"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

โกลาหลกลสั่งตาย - กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย,สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โกลาหลกลสั่งตาย

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ชาย-ชาย,เลือดสาด,ดาร์ค,ไทย

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,สยองขวัญ,ผี,วิญญาณ,ไสยศาสตร์

รายละเอียด

โกลาหลกลสั่งตาย โดย เมื่อยามรัตติกาล @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"ทำไมคุณถึงฆ่าพี่ชายของตัวเอง" "วิญญาณเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่พี่เสือต้องจ่าย"

ผู้แต่ง

เมื่อยามรัตติกาล

เรื่องย่อ

'สิง' เด็กหนุ่มผู้มีสัมผัสพิเศษที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี ฆาตกรรมพี่ชาย ร่วมสายเลือด 

กับการถูกไล่ล่าจากวิญญาณ 'ผีมโนราห์' ที่ไม่มีที่มาที่ไป 

การเอาชีวิตรอดและการปกป้องแสงสว่างหนึ่งเดียวในชีวิตที่มืดบอดอย่าง 'อิน' จึงกลายเป็นภารกิจสำคัญ 

ควบคู่ไปกับการตามล่าหาความจริงอันดำมืดที่ถูกซุกซ่อนเอาไว้มานานหลายปี

#โกลาหลกลสั่งตาย


 WARNING 

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง จากจินตนาการของผู้เขียน ตัวละคร เหตุการณ์ สถานที่ (บางสถานที่มีจริง) ไม่มีอยู่จริง ผู้เขียนไม่มีเจตนาล่วงละเมิดหรือจงใจให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด หรือ สิงใดก็ตาม 

นอกจากนั้นยังไม่มีเจตนาลบหลู่ บิดเบือนศาสนา พิธีกรรม ความเชื่อ หรือประเพณีใด ๆ ทั้งสิ้น 

อาจมีภาพหรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านพฤติกรรม ความรุนแรง และการใช้ภาษา ผู้อ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรอ่านโดยใช้วิจารณญาณ 

ภายในงานเขียนมีการใช้ภาษาถิ่นใต้และผู้เขียนกังวลเรื่องการผันเสียงในภาษาท้องถิ่น จึงมีการใช้ภาษากลางในการอธิบายร่วมด้วย

นิยายเรื่องนี้เป็นนิยาย ชxช ใครหลงเข้ามาสามารถเปิดใจอ่านได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ สามารถกดออกไปสู่เนื้อหาที่ผู้อ่านต้องการได้เลย :)

 

TRIGGER WARNING

Abuse / Physical Abuse มีการใช้ความรุนแรงกับเหยื่อทางกาย

Abuse Relationship ความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรงทั้งการทำร้ายด้วยวาจาและการทำร้ายร่างกาย

Blood มีเลือด

Brutality การใช้ความรุนแรง, ทารุณ

Cutting ใช้ของมีคม

Corpse ศพ

Dead การตาย

Depiction of Death มีการบรรยายฉากการตาย

Dirty Talk มีการใช้คำพูดหยาบโลน

Drug Abuse การใช้ยาหรือสารเคมีแบบผิดวิธี

Ghost ภูตผี

Gore เนื้อหามีความโหดร้าย

Hallucinations มีอาการประสาทหลอน

Mental Abuse ใช้ความรุนแรงกดดันจนเกิดบาดแผลทางใจ

Mental Illness มีอาการป่วยทางจิต

Murder มีฉากฆ่าที่โหดร้าย

Sexual Harassment การล่วงละเมิดทางเพศ 

Psychopath โรคจิต ไม่มีความนึกคิดผิดชอบชั่วดีเหมือนคนปกติ

Violence มีการใช้ความรุนแรง 


 

Facebook : https://www.facebook.com/profile.php?id=61564472022894&amp%3Bref=embed_page

X : https://x.com/Writer_RTKDN

TikTok : https://www.tiktok.com/@writer_rtkdn

 

เงื่อนไขในการติดเหรียญ

ติดเหรียญ 5 เหรียญต่อ 1 ตอน

ตอนที่ 0-6 ฟรี!!! 

อ่านฟรีก่อนติดเหรียญ 7 วัน (นับตั้งแต่วันที่เผยแพร่)

ตอนพิเศษติดถาวร

(ตอนพิเศษ 6 ตอน 1 ตอนมีเฉพาะใน E-book เท่านั้น)

Publish Date

ตอนที่ 1-7 : 11/10/2024 - 16/10/2024

ตอนที่ 8-22 และ ตอนพิเศษ : ลงทุกวันจันทร์ / พุธ / ศุกร์

เปิดเรื่อง : 11/10/2024

ปิดเรื่อง : 0/0/2024

สารบัญ

โกลาหลกลสั่งตาย-- ปฐมบทกลลวง ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑ ข้อแลกเปลี่ยนคือความตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒ เด็กในปกครอง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๓ ตายศพสวย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๔ บ้านใหม่หลังเดิม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๕ เตือนก่อนตาย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๖ ลางสังหรณ์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๗ เครื่องรางมหานิยม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๘ สีผึ้งมหาเสน่ห์,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๙ ตุ๊กตาคุณไสย,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑o สมบัติตกทอด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๑ นอกอาณาเขต,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๒ จองเวรจองกรรม,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๓ ตัวตายตัวแทน,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๔ ฆาตกรรมต่อเนื่อง,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๕ ผู้สมรู้ร่วมคิด,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๖ กลับบ้านเรา …รออยู่,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๗ โนราโรงครู,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๘ ครูหมอโนรา,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๑๙ ความอัปยศ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๑ อดีตที่ควรฝังกลบ,โกลาหลกลสั่งตาย-กลลวงที่ ๒๒ ตำแหน่งไหนก็เหมือนกัน

เนื้อหา

กลลวงที่ ๒๐ แก้(ไข)แค้น

ถ้าสิ่งที่วิญญาณผีตายายบอกกับสิงเป็นเรื่องจริง และทวดหาญเป็นคนคอยช่วยเหลือทวดขวัญในการล้างแค้น ป่านี้อายุอานามแกคงแก่มากแล้ว จะไปทำอันตรายใครได้อีก จากภาพที่ตายายให้สิงดู ทวดหาญในตอนนั้นน่าจะแก่กว่าทวดภพอยู่หลายปี แล้วตอนนี้แกจะยังมีชีวิตอยู่เหรอ? แล้วถ้าไม่ ใครจะเป็นคนร้ายตัวจริงในคดีนี้ 

มือเรียวถูกยกขึ้นมาประทับรอยจูบก่อนผละออก “เดี๋ยวสิงมานะครับพี่อิน” 

บ้านยายน้อยเป็นจุดหมายของสิง หญิงชราต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับครอบครัวของเขา ถึงจะไม่ได้ข้อมูลที่แน่ชัดเท่าการถามจากทวดพันที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น แต่เธอก็น่าจะรู้อะไรบางอย่างมาจากพ่อบ้าง 

“ถึงแม่ไม่โร้เหอะ ว่าทวดหาญยังโย่ม้าย” [แล้วแม่ไม่รู้เหรอ ว่าทวดหาญยังอยู่รึเปล่า]

“ป่านี้แล้ว ตายไปเสียมั้งแล้วแหละ” [นานขนาดนี้แล้ว แกคงตายไปแล้วแหละ]

“แล้วสิงอีตามหาโหม่เขาไปไสร้” [แล้วสิงจะตามหาพวกเขาไปทำไม]

“เอ่อ...สิงแค่อยากตามหาญาติครับ” เด็กหนุ่มโกหกคำโต อยากกันญาติทั้งสองออกจากเรื่องอันตรายพวกนี้ หากเกิดอะไรขึ้นกับนิตและแม่อีกสิงคงรับมันไม่ไหว 

“ยายโร้บ้านเก่าแก แต่แกย้ายไปเสียนานแล้ว ไปโหย่ไหนยายก่าไม่โร่” [ยายรู้แต่ที่อยู่บ้านเก่าของแก แต่แกย้ายบ้านไปนานแล้ว ไม่อยู่ที่ไหนยายก็ไม่รู้เหมือนกัน]

“บ้านเก่าโหย่ไหนครับ?” [บ้านเก่าอยู่ที่ไหนครับ?]

บ้านเก่าของทวดหาญอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของสิงนัก นิตจึงอาสาพาสิงไปดูด้วยมอเตอร์ไซค์คู่ใจของตัวเอง คนเคยพิการขึ้นคร่อมซ้อนท้ายอย่างเก้ ๆ กัง ๆ กับประสบการณ์โลดโผนครั้งแรก 

“สภาพพันนี้ ห่าม้ายใครโหย่แล้วสิงเห้อ” [สภาพแบบนี้ คงไม่มีใครอยู่แล้วแหละสิง]

สภาพบ้านไม้เก่ายกพื้นสูงผุพัง ฝาผนังบางส่วนถูกปลวกกินจนเป็นรู หลังคามุงกระเบื้องพังทลายลงมาเกือบครึ่งจากการเวลาที่ผ่านมานานหลายสิบปี บริเวณโดยรอบบ้านล้อมรอบไปด้วยป่ารกชัฏ ต้นไม้สูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา มีพงหญ้าขึ้นสูงเกือบถึงอก บริเวณทางเข้ามีร่องรอยของศาลบูชา 

“สิงขอเดินแลรอบ ๆ สักเดียวใจ พี่นิตถ้าโย่ตรงนี้ก่อนนะครับ” [สิงของเดินดูรอบ ๆ สักครู่ พี่นิตรออยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ]

“เดินดี ๆ ฮัน แลแล้วฮูน่าอีชุม” [เดินดี ๆ นะ ดูแล้วงูน่าจะชุม]

“ครับ”

ภายในตัวบ้านมองเห็นได้จากภายนอก เพราะฝาบ้านผุพังจนกลายเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่ ห้องแรกเต็มไปด้วยฝุ่นและหยากไย่ใยแมงมุม กลางห้องยังคงมีซากแท่นบูชาหลงเหลืออยู่

เด็กหนุ่มทำท่าจะก้าวขึ้นไปบนบันได แต่ไม่ทันจะได้เหยียบขั้นบันไดชั้นแรกก็ได้ยินเสียงเรียกของนิตเสียก่อน 

“สิง! อีขึ้นไปไซร้ ไม้มันผุเหม็ดแล้ว” [สิง! จะขึ้นไปทำไม ไม้มันผุหมดแล้ว]

“สิงไปเดียวใจครับ พี่นิตไม่ต้องห่วง” [สิงเข้าไปแป๊บเดียวครับ พี่นิตไม่ต้องเป็นห่วง]

“เออ ๆ เดินดี ๆ นะ”

สิงหันไปยิ้มให้ก่อนจะเดินขึ้นไปสำรวจบนบ้าน ห้องที่สิงเห็นจากช่องโหว่ทางขวามือดูแล้วน่าจะเป็นห้องที่ทวดหาญใช้ทำพิธี ห้องถัดไปไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปสำรวจ เพราะผนังห้องแทบจะผุพังไปหมดแล้ว ภายในห้องโล่งไม่มีสิ่งของอะไรหลงเหลืออยู่ สิงจึงพลิกตัวหันกลับไปสนใจห้องที่อยู่ทางซ้ายมือแทน ตรงข้ามห้องทำพิธีเป็นห้องที่ถูกปิดตายเอาไว้ ทำให้สิงไม่สามารถเข้าไปได้ เขาจึงทำได้แค่มองลอดผ่านช่องไม้ พบว่าภายในห้องว่างเปล่าเหมือนกับห้องอื่น ๆ เพียงแต่บนพื้นห้องมีเศษหม้อดินเผาแตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ข้างกันมีผ้ายันต์ลงลายอักขระด้วยน้ำหมึกสีดำและสายสิญจน์ 

แอ๊ด ~ 

ประตูไม้เก่าถูกเปิดออก พร้อมกับมีลมพัดอ่อน ๆ พัดพาฝุ่นผงภายในห้องมาปะทะหน้าสิง ภายในห้องมีเตียงนอนขนาดใหญ่วางชิดติดมุมห้องด้านใน ข้างกันมีตู้ไม้สองประตูสูงเกือบถึงเพดาน ประตูตู้ถูกเปิดออกแต่ไม่พบอะไร มีเพียงเศษซากหนูตายส่งกลิ่นเหม็นสาบเล็กน้อยจากซากศพที่แห้งกรังไปแล้ว ประตูถูกปิดกลับไปตามเดิมแต่ในขณะที่เขากำลังจะหมุนตัวกลับ จู่ ๆ ก็มีเศษกระดาษตกลงมาที่กลางกระหม่อม ก่อนที่มันจะปลิวไปตกลงบนพื้น สิงจึงยื่นมือไปหยิบขึ้นมาพลิกดู

“ทวดหาญ ทวดภา” 

รูปถ่ายขาวดำของทวดหาญกำลังโอบไหล่ภรรยา ส่วนอีกข้างอุ้มเด็กชายตัวเล็ก ทุกคนกำลังฉีกยิ้มกว้างให้กับกล้องเพื่อเก็บภาพบรรยากาศครอบครัวสุขสันต์กับบ้านไม้หลังนี้  

สิงเดินออกมาจากบ้านก่อนจะยื่นภาพถ่ายที่เก็บมาได้ให้นิตดู “พี่นิตโร้จักเด็กในรูปม้ายครับ” [พี่นิตรู้จักเด็กในรูปไหมครับ]

นิตหยิบรูปถ่ายมาพิจรณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่ายหัวตอบน้อง “ม้ายโร้สิงเห้อ ถามแม่ต๊ะ หลบบ้านกันเลยม้าย?” [ไม่รู้ ถามแม่เถอะ กลับบ้านกันเลยไหม?]

“ครับ”

 

เมื่อกลับมาถึงบ้านสิงก็นั่งเค้นข้อมูลครอบครัวทวดหาญจากยายน้อย พบว่าทวดหาญและทวดภามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนชื่อเรือง แต่ทวดหาญพาครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากที่อื่นเพราะมีเรื่องผิดใจกับผู้มีอิทธิพลในท้องที่คนนึงจากการทำคุณไสยมนต์ดำ ยายน้อยจึงไม่ได้ข่าวของครอบครัวนั้นอีกเลย

คุยกันจนถึงเวลาโพล้เพล้นิตจึงชวนสิงกินข้าวเย็น เขาอาสาไปช่วยสองแม่ลูกตระเตรียมอาหาร ก่อนที่อาหารสองสามอย่างจะมาวางเรียงรายอยู่บนแคร่ใต้ถุนบ้าน 

“นั่งลูกนั่ง” ยายน้อยเดินยกกับข้าวจานสุดท้ายออกมาจากในครัว กวักมือเรียกสิงให้เดินตามมานั่งกินด้วยกัน 

“อินเป็นพันพรือมั้ง” [อินเป็นยังไงบ้าง] ยายน้อยหันไปถามพยาบาลเฝ้าไข้

“เหมือนเดิมครับ”

“เหมือนเดิมก่าดีแล้ว ไม่โร้เบ่อได๋ตายายอีปล่อยลูกอิน เห้อ~” [เหมือนเดิมก็ดีแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่ตายายจะปล่อยหนูอิน] ยายน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางใช้ช้อนเขี่ยข้าวไปมาด้วยสีหน้ากังวลใจ ถึงจะไม่ใช่ลูกหลานสายเลือดเดียวกัน แต่แกเอ็นดูและคิดว่าอินเป็นหลานคนนึงไปแล้ว 

“กินข้าวต๊ะแม่ เดี๋ยวตายายก่าปล่อยหลาน อินมันเป็นคนดีเดี๋ยวมันก่าเติน” [กินข้าวเถอะแม่ เดี๋ยวตายายก็ปล่อยหลาน อินมันเป็นคนดีเดี๋ยวมันก็ตื่น]

“จริงครับ เดี๋ยวพี่อินก่าเติน ยายน้อยไม่ต้องห่วงนะ กินข้าวกันดีหว่า”[จริงครับ เดี๋ยวพี่อินก็ตื่น ยายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงนะ กินข้าวกันดีกว่า] เด็กหนุ่มพยายามพูดปลอบคนแก่ ทั้ง ๆ ที่ในใจอยากจะให้คนพี่ตื่นขึ้นมามากกว่าใครเพื่อน แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากจะคลี่คลายเรื่องวุ่นวายทั้งหมดนี้ให้ได้ 

บรรยากาศมื้อค่ำเป็นไปด้วยความเงียบเพราะเผล่อเปิดประเด็นเรื่องอินหลังจากนั้นจึงไม่มีใครคิดจะพูดคุยเรื่องอะไรอีก เมื่อมื้อค่ำจบลงสิงก็อาสาช่วยคนหัวดำและคนหัวหงอกเก็บโต๊ะล้างจานให้เรียบร้อย ก่อนจะขอตัวกลับไปดูอินที่บ้าน 

สิงรีบจ้ำอ้าวกลับบ้านเพราะทิ้งคนพี่ไปนานมากแล้ว หากไม่จำเป็นเขาไม่อยากปล่อยให้คนพี่อยู่คนเดียวตามลำพัง 

ในขณะที่เขากำลังไขกุญแจเข้าไปในบ้าน แต่จู่ ๆ หลอดไฟหน้าบ้านกลับเกิดอาการติด ๆ ดับ ๆ สิงแหงนหน้ามองพลางขมวดคิ้วสงสัยคล้ายมีความรู้สึกอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในใจ และเมื่อประตูถูกเปิดออก ความจริงทุกอย่างก็กระจ่าง กลิ่นเหม็นเน่าลอยมาเตะจมูกทำให้สิงรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านโดยไม่คิดชีวิต

 

ปัง ปัง ปัง!!! 

 

“พี่อิน!!!”

สิงพยายามเปิดประตูที่ปิดสนิทพลางตะโกนเรียกชื่อคนที่อยู่ข้างใน ทั้งทุบทั้งดึงแต่ไม่เป็นผล ด้วยความร้อนใจเขาจึงใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งตัวกระแทกบานประตูจนมันเปิดออก 

 

ตึง ตึง ตึง!!!

“ตาย ตาย ตาย!!!”

 

ฝ่าเท้ากระทืบลงกลางอกแกร่งของอิน ย้ำซ้ำลงไปด้วยแรงแค้นทั้งหมดที่เธอมีจนเหยื่อใต้ร่างกระอักเลือด ในขณะที่สิงยังยืนแข็งค้างรวมกับร่างกายถูกสาปให้เป็นหิน เธอค่อย ๆ เอี้ยวหน้ามามองเขาด้วยสายตาวาวโรจน์สีแดงฉาน ริมฝีปากสำดำคล้ำแสยะยิ้มพร่ำพูดคำเดิมซ้ำ ๆ 

บทสวดทั้งหมดถูกกลืนหายราวกับไม่เคยได้เรียนรู้มันมาก่อน ร่างกายคล้ายอ่อนแรงจนไม่อาจฝืนยืนต่อไปได้ สิงลงไปนั่งกองอยู่บนพื้น มือยกขึ้นพนมเอาไว้กลางอก น้ำตาคลอหน่วยเอ่อล้นออกมาพร้อมกับความเจ็บปวด “อย่าทำอะไรพี่อินเลยนะครับ ทวดขวัญ” 

เสียงเรียกชื่อที่ไม่ได้ยินมานานทำให้เธอชะงักค้าง ฝ่าเท้าลอยค้างเติ่งอยู่ในอากาศ มุมปากที่เคยหยักยิ้มหุบลงทันที ก่อนที่ในอีกเลี้ยววินาทีต่อมา เธอจะมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าสิง 

ขวัญโน้มตัวลงไปใกล้ในระยะประชิด ใบหน้าสีซีดจึงอยู่ห่างไปเพียงไม่ถึงคืบ เธอมองจ้องคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายคนใอดีตที่เธออยากฝังกลบด้วยสีหน้าเรียบเฉย 

“งั้นมึงก็ตายแทนมัน”

มือขาวกำรอบลำคอยาวของเด็กหนุ่ม เธอออกแรงบีบจนใบหน้าสิงเหยเกด้วยความอึดอัดจากหลอดลมที่ถูกปิดกั้น ริมฝีปากอ้าพะงาบ ๆ ควานหาอากาศหายใจอย่างทุรนทุราย 

“หยุด!!!”

“ออกไป!!!”

เสียงแหบพร่าตะโกนลั่นดังกึกก้องจนฝูงนกกระพือปีกบินหนี การปรากฏตัวของวิญญาณผีตายายทำให้ขวัญเผล่อปล่อยมือจากสิง เธอหันไปมองคนที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าครู่นึกก่อนสลายตัวไป 

เด็กหนุ่มไอโขลกเขลกพลางหอบหายใจต่อชีวิต แล้วรีบคลานอย่างลุกลี้ลุกลนไปหาอินที่นอนจมกองเลือกของตัวเองอยู่ในห้องนอน พยายามตั้งสติเท่าที่จะทำได้แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแจ้งเหตุฉุกเฉิน 

รถโรงพยาบาลประจำอำเภอใช้เวลาเดินทางเพียงสิบนาที แต่คนรอกลับรู้สึกราวกับรอมาแล้วหลายชั่วโมง เจ้าหน้าที่ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหลังจากนั้นส่งอินที่ยังนอนไม่ได้สติไปทำการรักษาต่อที่ห้องโรงพยาบาล

สิงเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความงุ่นง่าน เฝ้ารออาการของคนพี่ด้วยความร้อนใจพลางร้องไห้น้ำตาแทบกลายเป็นสายเลือด 

เวลารอผ่านไปเนิ่นนานจนสิงไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ราวกับสติจมหายไปกับความรู้สึกผิด จนกระทั่งเขาได้ยินเสียงเรียกของนางพยาบาล 

“ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ พี่อินเป็นยังบ้างครับ”

“อาการคนไข้คงที่แล้วค่ะ เรากำลังย้ายคนไข้ไปที่ห้องผู้ป่วยใน แต่คุณหมออยากคุยเรื่องอาการของคนไข้ ยังไงช่วยตามดิฉันมาหน่อยได้ไหมคะ”

“ครับ”

สิงเดินตามนางพยาบาลไปพบหมอเจ้าของไข้ แต่ละคำถามที่นายแพทย์สาดกระหน่ำใส่ เขาทำได้แค่ยืนนิ่ง คำตอบที่ตอบได้ก็มีแค่เพียงอาการเบื้องต้นแต่ไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปได้ เกือบเห็นคุกเห็นตารางอยู่ร่ำไรหากไม่มีหลักฐานยืนยันสถานะระหว่างพวกเขาทั้งคู่

อินถูกย้ายมาที่ห้องผู้ป่วยในโดยมีสิงคอยดูแลไม่ห่าง พยาบาลแทบไม่ต้องทำอะไรอีกนอกจากฉีดยาและวัดความดัน อาการของอินยังเป็นปริศนาเพราะหมอไม่สามารถหาสาเหตุได้ จำเป็นต้องทำการตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อประเมินอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น 

 

เสียงของพยาบาลปลุกให้สิงตื่นขึ้นมาแต่เช้า เธอเข้ามาทำหน้าที่ตามปกติในทุก ๆ วัน หลังจากเธอออกไปสิงถึงได้ลุกไปทำธุระส่วนตัว แต่ในขณะที่กำลังแต่งตัวจู่ ๆ เสียงโทรเรียกเจ้าของโทรศัพท์รุ่นปู่ก็แผดดังขึ้น  

“สวัสดีครับพี่เมฆ” 

[สิงอยู่บ้านไหม? พี่อยู่ตลาดว่าจะเข้าไปที่บ้านเรา เราจะเอาอะไรไหม?] 

“เอ่อ...สิงอยู่โรงพยาบาลครับ”

[เห้ย! เป็นอะไร?!] ปลายสายถามเสียงหลง 

“เกิดเรื่องกับพี่อินที่บ้านเมื่อคืนครับ” 

[งั้นเดี๋ยวพี่รีบไป]

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

ผู้มาเยือนที่อยู่ในชุดลำลองเดินเข้ามาพร้อมกับกระเช้าผลไม้ใบใหญ่ เขายื่นมันไปให้คนเฝ้าไข้ก่อนจะเดินไปสังเกตอาการคนป่วย 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอสิง ไหนบอกคุณอินนอนไม่ได้สติเพราะวิญญาณนิ ทำไมถึงมาจบที่โรงพยาบาลได้ละ”

สิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้หมวดเมฆฟัง อีกฝ่ายถึงกับหน้าถอดสีแต่ก็ยังนั่งฟังเด็กหนุ่มเล่าจนจบเรื่อง “ผมมีเรื่องอยากจะขอให้พี่เมฆช่วยอีกเรื่องนึงได้ไหมครับ” 

“ว่ามาดิ” 

“พี่เมฆช่วยหาที่อยู่ของญาติผมหน่อยได้ไหมครับ”

“ก็พอได้นะ ว่าแต่รู้ชื่อจริงของเขาไหมล่ะ”

“ผมรู้แค่ชื่อเก่าก่อนแต่งงาน พอจะได้ไหมครับ”

“ลองบอกมาก่อน เผื่อหาได้”

“วิภาดา มณีรัตนา”

หัวคิ้วเมฆกระตุกเมื่อได้ยินชื่อของคนที่น้องต้องการตามหา เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นมาให้น้องพิมพ์ชื่อใส่โน้ตเอาไว้ “โอเค เดี๋ยวได้เรื่องยังไงแล้วพี่โทรบอกนะ”

“ขอบคุณครับพี่เมฆ”

เมฆกลับไปหลังจากที่บุรุษพยาบาลเข้ามาเข็นเตียงอินไปตามนัด ผลออกหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เขาแทบไม่ต้องรอลุ้นเพราะยังไงผลตรวจก็ไม่มีอะไรผิดแผกไปจากเดิม หมอไม่สามารถหาสาเหตุได้แม้จะตรวจด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยแล้วก็ตาม 

“รอยฟกช้ำตรงอกและหน้าท้องทำให้เกิดบาดแผลภายใน รักษาด้วยยาก็เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ยังไงหมอจะรีบหาสาเหตุของการหมดสติให้เร็วที่สุดนะครับ ขอตัวก่อน”

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

สิงกลับมาจมดิ่งกับความรู้สึกผิดอีกครั้งเมื่อห้องกลับสู่ความเงียบ วันทั้งวันไม่ขยับตัวทำอะไรนอกจากมองจ้องหน้าคนไม่ได้สติด้วยความรู้สึกแทบขาดใจ พร่ำเพ้อพูดคำขอโทษราวกับคนเสียสติ พูดวนไปวนมาเป็นร้อยเป็นพันรอบก็รู้สึกว่ายังไม่พอ

“ความรักของผมทำร้ายพี่อินรึเปล่าครับ เพราะผมรักพี่เลยอยากอยู่ใกล้พี่ตลอดเวลา ทำให้พี่ต้องเจอเรื่องร้าย ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผมขอโทษนะครับ” 

คำขอโทษพ้นออกมาเป็นร้อยรอบก่อนวนกลับไปเล่าเรื่องสัพเพเหระคล้ายอยากหาเพื่อนคุย

“ทวดภากับทวดหาญดูมีความสุขกันมาก ๆ เลยนะครับ สิงว่าของที่ทวดภาโดน น่าจะเป็นความรักของทวดหาญมากกว่า พี่อินคิดเหมือนผมไหมครับ” 

“ผมเจอผ้ายันต์ที่คล้ายกับของพี่เสือที่บ้านเก่าของทวดหาญด้วยนะครับ ผมเลยคิดว่าคนที่น่าจะช่วยทวดขวัญคือทวดหาญ แต่ยายน้อยบอกว่าแกน่าจะเสียชีวิตไปนานแล้ว ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าเด็กคนนี้จะไม่ได้รับช่วงต่อจากพ่อ” 

 

ปี๊ป ปี๊ป ปี๊ป ~

 

เสียงเรียกเข้าแผดดังขึ้นในขณะที่เจ้าของมันกำลังนั่งเหม่อ ปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นจากภวังค์ สิงยกก้อนอิฐออกมาดูรายชื่อโทรเข้า ก่อนนำมันไปแนบหูเมื่อกดปุ่มรับสายแล้ว 

“ครับสารวัตร”

[คุณอินเป็นอะไรสิง?!] ปลายสายถามโพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร้อนใจ ไม่คิดจะกล่าวทักทายปลายสายสักคำ 

“เอ่อ...พี่อินนอนไม่ได้สติมาหลายวันแล้วครับ” 

[ห๊ะ! เกิดอะไรขึ้น ทำไมสิงไม่บอกฉัน?!] ปลายสายตะโกนเสียงแข็งด้วยความหงุดหงิด 

“ขอโทษครับ”

[แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง?!]

สิงเล่าเรื่องทุกอย่างให้ปราปฟัง ปลายสายถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

 [ฉันได้ข้อมูลเรื่องเครื่องติดตามตัวสิงมาแล้ว รวมถึงผู้ต้องสงสัยในคดีของพี่ชายสิงด้วย]

 

อินนอนหมดสติไปหลายวัน รวมวันนี้ด้วยก็เป็นวันที่หกแล้วและยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมา ผลของอุปกรณ์อีอีจี[1]ที่ติดตั้งไว้บนศีรษะก็ยังได้ผลไม่ต่างไปจากเดิม ไม่มีสัญญาณของการตื่นตัวร่างโปร่งยังคงอยู่ในสภาวะลับลึก แถมผลตรวจเลือดที่เพิ่งออกมาเมื่อเช้าก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ 

“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่เราหาสาเหตุจากทุกทางที่เราทำได้แล้ว” หมอหนุ่มสวมแว่นกรอบสเตนเลสสีเงินพูดกับสิงด้วยสีหน้านิ่วคิ้วขมวด “ผมสามารถออกใบส่งตัวให้คุณอินไปรักษาตัวในโรงพยาบาลที่อาจารย์ผมประจำอยู่ได้ ผมคุยกับท่านแล้วถ้าคุณสิงโอเค อาจารย์ผมพร้อมรับเคสดูแลต่อครับ”

สิงรับน้ำใจจากหมอเจ้าของไข้ด้วยการปฏิเสธ ก่อนเปลี่ยนไปคุยเรื่องบาดแผลที่เห็นได้ชัดแทน “บาดแผลตรงหน้าอกของพี่อินไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมครับ”

“ครับ ทั้งรอยแผลภายนอกและภายในไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล”

สิงลอบถอนหายใจ “ขอบคุณครับคุณหมอ ส่วนเรื่องส่งตัวยังไงผมขอคิดดูก่อนนะครับ”

“ได้ครับ ถ้าได้คำตอบแล้วสามารถแจ้งวอร์ดพยาบาลได้เลยนะครับ”

“ครับ”

 

เมฆเดินสวนหมอหนุ่มเข้ามาด้วยสีหน้าตื่น เขาค้อมหัวทักทายอีกฝ่ายก่อนลากน้องเข้าไปบอกข่าวดีในห้อง

“มีอะไรเหรอครับพี่เมฆ” 

“พี่เจอที่อยู่ของญาติสิงแล้วนะ”

“จริงเหรอครับ! อยู่ที่ไหนครับ พี่เมฆพาผมไปได้ไหม”

“นี้แหละที่พี่อยากจะคุยกับสิง ญาติของสิงที่ชื่อวิภาดาเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว เธอมีลูกชายคนนึงชื่อเรืองเดช ชัยปรีย์ชา แต่ดูจากประวัติแล้ว ไม่น่าใช่คนดีอะไร”

“ทำไมเหรอครับ”

“ก็เค้ามีคดีติดตัวนะซิ ทั้งฉ้อโกง ทำร้ายร่างกาย สิงแน่ใจเหรอว่าจะไปหาเขาจริง ๆ”

อะไรทำให้เด็กน้อยน่ารักกลายเป็นคนมีคดีติดตัวไปได้ สิงได้แต่ทอดถอนใจ เขาสลัดความรู้สึกส่วนตัวออกไปก่อนเอ่ยตอบเมฆเสียงหนักแน่น

“ครับ สิงอยากไปหาตาเรืองเดช”

หมวดเมฆมองจ้องมองสิงด้วยสายตาที่อ่านความหมายไม่ออก “โอเค งั้นเดี๋ยวเย็น ๆ พี่จะมารับ สิงเตรียมตัวไว้นะ” 

“ครับพี่เมฆ”

 

สิงกลับมานั่งสมาธิเตรียมรับมือศึกหนักที่จะเกิดขึ้น ไม่ต้องถามหาความมั่นใจเพราะเขาไม่เคยมีมันเลย อีกฝ่ายเป็นถึงหมอผีมีวิชาแก่กล้า เขาเป็นเพียงเด็กน้อยเพิ่งหัดเดิน การไปหาเรืองเดชครั้งนี้ไม่ต่างอะไรจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ 

“กูบอกให้มึงหลบบ้าน ไซร่มึงไม่ฟังกู” [กูบอกให้มึงกลับบ้าน ทำไมมึงไม่ฟังกู]

เสียงวิญญาณผีตายายดังเตือน สิงถึงกับหลุดออกจากสมาธิ แต่เมื่อลืมตื่นมามองกลับไม่พบแม้แต่เงา 

“ผมต้องจบเรื่องพวกนี้ครับ”

“มึงคิดว่ามึงอีทำได้เหอะ” [มึงคิดว่ามึงจะทำได้เหรอ?]

“ผมไม่มีความมั่นใจไอไหร่เลย แต่ถ้าไม่ทำทวดขวัญก่าม้ายยอมจบ ต่อให้สิงหลบกรุงเทพ ทวดขวัญก่าตามสิงไปโหย่ดีแล้วพี่อินก็จะตกอยู่ในอันตราย ผมยอมให้เป็นพันฮั่นม้ายด้าย” [ผมไม่มีความมั่นใจอะไรเลย แต่ถ้าไม่ทำอะไรทวดขวัญก็ไม่ยอมจบ ต่อให้สิงกลับกรุงเทพฯทวดขวัญก็ตามสิงไปอยู่ดี แล้วพี่อินก็จะตกอยู่ในอันตราย ผมยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้]

“มึงไปมึงก่าตาย มึงยังอีไปเหล้ย?” [มึงไปมึงก็ตาย มึงยังจะไปอีกเหรอ?]

“ครับ” สิงตอบสวนทันควัน 

“ไอเด็กเปรต แหลงไหร่ไม่หอนฟัง” [ไอเด็กเปรต พูดอะไรไม่เคยฟัง]

เสียงก่นด่าของตายายเรียกรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม คำหยาบคายของที่ฟังดูแล้วเจ็บลึกถึงขั้วหัวใจ แต่สิงกลับสัมผัสได้ถึงความรักและความเอ็นดูที่บรรพบุรุษตนนี้มีให้กับเขา 

หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับอิน เขาได้มีเวลาคิดทบทวนและรู้สาเหตุว่าทำไมผีตายายถึงทำเรื่องพวกนี้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่อยากให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น หากเขาสามารถแบกรับทุกอย่างเอาไว้ได้ก็คงจะดีกว่านี้ 

 

สิงเดินลงมารอเมฆที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล หลังจากได้รับสายจากนายตำรวจหนุ่มว่าเขาจะมารับตอนประมาณหกโมงเย็น เขายืนรออยู่ไม่ถึงห้านาทีก็เห็นรถของเมฆขับเข้ามาพร้อมกับการกะพริบไฟสูงเรียก 

“สิงมากับพี่แบบนี้แล้วใครอยู่เฝ้าคุณอินละ” หมวดเมฆถามพลางรอให้เด็กหนุ่มคาดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะขับรถออกไปจากโรงพยาบาล 

“สิงขอให้ยายน้อยกับพี่นิตมาช่วยเฝ้าพี่อินครับ”

“ญาติเราเหรอ”

“ครับ”

“โอเค บ้านญาติเราไกลหน่อยนะ อยู่เกือบถึงพัทลุงแหนะ” 

“ที่ไหนเหรอครับพี่เมฆ”

“อยู่อำเภอระโนด”

รถปิคอัพขนาดสี่ประตูขับขึ้นเหนือไปบนถนนทางหลวงเส้นหลักที่เชื่อมต่อกับทุกจังหวัดในภาคใต้ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ มีบ้านเรือนตั้งอยู่บ้างประปราย เสาไฟข้างทางไม่ได้มีตลอดทั้งเส้นมีเพียงช่วงที่อยู่ในเมืองเท่านั้นที่จะมีไฟส่องสว่าง แต่เพราะเป็นถนนเส้นหลักจึงมีการสัญจรไปมาของรถจำนวนมาก แสงจากไฟหน้ารถพวกจึงนั้นช่วยให้ทัศนวิสัยในการขับขี่แทบไม่ต่างอะไรจากในตัวเมือง

การเดินทางกินเวลาค่อนข้างนาน เพราะมีช่วงการจราจรชะลอตัวบ้างจากโครงการการก่อสร้างทางยกระดับ พระอาทิตย์จึงลับขอบฟ้าไปตั้งแต่ขับมาได้ครึ่งทาง เมื่อขับมาถึงสี่แยกใหญ่ตัวรถก็เลี้ยวหัวเข้ามาในถนนเส้นรอง ตามป้ายทางหลวงที่บอกทิศทางของอำเภอระโนด 

ถนนเส้นรองมีเพียงสองเลน รถสัญจรไปมามีไม่มากและไม่มีไฟข้างทาง เมฆจึงชะลอความเร็วลงเพื่อความปลอดภัย ในระหว่างทางก็หันมาคุยนั้นนี้กับน้องบ้าง 

“ถ้าสิงจะเข้าห้องน้ำบอกพี่นะ จะได้แวะปั๊ม”

“ได้ครับ”

“ไหน ๆ พี่ก็ถามเรื่องบ้านเราไปเยอะแล้ว พี่ขอถามอีกเรื่องได้ไหม”

“ได้ครับ”

“ทำไมปู่เราถึงไม่ยอมให้พ่อเรารับผีตายายละ”

“เรื่องนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ รู้แต่ว่าทวดกับปู่ทะเลาะกันหนักมากจนเกือบตัดพ่อตัดลูก”

“โห่ เรื่องใหญ่น่าดูเลยเนอะ แล้วทำไมสิงถึงรับละ”

“ตอนแรกสิงแค่อยากกลับมามองเห็นอีกครั้งครับ แต่ตอนนี้...” เด็กหนุ่มพูดทิ้งช่วงไปจนคนฟังอดสงสัยไม่ได้ ละสายตาจากทางข้างหน้าหันมาเลิกคิ้วมองสิงอย่างกดดัน “แต่ตอนนี้สิงอยากแก้ไขเรื่องทุกอย่างครับ สิงทำคนเดียวไม่ได้ สิงต้องให้ท่านช่วย”

“แสนดีเกินไปรึเปล่าเราอะ” หมวดเมฆเอ่ยปากชมพลางยกยิ้มด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะละสายตากลับไปมองทางข้างหน้าด้วยนัยน์ตาและสีหน้าเรียบเฉย

รถเลี้ยวเข้าไปบนถนนทางหลวงชนบทที่เล็กลงเรื่อย ๆ  นาน ๆ ทีถึงจะมีรถขับสวนทางมา สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่สูงจนบดบังแสงจากพระจันทร์ไปจนหมด ขับผ่านป่ารกทึบมาสักพักก็เห็นบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังนึงตั้งอยู่หน้าภูเขาหินที่อยู่ห่างจากถนนไปประมาณห้าร้อยเมตร รอบ ๆ ไม่มีบ้านเรือนหลังอื่นตั้งอยู่เลย 

“หลังนั่นแหละ เราต้องเดินเข้าไปนะ ถนนมันเล็กเกินขับรถเข้าไปไม่ได้” เมฆชี้นิ้วตรงไปยังบ้านไม่หลังนั้น ก่อนที่รถจะค่อย ๆ ชะลอตัวและจอดสนิทลงตรงทางเข้าที่ถูกถางหญ้าเอาไว้เป็นทางเล็ก ๆ ขนาดพอให้รถมอเตอร์ไซต์ขับผ่านได้เท่านั้น 

“สิงอย่าอยู่ห่างพี่นะ เข้าใจไหม” เมื่อลงมาจากรถแล้ว นายตำรวจหนุ่มก็รีบเดินมาประกบเด็กหนุ่มเอาไว้ 

“ครับ” 

ทั้งคู่เดินตรงไปตามทางที่เต็มไปด้วยหญ้าคาขึ้นสูงเลยศีรษะ การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะต้องคอยปัดป่ายใบหญ้าให้พ้นทาง แถมทางเดินยังเป็นหลุมเป็นบ่อมีน้ำขัง แสงไฟส่องสว่างก็ไม่มี มีเพียงแสงจากไฟฉายที่อยู่ในมือหมวดเมฆเท่านั้น เขาจึงต้องคอยเดินจูงมือเด็กหนุ่มเอาไว้

 

ตึก ตึก ตึก ตึก! 

 

เสียงการเคลื่อนไหวของบางสิ่งดังขึ้นที่ด้านหลัง ด้วยสัญชาตญาณเมฆผละมืออกแล้วเอื้อมลงไปชักกระบอกปืนออกมาจากซองข้างเอว ปลายกระบอกชี้ไปตามทางที่เขาได้ยินเสียงอย่างสะเปะสะปะแต่กลับไม่พบแม้แต่เงา 

ตึก ตึก ตึก ตึก! 

เสียงฝีเท้าวิ่งวนไปวนมาอยู่ในพงหญ้าไม่หยุดสร้างความรำคาญจนเมฆหัวเสียรู้สึกเหมือนกำลังถูกปั่นประสาท  ในขณะที่เขากำลังควานหาที่มาของเสียงจู่ ๆ หลอดไฟฉายก็ดับพรึบลงอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เมฆจึงสบทออกมาด้วยความหงุดหงิด “โถ่เว้ย! มาดับอะไรตอนนี้วะ” เมฆบ่นไปเขย่าไฟฉายไปด้วยราวกับทำแบบนั้นแล้วจะช่วยให้มันติดขึ้นมาอีกครั้ง  

“สิง! อยู่ไหน?!” เมฆตะโกนเรียกหาเด็กหนุ่มในความมืด

“ผมอยู่นี้ครับพี่เมฆ” สิงตอบกลับทันควัน 

“ยืนอยู่ตรงนั้นนะ อย่าไปไหน” นายตำรวจหนุ่มกำชับก่อนหมุนตัวกลับไปมองหาเจ้าของฝีเท้าที่วิ่งไปมาในทุ่งหญ้าที่มีเพียงแสงจากพระจันทร์คอยสอดส่องให้เห็นทาง

 

ตึก ตึก ตึก ตึก! 

 

“โอ๊ย!!”

ความเจ็บปวดจากหลังหัวแล่นไปทั่วร่าง สิงยกมือขึ้นมากุมหัวเอาไว้ ฝ่ามือสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นของเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผล ก่อนที่สติของเขาจะค่อย ๆ เลือนหายไป 

 

เสียงบริกรรมคาถาปลุกให้สิงค่อย ๆ ฟื้นคืนสติกลับมา เปลือกตาเปิดขึ้นพร้อมกับกลิ่นธูปเทียนที่ลอยมากระแทกจมูก แต่นั่นไม่ใช่กลิ่นเดียวที่สิ่งได้รับ มันรวมไปถึงกลิ่นคาวเลือดที่โชยมาจากหลังหัวของเขาเองและกลิ่นเหม็นเน่าจากวิญญาณผีมโนราห์

“ฮี่ ฮี่ ฮี่”

นัยน์ตาขาวโพลนมองจ้องหน้าสิงในระยะประชิด มุมปากสีดำคล้ำหยักยิ้มอย่างพอใจที่ได้เห็นสภาพสะบักสะบอมของเหยื่อ สิงถึงกับผงะด้วยความตกใจ ร่างกายขยับถอยร่นตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด แต่เชือกที่มัดรอบตัวเขาเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถขับตัวได้ดังใจนึก 

ร่างของผีมโนราห์หายไปจากตรงหน้าสิงภายในชั่วพริบตาเดียว เปิดช่องให้เขาหันมองไปรอบ ๆ เพื่อสำรวจพื้นที่กุมขังแล้วก็พบว่าเขาไม่ได้อยู่ในบ้านไม้ยกพื้นสูงหลังนั้น แต่กลับนอนอยู่ในเพิงหลังนึงที่ถูกสร้างขึ้นมาให้ดูเหมือนโรงโนรา รอบ ๆ เป็นพื้นที่โล่งกว้างที่หนึ่งที่เต็มไปด้วยทุ่งนา บรรยากาศรายล้อมไปด้วยความเงียบงันไร้วี่แววเสียงร้องของสัตว์น้อยใหญ่

สิงพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเห็นชายคนนึงกำลังนั่งบริกรรมคาถาบางอย่างอยู่บนเพิงพักส่วนหลังของโรงพิธี ใบหน้าของชายคนนั้นดูคุ้นเคยราวกับเคยเจอกันมาก่อน 

“พี่นนท์” สิงเรียกชื่อเพื่อนสนิทของพี่ชายในสมัยเด็กด้วยเสียงแหบแห้ง พลางคิดหาเหตุผลว่าทำไมเพื่อนสนิทของพี่ชายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ทั้ง ๆ ที่เขากับนนท์ไม่น่าจะมีเรื่องเกี่ยวโยงกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความบาดหมางภายในครอบครัวของเขา

ชายหนุ่มวัยสามสิบในชุดดำคลี่ยิ้มเมื่อถูกเรียกขานชื่อ “จำกูได้ด้วยเหรอ” นนท์ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมามองคนตรงหน้า มองจ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนหยิบปี่ที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาจรดริมฝีปาก ด้านข้างมีชายแก่กำลังนั่งพิงเสาโรง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยตีนกา ผมเผ้าขาวโพลนจนไม่มีผมดำแซม ไม่ต้องเดาให้ปวดหัวเพราะเขาคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ชายชราคนนั้นคือเด็กน้อยในรูปที่เขาเก็บได้

เสียงดนตรีโหมโรงเริ่มต้นขึ้นด้วยเสียงปี่นอกที่นนท์เป็นคนเป่า ก่อนจะมีเงาดำตะคุ้ม ๆ คล้ายเงาคนโผล่ขึ้นมาข้างหลัง เงานั้นค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้แสงจากเทียนไขหลายสิบเล่มที่ถูกจุดขึ้นและวางไว้รอบ ๆ โรงพิธี ทำให้สิงมองเห็นเงานั้นขึ้นเป็นรูปร่างชัดเจน 

“พะ...พี่เมฆ!”


 


[1]เครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง