล้ว” สิงกระชับอ้อมกอดให้แน่นมากขึ้น ราวกับไม่อยากให้อินหายไปจากสายตาคู่นี้อีก

“เป็นไง กูหน้าตาดีไหม” 

“หึ หล่อมากครับ เหมือนพระอินทร์เลย” 

อินรีบผละน้องออกจาอ้อมกอด “จริงป่ะ นี้กูกะว่าจะเข้าคลินิกหลังจากทริปนี้เลยนะ แบบนี้ไม่ต้องไปแล้วมั้ง~ ” 

เด็กหนุ่มหลุดขำออกมาเสียงเบา “ไม่ต้องแล้วครับ แค่นี้ก็หล่อกว่าพระอินทร์แล้ว”

“โทษที กูมันลูกรักพระเจ้า” อินยักคิ้วยิ้มรับคำชม

พิธีกรรมแทงจระเข้เริ่มดำเนินต่อ มันพิธีที่เชื่อกันว่าใช้ล้างอาถรรพ์ ขจัดสิ่งชั่วร้ายได้ ซึ่งเนื้อเรื่องมาจากเรื่องไกรทอง โนราใหญ่จะแสดงเป็นไกรทองที่ใช้หอกมหาชัยแทงหยวกกล้วย แทนการแทงจระเข้หรือชาละวันให้สิ้นใจ ระหว่างนั้นมีการแทรกกลางด้วยบทคล้องหงส์ เป็นการเอาเนื้อหาของวรรณกรรมเรื่องพระสุธน-มโนราห์ตอนพรานบุญจับนางมโนราห์มาแสดง เมื่อสิ้นสุดบทไกรทอง ก็จะต่อด้วยพิธีกรรมการเหยียบเสนที่เป็นการรักษาโรคผิวหนังชนิดหนึ่ง โดยมีชาวบ้านสองสามคนเข้าไปนั่งอยู่หน้าโรงโนราห์ เพื่อให้โนราใหญ่เหยียบเพื่อรักษา 

“เขาเหยียบอะไรกันวะ”

“ชาวบ้านมารักษาโรคผิวหนังครับ เห็นลุงคนนั้นไหม แกมีติ่งเนื้อนูนสีแดงอยู่กลางหลัง ต้องให้โนราใหญ่เหยียบให้เพื่อรักษาครับ”

“มันเป็นโรคที่เกิดจากสิ่งลี้ลับเหรอ”

“ครับ คนใต้เชื่อว่ามันเกิดจากครูหมอโนรา”

“แล้วโรคลมพัดลมเพล่ะ โนราหใหญ่รักษาได้ไหม”

“โดยส่วนใหญ่แล้วโนราใหญ่จะมีวิชาอาคม ถ้าเป็นแบบนั้นก็รักษาได้ครับ หรือหมอไสยขาวทั่วไปก็รักษาได้เหมือนกัน”

เมื่อเหยียบเสนรักษาให้ชาวบ้านจนครบทุกคน โนราใหญ่ก็เริ่มขับกลอนลาโรง บูชาและขอพรครูหมอโนรา ก่อนส่งครูหมอโนรารวมถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่น ๆ กลับสู่ถิ่นฐานที่จากมาก

โนราใหญ่กวักมือเรียกให้สิงและอินไปสวดมนต์ไหว้พระเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับวิญญาณชั้นต่ำที่สิงสถิตอยู่ในบริเวณบ้าน หลังจากนั้นโนราห์ใหญ่ก็แบ่งอาหารคาวหวานอย่างละเล็กละน้อยหลังจากที่ถวายเป็นเครื่องเซ่นให้กับครูหมอโนรา แบ่งไปให้วิญญาณชั้นต่ำพวกนั้น แล้วค่อยให้อินและสิงกรวดน้ำ 

เด็กหนุ่มรับอาสาเอาน้ำไปเทใต้ต้นไม้ใหญ่หลังบ้าน ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมยื่นซองค่าจ้างให้โนราใหญ่ และขอไถ่ที่ดินที่ใช้ประกอบพิธีโนราโรงครูคืน จึงเป็นอันเสร็จพิธีทั้งหมด 

“สิง สิงเห้อ!” ทวดพันตะโกนร้องเรียกชื่อหลาน พลางเดินเข้ามาหาในขณะที่สิงและคนอื่น ๆ ช่วยกันเคลียร์พื้นที่

“ครับ” สิงวางไม้กวาดในมือลง แล้วก้าวเข้าไปช่วยพยุงคนแก่ที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหา กลัวแกจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน 

“มากแรง เอาหลบไปต๊ะ ให้มาแค่ค่าครูพอ” [มากเกินไป เอากลับไปเถอะ ให้มาแค่ค่าครูก็พอ] ทวดพันพูดพลางยัดซองเงินที่ถูกเปิดแล้วให้สิง 

“ไม่พรือ ทวดเอาไปต๊ะ” [ไม่เป็นไรครับ ทวดรับไว้เถอะ] สิงกับทวดพันยื้อแย่งซองใส่เงินกันไปมา อินเห็นจึงเข้ามาช่วยเจรจาอีกแรง 

“ทวดรับไว้เถอะครับ พวกผมเต็มใจให้เป็นค่าครู ขอบคุณที่ทวดช่วยทำพิธีให้ พี่นิตบอกว่าทวดรับงานคนอื่นเอาไว้ แต่ต้องยกเลิกเพราะต้องมาทำพิธีให้สิง เพราะฉะนั้นรับไปเถอะนะครับ ถือว่าอินขอ” 

“จังฮู้เหม็ด เอาหลบไปเหล่ย” [เยอะเกินไป เอากลับไปอีก] ทวดพันยังคงไม่ยอมรับเงิน นี้ซินะที่เขาบอกว่าเวลาคนแก่ดื้อ มักจะดื้อกว่าเด็กเสมอ 

“ทวดรับไว้เถอะนะครับ เอาไว้สืบสานประเพณีต่อไปก็ได้ ถ้าอินไม่ได้มากับน้อง อินคงไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้”

“เอา ๆ พันฮั่นก่าได้ เดี๋ยวทวดเอาที่เหลือไปทำบุญ รับส่วนบุญส่วนกุศลหน่า” [เอาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวทวดเอาที่เหลือไปบุญ รับส่วนบุญส่วนกุศลน่ะ]

“สาธุ”

“สาธุ”

เมื่อรับบุญกันเสร็จก็ถึงเวลาอาหารค่ำ ยายน้อยและพี่นิตรับบทแม่ครัวอีกมื้อ หม้อข้าวหม้อแกงถูกยกออกมาวางเรียงไว้หน้าบ้าน เพื่อให้ชาวคณะโนราห์มาตักกินเอง ส่วนคนอื่น ๆ ตั้งวงกินกันในบ้านเหมือนเดิม 

“แล้วอิหลบกันวันไหนนิ๊” [แล้วจะกลับกันเมื่อไหร่] ทวดพันถามในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับมื้อค่ำ 

“ม้ายโร้ทีครับ ว่าอีโย่สักสองสามวันเหล่ย” [ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าจะอยู่อีกสักสองสามวันครับ]

“มานานคลันนะ” [มานานเหมือนกันนะ]

“ครับ” สิงยิ้มตอบก่อนจะหันกลับไปตักกับข้าวนู้นนี้นั้นให้อินกินจนพูนเต็มจาน 

“ไอสิง! พอก่อน กูกินไม่หมด” อินร้องท้วงพลางเบี่ยงจานข้าวหนี 

“พี่อินออกจะกินเยอะ จะกินไม่หมดได้ไงครับ” สิงพูดพลางทำหน้ายู้ 

“นี้มึงว่ากูอ้วนเหรอ”

“เปล่าครับ ผมแค่บอกว่าพี่อินกินเยอะ”

“งั้นก็ว่ากูตะกละตะกลาม”

สิงหลุดขำออกมาเบา ๆ กับท่าทางแง่งอนของคนตรงหน้า “พี่อินกำลังโตมากกว่าครับ กินเยอะ ๆ นะแหละดีแล้ว”

“กูแก่กว่ามึงสิบปีไอสิง กำลังโตห่าอะไรของมึง” สองพี่น้องพูดหยอกเย้ากันไปมา โดยลืมไปว่าพวกเขาไม่ได้นั่งกันอยู่แค่สองคน

ภาพการต่อล้อต่อเถียงของสองหนุ่มหล่ออยู่ในสายตาผู้เฒ่าผู้แก่ รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของยายน้อย พี่นิต และทวดพัน ราวกับไม้แก่แห้งเหี่ยวได้รับน้ำเย็นชโลมให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง 

“ยายดีใจน่ะ ที่สิงหลบมาแลเห็นเหมือนเดิม” [ยายดีใจน่ะ ที่สิงกลับมามองเห็นเหมือนเดิม] ยายน้อยพูดเสียงสะอื้น พลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากดวงตาด้วยความดีใจ 

สิงลุกขึ้นเดินไปหายายน้อย แล้วยกมือไหว้บนตักของแก “ขอบคุณครับยายน้อย” 

ยายน้อยยกมือขึ้นลูบหัวหลานชาย ก่อนจะให้พรอีกยกใหญ่ “อยู่เย็นเป็นสุข เจริญ ๆ นะลูกนะ หนูอินด้วยนะลูก” 

“ขอบคุณครับ” 

เมื่อเสร็จสิ้นการรับพรทุกคนก็กลับไปจัดการอาหารทุกอย่างลงท้อง

“พี่เอายามาเผื่อ เห็นตอนเช้าสิงมาขอบอกว่าอินไม่สบาย” หญิงวัยกลางคนยื่นแผงยาไปให้ดาราหนุ่มที่กำลังกินน้ำล้างปาก

“ขอบคุณครับพี่นิต” อินรับยามากินหลังมื้ออาหาร 

คนที่เด็กที่สุดในวงอาหารค่ำรับหน้าที่ทำความสะอาด ก่อนนำกลับไปคืนที่บ้านยายน้อย พอเดินกลับมาที่บ้านก็เห็นว่าโรงโนราถูกรื้อถอนไปหมดแล้ว

“ขับรถกลับบ้านดี ๆ นะครับ” สิงกับอินเดินมาส่งทวดพันขึ้นรถ แล้วหันไปพูดกับหลานชายที่รับหน้าที่เป็นพลขับ 

“ขอบคุณครับ”

 

คนที่กลัวผียังคงเกาะติดคนน้องไปอาบน้ำจากตุ่มหลังบ้านทุกคืน ไม่เว้นแม้แต่คืนนี้ สิงที่หน้าแดงจัดพร้อมกับผ้าขาวม้าพันกายจึงต้องเดินไปอาบน้ำกับอินแบบจำยอม

“เขินเหี้ยไร เมื่อวานก็อาบแบบนี้”

“แต่วันนี้…สิงมองเห็นแล้วนิครับ”

“กูรู้ แล้วของที่กูมีไม่เหมือนของมึงเหรอ” อินพูดพลางก้มลงไปมองแผ่นอกของตัวเองสลับกับของน้อง ที่ไม่มีอะไรแตกต่างกันยกเว้นมัดกล้ามที่มีมากกว่า 

“ปะ…ไปอาบน้ำกันเถอะครับ” สิงพูดยังไม่ทันจบก็รีบเดินเร็วลงไปที่ชั้นล่าง ลำบากคนพี่ต้องเดินตามคนเพิ่งมองเห็นหมาด ๆ กลัวจะล้มหกคะเมนจนได้แผล 

อินยืนมองดูคนน้องอาบน้ำแบบจ้วงเอาจ้วงเอาจนน้ำเกือบหมดถัง ไม่รู้ว่ามันหนาวหรือมันเขินจนต้องรีบอาบ แต่พอมันอาบเสร็จมันก็รีบจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้าน โดยไม่ยืนรอเขาเหมือนที่เคยทำ 

“ไอสิงโว้ย! รอกูด้วย!” คนกลัวผีรีบตัดอาบล้างคราบสบู่แล้ววิ่งตามกลับเข้าไปในบ้าน 

“ไม่รอกูเลยนะมึง” อินชี้หน้าคาดโทษคนน้องที่ปล่อยให้เขาอาบน้ำคนเดียวท่ามกลางความวังเวงของสวนยางพาราหลังบ้าน 

“ขอโทษครับ” 

“เขินห่าไรนักหนา เลิกเขินได้แล้ว กูเห็นของมึงเกือบทุกส่วนแล้ว” พูดพลางยื่นมือไปลวนลามคนน้องเล่นอย่างนึกสนุก 

“พี่อิน!” คนน้องรีบถดตัวหนี ก่อนที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแต่งตัวกันคนละมุมห้อง 

“เป็นไง เหนื่อยไหมวันนี้” อินที่แต่งตัวเสร็จทีหลังพูดกับสิงพลางเดินมานั่งบนฟูกนอน 

“พี่อินหมายถึงตอนเข้าทรงเหรอครับ”

“อือ”

“ตอนนั้นผมไม่รู้สึกตัวเลยครับ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ ตอนเก็บของหลังเสร็จงานน่าจะเหนื่อยกว่า”

“มึงมันเด็กพลังพิเศษ มึงมันยอดมนุษย์” อินประชด 

สิงมองหน้าล้อเลียนของร่างโปร่งไปยิ้มไป พลางใช้สายตาเมียงมองเก็บรายละเอียดทุกสัดส่วนทองคำบนใบหน้า ราวกับกลัวว่าจะมองไม่เห็นมันอีก ก่อนที่สายตาจะประสานเข้ากับสายตาของอีกฝ่าย สิงรู้สึกราวกับถูกสะกดจิต ปลายนิ้วเรียวถูกยกขึ้นมาสัมผัสลูบไล้ไปตามกรอบหน้าของคนพี่โดยที่ไม่รู้ตัว 

“ลูบขนาดนี้ เดี๋ยวหน้ากูก็สึกหมดหรอก”

“ขอโทษครับ แต่ผมหยุดสัมผัสมันไม่ได้”

อินยกยิ้มมุมปาก เขาเอื้อมมือไปหยิบฝ่ามืออีกข้างของน้องมาแนบไว้ที่ข้างแก้มของตัวเอง “จับได้เท่าที่มึงต้องการเลย”

สิงระบายยิ้มกว้าง ฝ่ามือทั้งสองข้างลูบไล้ใบหน้าคมอย่างแผ่วเบา “พี่อินของผมหน้าตาเป็นแบบนี้เองเหรอครับ”

“เออ ทำไมผิดหวังเหรอ ไหนบอกกูหน้าตาดีกว่าพระอินทร์”

“พี่อินหล่อกว่าที่ผมจินตนาการไว้อีกครับ”

“ต่อให้กูจะหลงตัวเอง แต่มึงชมมากเกินไป กูก็เขินเป็นนะเว้ย!”

“พี่อินครับ”

“ว่า”

“ผมขอกอดพี่อินได้ไหมครับ”

“หึ”

อินดึงเด็กน้อยเข้ามากอดตามคำขอ เขากอดน้องไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น เหมือนหลงลืมคำเตือนของผีตายายไปจดหมด 

“พี่อินยังตัวรุม ๆ อยู่เลยนะครับ” สิงพูดพลางยกหลังมือขึ้นวัดอุณหภูมิที่หน้าผากของคนป่วย

“กูไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องห่วง ยาก็แดกแล้ว”

“งั้นนอนกันดีกว่าครับ พี่อินจะได้พักผ่อน”

“อือ”

สิงลุกขึ้นไปปิดไฟแล้วค่อยเดินมานอนข้างอิน เขาพลิกตัวนอนมองหน้าอินในความมืดก่อนเอ่ยถามอะไรบางอย่าง

“พี่อิน”

“มีอะไร”

“ผมขอจับมือหน่อยได้ไหมครับ”

“หึ ทำไมมึงอ้อนจังวะไอสิง เอ้า!” ถึงจะบ่นแต่ก็ยอมจับมือคนน้องตามที่ขอ 

สิงยกยิ้มพลางหลุบตาลงไปมองมือที่กำลังสอดประสานกัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนพี่อีกรอบ 

“ฝันดีนะครับพี่อิน”

“ฝันดี”

 

“ไอสิง!”

“ไอสิง!!!”

“ไอเด็กเปรต!!!”

 

เสียงแหบพร่าของชายแก่เรียกหาสิงด้วยความรำคาญ หลังพยายามเรียกอยู่หลายรอบแต่เจ้าตัวกลับหลับไม่ยอมตื่น 

หัวคิ้วหนาขยับเข้าหากันหลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นเพียงชายชราหน้าบึ้งตึง นุ่งผ้าถุงลวดลายโบราณเปลือยท่อนบน มีผ้าขาวม้าพาดอยู่บนไหล่ที่คุดคู้ตามสังขาร 

“แลเบล่อไอไหรหนักหนา” [จ้องอะไรนักหนา] ชายชราถามอย่างไม่พอใจ ที่ถูกเด็กอายุน้อยกว่าหลายสิบรอบจ้องมองอย่างไร้มารยาท 

ตาของสิงเบิกโพลงขึ้นจนลูกตาเกือบจะถลนออกมา เมื่อได้ยินเสียงของชายชราตรงหน้าชัดถ้อยชัดคำ “ตายายเหรอครับ”

“เออ กูเอง”

คำตอบของอีกฝ่ายย้ำชัดก้องอยู่ในโสตประสาทของเด็กหนุ่ม ทำเอาแข้งขาอ่อนแรงล้มลงไปนั่งกองอยู่บนพื้น ดวงตากลมยังคงจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าของชายชราแบบตาไม่กะพริบ 

“มึงอีแลหน้ากูไปถึงไหน” [มึงจะจ้องหน้ากูไปถึงไหน]

“เอ่อ…” สิงชะงักพลางหลบเลี่ยงสายตาไม่ให้หันไปมองชายแก่ “ที่นี่ที่ไหนครับ”

“ตอนเท่มึงหลับมึงอยู่ไหนก่าอยู่ฮั่นแล”[ตอนที่มึงหลับมึงอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่นแหละ]

สิงเห็นท่าทางของอีกฝ่ายที่ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ เด็กหนุ่มจึงเงียบปากไม่ถามอะไรอีก แม้จะมีเรื่องสงสัยอยากได้คำตอบเต็มไปหมด พร้อมกับการลุกขึ้นยืนช้า ๆ แบบไม่ให้อีกฝ่ายรำคาญลูกตา

“ไอเสือมันไม่ไหวแล้ว” 

“พี่เสือเป็นไอไหร่ครับ!” [พี่เสือเป็นอะไรครับ!] สิงร้องถามเสียงหลงด้วยความเป็นห่วงวิญญาณของพี่ชายที่ยังอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่ว 

“...”

“ตายาย พี่เสือเป็นไอไหร่ครับ!” [ตายาย พี่เสือเป็นอะไรครับ!]

“มึงชอบไอบ่าวที่ชื่ออินช้ายม้าย” [มึงชอบอินใช่ไหม?]

หัวคิ้วเรียงสวยได้รูปย่นเข้าหากันอีกรอบอย่างไม่เข้าใจว่าทั้งสองเรื่องมันเกี่ยวข้องกันยังไง “เอ่อ…ครับ” 

“งั้นมึงเลือกเอา ไอเสือ หรือ ไออิน”

“ผมม้ายเข้าใจ ไสร่ต้องเลือกครับ” [ผมไม่เข้าใจ ทำไมต้องเลือกครับ]

“มึงช่วยได้แค่คนเดียว ถ้ามึงเลือกไอเสือกูอีทำให้มึงเห็นทุกอย่างเท่มึงต้องการ แต่ถ้ามึงเลือกไออิน มึงก่าปล่อยไอเสือแล้วหลบบ้านมึงไปเสีย”[มึงช่วยได้แค่คนเดียว ถ้ามึงเลือกไอเสือ กูจะทำให้มึงเห็นทุกอย่างที่มึงต้องการ แต่ถ้ามึงเลือกไออิน มึงก็ต้องปล่อยไอเสือแล้วกลับบ้านมึงไปซะ]

“ผมเลือกม้ายด้ายครับ” [ผมเลือกไม่ได้ครับ]

“แต่มึงต้องเลือก! ถ้ามึงม้ายเลือก มึงก่าช่วยใครม้ายด้ายเลย!” [แต่มึงต้องเลือก ถ้ามึงไม่เลือก มึงก็ช่วยใครไม่ได้เลย!]

“หมายความว่าพรือครับ ไสร่ผมช่วยใครม้ายด้ายเลย” [หมายความว่ายังไงครับ ทำไมผมถึงช่วยใครไม่ได้เลย]

มุมปากหยักยิ้ม นัยน์ตาที่มองจ้องมายังเด็กหนุ่มบ่งบอกว่าผีตายายรู้สึกพอใจกับการต่อรองในครั้งนี้จนไม่อาจเก็บความดีใจเอาไว้ได้ 

“มันจะไม่เตินขึ้นมาอีกเลย มีลมหายใจแต่ไม่มีชีวิต” [มันจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย มีลมหายใจแต่ไม่มีชีวิต]

ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกตะลึง “ตายายทำอะไรกับพี่อินครับ”

“เลือก! ไอเสือ หรือ ไออิน!”

ความเครียดปนกดดันประเดประดังกันเข้ามาจนเด็กหนุ่มตั้งรับไม่ทัน เขาไม่คิดว่าการรับตายายจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น 

มือทั้งสองข้างประกบกันที่กลางอก ก่อนที่สิงจะลงไปนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าชายแก่ “ผมขอร้อง อย่าทำไอไหร่พี่อินเลย ผมเสียเขาไปอีกคนม้ายด้าย” [ผมขอร้อง อย่าทำอะไรพี่อินเลย ผมเสียเขาไปอีกคนไม่ได้] 

“มึงเลือกไออิน กูอีปล่อยมันไป แล้วมึงกับมันก่าหลบบ้านไปเสีย” [มึงเลือกไออิน กูจะปล่อยมันไป แล้วมึงกับมันก็กลับบ้านไปซะ]

“ผมทำพันฮั้นม้ายด้าย ผมปล่อยพี่เสือไว้ในมือคนโหม้ฮั้นไม่ได้” [ผมทำแบบนั้นไม่ได้ ผมปล่อยพี่เสือไว้ในเงื้อมมือของคนพวกนั้นไม่ได้]

“มึงเลือกได้คนเดียว” ตายายตอบเสียงแข็ง พลางจ้องมองสิงอย่างไม่วางตา 

“ผมอีเลือกได้พรือ ผมเลือกม้ายด้าย” [ผมจะเลือกได้ยังไง ผมเลือกไม่ได้]

“มึงต้องเลือก เลือกห้ายด้าย แล้วกูจะมาเอาคำตอบวันหลัง” [มึงต้องเลือก เลือกให้ได้ แล้วกูจะมาเอาคำตอบวันหลัง]

 

สิ้นเสียงประกาศิต เด็กหนุ่มก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากฝันเมื่อได้สติสิ่งแรกที่นึกถึงก็คือคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ

“พี่อินครับ” สิงเขย่าตัวร่างโปร่งเล็กน้อยเพื่อปลุกให้ตื่น แต่อีกฝ่ายกลับยังนอนแน่นิ่ง

“พี่อินครับ” 

“พี่อิน! พี่อินได้ยินสิงไหมครับ!!” เสียงตะโกนเรียกดังลั่นห้อง แต่ไม่มีสัญญาณว่าดาราหนุ่มจะตื่นขึ้นมา แม้แต่ปฏิกิริยาเล็กน้อยที่เจ้าตัวมักจะแสดงออกว่ารำคาญก็ไม่มีให้เห็น แรงกระเพื่อมขึ้นลงกลางอกแสดงให้เห็นว่าอินยังมีลมหายใจอยู่แต่กลับไม่มีการตอบสนอง คล้ายอาการโรคเจ้าชายนิทรา 

“พี่อิน ไม่เอาแบบนี้ได้ไหมครับ อย่าแกล้งสิงเลย ตื่นขึ้นมาก่อนนะครับพี่อิน สิงขอร้อง” สิงพูดเสียงสะอื้น พลางเขย่าตัวคนพี่อย่างคนไร้สติ 

“พี่อิน ฮึก ตื่นมาคุยกับสิงก่อนนะครับ สิงขอร้อง พี่อิน ฮือ ๆ” ความกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างคล้ายถูกผลักให้ชีวิตกลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง การอยู่โดนไม่มีอินไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็น 

“ตายาย สิงขอร้อง อย่าทำแบบนี้เลยนะครับ สิงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่อิน” มือสั่นเทาพนมขึ้นกลางอก ร้องเรียกหาผีตายายอย่างอ้อนวอนของความเมตตา แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเงียบงัน

การที่จะต้องเลือกระหว่างพี่ชายร่วมสายเลือดกับคนที่รักที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ มันเจ็บปวดเกินไปที่จะสูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้วต้องอยู่อย่างเดียวดาย

สิงนั่งจมอยู่กับความรู้สึกผิด ทั้งคืนเอาแต่จ้องมองและสัมผัสดวงหน้าของคนพี่ไม่ยอมละสายตาไปไหน พร่ำคิดหาวิธีที่จะช่วยให้อินฟื้นคืนสติ 

พอรุ่งสาง ก็รีบต่อสายตรงหาคนที่คิดว่าน่าจะช่วยเขาได้ หลังจากวางสายไปเกือบสามสิบนาที ทวดพันก็มายืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับหลานชาย 

สิงเดินนำทุกคนขึ้นมาบนห้องนอน ทวดพันที่เพิ่งเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามาเห็นสภาพอินก็ชะงักไปทันที “ไปหาหมากพลูมาที” ทวดพันหันไปสั่งหลานที่เดินตามหลังมา ชายวัยสามสิบปลาย ๆ จึงเดินไปหาของตามคำสั่ง

ทวดพันเดินมานั่งข้างอิน เขาเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าคมคายเบา ๆ “สิงไปแหลงไอไหร่กับตายาย”

“เอ่อ… ตายายให้สิงเลือก ระหว่างพี่เสือกับพี่อิน” 

ทวดพันถอนหายใจหนัก “เลือกไอบ่าวนี้ แล้วไปจากเท่นี่แล้วไม่ต้องหลบมา” [เลือกไอหนุ่มนี้ แล้วไปจากที่นี่แล้วไม่ต้องกลับมาอีก]

“ไซร่ทวดแหลงพันฮั่น ทวดรู้ไอไหร่ช่ายม้าย” [ทำไมทวดพูดแบบนั้น ทวดรู้อะไรใช่ไหม] 

“เชื่อทวดต่ะ ถ้าตายายเขาว่าพันฮั่น ทวดก่าทำไอไหร่ม้ายด้าย ถ้าสิงไม่อยากให้ไอบ่าวนี้เป็นพันนี้ เลือกมัน แล้วหลบกรุงเทพไปเสีย” [เชื่อทวดเถอะ ถ้าตายายพูดแบบนั้น ทวดก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าสิงไม่อยากให้อินเป็นแบบนี้ ก็เลือกมันแล้วกลับกรุงเทพไปซะ]

“ทวดบอกสิงทีต่ะ ตายายบอกว่าพี่เสืออีกไม่ไหวแล้ว สิงอยากไปช่วยพี่เสือ” [ทวดบอกสิงหน่อยเถอะ ตายายบอกว่าพี่เสือไม่ไหวแล้ว สิงอยากไปช่วยพี่เสือ]

“มึงตายแน่ถ้าเข้าไปยุ่ง! เชื่อทวด หลบกรุงเทพไปเสีย อย่ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้” [มึงตายแน่ถ้าเข้าไปยุ่ง! เชื่อทวด กลับกรุงเทพไปซะ อย่ามาวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้อีก]

“ทวดอีให้สิงถุ่มพี่เสือไปเหอะ สิงทำม้ายด้าย” [ทวดจะให้สิงทิ้งพี่เสือไปเหรอ สิงทำไม่ได้]

“มันเป็นเวรเป็นกรรมของไอเสือ”

“แต่ถ้ามันยังช่วยได้ สิงก็อยากอีช่วย” [แต่ถ้ามันยังช่วยได้ สิงก็อยากจะช่วย]

“ถ้ามึงเลือกที่จะช่วยไอเสือ มึงก็ต้องถุ่มไอบ่าวนี้ไป มึงอีเอาพันฮั่นเหอะ” [ถ้ามึงเลือกที่จะช่วยไอเสือ มึงก็ต้องทิ้งอินไป มึงจะเอาแบบนี้เหรอ]

“มันหาม้ายทางเอินแล้วเหอะครับ ช่วยสิงทีด้ายม้าย” [มันไม่มีทางอื่นแล้วเหรอครับ ช่วยสิงหน่อยได้ไหม]

ทวดพันส่ายหน้าตอบ โดยไม่ยอมเล่าเรื่องที่รู้ให้สิงฟัง  ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะขอร้องอ้อนวอนยังไงชายชราก็ไม่มีทีท่าว่าจะใจอ่อน

ชายชราคงแก่วิชาบริกรรมคาถารักษาร่างและวิญญาณพร้อมกับการเจิมหน้าผากมน “พานหมากพลูวางไว้บนหัวนอน ธูปห้ามดับ เข้าใจม้าย”

“ครับ”

ทวดพันและหลานชายกลับไปแล้ว แต่สิงยังคงนั่งจับมืออินไม่ห่างไปไหน มีเพียงช่วงที่เดินลงไปหาน้ำมาเช็ดตัวคนป่วยเท่านั้นที่สิงจะปล่อยให้อินหายไปจากสายตา ยายน้อยที่ได้ข่าวจากทวดพันก็แวะเวียนมาเยี่ยมเช้าเย็น มีพี่นิตคอยหุงหาอาหารและคอยนั่งเฝ้าให้กินข้าวจนหมดจาน เพราะหากไม่ทำแบบนั้น เห็นทีหลานชายคงได้ล้มป่วยไปอีกคน 

สิงนั่งเฝ้าข้างกายจนไม่ยอมหลับยอมนอน เอาแต่ร้องไห้ พร่ำเพ้อพูดอะไรบางอย่างที่คนฟังอาจไม่ได้ยิน

“พี่อิน ผมขอโทษ ฮึก ผมไม่ควรลากพี่มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เป็นความผิดของผมเอง ฮือ ๆ” สิงร้องไห้ราวกับเด็กน้อยเพิ่งหย่านม เขาฟุบหน้าลงกับอกของอิน น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลเปื้อนเสื้อที่เขาเพิ่งเปลี่ยนให้คนพี่ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน 

“ผมควรเลือกยังไงดีครับพี่อิน บอกผมหน่อยได้ไหม ผมสับสนไปหมด ผมไม่อยากเสียพี่ไป แต่ผมก็ปล่อยพี่เสือไปไม่ได้เหมือนกัน”

ทำไมชีวิตของคนที่เขารักต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ทั้งพี่ชายที่ต้องลำบากตรากตรำทำงานดูแลเขา จนถลำลึกเข้าไปสู่วงจรอุบาทว์รับใช้อวิชชาจนตัวตาย อินที่รับดูแลเขาต่อก็ต้องตกอยู่ในสภาวะเหมือนตาย เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเขาเป็นต้นเหตุ 

“อย่าพรากเค้าไปจากผมเลย ผมขอร้องได้โปรด ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพี่อิน” เด็กหนุ่มเงยหน้ามองเพดานห้อง พยายามขอร้องอ้อนวอนสิ่งที่เชื่อมโยงกับเขา แต่ตอนนี้แม้แต่เขาเองก็ยังมองไม่เห็น 

เมื่อไร้เสียงตอบรับจากสิ่งที่เขาพยายามอ้อนวอนมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง สิ่งเดียวที่สิงนึกได้ตอนนี้คือต้องบอกความรู้สึกที่อยู่ภายในใจของเขามาโดยตลอดให้รู้ ถึงไม่รู้ว่ามันจะสายไปไหม แต่เขาจะทำทุกวิถีทางให้อินฟื้นขึ้นมา 

“ผมรักพี่ พี่ได้ยินผมไหม ผมรักพี่มาตลอด ผมมันขี้ขลาด ไม่กล้าบอกแม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าผมจะมีโอกาสบอกพี่อีกไหม แต่ผมรักพี่มาก รักที่สุด”

 

“เลือกได้แล้วม้าย”

 

เสียงที่คุ้นเคยปลุกสิงให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้วงความฝัน

“...” สิงยืนก้มหน้าคางชิดอก พลางส่ายหน้าให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่สามารถเลือกในสิ่งที่ตายายยิบยื่นให้ 

“ถ้ามึงม้ายเลือก มึงโร้ช่ายม้าย ว่าพวกมันสองคนอีเป็นพันพรื่อ” [ถ้ามึงไม่เลือก มึงรู้ใช่ไหมว่าพวกมันาองคนจะป็นยังไง]

สิงเงยหน้าขึ้นมามองตายายทันควัน “ปล่อยพี่อินไปด้ายม้าย แล้วผมอีทำทุกอย่างที่ตายายบอก” [ปล่อยพี่อินไปได้ไหม แล้วผมจะทำทุกอย่างที่ตายายบอก]

“กูม้ายด้ายต้องการไอไหร่จากมึง แต่มึงช่วยได้แค่คนเดียว” [กูไม่ได้ต้องการอะไรจากมึง แต่มึงช่วยได้แค่คนเดียว]

“ผมเลือกม้ายด้าย ต่อให้ตายายอีให้เวลาผมนานแค่ไหน ผมก่าเลือกม้ายด้ายโย่ดี” [ผมเลือกไม่ได้ ต่อให้ตายายจะให้เวลาผมนานแค่ไหน ผมก็เลือกไม่ได้อยู่ดี]

มุมปากข้างนึงของชายชรายกขึ้น พลางส่งเสียงหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจ “หึ! ถ้าเป็นพันฮัน กูเลือกให้มึงเอง” [หึ ถ้าเป็นแบบนั้น กูเลือกให้มึงเอง]

 

ร่างของชายชราหายวับไปกับตา สิงหันซ้ายหันขวามองหาอย่างร้อนใจ ฝ่าเท้าก้าวเดินตรงไปในความมืด คลำทางไปเรื่อย ๆ เพื่อตามหาอีกฝ่าย

เสียงดนตรีโหมโรงจากเครื่องดนตรีสองสามชิ้นที่ใช้บรรเลงประกอบการรำมโนราห์ดังขึ้นจากที่ไกลเรียกให้สิงเดินเข้าไปหา

เมื่อเดินเข้ามาใกล้สิงกลับพบว่าตัวเองไม่ได้ยืนอยู่ในห้วงแห้งความฝันอีกต่อไป ฝ่าเท้าของเขาสัมผัสเข้ากับความอ่อนนุ่มของพื้นหญ้าสีเขียวขจีรอบคันนา เขารู้สึกเหมือนเคยมาเยือนที่แห่งนี้มาก่อนหลายครั้ง แต่กลับจำไม่ได้ว่ามาตอนไหน เหมือนมันถูกลบไปจากความทรงจำของเขา 

สิงเดินตรงไปยังบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังนึงที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางผืนนาเป็นร้อย ๆ ไร่ มองจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกลเห็นเด็กน้อยสองสามคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ตรงลานบ้าน บนแคร่ไม้ใต้ถุนดูจะเป็นที่มาของเสียงดนตรีโหมโรง เหล่านักตรงตรีหลายคนกำลังนั่งบรรเลงเพลงคลอเคล้าไปกับการร่ายรำของนางมโนราห์เกือบสิบคนที่สวมเสื้อขาวและโจงกระเบนสีแดง โดยมีชายชราคนนึงสวมเพียงผ้าถุงหนึ่งผืนห่อหุ้มร่างกาย กำลังเดินตรวจตราความถูกต้องของท่าร่ายรำ 

“สูงเหล่ย” [สูงอีก]

ชายชราพูดพลางใช้ไม้เรียวในมือดันท้องแขนของนางรำคนนึงให้ยกสูงขึ้นอีก ภาพตรงหน้าดูจะเป็นการซ่อมรำมโนราห์ปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือไม่มีใครสัมผัสถึงการมาเยือนของสิงเลย แม้เขาจะเดินเข้าไปใกล้แค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครหันมาสนใจเขาเลยแม้แต่คนเดียว

‘ขอโทษนะครับ ที่นี่ที่ไหนเหรอครับ’

เด็กหนุ่มเอ่ยปากถามนางรำคนนึงที่กำลังเดินไปสมทบกับเพื่อนที่ใต้ถุนเรือน แต่เธอกลับเดินผ่านสิงไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ

‘เดี๋ยวครับ!’ 

ไม่ใช่แค่เขาเป็นอากาศธาตุแต่เขากลับไม่มีตัวตนอยู่ในที่แห่งนี้เลยด้วยซ้ำ แม้แต่เด็กน้อยที่กำลังวิ่งเล่นกับเพื่อนอยู่ก็ทะลุผ่านตัวเขาไปราวกับเป็นวิญญาณ 

 

“ต่อไปตั้งท่าเขาควาย”

โนราใหญ่ออกคำสั่ง มโนราห์ที่รำอยู่ใต้ถุงจึงเปลี่ยนท่าตามคำสั่ง มือทั้งสองข้างตั้งวงยกสูงขึ้นคล้ายเขาควาย ขาขวาย่อลง ขาซ้ายยกขึ้นในระดับข้อเท้าขวา ท่าร่ายรำค้างอยู่แบบนั้นเพื่อให้โนราห์ใหญ่ตรวจตราอีกรอบ คราวนี้เขาเดินผ่านนางรำคนเดิมไปโดยไม่ได้แก้ท่าทางอะไรให้กับเธอ แถมยังพยักหน้าด้วยความพอใจ ทำให้เธอยกยิ้ม ยิ่งทำให้ใบหน้าที่สวยดุจนางอัปสรอยู่แล้วสวยขึ้นไปอีก 

“ต่อไปตั้งท่าชูชาย”

เมื่อเดินสำรวจจนครบทุกคนแล้ว โนราห์ใหญ่จึงออกคำสั่งให้เปลี่ยนท่าทางการรำ มโนราห์ทุกคนเปลี่ยนท่าทางพลางจัดร่างกายให้อยู่ในท่วงท่าที่สวยงาม และเป็นอีกรอบที่นางอัปสรทำได้ดี แต่ในขณะที่โนราใหญ่เดินผ่านตัวเธอไป สายตาของเธอกลับเหลือบมาเมียงมองชายหนุ่มนักดนตรีมือกลองทับ 

มุมปากของสิงยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อจับสังเกตได้ว่านางมโนราห์กับนายกลองทับน่าจะมีความรู้สึกเกินเลยที่มากกว่าเพื่อนร่วมคณะโนราห์ 

แต่เมื่อสังเกตใบหน้าของนายกลองทับดูดี ๆ แล้ว รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าก็หุบลงทันที ‘ทำไมหน้าเหมือน…’ เด็กหนุ่มบ่นพึมพับกับตัวเอง สายตายังคงจับจ้องใบหน้าคมคายของนายกลองทับอย่างไม่วางตา เพราะใบหน้าของพวกเขาคล้ายกันราวกับฝาแฝด มีเพียงผิวที่คล้ำแดดขับให้ใบหน้าดูคมคายกว่า นอกจากนั้นก็แทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกัน 

สิงเดินสำรวจบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังใหญ่ รูปถ่ายสีขาวดำแขวนอยู่บนผนังห้องรับแขกทำให้สิงหยุดชะงัก สายตาจับจ้องอยู่กับใบหน้าของเด็กชายคนนึงที่เขาคุ้นเคย เพียงแต่ชายคนนั้นที่เขารู้จักแก่กว่าในรูปนี้หลายสิบปี ‘ทวดภาส’ ปลายนิ้วของสิงลูบไล้ไปบนรูป หางตาเหลือบไปเห็นคนคุ้นเคยอีกหลายคนที่อยู่ในภาพหนึ่งในนั้นคือทวดพัน

‘ที่นี่คือบ้านเก่าของทวด’ ภาพและข้าวของในบ้านหลังนี้ทำให้สิงแน่ใจว่าที่นี่เคยเป็นบ้านเก่า ก่อนที่ทวดจะย้ายไปอยู่ต่างอำเภอ 

“พี่ภพ ออกไปซื้อของข้างนอกกับน้องทีตะ” เสียงของเด็กน้อยคนนึงดังมาจากหน้าบ้าน เรียกความสนใจให้สิงรีบเดินออกไปดู 

“เซ่อไอไหร่” [ซื้ออะไร] 

สิงเผลอยกยิ้มด้วยความคิดถึง หลังจากที่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังคุยกับนายกลองทับอยู่ตรงบันไดทางขึ้น

“น้องอยากกินหนุมลา ไปเซ่อกับน้องทีตะ” [น้องอยากกินขนมลา ไปซื่อเป็นเพื่อนน้องหน่อย] เด็กหนุ่มเดินเข้าไปใกล้คนที่ถูกเรียกว่าพี่ พลางทำหน้าออดอ้อนให้พี่ชายยอมใจอ่อน

“หนุมลาไอไหร่ป่านี้ ใครขายเหล่ยเลา” [ขนมลาอะไรตอนนี้ ใครจะขายอีก] แต่ดูเหมือนคนเป็นพี่จะไม่ใจอ่อนง่าย ๆ บอกปัดน้องชายด้วยคำพูดรักษาน้ำใจ 

“ในหลาดยังเหล่ย พาน้องไปทีนะ” [ในตลาดยังมี พาน้องไปหน่อยน่ะ] สิงยิ้มกว้างมากกว่าเดิมเมื่อเห็นทวดภาส คนที่มักเข้มงวดกับหลานชายกลับทำท่าทางออดอ้อนพี่ชายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ 

นายกลองทับถอนหายใจหนักกับความดื้อของน้อง “เออ ๆ แต่เดี๋ยวพี่เซ่อมาให้ พี่ต้องไปส่งขวัญเท่บ้าน” [เออ ๆ แต่เดี๋ยวพี่ซื้อเข้ามาให้ พี่ต้องไปส่งขวัญที่บ้าน]

เด็กชายภาสทำปากคว่ำปากงอ ที่ไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นตามที่ต้องการ แต่อย่างน้อยพี่ชายก็ยอมรับปากแล้วว่าจะหาซื้อมาให้ “ก่าได้ เซ่อมาให้น้องกันนะ” [ก็ได้ ซื้อมาให้น้องด้วยน่ะ]

“เออ”

 

ว่าแต่…ทำไมทวดไม่เคยบอกเลยว่ามีพี่ชายชื่อภพด้วย?! 

 

สายตาของสิงยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเด็กชายภาส คนที่เขาอยากเจออีกครั้ง ก่อนที่ภาพตรงหน้าของเขาจะเปลี่ยนไป 

สิงยืนอยู่บนคันนาที่ดูคล้ายกับที่แรกที่เขามาถึง แต่ความรู้สึกมันแตกต่างกันลิบลับ มันให้ความรู้สึกวังเวงยังไงชอบกล อาจเป็นเพราะบรรยากาศยามเย็น ช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าทำให้ทุกอย่างดูแตกต่างกัน 

“อย่า! ปล่อยขวัญไปเถอะ ขวัญขอร้อง” 

เสียงร้องของหญิงสาวคนนึงทำให้สิงหลุดออกจากภวังค์ เขาพยายามหันซ้ายหันขวามองหาคนที่ร้องเรียก

“ช่วยด้วย! ช่วยที! โอ๊ย!”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือทำให้สิงยืนไม่ติดพื้น ขาทั้งสองข้างก้าวเดินตรงไปบนคันนา สายตาสาดส่องไปทั่วบริเวณโล่ง พลันเห็นเถียงนาที่อยู่ใกล้กับตีนเขา สิงจึงรีบวิ่งตรงไปทันที

“ช่วยด้วย! ฮือ ๆ ปล่อยขวัญไปเถอะ อย่าทำอะไรขวัญเลย” 

ยิ่งวิ่งเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงของเธอชัดมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นยังได้ยินเสียงของชายหนุ่มหลายเสียงกำลังหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“เงียบ! ไหนมึงบอกมึงชอบกูไอขวัญ ให้กูเอามึงสักทีมันอีไซร่” [เงียบ! ไหนมึงบอกว่ามึงชอบกูไอขวัญ ให้กูเอามึงสักครั้งสองครั้งมันจะเป็นอะไรไป]

ฝีเท้าของเสือชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงตวาดลั่นจากคนเจอไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน...

“พี่ภพ พี่ปล่อยขวัญไปตะ ขวัญไม่ได้ต้องการพันนี้” [พี่ภพ พี่ปล่อยขวัญไปเถอะ ขวัญไม่ได้ต้องการแบบนี้] หญิงสาวพูดขอร้องอ้อนวอนด้วยความหวาดกลัวจนเนื้อตัวสั่นเทาอยู่ใต้ร่างของชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำใหญ่โตกว่า

“มึงบอกมึงชอบกู ก่าให้กูเอามึงสักรอบสองรอบ ไม่พรือหรอก” [มึงบอกมึงชอบกู ก็ให้กูเอามึงสักรอบสองรอบ ไม่เป็นไรหรอก]

“ไม่เอา ฮือ ๆ ช่วยด้วย!!!” 

หญิงสาวร้องตะโกนจนสุดเสียง แต่ชายหนุ่มสองสามคนที่ยืนออกันอยู่หน้าเถียงนาไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไปช่วยเหลือ มิหนำซ้ำยังหัวเราะชอบใจราวกับกำลังมองดูเรื่องตลก 

“กูเอาก่อน แล้วโหม้สู้ค่อยเอามัน” [กูเอามันก่อน แล้วพวกมึงค่อยเอามัน] ภพหันมาออกคำสั่งกับเพื่อน ก่อนจะหันกลับไปขย้ำเหยื่อที่อยู่ใต้ร่างอย่างไร้ความปรานี

 

‘หยุดเถอะครับ!!!’

สิงตะโกนเสียงดังเพื่อห้ามไม่ให้ภพทำอะไรเธอ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาเลย แม้จะเดินเข้าไปห้ามปรามแต่ก็ไม่สามารถสัมผัสร่างกายของใครได้เลย 

‘หยุดเถอะครับ ผมขอร้อง!!!’

 

นางอัปสรถูกกระทำย้ำยีจนไม่เหลือชิ้นดี ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก เสื้อผ้าหลุดลุ่ยจากการถูกฉีกทึ้ง ร่างกายและใบหน้าเต็มไปด้วยบาดแผล มีร่องรอยของเลือดไหลอาบต้นขาแลดูน่าเวทนา

เมื่อชายทั้งสี่คนเสร็จสมอารมณ์หมาย ก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้เธอนอนจมอยู่กับความอัปยศอดสูอย่างเดียวดาย 

 

ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนตอนนี้มีเพียงแสงจากพระจันทร์เท่านั้นที่สาดส่องลงมายังร่างของขวัญที่ยังนอนคุดคู้ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว คละเคล้าไปด้วยเสียงร้องไห้สะอื้น 

ขวัญพยายามหยัดยืนด้วยแรงทั้งหมดที่เธอมี พร้อมกับผ้าขาวม้าผืนนึงในมือ ความยาวของผ้าถูกพาดลงบนขื่นคาน ชายผ้าทั้งสองข้างผูกมัดเป็นปมแข็งแรง มือเรียวที่เต็มไปด้วยคราบเลือดแหวกร่องผ้าให้เปิดออก เธอหลับลงลงพร้อมกับน้ำตาหยดสุดท้าย ก่อนที่ความตายจะพรากเธอไปตลอดกาล

“อย่า!” 

สิงรีบพุ่งตัวเข้าไปหาเธอ แต่ร่างกายของเขากลับถูกดูกลับไปในห้วงความฝันอีกครั้ง พร้อมกับชายชราที่ยืนหน้าทะมึนอยู่ตรงหน้า 

“มึงช่วยมันไม่ได้หรอก มันตายไปนานแล้ว”