"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ

“คนฮั่น…ช้ายพี่ชายของทวดภาสม้ายครับ” [คนนั้น ใช่พี่ชายของทวดภาสรึเปล่าครับ]

ลูกหลานอัปรีย์” วิญญาณผีตายายสบทคำหยาบระบายความอัดอั้นตันใจ นัยน์วาวโรจน์ฉายแววความโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด 

“แล้วทวดภพหายไปไหนครับ ไซร่หาม้ายใครแหลงถึงทวดเลย” [แล้วทวดภพหายไปไหนครับ ทำไมไม่มีใครพูดถึงทวดเลย]

“โหม้ไหนอีไปแหลงถึงมัน คนที่มันทำให้โคตรกูต้องฉิบหาย!” [ใครจะไปพูดถึงมัน คนที่ทำให้โคตรกูต้องฉิบหาย] ตายายตวาดเสียงดังก้องกังวานจนได้ยินเสียงสะท้อนกลับ 

“...”

“มันข่มขืนไอสาวนั้น จนมันผูกคอตาย”

“ทวดภพถูกจับเหรอครับ”

“หึ! มันตายห่า! เพราะผีไอสาวนั้นมาแก้แค้นต่างหาก” วิญญาณผีตายายเค้นเสียงหนักตรงช่วงต้นประโยค พลางจ้องมองตาสิงอย่างมีเล่ห์นัย 

“พันพรือนะครับ” [ยังไงนะครับ?]

“ชีวิตไอขวัญมันน่าเห็นดู พ่อแม่ก่าทุ่ม พ่อเฒ่าแม่เฒ่ามันก่าเปรตใช้งานมันสารพัด ไอไหร่ได้ไม่ดังใจก่าทุบก่าตีมัน ขนาดมันมาขอเรียนโนราห์โหม่เบล่อฮั่นก่าไม่ให้มันเรียน เทียดมึงต้องไปขอ พอได้มาเรียนก่าโถกทวดมึงทำอัปรีย์จัญไร จนมันต้องฆ่าตัวตาย มันมาแก้แค้นทวดมึงก่าโถกต้องแล้ว” [ชีวิตไอขวัญมันน่าสงสาร พ่อแม่ก็ทิ้งไป ตายายก็เปรต ใช้งานมันสารพัด อะไรไม่ได้ดั่งใจก็ทุบตี ขนาดมันมาขอเรียนมโนราห์ พวกมันก็ไม่ยอมให้เรียน เทียดของมึงจึงไปขอร้องให้ พอได้มาเรียนก็ถูกทวดของมึงทำอัปรีย์จัญไร จนมันต้องฆ่าตัวตาย มันมาแก้แค้นทวดของมึงก็ถูกต้องแล้ว]

“แล้วหาม้ายใครรู้เลยเหรอครับว่าทวดขวัญตาย” [แล้วไม่มีใครรู้เลยเหรอครับว่าทวดขวัญตาย]

“คนตายทั้งคน หาม้ายใครโร่ได้พรือ กูบอกแล้วว่าไอขวัญมันน่าเห็นดู ขนาดมันตายแล้วพ่อเฒ่าแม่เฒ่ามันก่าปลอยไม่สนใจ โหม้ตำรวจก่าคิดว่ามันฆ่าตัวตาย” [คนตายทั้งคน จะไม่มีใครรู้ได้ยังไง กูบอกแล้วว่าไอขวัญมันน่าสงสาร ขนาดมันตายไปแล้ว ตายายมันก็ปล่อยปละละเลยไม่สนใจ พวกตำรวจก็คิดว่ามันฆ่าตัวตาย]

ทำไมชีวิตคนเรามันน่าอดสูได้ถึงขนาดนั้น เด็กผู้หญิงคนนึงต้องพบเจอกับเรื่องเลวร้ายมาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเธอตายก็ยังไม่ได้พบความสุข ช่วงชีวิตเดียวที่เธอได้พบเจอกับความสุข กลับกลายเป็นของปลอม การได้หลงรักผู้ชายคนนึงอย่างสุดหัวใจ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนคนนั้นคือสาเหตุที่ทำให้เธอต้องตาย

“แล้วทวดภพตายได้พรือครับ” [แล้วทวดภพตายได้ยังไงครับ]

ตายายเงียบไปครู่นึงอย่างพยายามกดข่มความโกรธแค้นเอาไว้ในใจ “หลังจากมันแต่งงาน มีลูกมีเมียมันก่าถูกไฟคลอกตายในบ้านหลังฮั่น” [หลังจากแต่งงานมีลูกมีเมีย มันก็ถูกไฟคลอกตายในบ้านหลังนั้น]

“บ้านเก่าของทวด”

ตายายพยักหน้าก่อนจะเริ่มเล่าต่อ “ไอภพมันถูกผีหลอกจนเป็นบ้า เทียดมึงก่าเลยจัดพิธีโนราลงครูหวังว่าอีช่วยลูกมันด้าย แต่พิธีจัดไม่ทันเสร็จดีไฟก่าไหม้เสียก่อน ไอภพมันวิ่งเข้าไปในกองไฟ ก่อนเท่มันอีตายมันแหลงออกมาเหม็ดว่ามันทำไอไหร่ไปมั้ง ชาวบ้านรุมด่าเทียดมึงจนมันโย่ม้ายด้าย ต้องแล่นไปอยู่เอิน” [ไอภพมันถูกผีหลอกจนเป็นบ้า เทียดของมึงเลยจัดพิธีโนราลงครู หวังว่าจะช่วยลูกมันได้ แต่พิธียังไม่แล้วเสร็จก็เกิดไฟไหม้ขึ้นซะก่อน ไอภพมันวิ่งเข้าไปในกองไฟ ก่อนมันตายมันสารภาพออกมาหมดว่าทำอะไรเอาไว้บ้าง ชาวบ้านแถวนี้ก็เลยรุมด่าเทียดมึงจนอยู่ไม่ได้ ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น]

กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง…

“เอ่อ… ไซร่ทวดภพ…” [เอ่อ...ทำไมทวดภพ...]

“หน้าเหมือนมึง”

“ครับ”

ตายายยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเย้ยหยันพลางมองจ้องหน้าสิง “ก่ามันเป็นโคตรสายตรงมึง หน้ามึงเหมือนมันก่าไม่แปลกไอไหร่” [ก็มันเป็นทวดแท้ ๆ ของมึง หน้ามึงเหมือนมัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร]

ตลอดเวลาหลายสิบปีเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย เขาคิดมาตลอดว่าทวดภาสคือทวดแท้ ๆ ของตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่เห็นหน้าทวดภพในภาพความฝัน แต่ก็ไม่คิดว่าคำตอบของตายายจะทำให้เขาตัวชาได้ขนาดนี้ 

“แล้วทวดภาส…”

“ไอภาสเป็นน้องทวดมึง มันม้ายอยากบอกให้ใครโร่ว่าโป่มึงเป็นลูกไอภพ มันเลยรับโป่มึงเป็นลูก” [ไอภาสเป็นน้องชายของทวดมึง มันไม่อยากบอกให้ใครรู้ ว่าปู่เป็นลูกไอภพ มันเลยรับปู่มึงเป็นลูก] 

สิงพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทุกคนในบ้านถึงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ทวดภาสพยายามปกป้องทุกคนให้ออกห่างจากเรื่องเลวร้ายในอดีตที่ทวดภพเป็นคนสร้างมันเอาไว้ ครอบครัวที่ชาวบ้านให้ความเคารพ กลายเป็นครอบครัวที่ถูกสาปส่งจนต้องหนีความอัปยศไปอยู่ที่อื่น 

ภาพเถียงนาที่เขาฝันถึงมาตลอดแว๊บเข้ามาในหัว สิงพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างเข้าด้วยกัน ก่อนจะค้นพบคำตอบที่ทำให้เขาตกใจมากกว่าการได้รู้ว่าทวดที่แท้จริงคือภพ นั้นคือผู้หญิงที่ชื่อขวัญคือ…

สิงหันไปมองผีตายายด้วยสีหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกโตราวกับมันจะถลนออกมาจากเบ้า “ผีโนรา…”

“ไอขวัญ”

 

ตึง ตึง ตึง! 

 

เสียงประตูไม้หน้าบ้านถูกเคาะเสียงดังสนั่นไปทั่วบ้าน ปลุกให้สิงตื่นจากความฝัน สิงเดินลงไปเปิดประตูรับแขก เขาอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นชายใส่ชุดสีกากีเต็มยศ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นป้ายชื่อบนอกของอีกฝ่าย 

“พี่เมฆ มาที่นี่ได้ไงครับ”

เมฆเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กันเมื่อเห็นดวงตาของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กลายเป็นเหมือนคนปกติแล้ว “เห้ย! ตาสิง!”

“ครับ สิงมองเห็นแล้ว”

“จริงป่ะเนี่ย?! ดีใจด้วยนะ ว่าแต่รักษายังไงอะ” นายตำรวจหนุ่มเอียงคอถาม 

“เอ่อ ครูหมอโนราครับ”

“อ่า… เด็กพิเศษก็ต้องรักษาด้วยวิธีพิเศษอะเน๊อะ”

“เข้ามานั่งในบ้านก่อนครับ เดี๋ยวสิงไปเอาน้ำมาให้” สิ่งเบี่ยงตัวเชิญแขกเข้าบ้าน แล้วเดินไปเอาน้ำมาเสิร์ฟ

“บ้านเราอยู่ลึกเหมือนกันน่ะ”

“ว่าแต่…พี่เมฆรู้จักบ้านสิงได้ยังไงครับ”

“หึ ทะเบียนราษฎร์ไง สารวัตรเค้าเป็นห่วงพวกเรามากนะ พอดีพี่มาสืบคดีเก่า ๆ ที่สารวัตรสั่ง แกเลยให้พี่มาดูสิงกับคุณอินหน่อย”

“เอ่อ… ขอโทษนะครับที่ทำให้เป็นห่วง”

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว บ้าระห่ำเหมือนกันนะเรา ไม่กลัวฆาตกรมันฆ่าเอาเหรอ”

สิงยิ้มหน้าเจื่อนพลางพูดเปลี่ยนประเด็น “ว่าแต่พี่เมฆมาสืบคดีอะไรเหรอครับ”

“แหนะ! คิดจะล้วงความลับทางราชการจากพี่เหรอ”

“เอ่อ… ไม่ใช่แบบนั้นครับ ผมแค่ถามดูเฉย ๆ” 

“ก็คดีเก่า ๆ ที่เรารู้นั่นแหละ สารวัตรบอกพวกเราแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ครับ”

“เออ ว่าแต่คดีที่สิงหนคร เราได้ข้อมูลอะไรมาบ้างละ”

สิงเล่ารายละเอียดคดีที่เกิดเมื่อสิบแปดปีก่อนให้เมฆฟังรวมถึงคดีอื่น ๆ ที่ได้ข้อมูลมาจากหมวดนุ้ย และขอให้หมวดเมฆไปตรวจสอบคดีที่นครปฐมเพิ่มเติมด้วย 

“ได้ เดี๋ยวพี่จะให้คนไปดูให้ ว่าแต่คุณอินละยังไม่ตื่นเหรอ”

เมื่อพูดถึงคนพี่ นัยน์ตาของเด็กหนุ่มก็ดูหม่นหมองลงทันที “พี่อินยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยครับ”

“หมายความว่าไง ยังไม่ฟื้น คุณอินเป็นอะไรเหรอ”

“พี่เมฆไปดูเองดีกว่าครับ”

พูดจบสิงก็เดินนำหมวดเมฆขึ้นไปบนห้องนอน ทำให้เมฆเห็นว่าอินนอนนิ่งไม่ไหวติง

“คุณอินเป็นอะไรวะสิง” หมวดเมฆหันมาถามคนที่คอยอยู่ข้างกายอีกฝ่ายตลอดเวลา ก่อนจะรีบก้าวเข้าไปดูอาการใกล้ ๆ “นี้คุณอินนอนไม่ได้สติมากี่วันแล้ว”

“สามวันแล้วครับ”

“เห้ย! ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลวะ”

“หมอรักษาไม่ได้หรอกครับ”

นายตำรวจหนุ่มถึงกับอ้าปากหวอ “นี้คือฝีมือ…ผี?!”

สิงพยักหน้าตอบ

“ละ…แล้วให้หมอผีมาดูบ้างยัง”

“ทวดมาดูให้แล้วครับ แต่ทำอะไรไม่ได้”

“งั้นพี่ว่าพาไปโรงพยาบาลไหม อย่างน้อยก็ให้หมอช่วยประคองอาการ”

“สิงว่าสิงจะลองสืบเรื่องการตายของพี่เสือ อาจจะช่วยให้พี่อินฟื้นขึ้นมา พี่เมฆช่วยสิงหน่อยได้ไหมครับ”

“ช่วยยังไง”

“พาสิงไปที่บ้านเก่าของทวดหน่อยได้ไหมครับ”

“บ้านเก่า? ที่ไหน?”

“สิงหนครครับ”

 

นายตำรวจยอมทำตามที่สิงขอ แต่มีข้อแม้ว่าทุกอย่างจะต้องอยู่ในสายตาของเขา เขาก็ยอมทำตามอย่างว่าง่ายโดยไม่ลืมที่จะฝากฝังอินไว้กับพี่นิต กำชับให้เธอเปลี่ยนธูปก้านใหม่หากอันเดิมใกล้หมด

“ถ้าสารวัตรรู้ พี่ตายห่าแน่” หมวดเมฆโอดครวญให้เด็กหนุ่มฟัง

“ขอโทษที่ทำให้เดือดร้อนนะครับพี่เมฆ”

เมฆละสายตามามองเด็กหนุ่มในขณะที่ขับรถตรงไปยังสิงหนคร “นี้เราจะเป็นเด็กดีเกินไปแล้วนะสิง ทำเอาพี่ดูเลวไปเลย”

“ขอโทษครับ” 

“เลิกพูดขอโทษได้แล้ว ตั้งแต่พี่รู้จักเรามา เราพูดขอโทษเป็นร้อยเป็นพันรอบแล้วนะรู้ยัง”

“เหรอครับ” สิงระบายยิ้มเคอะเขิน

“ว่าแต่ เรารู้เหรอว่าบ้านเก่าอยู่ที่ไหน”

 

ตลอดทางไปบ้านเก่า สิงทำเพียงแค่มองหน้าอีกฝ่ายแล้วนั่งเงียบไปตลอดทาง มีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุที่หมดเมฆเปิดคลอเท่านั้น ที่ช่วยให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดจนเกินไป 

เมื่อรถขับเข้ามาในเขตอำเภอสิงหนคร สิงก็คอยบอกทางให้เมฆขับตามไปเรื่อย ๆ จากถนนทางหลวงสี่เลน กลายเป็นถนนทางหลวงชนบทสองเลน ก่อนจะกลายเป็นถนนลูกรัง ที่ข้างทางเต็มไปด้วยป่ารกทึบ หากมีรถขับสวนทางมา ต่างฝ่ายต่างต้องเบี่ยงหลบลงข้างทาง เพื่อให้รถทั้งสองคันขับผ่านไปได้ 

หมวดเมฆหันมองซ้ายมองขวา สังเกตพื้นที่รอบ ๆ พบว่าสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไม้ ไม่มีแม้แต่เสาไฟส่องสว่าง แต่ดีที่ตอนนี้ฟ้ายังสว่าง หากเป็นตอนกลางคืนคงเปลี่ยวน่าดู 

“แถวนี้แน่เหรอสิง มันไม่มีบ้านคนเลยนะ”

“ข้างหน้านี้แหละครับพี่เมฆ”

“โอเค”

รถจอดสนิทลงที่ลานกว้างหน้าบ้านร้างที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งนากว้าง สิงกับเมฆเปิดประตูลงจากรถ แล้วแยกกันเดินสำรวจบริเวณรอบบ้าน 

บ้านไม้ยกพื้นสูงที่เคยสวยงาม ตอนนี่มันกลับผุพังลงจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม ฝาและหลังคาบ้านถูกมดปลวกกินจนเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ บันไดไม้ผุพังจนไม่สามารถเดินขึ้นลงได้อีก ตัวบ้านบริเวณฝั่งขวามีร่องรอยการถูกเผาไหม้ ภายในตัวบ้านเต็มไปด้วยหยากไย่และใยแมงมุม บนคานหลังคามีรังนกอยู่สองสามรัง 

“นี้บ้านเก่าของทวดสิงเหรอ”

สิงหันไปมองหมวดเมฆที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “ใช่ครับ”

“ทำไมถึงย้ายไปละ”

“เอ่อ…มีปัญหานิดหน่อยครับ” 

“อ๋อ ว่าแต่สิงจะมาสืบหาอะไรที่นี่เหรอ”

“ผมอยากมาตามหาบ้านของคนคนนึงที่อยู่แถวนี้อะครับ”

“ใครเหรอ รู้ชื่อจริงไหม พี่จะได้หาจากฐานข้อมูลให้ อาจจะเร็วกว่า”

“เพราะแบบนั้นแหละครับ ผมเลยต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง ผมไม่รู้ชื่อจริงของเธอครับ”

“อาวเหรอ งั้นบอกชื่อเล่นมาก็ได้ จะได้ช่วยกันตามหา”

“ชื่อขวัญครับ”

หางคิ้วของหมวดเมฆกระตุกเล็กน้อยจนอีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกต “ชื่อขวัญเหรอ อายุเท่าไหร่ละ” 

“เอ่อ…เธอตายไปนานแล้วครับ”

“อาวเหรอ ถ้างั้นสิงจะตามหาเธอไปทำไม”

“ผมอยากรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอครับ” 

“งั้นพี่ว่าเราไปถามข้อมูลจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านก่อนดีกว่า น่าจะเร็วกว่าการไล่ถามเอาจากคนแถวนี้”

“ได้ครับ”

เมื่อได้ข้อสรุปแล้วหนึ่งเด็กหนุ่มหนึ่งเจ้าหน้าที่ก็มุ่งหน้าตรงไปยังที่หมายที่อยู่ไกลออกไปประมาณห้ากิโลเมตร บ้านโมเดิร์นขนาดกลางที่มีป้ายหน้าบ้านเขียนว่า ‘ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน’

หมวดเมฆจอดรถไว้หน้าประตูรั้วก่อนจะเดินไปกดกริ่งเรียก มันดังอยู่สองสามครั้ง หลังจากนั้นมีหญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากภายในตัวบ้าน 

เธอเดินมาเปิดประตูรั้วต้อนรับแขกพลางพูดด้วยสีหน้าเป็นมิตร “มาหาใครเหรอคะคุณตำรวจ” 

“เอ่อ พวกผมมาหาผู้ใหญ่บ้านครับ ไม่ทราบว่าผู้ใหญ่บ้านอยู่รึเปล่า”

“อ๋อ พี่คล้ายเหรอจ๊ะ เดี๋ยวแกก็กลับมาแล้ว แกไปสวน เข้ามานั่งรอในบ้านก่อนจ้ะ”

สิงกับหมวดเมฆเดินตามหญิงวัยกลางคนเข้าไปในบ้าน เธอต้อนรับขับสู้ด้วยน้่ำเปล่าเย็น ๆ และขนมขบเคี้ยวอีกนิดหน่อย 

“ป้าชื่อสาวนะ เป็นเมียผู้ใหญ่บ้าน กินน้ำกินท่ากันก่อน”

“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มรักษาน้ำใจคนแก่กว่าด้วยการยกน้ำขึ้นดื่ม 

“ว่าแต่คุณตำรวจมีเรื่องอะไรกับพี่คล้ายเหรอจ๊ะ”

“เอ่อ พอดีผมมีเรื่องอยากจะสอบถามผู้ใหญ่บ้านหน่อยครับ เรื่องคดีที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน”

“โห่ นานขนาดนั้นพี่คล้ายจะรู้เหรอจ๊ะ พี่แกเพิ่งได้รับตำแหน่งยังไม่ถึงสิบปีเลย”

หมวดเมฆหันมาหาตัวช่วยอย่างสิงที่นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา “ลองถามป้าสาวซิ เผื่อแกรู้”

สิงพยักหน้าให้แล้วค่อยหันไปถามถึงเรื่องคดีของขวัญ “ป้าสาวพอจะรู้เรื่องคดีที่เกิดขึ้นที่บ้านไม้กลางนาบ้างไหมครับ”

“หลังไหนเหรอจ๊ะ”

“บ้านไม้ของคณะโนราห์สุพจน์ครับ”

“ไอบ่าว เอ็งรู้ได้ไงว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของคณะโนราห์สุพจน์” เสียงเข้มเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังโซฟารับแขก ก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับสิงด้วยสีหน้าขึงขังราวกับโกรธกันมาแต่ชาติปางก่อน

ใบหน้าคมเข้มเข้ากับหนวดเคราที่ถูกตัดแต่งมาอย่างดีของชายวัยกลางคนที่กำลังจ้องเขม็งหน้าสิงอย่างไม่วางตา 

“พี่คล้าย หลบมาแล้วเหอะ ตำรวจเค้ามาหา พี่นั่งแหลงกันไปก่อนนะ น้องไปทำกับข้าวในครัวก่อน” [พี่คล้าย กลับมาแล้วเหรอ ตำรวจเขามาหา พี่นั่งพูดคุยกับพวกเขาไปก่อน น้องจะไปทำกับข้าวในครัว]

“เออไปต่ะ” เสียงเข้มเอ่ยตอบจากนั้นค่อยเดินไปนั่งแทนที่ที่เมียเคยนั่ง “ว่าไง มึงรู้ได้ยังไงว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านคณะโนราสุพจน์”

“เอ่อ…ผมชื่อ สิงหร มณีรัตนา ครับ”

คิ้วหนาของชายวัยกลางคนขมวดเข้าหากันจนเป็นปมใหญ่กลางหน้าผากหย่น “เอ็งเป็นลูกหลานบ้านนั้นเหรอ?!”

สิงกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ และจำต้องพยักหน้าตอบ “ครับ”

“เอ็งอยากรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้น”

“ผู้ใหญ่พอจะทราบไหมครับ ว่าทวดขวัญพอจะมีญาติคนอื่นหลงเหลืออยู่บ้างไหม”

“ขวัญ ผู้หญิงที่ผูกคอตายนั้นนะเหรอ”

“ครับ”

“เท่าที่รู้สายตรงไม่มี แต่พวกญาติ ๆ ของสองตายายยังมีอยู่”

“ผมพอจะขอที่อยู่ของพวกเขาได้ไหมครับ”

“หึ ก็มีคนนึงนั่งอยู่ตรงหน้าเอ็งนี้ไง”

“เอ่อ…” สิงถึงกับไปต่อไม่ถูก ตั้งรับไม่ทัน ไม่คิดว่าจะได้เจอกับญาติของขวัญเร็วขนาดนี้ “ผมขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ” สิงยกมือไหว้ขอโทษเรื่องในอดีต ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนร้าย แต่อย่างน้อยในฐานะคนในครอบครัวก็ควรจะมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ 

“เอ็งจะขอโทษทำไม ตอนนั้นเอ็งยังไม่เกิดด้วยซ้ำ”

“แต่เรื่องมันเกิดขึ้นก็เพราะทวดของผม”

“แต่มันก็รับกรรมตายไปในกองไฟแล้วนิ อีกอย่าง จะโทษแต่มันก็ไม่ได้หรอก ตายายสองคนนั้นก็ไม่ได้ดูแลยายขวัญให้ดีด้วย”

“ผมขอถามได้ไหมครับ ว่าทำไมคุณตากับคุณยายถึงทุบตีทวดขวัญ”

“เท่าที่ฉันรู้ แม่ของยายขวัญท้องกับชายที่เป็นโจร แถมยังทิ้งลูกโจรไว้ให้เลี้ยงอีก ฉันพูดแค่นี้ พอจะเข้าใจใช่ไหม”

สิงพยักหน้าตอบ “ไม่ทราบว่าพอจะรู้ไหมครับ ว่ากระดูกของทวดขวัญอยู่ที่ไหน”

“กระดูกอะไร ไม่มีหรอก ฝังทั้งร่างนั่นแหละ”

“ฝังเหรอครับ?!” สิงถามเสียงหลงอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะตามหลักศาสนาพุทธแล้ว ไม่ว่าจะเสียชีวิตด้วยสาเหตุไหนก็ควรทำการเผาเพื่อส่งดวงวิญญาณให้ไปสู่สุคติ 

“อือ สองตายายนั้นรีบ ๆ ทำให้จบ ๆ ไป สุดท้ายตัวเองก็ถูกฝังไม่ต่างกัน”

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ”

“ชาวบ้านเกลียดทวดเอ็งแค่ไหน ก็เกลียดสองตายายนั้นพอ ๆ กัน ไม่มีใครไม่รู้หรอกว่าสองตายายนั้นทารุณกรรมหลานสาวแค่ไหน สุดท้ายพอตายก็ไม่มีใครคิดจะไปดูดำดูดี ฝังไปข้าง ๆ หลุมยายขวัญที่หลังบ้านนั่นแหละ”

“ผมขอที่อยู่บ้านหลังนั้นได้ไหมครับ”

“ได้ รอแป๊บนึง” ผู้ใหญ่คล้ายเดินหายเข้าไปในห้องห้องนึง ก่อนจะเดินออกมายื่นกระดาษใบนึงให้ “ที่นี่แหละ”

“ขอบคุณครับ” สิงยกมือไหว้ขอบคุณผู้ใหญ่ แล้วค่อยยื่นมือไปรับกระดาษมาไว้ในมือ เมื่อไม่มีคำถามอะไรแล้ว สิงและหมวดเมฆจึงขอตัวกลับ 

หมวดเมฆขับรถมาตามที่อยู่ที่ผู้ใหญ่บ้านให้มา เมื่อขับมาถึงจุดหมายก็พบว่าบ้านหลังนี้ก็กลายเป็นบ้านร้างไม่ต่างจากบ้านเก่าของทวด 

“ผมขอเดินดูรอบ ๆ หน่อยนะครับ”

“อือ ถ้ามีอะไรก็ตะโกนเรียกพี่นะ”

“ครับ”

บ้านไม้ยกพื้นสูงขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กตั้งอยู่หลังวัดประจำหมู่บ้าน หน้าบ้านติดถนนลูกรัง หลังบ้านติดกับเมรุวัด สภาพตัวบ้านชำรุดทรุดโทรมอย่างหนัก มีเพียงแค่โครงและฝาบ้านบางส่วนเท่านั้น เศษซากโครงหลังคาถูกลมพัดปลิวมาตกอยู่ที่ลานข้างบ้าน

เด็กหนุ่มเดินตรงไปที่หลังบ้าน ที่ที่น่าจะเป็นที่ฝังศพของทวดขวัญตามคำบอกเล่าของผู้ใหญ่คล้าย เขาสอดส่องสายตาไปทั่ว ก่อนจะเห็นป้ายวิญญาณเล็ก ๆ เสียบอยู่ใต้โคนต้นไม่ใหญ่ 

 

ขวัญฤทัย สุขาภินันท์

 

ชื่อบนป้ายวิญญาณบ่งบอกว่าสิงมาถูกที่แล้ว เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าลงตรงที่หน้าป้าย ก่อนจะพนมมือขึ้นกลางอก แต่ไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากพูดอะไร จู่ ๆ ก็มีลมพัดโหมกระหน่ำอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุย พัดพาเอาเศษฝุ่นเศษทราย จนสิงต้องยกมือขึ้นมาปัดป้องไม่ให้ฝุ่นผงเข้าตา 

 

“ออกไป!!!”

 

เสียงเล็กแหลมตะโกนมาตามแรงลม สิงพยายามหรี่ตามองหาต้นตอของเสียง แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา 

“ทวดขวัญเหรอคับ ทวดขวัญใช่ไหม?!” 

“ออกไป!!!” 

“ทวด…”

“กรี๊ดดด!!!”

 

เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วบ้านจนฝูงนกที่เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ต่างบินหนีไปกันอย่างจ้าละหวัน สิงเองก็ทำอะไรไม่ได้ หากเจ้าของที่ไม่ยอมให้อยู่เขาก็ไม่ควรอยู่ 

“ผมขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าผมสามารถทำอะไรเพื่อไถ่โทษได้ ทวดบอกผมนะครับ” สิงเดินคอตกออกไปจากบ้าน 

 

ตึก 

 

แต่ไม่ทันจะได้ก้าวออกไปพ้นบริเวณหลังบ้าน เด็กหนุ่มก็เดินสะดุดรากต้นไม้ใหญ่จนล้มลงไปกองอยู่บนพื้น เขาใช้สองมือพยุงให้ตัวเองลุกขึ้น ปัดเศษดินเศษหินออกจากเสื้อผ้า ก่อนจะเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ปุ่มกดของเขาตกแตกกระจายอยู่บนพื้น สิงเดินหยิบชิ้นส่วนโทรศัพท์แต่ละชิ้นขึ้นมาประกอบกลับไปตามเดิม 

“นี้อะไร”

หัวคิ้วเรียงสวยย่นเข้าหากันจนเป็นปมใหญ่ เมื่อเห็นว่ามีแสงไฟสีแดงกะพริบอยู่ด้านในฝาหลังโทรศัพท์ มันเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กเท่าเหรียญบาท ดูแล้วไม่เหมือนส่วนประกอบของโทรศัพท์รุ่นโบราณเครื่องนี้เลย 

“มีอะไรรึเปล่าสิง!”

เสียงตะโกนเรียกมาจากหน้าบ้าน ทำให้เด็กหนุ่มรีบประกอบชิ้นส่วนโทรศัพท์กลับเข้าที่เดิม แล้วเดินตรงไปหาหมวดเมฆ 

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีผมเดินไม่ระวัง เลยสะดุดล้ม”

“อ่าว เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” 

“ผมไม่เป็นไรครับพี่เมฆ เรากลับกันเถอะครับ สิงเป็นห่วงพี่อิน”

“โอเคได้ ไปกัน”

 

“พี่เมฆไม่เข้าบ้านเหรอครับ” หมวดเมฆขับรถมาส่งสิงที่หน้าบ้านแต่ไม่ยอมลงไปด้วยกัน สิงถึงได้ก้มลงไปถามอีกฝ่ายผ่านช่องกระจกประตูรถ 

“พี่แค่มาส่งเราเฉย ๆ เดี๋ยวพี่กลับไปนอนที่โรงแรม”

“ถ้าอย่างงั้น ขับรถดี ๆ นะครับ แล้วก็ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ”

“ไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรก็ติดต่อพี่มานะ”

“ครับพี่เมฆ”

 

พอรถของเมฆหายลับตาไปแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบเดินเข้าไปดูคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ในบ้าน ก่อนก้าวขึ้นไปบนชั้นสองเขาไม่ลืมที่จะเตรียมน้ำใส่กะละมังและผ้าสะอาดเพื่อนำไปเช็ดตัวให้คนพี่ เมื่อเดินขึ้นมาแล้วก็นังลงข้างกายที่ยังนอนไม่ได้สติ ยกยิ้มอย่างอ่อนแรงให้อีกฝ่าย แล้วค่อยลงมือเช็ดตัวอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าผิวเนียนของอินจะเป็นรอย 

“ผมขอโทษนะครับที่ทิ้งให้พี่อยู่ที่บ้านคนเดียว แต่ผมจะต้องตามหาหมอผีคนที่กักขังวิญญาณของพี่เสือให้ได้ ถ้าผมช่วยพี่เสือได้แล้ว ตายายอาจจะยอมปล่อยพี่ไป พี่อินรอสิงหน่อยนะครับ”

สิงนั่งมองดวงหน้าของคนที่เป็นที่สุดของหัวใจ ก่อนจะปลีกตัวไปทำธุระส่วนตัวแล้วค่อยเดินมาล้มตัวลงนอนข้างกายคนพี่ กอบกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วนอนหลับเก็บแรงเอาไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ 

 

“มึงไปหามันไซร่!”

เด็กหนุ่มที่เพิ่งพล่อยหลับไปไม่นานตื่นขึ้นมาในห้วงความฝันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับคุ้นชินเสียแล้ว เพียงแค่ลืมตาขึ้นมาก็เห็นตายายยืนจ้องหน้าเขม่นเขาอยู่แล้ว 

“ตายายแหลงถึงทวดขวัญ” [ตายายพูดถึงทวดขวัญ] สิงพูดพลางเลิกคิ้วถาม 

“เออ”

“ผมแค่อยากไปขอโทษทวดขวัญครับ”

“แล้วพันพรือ มันให้อภัยมึงม้าย” [แล้วเป็นยังไง มันให้อภัยมึงไหม?]

สิงส่ายหน้าตอบ “ม้ายครับ” [ไม่ครับ]

“มันยิกมึงออกมาจากบ้าน กูแหลงโถกม้าย” [มันไล่มึงออกมาจากบ้านของมัน กูพูดถูกไหม?]

“…” การเงียบก็เป็นคำตอบชั้นดีที่ทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน พลางมองจ้องสิงตั้งแต่หัวจรดเท้า 

“ปู่มึงยังทำม้ายด้าย มึงคิดว่ามึงอีทำด้ายม้าย” [ปู่มึงยังทำไม่ได้ มึงคิดว่ามึงจะทำได้ไหม?]

“ปู่ไปขอโทษทวดขวัญแล้วเหอะครับ”

“แล้วมึงคิดว่าปู่มึงตายได้พรือ” [แล้วมึงคิดว่าปู่ของมึงตายได้ยังไง?]

“พ่อบอกว่าปู่ถูกรถชน”

“หึ มันตอแหล เท่ปู่มึงตายก็เพราะไอขวัญนั่นแหละ”

ปู่ตายไปก่อนที่เขาจะเกิดหลายปี ทำให้สิงไม่รู้แน่ชัดว่าปู่ตายได้ยังไง มีเพียงคำกล่าวอ้างของพ่อเท่านั้นที่บอกว่าปู่ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนแล้วหนี เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

“ม้ายช้ายแค่ปู่มึงที่ตายเพราะไอขวัญ พ่อแม่มึงกาเป็นฝีมือของมัน”

เด็กหนุ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว ราวกับมีไอเย็นมาปะทะร่างกายอย่างฉับพลัน สมองขาวโพลนจนคิดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองต้องรู้สึกยังไงจะเสียใจ แค้น หรือรู้สึกผิด เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าปู่ พ่อและแม่จะถูกทวดขวัญฆ่าตาย 

“ทวดขวัญฆ่าพี่เสือ...”

“ช่าย มันแก้แค้นลูกหลานของไอภพทุกคน รวมถึงมึงกัน เท่กูบอกไม่ให้มึงเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ มึงเข้าใจแล้วหม้าย” [ใช่ มันแก้แค้นลูกหลานของไอภพทุกคน รวมถึงมึงด้วย ที่กูบอกไม่ให้มึงเข้าไปยุ่งเรื่องพวกนี้ มึงเข้าใจแล้วใช่ไหม]

“ไซร้ทวดขวัญต้องทำพันฮันกันครับ” [ทำไมทวดขวัญต้องทำแบบนั้นด้วยครับ]

“มันบ้า แค้นไม่ลืมหูลืมตา”

“แต่ผีฆ่าคนม้ายด้าย” [แต่ผีฆ่าคนไม่ได้]

“ด้าย ถ้ายังคนช่วยมัน” [ได้ถ้ามีคนช่วยมัน]

“ใครช่วยทวดขวัญครับ”

“ไอหาญ”

สิ้นเสียงของผีตายาย ภาพตรงหน้าของสิงก็เปลี่ยนไปเป็นภาพบ้านไม้ยกพื้นสูง สถานที่ตั้งของคณะโนราห์สุพจน์ คณะโนราห์ที่เคยโด่งดังและเป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้านในละแวกนั้น บริเวณใต้ถุนบ้านเต็มไปด้วยนางรำมากมายกำลังซ่อมรำมโนราห์กันอยู่ โดยมีโนราห์ใหญ่คอยเดินตรวจตราความถูกต้องของท่ารำ 

สิงเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านอย่างที่เคยทำ เพราะรู้ว่ายังไงคนที่นั่นก็มองไม่เห็นเขาอยู่ดี เขาเดินไปรอย ๆ บ้านจนกระทั่งเวลาใกล้ค่ำ เด็กที่มาฝึกซ้อมรำมโนราห์ก็ทยอยกลับกันไป แต่ในขณะที่ทวดภาสเดินไปส่งเด็กนางรำคนสุดท้ายที้ทางเข้าบ้าน จู่ ๆ ก็มีรถมอเตอร์ไซต์คันหนึ่งขับพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วจนฝุ่นลอยคลุ้งไปทั่ว บนรถมีชายคนหนึ่งหน้าตาดุดันผิวคร้ามแดด บนตัวมีรอยสักเป็นลายอักขระขอมโบราญเป็นคนขับ ด้านหลังมีหญิงวัยรุ่นผิวขาว ร่างเล็ก หน้าตาจิ้มลิ้มซ้อนท้ายมาด้วย 

“ภา! ไซร่มึงมากับมัน!!!” [ภา! ทำไมมึงมากับมัน!!!] ทวดภพที่เพิ่งเดินออกมาจากในตัวบ้านตะโกนลั่นจนโนราห์ใหญ่นั่งเช็ดเครื่องดนตรีอยู่ใต้ถุนบ้านรีบเดินออกมาดูลูกชายคนโต

“มึง! มาทางไหนออกไปทางฮั่น!!!” [มึงมาทางไหน มึงออกไปทางนั้นเลย!!!] เทียดชายตวาดเสียงดังลั่น พลางยกมือขึ้นชี้หน้าชายคนขับด้วยสีหน้าเดือดดาล 

“พ่อ! ไซร้ต้องแหลงพันฮันกับพี่หาญกัน” [พ่อ! ทำไมต้องพูดแบบนั้นกับพี่หาญด้วย] สรรพนามที่หญิงวัยรุ่นคนนั้นใช้เรียกเทียด ทำเอาสิงถึงกับเหว่อ แท้จริงแล้วเขารู้จักครอบครัวตัวเองมากน้อยแค่ไหนกัน

“กูต้องให้เกียรติหมอผีกันเหอะ?!” เทียดพูดด้วยท่าทางเย้ยหยัน ใบหน้าเชิดขึ้น นัยน์ตาวาวโจน์มองลูกสาวด้วยความเกรี้ยวโกรธ ก่อนจะเหลือบไปมองใบหน้าของหาญด้วยสายตาดูถูกดูแคลน

ไม่มีความกลัวเกรงอยู่ในสายตาของหาญด้วยซ้ำ แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงพ่อตาก็ตาม แถมยังมองหน้าไปยกยิ้มยียวนไปอย่างไร้มารยาท “พ่ออีรังเกียจไอไหร่ผมหนักหนา ผมกับพ่อก่าเป็นหมอผีเหมือนกัน” [พ่อจะรังเกียจอะไรผมนักหนา ผมกับพ่อก็เป็นหมอผีเหมือนกัน]

“หึ! แหลงมาได้เหมือนกัน มึงเล่นของต่ำ มันอีกเหมือนกันได้พรือ” [หึ! พูดมาได้เหมือนกัน มึงเล่นของต่ำ จะเหมือนกันได้ยังไง]

“ก่าเลี้ยงผีเหมือนกัน” [ก็เลี้ยงผีเหมือนกัน]

“หุบปาก! มึงมาทางไหนมึงออกไปทางฮั่น เสนียดบ้านกู ไอภา! ถ้ามึงอยากได้ผัวพันฮันก่าออกไปจากบ้านกูเสีย แล้วไม่ต้องเอาไอไหร่ติดตัวไป สมบัติมึงกูเป็นคนสร้าง ออกไปแต่ตัว แล้วไม่ต้องเรียกกูว่าพ่อ!” [หุบปาก! มึงมาทางไหนมึงออกไปทางนั้น เสนียดบ้านกู ไอภา! ถ้ามึงอยากได้ผัวแบบนั้นก็ออกไปจากบ้านของกู แล้วไม่ต้องเอาอะไรติดตัวไป สมบัติมึงกูเป็นคนสร้าง ออกไปแต่ตัว แล้วไม่ต้องเรียกกูว่าพ่อ!]

 

“ความฉิบหายของโคตรเหง้า เกิดจากลูกหลานอุบาทว์” 

ภาพตรงหน้าหายไปทันทีที่เสียงของตายายดังขึ้น ราวกับมันถูกพัดปลิวไปกับสายลม และร่างกายของชายวัยชราก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่มอีกครั้ง 

“ไอเปรตฮั่นมันเป็นหมอผี เล่นของต่ำทำของให้คนอื่นเค้าฉิบหาย ไอเบล่อฮั่นยังไปเอามันทำผัว!” [มันเป็นหมอผี เล่นของต่ำ ทำของใส่คนอื่นจนเค้าฉิบหายกันหมด ทวดมึงก็ยังจะไปเอามันทำผัว]

“แล้วทวดภาไม่โร้เหอะครับ ว่าทวดหาญเป็นหมอผี” [แล้วทวดภาไม่รู้เหรอครับ ว่าทวดหาญเป็นหมอผี]

“ไอภามันโถ้กไอหาญทำของใส่ หลงจนได้เสียเป็นผัวเมีย” [ไอภามันถูกไอหาญทำของใส่ หลงจนได้เสียกลายเป็นผัวเมียกัน]

ทวดภาที่สิงเห็นเธอหน้าตาน่ารักมากจริง ๆ ผิวขาวผุดผ่อง ใบหน้าดูน่ารักจิ้มลิ้ม ริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อ จมูกโด่งเชิดรั้น ดวงตากลมโตราวกับตุ๊กตา หากจะไปต้องใจต้องตาหมอผีหาญคงไม่แปลก 

“แล้วไซร้ทวดหาญต้องช่วยทวดขวัญครับ” [แล้วทำไมทวดหาญต้องช่วยทวดขวัญครับ]

“ไอหาญเลี้ยงผีไว้ทำคุณไสย ไอขวัญได้แก้แค้น ต่างคนต่างได้ผลประโยชน์”

ทางออกของเรื่องวุ่นวายพวกนี้อยู่ตรงไหน เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับกำลังเดินวนอยู่ในเขาวงกตที่ไม่มีทางออก “สิงต้องทำพันพรือถึงจะแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้” [สิงต้องทำยังไงถึงจะแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้]

“มึงทำอะไรไม่ได้ กูอีปล่อยไอบ่าวฮั่นไป แล้วมึงก่าหลบบ้านมึงไป ไม่ต้องหลบมาเท่นี่หล่าว” [มึงทำอะไรไม่ได้ กูจะปล่อยไอหนุ่มนั้นไป แล้วมึงก็กลับบ้านมึงไปซะ ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก]

“แต่พี่เสือ...”

“เป็นกรรมของมัน ให้มันรับผิดชอบเอาเอง”

“สิงปล่อยพี่เสือไปม้ายด้าย...” [สิงปล่อยพี่เสือไปไม่ได้]

“ไอเสือมันตายไปแล้ว เห้อมึงอีให้คนที่มึงรักตายตามไอเสือไป?!” [ไอเสือมันตายไปแล้ว หรือมึงจะให้คนรักของมึงตายตามไอเสือไป?!]

 

แสงแดดอ่อน ๆ ของเช้าวันใหม่ กับเสียงไก่ขันปลุกให้เด็กหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาจากการหลับลึก ในช่วงสามสี่วันที่ผ่านมานี้ หลังจากลืมตาตื่นแล้ว การหันไปเช็กอาการของคนพี่ก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว และเมื่อเห็นว่าอินยังคงนอนหลับไม่ได้สติเหมือนทุกวันและไม่มีอาการที่ผิดแปลกไป สิงจึงได้ลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วค่อยเดินหาบน้ำขึ้นมาเช็ดตัวรอบเช้า 

เมื่อว่างจากการงานแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องที่จะต้องหาคำตอบ เด็กหนุ่มจึงแกะฝาโทรศัพท์ออกมา แล้วใช้มือถือของอินถ่ายรูปชิ้นส่วนแปลกปลอมส่งไปถามผู้เชี่ยวชาญอย่างสารวัตรปราป ส่งไปไม่ถึงหนึ่งนาที หน้าจอก็ขึ้นว่าอีกฝ่ายอ่านข้อความนั้นแล้ว และอีกเสี้ยววินาทีต่อมาสิงก็ได้รับสายโทรเข้าจากนายตำรวจหนุ่ม 

[สิงไปเอามันมาจากไหน?] ปลายสายไม่รอให้เด็กหนุ่มกล่าวทักทาย โพล่งถามคำถามด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด และดีที่ประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่มดีกว่าคนทั่วไป ทำให้เสียงรบกวนที่อยู่ด้านหลังไม่ได้มีผลกับการสนทนาของทั้งคู่ 

“เอ่อ...มันอยู่ในโทรศัพท์ของผมครับ” 

[มันอยู่มานานรึยัง] ปราปตอบคำถามด้วยคำถาม โดยที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้วว่าไอเด็กสัมผัสพิศวงอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมาอยู่ในโทรศัพท์ที่ติดตัวอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง

“ไม่รู้เหมือนกันครับ พอดีผมเจอมันเมื่อวานตอนที่ทำโทรศัพท์ตกแตก” คำตอบเป็นไปตามที่ปราปคิด แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่าคือใครเป็นคนทำและทำไปทำไม 

สารวัตรหนุ่มคิดหนัก ไม่รู้จะเอายังไงกับสิ่งนั้นดี แต่อย่างน้อยก็ควรบอกให้เจ้าตัวรับรู้เสียก่อนว่าตัวเองกำลังพบเจออยู่กับอะไร [มันคือเครื่องติดตามตัว] 

“…”

[มีใครได้จับโทรศัพท์ของสิงบ้าง] 

“มีแค่สิงกับพี่อินครับ”

[เอ่อ...คุณอินเค้าแอบทำไว้เพื่อความปลอดภัยของสิงรึเปล่า]

“ถ้าพี่อินอยากรู้ว่าสิงอยู่ไหน การโทรจิกเป็นสิ่งที่พี่อินเลือกที่จะทำ มากกว่าติดเครื่องติดตามตัวสิงนะครับ” สิงปฏิเสธทันควัน เพราะการทำอะไรลับหลังคนอื่นไม่ใช่วิสัยของคนพี่เลย ตั้งแต่สิงรู้จักอินมา อินมักจะถามในสิ่งที่อยากรู้อย่างไม่อ้อมค้อม พูดในสิ่งที่อยากพูดแบบเถรตรง จนบางทีก็แอบทำร้ายความรู้สึกของคนฟังไปบ้าง แต่อย่างน้อยคนที่รู้จักอินจะรู้ดีกว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา 

ปราปเค้นเสียงหัวเราะในลำคอ พลางนึกถึงนิสัยดื้อรั้นของอีกฝ่ายที่เขาได้สัมผัสมาภายในช่วงเวลาสั้น ๆ [หึ ก็จริง ถ้าอย่างงั้น ก็ต้องมีคนอื่นที่ได้จับโทรศัพท์สิงอีก]

เด็กหนุ่มคิดหนักจนหัวคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเป็นปมใหญ่ พยายามนึกเป็นฉาก ๆ ว่าก่อนหน้านี้มีใครได้จับโทรศัพท์ของเขาบ้าง แต่นึกยังไงก็มีแค่เขากับอินเท่านั้นที่ได้จับโทรศัพท์ในช่วงนี้ เว้นเสียแต่ว่า ... “ตอนผมโดนควบคุมตัวครับ ตอนนั้นตำรวจเก็บข้าวของของผมไปตรวจสอบ มีแค่ตอนนั้นที่คนอื่นได้จับโทรศัพท์ของผม”

เสียงนายตำรวจหน้าคมเข้มถอนหายใจดังลอดมาถึงปลายสาย “สิงกำลังจะบอกฉันว่าคนในสน.เป็นคนร้ายเหรอ?”

“เอ่อ ผมก็ไม่แน่ใจครับสารวัตร แต่เท่าที่ผมนึกออกตอนนี้ก็มีแค่นี้”

“โอเค เดี๋ยวฉันจะไปเช็กให้ ว่าแต่...สิงกับคุณอินได้ไปสืบเรื่องคดีที่สิงหนครรึเปล่า”

“ไปครับ” สิงตอบเสียงเอื่อยราวกับคนร้ายถูกต้อนให้สารภาพความผิด เสียดเสียวว่าจะโดนอีกฝ่ายดุด่ากลับมาเหมือนที่คนพี่โดน ยิ่งปลายสายเงียบไปนานเท่าไหร่ เด็กหนุ่มก็อยู่ไม่สุขมากขึ้นเท่านั้น “ขะ ขอโทษครับ”

“แล้วได้อะไรมาบ้าง” สารวัตรปราปถามเสียงเรียบ ราวกับว่าไม่ได้สนใจจะดุด่าอะไรอีก แต่ที่จริงแล้วพยายามกดข่มความโกรธเอาไว้ข้างในไม่อยากทำให้ร่างโปร่งไม่พอใจอีก

“เป็นไปตามที่เราคิดครับ หลักฐานของเหยื่อรายแรกคือน้ำมันพราย ส่วนคนที่สองกำผ้ายันต์เอาไว้ตอนที่เสียชีวิต”

“ทำไมมีแค่สองคนละ”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ผมได้ข้อมูลคดีอื่นมาด้วยครับ”

“คดีไหน ได้มาได้ยังไง”

“หมวดนุ้ยที่สภ. สิงหนครเป็นคนให้ข้อมูลมาครับ เป็นคดีของเพื่อนที่อยู่ท้องที่อื่น แต่เรื่องนี้ผมเล่าให้หมวดเมฆฟังไปแล้วนะครับ”

“เมฆเหรอ?” 

“ครับ หมวดเมฆมาหาผมที่บ้าน”

“ห๊ะ?!” 

ปราปอุทานเสียงดัง ทำเอาเด็กหนุ่มที่อยู่ปลายสายอดแปลกใจไม่ได้ หากเขาจำไม่ผิด สารวัตรปราปเป็นคนส่งลูกน้องคนสนิทมาเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของพวกเขาสองพี่น้อง แต่ทำไมปราปถึงมีปฏิกิริยาแบบนั้น ราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นคนออกคำสั่ง

“มีอะไรรึเปล่าครับสารวัตร”

“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร เอาเป็นว่าเรื่องเครื่องติดตามฉันจะเช็กให้ก็แล้วกัน สิงกับคุณอินก็อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม”

“ได้ครับ”

“แล้วก็...เครื่องติดตามนั้น ทางที่ดี เราควรเก็บมันเอาไว้ก่อน อย่าทำให้คนร้ายไหวตัวทัน”

“ถ้างั้นให้ผมเอาไปซ่อนไว้ที่อื่นก่อนดีไหมครับ”

“เรื่องนั้น... ฉันว่าเอาไว้ที่เดิมจะดีกว่า ช่วงนี้ก็อยู่ที่บ้านไปก่อน อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว เราอยู่ในที่แจ้งคนร้ายอยู่ในที่มืด มันอันตราย ถ้าจะไปไหนมาไหนก็บอกให้ฉันหรือคุณอินรู้ก่อนเข้าใจไหม ส่วนเรื่องคดีปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”

“ครับสารวัตร”

 

หลังจากวางสายจากสารวัตรปราป สิงก็นั่งคิดไม่ตก จริงอยู่ที่การปล่อยให้เครื่องติดตามติดอยู่ที่เดิม จะเป็นการหลอกล่อไม่ให้คนร้ายไหวตัวทัน แต่มันอาจจะเกิดอันตรายกับอินที่ยังนอนไม่ได้สติและตัวเขาเอง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะการที่ปราปสั่งมาแบบนั้น นายตำรวจหนุ่มคงคิดมาดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้ประชาชนอย่างสิงเก็บเครื่องติดตามเอาไว้กับตัว

“มีคนติดเครื่องติดตามไว้ในโทรศัพท์ผมด้วยครับพี่อิน สารวัตรปราปคิดว่าพี่เป็นคนติดไว้เพื่อตามตัวผมด้วยแหละ ฮ่า ๆ ตลกมากเลยครับ พี่อินของผมไม่ทำแบบนั้นหรอก เพราะถ้าเป็นพี่อินของผมจริง ๆ ตอนที่ผมหายไปสายโทรศัพท์ผมคงไหม้ไปแล้ว” 

ตั้งแต่อินหลับไม่ได้สติ สิงก็มักจะมานั่งคุยกับอินทุกครั้งในเวลาว่างงานไม่มีอะไรทำ คุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย ไม่ว่าจะเรื่องที่รู้มาจากตายาย หรือเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างวันนี้กินข้าวกับอะไร โดยที่หวังว่าอินจะรับรู้ในสิ่งที่เขาพูด ในใจลึก ๆ ก็แอบหวังว่าคนพี่จะตื่นขึ้นมาพูดคุยหยอกล้อกับเขาเหมือนเดิม แต่ก็คงได้แค่หวัง...

“คนร้ายจะได้อะไรจากการรู้ตำแหน่งของผมเหรอครับพี่อิน แล้วทำไมต้องเป็นผมด้วย ถ้าไปติดตามสารวัตรปราปอาจจะได้เรื่องมากกว่าผมอีกนะครับ จริงไหม?”

“...”

“ถ้าคนร้ายเป็นคนใกล้ตัวเราจริง ๆ พี่อินคิดว่าเค้าเป็นใครครับ ใช่ทวดหาญรึเปล่า?”