เจติยา สาวผู้โชคร้ายมาตลอดชีวิต จนวันที่ไฟฟ้าดูดตายได้รู้ว่า ตอนเกิด สวรรค์ลืมเอาปุ่มโชดดีใส่มาด้วย การเกิดใหม่ในชีวิตอีก25ปีครั้งนี้ มันต้องมีแต่โชคดีเท่านั้น.. แต่!ทำไมดันมาเกิดยุคสงครามโลก อ๊ากกก!

เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก - 3 ครอบครัวใหม่ โดย Tanita P @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,รัก,รักแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,รัก

แท็คที่เกี่ยวข้อง

รักแฟนตาซี

รายละเอียด

เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก โดย Tanita P @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

เจติยา สาวผู้โชคร้ายมาตลอดชีวิต จนวันที่ไฟฟ้าดูดตายได้รู้ว่า ตอนเกิด สวรรค์ลืมเอาปุ่มโชดดีใส่มาด้วย การเกิดใหม่ในชีวิตอีก25ปีครั้งนี้ มันต้องมีแต่โชคดีเท่านั้น.. แต่!ทำไมดันมาเกิดยุคสงครามโลก อ๊ากกก!

ผู้แต่ง

Tanita P

เรื่องย่อ

เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดี ในยุคสงครามโลก 

 

เจติยา เป็นหญิงสาวที่เรียกได้ว่าโชคร้ายที่สุดในโลก ตั้งแต่เกิดมา หล่อนก็ต้องประสบพบเจอแต่สิ่งที่โชคร้ายแบบสุดขั้ว 

จวบจนอายุ 25ปีเต็ม วันเกิดของเธอ  เพื่อนสนิทคนเดียวที่จะมางานวันเกิด ก็ประสบอุบัติเหตุขาเจ็บ มาร่วมงานไม่ได้

โชคร้ายซ้ำซ้อน แมวที่ห้องก็ดันหนีตามผู้ชายไปอีก เธอปลงกับชีวิต หอบตะกร้าผ้าลงมาเพื่อมาซักผ้า

 แต่โชคร้ายครั้งสุดท้ายก็มาถึง  เธอโดนไฟดูดตาย คาเครื่องซักผ้า!!!!! 

 

นายบัญชีที่มารับตัวหล่อนแจ้งว่า  ตอนเจติยาจะลงมาเกิด ระบบของสามโลกล่ม เลยทำให้ปุ่มโชคดีที่ต้องส่งมาคู่กับปุ่มโชคร้ายพัง

โดยไม่มีใครรู้!!

เจติยาประท้วงและอยากขอทนาย เพื่อฟ้องสวรรค์ นายบัญชีจึงมีตัวเลือกให้หล่อนว่าอยากเกิดใหม่ไหม จะทบอายุให้อีก25ปี แต่หล่อนไม่มีสิทธิ์เลือกร่างของมนุษย์ได้ เพราะต้องใช้บัตรทองในการสุ่มชิงโชค เจติยาตกลง เพราะต่อจากนี้ชีวิตของเธอจะมีแต่ปุ่มที่โชคดีเท่านั้น 

แต่พอได้มาเกิดจริง หล่อนดันย้อนเวลากลับมาช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาอยู่ในร่างครูสาวหุ่นอวบระยะสุดท้าย 

แถมยังเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง และเป็นเมียนายทหารที่โคตรหล่ออีกด้วย  ย๊ากกกกกกกกกกกก!!!

หอบลูกวิ่งหลบระเบิดแปป!!!

 

คำเตือน  นิยายเรื่องนี้เกิิดจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ

อาจมีข้อมูลประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ของไทยอยู่บ้าง

แต่ไม่ขอพาดพิงถึงชืิ่อคนและสถานที่ต่างๆใดๆทั้งสิ้น

คำเตือน 1.1 มันกาวและไร้ซึ่งความสมจริงในบางจุด ขอให้ผู้อ่านเสพเพื่อความบันเทิงเท่านั้นเกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดี ในยุคสงครามโลก 

สารบัญ

เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-1 เจติยาที่แปลว่าโชคร้าย,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-2 นางลำดวนฟื้นคืนชีพ ,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-3 ครอบครัวใหม่,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-4 เช้าวันใหม่ที่เมืองแห่งสงคราม,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-5 มีพิรุธ,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-6 ความลับ,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-7 รักสามเส้า,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-8 เมี่ยงรู,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-9 อย่าโหยหาอดีตอีกเลยนะ,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-10 สัญญากับผี,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-11 กุหลาบขาว,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-12 ฉันชอบดอกแก้วมากกว่า,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-13 เปลี่ยนแปลง,เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลก-14 ความโชคดี จะมาในเวลาที่สมควร

เนื้อหา

3 ครอบครัวใหม่

ครอบครัวใหม่

 

หญิงสาวนั่งที่พื้นตามเด็กชายตัวน้อย ที่บัดนี้ทั้งสองคนอยู่ต่อหน้า คุณย่า นายหญิงของบ้านนี้ เรียกง่ายๆ ว่า แม่ผัวของลำดวน นั่นเอง

คุณโสพิศ อายุราว65ปี แต่เธอยังดูงดงาม ไม่เหมือนคนอายุหกสิบในยุค2023 คุณเทพปกรณ์สามีของลำดวนมีหน้าตาละม้ายคล้ายคนเป็นมารดาอยู่ไม่น้อย

แม่ผัวของลำดวนแต่งตัวด้วยชุดที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีตด้วยผ้าแพรอย่างดีสีดำสนิท ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไร จนเจติยา ไม่สามารถคาดเดาว่าตอนนี้ที่แม่ผัวกำลังจ้องมองพิจารณาหล่อน คิดอะไรอยู่ พัดรูปดอกไม้ที่ทำจากไม้หอมพัดโบกสะบัดไปมาอยู่หลายรอบ

“คุณย่าไปหลบระเบิดที่ไหนมาหรือครับ” เด็กชายตัวน้อยเอ่ยถามขึ้นทำลายบรรยากาศอึดอัดภายในบ้าน

“หลังบ้านเรานี่แหละ” คนเป็นย่าเอ่ยตอบ ตายังคงจ้องลำดวน หญิงสาวผู้ฟื้นจากความตาย

ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เหตุใดคนที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว กลับมานั่งตากลมอยู่ได้ โดยไม่มีท่าทีอิดโรยเลย... คุณนายโสพิศคิดในใจ

แถมสายตาของแม่ลำดวนก็เปลี่ยนไป ไม่ได้เศร้าหมองเหมือนคนอยากตายอยู่ทุกขณะจิตเหมือนแต่ก่อน

เมื่อเช้าคุณนายโสพิศกำลังแต่งตัวเพื่อเดินทางออกจากบ้านไปวัด ที่อยู่ห่างออกไปเพียงกิโลเดียว เพื่อไปจัดการงานศพของลูกสะใภ้ที่เธอสิ้นใจเมื่อวานเย็น

แม้จะมีคนค่อนแคะ เรื่องที่ว่าบ้านออกใหญ่โตไม่ยอมจัดงานศพที่บ้าน แต่นางโสพิศก็ไม่สนไม่แคร์ เพราะหล่อนไม่รู้ว่าคนที่ตายด้วยอาการไม่ปกติแบบลำดวน ถ้าหากเอาศพมาจัดที่บ้านอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีกับคนในบ้านรึเปล่า

ถึงตอนมีชีวิตอยู่ แม่ลำดวนจะไม่ได้ทำอะไรให้คุณโสพิศต้องมัวหมองมาถึงตระกูล แต่ว่าเจ้าหล่อนกลายเป็นหญิงที่เหมือนคนวิกลจริต เก็บตัว และไม่สามารถทำให้ลูกชายของตนมีความสุขได้แบบครอบครัวปกติ 

นางโสพิศรู้สึกพลาดมากที่ยอมให้ลูกชายแต่งงานกับหล่อนเมื่อหกปีก่อนด้วยการคลุมถุงชน

แต่เมื่อรู้ว่า ลำดวน สิ้นเวรสิ้นกรรมเมื่อวาน จิตใจของนางโสพิศก็รู้สึกโล่งอก เหมือนได้ยกภาระของลูกชายออกไปได้

แต่ดูตอนนี้ซิ... เจ้าหล่อนมานั่งชะเง้อชะแง้ มองโน่นนี่ เหมือนเด็กซัก10ขวบ น่ากลัวว่าคนที่ฟื้นมาจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่ไหนรึเปล่า เข้ามาสิงในร่างของคนที่ตายไปแล้ว จนฟื้นมานั่งแบบนี้... แค่คิดก็ขนหัวลุก

เจติยา รู้สึกถึงความสดชื่นมากกว่าที่หล่อนเคยได้รู้สึกจากร่างก่อน เหมือนกับว่าความโชคร้ายที่เคยได้เกาะติดตัวหล่อนนั้น ให้หลุดสลายหายไป หล่อนไม่ต้องระแวดระวังไม่ให้ตัวเองต้องเกิดอุบัติเหตุเภทภัยเหมือนเมื่อชาติที่ผ่านมา การเจอแต่เรื่องโชคดีมันดีอย่างนี้เองนะ...

“นี่!!!แม่ลำดวน เธอรู้สึกไม่สบายอะไรรึเปล่า” คุณโสพิศเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความอึดอัดใจเต็มที น้ำเสียงกระชาก ทำเอาแม่บ้านที่นั่งคอยดูเหตุการณ์พากันสะดุ้งเล็กน้อย

แต่มันไม่ได้มีผลต่อเจติยา ที่อยู่ในร่างลำดวนแม้แต่น้อย

“คะ... ถามฉันหรอ?” หล่อนถามกลับไปหน้าตาเฉย วันนี้มีคนถามเรื่องหล่อนไม่สบายสองคน คนแรกคือสามีของลำดวน คนที่สองก็แม่ของเขา

“โอ้ย ฉันอยากจะบ้าตาย ใครพาหล่อนไปหาหมอทีเถอะ ฉันกลัวว่าหล่อนจะตื่นมากลายเป็นคนปัญญาอ่อน” คุณโสพิศพูดพลางเอามือกุมขมับแบบคนจะลมจับ

เจ้าก้าน ลูกชายของลำดวน ทำสีหน้ายุ่งยาก เขาเองก็เห็นว่าแม่ของเขาปกติดี ทำไมคุณย่าต้องให้แม่ไปโรงพยาบาลด้วย

“คุณแม่เธอปกติดีนะครับ” เขาเอ่ย หันมามองใบหน้าของแม่ มือเล็กๆ เอาทาบไปที่หัวแม่และตามเนื้อตัวตัว

“ตัวก็ไม่ได้เย็นหรือร้อนอะไร”

“คุณท่านหมายถึง ปัญญาไม่ปกติค่ะ” แม่ปั้นสาวใช้คนสนิทของคุณโสพิศเอ่ยตอบแทน

 

“อ่อ..หมายถึง สมองมีปัญหาอะไรแบบนั้นหรือ ไม่หรอกค่ะ ฉันปกติดีทุกอย่าง นี่นะคะจะยืนให้ดู คนที่สมองผิดปกติจะยืนตรงๆ แบบนี้ลำบาก คือการทรงตัวจะไม่เสถียร” ลำดวนเอ่ย ก่อนจะลุกขึ้นยืนกางแขนสองข้าง ก่อนจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นทำท่าแบบจะโยคะ

เจ้าก้านลูกชายหัวเราะชอบใจ เขาไม่เคยเห็นแม่ทำอะไรแบบนี้เลยสักครั้ง ถ้าแม่ของเขาจะไม่ปกติจริง มันก็นับเป็นเรื่องดี แม่ของเขาดูสดใส สดชื่น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

คุณโสพิศ กับ แม่ปั้น อ้าปากค้าง มองลูกสะใภ้ทำท่าประหนึ่งเป็นคนบ้าจริงๆ เห็นแล้วพูดอะไรไม่ออก จะกรี๊ดก็ติดอยู่ในคอ ลำดวนถ้าไม่บ้าก็คงผีเข้าจริงๆ

“พอ!!!!! แม่ลำดวน หยุดทำท่าประหลาดๆ แบบนั้นได้แล้ว เดี๋ยวพวกนี้มันก็เอาไปนินทาเล่นให้เสียชื่อ” นายหญิงของบ้านเอ่ยเสียงสั่นอย่างเหลืออด

 

 

คนใช้ในบ้านสองสามคน ที่เกือบจะหัวเราะออกมาต้องเปลี่ยนมาก้มหน้านิ่งเมื่อเห็นสายตาคุณโสพิศ

 

ลำดวน เริ่มรู้สึกว่าตัวเองอาจจะทำตัวหลงยุคไปหน่อย ผู้ใหญ่สมัยนี้ค่อนข้างเข้มงวด หล่อนไม่เคยมีปู่ย่าตายาย แต่หล่อนเคยอยู่บ้านกำพร้ามาก่อน คุณครูพี่เลี้ยงที่ดูแลค่อนข้างเข้มงวดในกฎระเบียบ อาจจะพอๆ กับที่นี่ หล่อนไม่มีปัญหาที่อยู่ในกฎต่างๆอยู่แล้ว จะว่าไปหล่อนเองไปไหนก็สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ทุกที่ได้ ด้วยความเป็นคนมีนิสัยเหมือนไผ่ลู่ลม แม้จะดูภายนอกเหมือนอ่อนแอ แต่เธอก็เหนียวหักได้ยาก

และด้วยโชคชะตาบังคับให้เธอต้องต่อสู้มาตลอด นี่คงเป็นเส้นทางในชาติใหม่ที่เธอต้องใช้ทักษะเดิมมาดำรงชีวิตให้ได้ แต่จะกลัวอะไรละ ก็ต่อจากนี้จะมีแต่ความโชคดีแล้ว

“คุณท่านกลับมาแล้วค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงาน หน้าตาตื่นตระหนกเล็กน้อย

นายแพทย์เปี่ยม คุณพ่อของเทพปกรณ์ นายผู้ชายของบ้านนี้ ท่านเป็นอาจารย์หมอของโรงพยาบาลใหญ่ ในความทรงจำของลำดวน ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือมาก และน้อยครั้งที่หล่อนจะได้เห็นพ่อสามีกลับมาบ้าน

บุรุษที่เดินเข้ามาใส่เชิ้ตขาว กางเกงสีดำ แขนเสื้อเปรอะเปื้อน และมีรอยสีแดงคล้ำ ดูก็รู้ว่าเป็นเลือดแห้ง

“ตายจริงคุณพี่ เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

“ไม่ ฉันไม่เป็นอะไร”

คุณโสพิศเดินเข้าไปสำรวจสามีอย่างเป็นห่วง ลืมเรื่องลูกสะใภ้ไปชั่วขณะ แต่อาจารย์หมอกลับไม่ได้สนใจคำพูดภรรยาเท่าที่ควร เขาผละจากหล่อนมาหาลำดวน มองหล่อนด้วยสีหน้ายุ่งยาก

“ฉันทราบข่าวว่าเธอฟื้นจากความตาย ก็เลยเข้ามาดูอาการก่อน พ่อเทพสั่งให้ลูกน้องเข้าไปรายงานให้ฉันทราบที่โรงพยาบาล” นายแพทย์เปี่ยมเอ่ยขึ้น  

“ค่ะ” ลำดวนตอบ ไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนกัน ลำดวนพอจะเข้าใจแล้ว ที่สามีของหล่อนมีความหน้าฝรั่ง รูปร่างไม่เหมือนกับคนไทยสมัยก่อน ก็เพราะว่าพ่อของเขาเป็นชาวต่างชาตินี่เอง แถมยังพูดภาษาไทยได้ชัดเหมือนกับคนไทยอีกต่างหาก เขาคงอยู่ที่นี่มานานแล้ว

ท่านมองดูลูกสะใภ้ ก่อนจะหยิบเครื่องมือในกระเป๋ามาตรวจหล่อน วัดไข้ด้วยปรอทแบบโบราณ สีหน้าของท่านดูจะฉงน งง งวย เหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้เห็น

‘คนตายแล้วฟื้น’

เมื่อก่อนคงยังไม่นิยมฉีดฟอร์มาลิน เพราะเอาไว้ไม่กี่วันก็ต้องโดนเผาบนเชิงตะกอนของวัด ถ้าเธอโดนฉีดยา คงหมดสิทธิ์ฟื้นไม่ได้มาเกิดใหม่แน่

“ปกติดี” ท่านหมอพึมพำ ก่อนจะหย่อนตัวนั่งลง เก็บอุปกรณ์การแพทย์เข้ากระเป๋า คิ้วยังคงขมวดเป็นปม การตายแล้วฟื้นเป็นเรื่องที่ตลอดชีวิตหมอของท่านไม่เคยได้พบเคยแต่ได้ยินมา

“เป็นไงล่ะเรา ดีใจมากไหมที่แม่ตัวฟื้นขึ้นมา” นายแพทย์เปี่ยมหันไปลูบหัวหลานชาย ที่ยิ้มแฉ่ง ต่างจากเมื่อวานที่ร้องไห้ปานจะขาดใจเมื่อรู้ว่าแม่ตายแล้ว

เจ้าก้านยิ้มร่าจนเห็นซี่ฟันหลอที่หายไป

“ดีใจมากเลยครับคุณปู่”

“ต่อไปนี้ต้องดูแลแม่ให้ดีดีนะ” ท่านหมอเอ่ยกับหลานชายอย่างเอ็นดู

“ครับคุณปู่” เจ้าก้านตกปากรับคำอย่างหนักแน่น

“สมองอาจจะไม่ค่อยปกตินะคะคุณพี่” คุณโสพิศกระซิบสามี

“ค่อยไปตรวจให้ละเอียดที่โรงพยาบาลอีกที ต้องรอสถานการณ์สงบอีกพักค่อยเข้าไป ตอนนี้ที่โรงพยาบาลวุ่นวายกันหมด คนโดนลูกหลงระเบิด” ท่านพูด

“ในพระนครนักหนามากไหมคะ” ภรรยาถามต่อ

ท่านหมอ ถอนหายใจ ถกแขนเสื้อก่อนจะล้างมือในอ่างสีทองอร่ามที่คนรับใช้ถือเอามาวางไว้ ก่อนจะหยิบชาร้อนๆ จิบ

“หนักมากทีเดียว พวกนั้นโจมตีเราถี่มากขึ้น เฉพาะสถานที่สำคัญ ไม่รู้ว่าจากนี้คนจะตายอีกกี่ร้อยกี่พัน” คนเป็นหมอพูด น้ำเสียงระคนความเจ็บปวด

“เวรกรรมแท้ๆ” คุณโสพิศเอามือทาบอกอย่างหมดอาลัย กลัวบ้านเมืองจะพินาศก่อนที่สงครามจะสงบ

เท่าที่เจติยา จำได้ ตอนนี้คงเป็นช่วงเริ่มสงครามโลก ญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทยเพื่อขอเป็นทางผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนอีกฝ่ายพอรู้ว่า ไทยช่วยญี่ปุ่นในครั้งนี้ ก็เริ่มปล่อยระเบิดลงในจุดสำคัญต่างๆ ในเขตเมืองหลวง เพื่อเป็นการกดดัน

หล่อนอยากจะบอกทุกคนเหลือเกินว่า สุดท้ายแล้วนั้น บรรพบุรุษของเราก็ฉลาดพอที่จะมีแผนสอง คือการจัดตั้งขบวนการใต้ดินขึ้นมา เรียกว่า เสรีไทย เพื่อซ้อนแผน หากว่าญี่ปุ่นชนะสงครามในครั้งนี้ไทยก็รอด หรือถ้าหากว่าอีกฝ่ายชนะ ไทยก็รอดเช่นกัน

เรียกว่าได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง

“คุณพี่ไม่ทานข้าวก่อนหรือคะ” คุณโสพิศเรียกสามีเมื่อเห็นว่าท่านทำท่าจะออกจากบ้านไปอีกแล้ว

“ไม่ละ... ฉันต้องไปดูแลเรื่องผ่าตัดอีก อาจจะกลับช่วงค่ำ ยังไงก็ให้คนช่วยไปเฝ้าลำดวน คอยสังเกตอาการสักระยะ เผื่อว่าหล่อนอาจจะช็อค หรือมีอาการผิดปกติขึ้นมาอีกจะได้ช่วยเหลือทัน

“ได้ค่ะ” นายหญิงของบ้านรับคำ ก่อนจะปรายตาพินิจลูกสะใภ้อีกครั้ง ท่าทางตอนนี้หล่อนดูแข็งแรงดีกว่าเมื่อก่อน ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าหล่อนจะฟื้นขึ้นมาได้จริงๆ สภาพก่อนที่จะตายแทบจะติดเตียงเป็นอาทิตย์ ไม่ให้ใครเข้าไปพบหน้า แต่ดูตอนนี้ซิ

เจ้าหล่อนยืนกอดลูกแน่น ส่วนเจ้าก้านก็ไม่ยอมมาออดอ้อนคุณย่าเหมือนเมื่อก่อน น่าหมั่นไส้นัก!!!

 

 

เทพปกรณ์รีบกลับมาที่บ้าน ด้วยใจที่เป็นห่วงประหลาด เขาไม่อยากจะยอมรับว่า เขาเองห่วงภรรยามาก แต่ภารกิจที่ต้องประชุมเรื่องการทหาร เครียดจนกินเวลานานเกือบ5ชั่วโมงเต็ม เขากลัวว่าเมื่อกลับมาแล้ว เจ้าหล่อนอาจจะสิ้นลมไปอีกครั้ง...

เขาตรงเข้าไปที่ห้องของลูกชาย แต่ก็ไม่พบ จึงเดินไปที่ห้องของลำดวน ได้ยินเสียงหัวเราะออกมา

เจ้าก้านลูกชายของเขา!!!

เป็นไปได้อย่างไร ที่ลำดวนปล่อยให้ลูกเข้าไปนอนเล่นในห้อง เขาเคาะประตูอยู่สองสามครั้ง ก่อนจะเปิดออก ภาพที่เห็นคือลูกชายนอนบนตักแม่ และลำดวนก็กำลังเล่านิทานให้ลูกฟังอยู่

เขาอยากจะขยี้ตาซักร้อยรอบ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ลำดวนคงไล่ตะเพิดทุกคนไม่ให้เข้ามายุ่งกับหล่อน  ห้ามใกล้หล่อนแบบนี้เป็นแน่

'ความฝันที่เทพปกรณ์ไม่กล้าฝันได้เกิดขึ้นแล้ว'

เจติยา ในร่างลำดวน รู้สึกประหลาดใจ ที่คุณเทพปกรณ์สุดหล่อไปยืนตัวแข็งราวกับเห็นผีอยู่ข้างหน้าห้องทำไม

ปกติลำดวนน่ากลัวถึงขนาดว่าผัวไม่กล้าเข้าใกล้ขนาดนี้เลยหรือ หล่อนดูจากของใช้ในห้องแล้ว หล่อนต้องนอนคนเดียวเปล่าเปลี่ยวหัวใจมานานแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะไม่มีเสื้อผ้าหรือของใช้ของสามีเลยแม้แต่ชิ้นเดียว

อาจจะเป็นเพราะ ลำดวนป่วยทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้หล่อนอยู่ในสถานะของคนป่วย มากกว่าคนเป็นเมียหรือแม่

“เข้ามาซิคะ” หล่อนเอ่ย ทำเอาชายหนุ่มทำตัวไม่ถูก ฟังไม่ผิดหล่อนอนุญาตให้เขาเข้าไปยังพื้นที่ส่วนตัวที่หล่อนหวงห้ามเหลือเกิน

เทพปกรณ์เดินเข้ามา ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหัวเตียง มองภาพแม่ลูกอย่าง งง งัน

“คุณพ่อท่านมาตรวจอาการเธอแล้วใช่ไหม”

“ค่ะ คุณหมอบอกว่าไม่มีอะไรสบายหายห่วง” หล่อนตอบก่อนจะยิ้มหวานสดชื่น

ชายหนุ่มยิ่งคิ้วขมวด เหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองกำลังเห็นอยู่ อย่างกับคนละคน

“ทำไมเรียกคุณพ่อว่าคุณหมอ” เขาเปิดคำถาม เหมือนตำรวจที่เริ่มจับพิรุธได้

“ก็นั่นแหละ... เรียกอะไรก็เหมือนกัน” หล่อนตอบเฉไฉ

"มันไม่เหมือนกัน" เขายืนยัน

"เอาเป็นว่า ฉันเรียกผิดแล้วกัน"

ชายหนุ่มพินิจภรรยาอย่างสงสัยขึ้นไปอีก หล่อนต่อปากต่อคำกับเขา เมื่อก่อนแทบจะไม่ค่อยได้คุยกันเลย สองสามวันได้เห็นหน้ากันสักครั้ง ได้คุยกันสองคำ นับว่าเป็นเรื่องปกติ

 

“คุณพ่อครับ แม่ลำดวนเล่านิทานสนุกมากเลยนะครับ ผมฟังไปสองสามเรื่องตื่นเต้นจนไม่อยากไปนอนเลย”

“เป็นเด็กนอนดึกไม่ได้” เขาเอ่ยเสียงเข้ม

“ให้นอนที่นี่สักวันก็ได้ค่ะ ฉันนอนคนเดียวกลัวผี” เจติยา ในร่างของลำดวนเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง หล่อนมาที่นี่ในคืนแรก เพื่อนสนิทคนเดียวก็มีแต่เด็กชายวัย5ขวบคนนี้เท่านั้นที่พอจะคุยเล่นกันได้

“หล่อนนอนคนเดียวมาตลอดไม่เห็นจะเคยกลัวอะไร” เทพปกรณ์เอ่ยขึ้น

“ก็...วันนี้ฉันกลัวนี่” เธอทำเสียงอ้อน

“เอาละ แล้วแต่เธอนะ ยังไงถ้ารู้สึกเจ็บป่วยตรงไหนก็เรียกคนที่หน้าห้องได้เลย” เทพปกรณ์เอ่ยย้ำก่อนจะลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป

“แล้วคุณนอนที่ไหนหรือ” หล่อนเอ่ยถาม คราวนี้ปกรณ์หันมา พูดกับหล่อนอย่างตรงไปตรงมา

“เธอความจำเสื่อมแล้วหรือแม่ลำดวน ว่าเธอไล่ฉันให้ไปนอนที่ไหน” เสียงของเขาสะบัดเหมือนประชดอยู่ในที

เจติยา ในร่างลำดวลเหวอไปเล็กน้อย ทำไมต้องเหวี่ยงใส่ด้วย ก็แค่ถามว่านอนที่ไหน

“แม่ไล่พ่อไปนอนห้องผมครับ” เจ้าก้านตอบเบาๆ เรียกความจำของแม่

“อย่างนั้นหรือ” หล่อนกระซิบถามลูกชาย

เจ้าก้านพยักหน้าหงึกๆ

ลำดวนผู้แสนดี ใจร้ายกับลูกและสามี จนน่าตกใจ ผู้หญิงที่เป็นโรคทางจิตใจ นี่ทรมานตัวเองแล้ว คนรอบข้างก็ต่างเจ็บปวดไม่แพ้กันเลยสักนิด เจติยารู้สึกเห็นใจ สงสารเด็กน้อย และ เทพปกรณ์อย่างมาก

เจติยา ไม่สามารถแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ แต่ว่าหลังจากนี้ เธออาจจะช่วยให้สถานการณ์ของครอบครัวดีขึ้นได้ อย่างน้อยเจ้าก้านก็ไม่ควรขาดความรักจากคนเป็นแม่ เขาเป็นเด็กที่น่ารัก ควรเติบโตมาด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม