เจติยา สาวผู้โชคร้ายมาตลอดชีวิต จนวันที่ไฟฟ้าดูดตายได้รู้ว่า ตอนเกิด สวรรค์ลืมเอาปุ่มโชดดีใส่มาด้วย การเกิดใหม่ในชีวิตอีก25ปีครั้งนี้ มันต้องมีแต่โชคดีเท่านั้น.. แต่!ทำไมดันมาเกิดยุคสงครามโลก อ๊ากกก!
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,รัก,รักแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลกเจติยา สาวผู้โชคร้ายมาตลอดชีวิต จนวันที่ไฟฟ้าดูดตายได้รู้ว่า ตอนเกิด สวรรค์ลืมเอาปุ่มโชดดีใส่มาด้วย การเกิดใหม่ในชีวิตอีก25ปีครั้งนี้ มันต้องมีแต่โชคดีเท่านั้น.. แต่!ทำไมดันมาเกิดยุคสงครามโลก อ๊ากกก!
เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดี ในยุคสงครามโลก
เจติยา เป็นหญิงสาวที่เรียกได้ว่าโชคร้ายที่สุดในโลก ตั้งแต่เกิดมา หล่อนก็ต้องประสบพบเจอแต่สิ่งที่โชคร้ายแบบสุดขั้ว
จวบจนอายุ 25ปีเต็ม วันเกิดของเธอ เพื่อนสนิทคนเดียวที่จะมางานวันเกิด ก็ประสบอุบัติเหตุขาเจ็บ มาร่วมงานไม่ได้
โชคร้ายซ้ำซ้อน แมวที่ห้องก็ดันหนีตามผู้ชายไปอีก เธอปลงกับชีวิต หอบตะกร้าผ้าลงมาเพื่อมาซักผ้า
แต่โชคร้ายครั้งสุดท้ายก็มาถึง เธอโดนไฟดูดตาย คาเครื่องซักผ้า!!!!!
นายบัญชีที่มารับตัวหล่อนแจ้งว่า ตอนเจติยาจะลงมาเกิด ระบบของสามโลกล่ม เลยทำให้ปุ่มโชคดีที่ต้องส่งมาคู่กับปุ่มโชคร้ายพัง
โดยไม่มีใครรู้!!
เจติยาประท้วงและอยากขอทนาย เพื่อฟ้องสวรรค์ นายบัญชีจึงมีตัวเลือกให้หล่อนว่าอยากเกิดใหม่ไหม จะทบอายุให้อีก25ปี แต่หล่อนไม่มีสิทธิ์เลือกร่างของมนุษย์ได้ เพราะต้องใช้บัตรทองในการสุ่มชิงโชค เจติยาตกลง เพราะต่อจากนี้ชีวิตของเธอจะมีแต่ปุ่มที่โชคดีเท่านั้น
แต่พอได้มาเกิดจริง หล่อนดันย้อนเวลากลับมาช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาอยู่ในร่างครูสาวหุ่นอวบระยะสุดท้าย
แถมยังเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง และเป็นเมียนายทหารที่โคตรหล่ออีกด้วย ย๊ากกกกกกกกกกกก!!!
หอบลูกวิ่งหลบระเบิดแปป!!!
คำเตือน นิยายเรื่องนี้เกิิดจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ
อาจมีข้อมูลประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ของไทยอยู่บ้าง
แต่ไม่ขอพาดพิงถึงชืิ่อคนและสถานที่ต่างๆใดๆทั้งสิ้น
คำเตือน 1.1 มันกาวและไร้ซึ่งความสมจริงในบางจุด ขอให้ผู้อ่านเสพเพื่อความบันเทิงเท่านั้นเกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดี ในยุคสงครามโลก
มีพิรุธ
“คุณเทพเจ้าขา ไอ้พวกยุ่นพวกนี้ มันพยายามจะให้เราขึ้นรถไปกับมันค่ะ” กระถินหน้าเสีย รีบเดินไปหลบหลัง เทพปกรณ์ ไม่วายจูงมือนายสาวให้หลบข้างหลังตนเองอีกที ราวกับว่าจะซ่อนร่างอวบให้มิดชิดจากสายตาของไอ้พวกต่างชาติไม่ให้พวกมันได้มองเห็นแม้แต่ปลายผม
“อะไรกันเล่ากระถิน เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว พวกเขาก็แค่หลงทาง ไปวัดไม่ถูก แล้วเขาก็มีน้ำใจจะไปส่งแค่นั้นเอง เธอน่ะคิดมากเวอร์” ลำดวนรีบบอกกับสามี กลัวว่าจะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา เพราะสีหน้าของเทพปกรณ์ก็ดูจะไม่ค่อยเป็นมิตรกับฝั่งตรงข้ามเลย
เทพปกรณ์หันมามองภรรยา ก่อนจะหันไปพูดกับทหารต่างชาติ
“พวกคุณจะไปทำอะไรที่วัดหรือครับ”
ล่ามของฝ่ายโน้น แปลภาษาไทยให้ หัวหน้าของเขาฟัง ซากิ พอจะโล่งใจเล็กน้อย เมื่อทางฝ่ายเทพปกรณ์เอ่ยถามมาอย่างเป็นมิตร
“พวกเรามีเรื่องต้องไปรบกวนพระที่วัด มาทำพิธีศพให้กับเพื่อนพี่น้องเราที่โดนระเบิด เราจำเป็นต้องเผาร่างของพวกเขา และนำเถ้ากระดูกกลับไปยังมาตุภูมิของเรา”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ผมจะนำทางพวกคุณไปเอง” เทพปกรณ์หันไปบอกกับล่ามทางฝั่งต่างชาติ
ซากิ โน้มตัวอย่างสุภาพเพื่อแสดงความเคารพ ส่วนเทพปกรณ์ก็ยกมือไหว้ตอบกลับ
“เธอขึ้นรถไปกับพี่... จักรยานให้กระถินถีบกลับบ้านไปก่อน” เขาเอ่ยกับภรรยา เหมือนจะเป็นการสั่งมากกว่า น้ำเสียงเข้มจัด หน้าตาก็หล่ออยู่ แต่ดุเหลือเกินพ่อคุณ
“กระถิน เป็นคู่หูของฉัน ให้เขาไปวัดด้วยกันซิคะ” หล่อนเอ่ย อย่างดื้อดึง
“อย่าเลยค่ะ กระถินกลับก่อนเลยดีกว่า” สาวรับใช้รีบโบกมืออย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าจักรยานเผ่นหนี ทิ้งให้ลำดวนยืนหันรีหันขวางไปไหนไม่ถูก
ซากิทำท่าจะเดินมาชวนหล่อนคุย แต่เทพปกรณ์เดินมาดึงมือหล่อนขึ้นรถ ก่อนจะเร่งเครื่องออกไป โดยไม่ต่อล้อต่อเถียงอะไรกับเธออีก
เจติยา ในร่างลำดวนที่นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถอยู่ ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรกับเขา ได้แต่นั่งนิ่ง สีหน้าของเขาเรียบเฉยเสมอ ตั้งแต่ที่หล่อนได้พบกับเขา จะมีก็แค่ตอนที่หล่อนฟื้นจากความตายลุกออกมาจากโลงศพเท่านั้น ที่หล่อนเห็นเค้าเกือบจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ
“ทีหลังไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปคุยกับพวกนั้น มันอันตรายกว่าที่เธอคิดมากนัก” เขาพูดขึ้นมา แต่ไม่ได้หันมาทางหล่อน
“พูดกับแม่ซื้อหรือคะ” หล่อนเอ่ยแซว ทำให้ชายหนุ่มเกือบจะเบรกรถ
“นี่...แม่ลำดวน ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมา ก็ทำตัวแปลกๆ เธอทำตัวแบบเดิม พี่คงสบายใจกว่า”
“แบบเดิม เป็นแบบไหนหรือคะ” หล่อนเอ่ยกวนประสาท ส่งสีหน้าหวานหยดให้คนขับรถ
เทพปกรณ์หันมามองหล่อนอย่างเหลืออด ทำไมกันนะเขาถึงหมั่นไส้เจ้าหล่อนเหลือเกิน อยากจะดึงแก้มยุ้ยๆนั่น ตั้งแต่ฟื้นมาจากความตายก็เปลี่ยนเป็นคนละคน หน้ามือเป็นหลังมือ
“เธอจงใจแกล้งกวนให้พี่หัวปั่นใช่ไหม” เขาเอ่ยถามหล่อน
เจติยาในร่างลำดวนเกือบจะขำออกมา ศัพท์คำพูดคนโบราณนี่มันจักจั๊กจี้หัวใจแปลกๆ แต่ก็รู้สึกดีไม่น้อย
“ก็...ฉันตายไปตั้งหลายชั่วโมง สมองก็คงถูกทำลายไปเยอะ ความจำของฉันมันก็หายไปจนเกือบหมด คุณพี่คงไม่ถือสาหรอกนะคะ ถ้าหากว่า ฉันจะทำตัวไม่เหมือนเดิม”
เทพปกรณ์เองก็เข้าใจหล่อนในส่วนนี้ เขาไม่อยากยอมรับว่า ลึกๆ เขานั้นรู้สึกดีที่หล่อนเปลี่ยนไปในทางนี้ เงามืดที่เขาเคยเห็นว่ามันอยู่กับภรรยามาโดยตลอดได้มลายหายไปจนหมดสิ้น บัดนี้เหลือเพียงความสดใส เหมือนเวลาหลังฝนตก ที่ท้องฟ้าสว่างทอแสงเป็นประกาย
ใช่แล้ว ความมีประกาย มันทอแสงอยู่ในดวงตาคู่เดิมที่เคยหม่นหมองของภรรยาเขา บางที ถ้าหากว่าหล่อนจำอะไรไม่ได้เลย และเริ่มชีวิตใหม่ที่สดใสแบบนี้ เขาเองก็ยินดีไม่น้อย
“แล้วทำไมไม่มากับคุณแม่ เธอถีบจักรยานมาเองแบบนี้ คนอื่นเขาจะหาว่าพี่ปล่อยให้เมียลำบากไม่ใส่ใจเมีย”
คำก็เมีย สองคำก็เมีย อันที่จริงก็น่าขนลุก อยู่ดีดี เจติยาก็ต้องกลายมาเป็นเมีย ของใครก็ไม่รู้ มันก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน
“ก็คุณนาย ไม่รอนี่คะ”
“ทำไมเธอเรียกคุณแม่ว่า คุณนาย ทำไมไม่เรียกคุณแม่” เสียงเข้มถามขึ้นอย่างสงสัยอีกครั้ง
....
“อ่อ...นั่นวัดใช่ไหมคะ” หญิงสาวจอมเจ้าเล่ห์หาทางไปได้ต่อ เรื่องอะไรจะให้จับพิรุธได้ละ
โชคดีที่รถแล่นมาถึงประตูวัดพอดี เทพปกรณ์จึงไม่มีเวลาได้คาดคั้นแม่ปลาไหลได้อีก ชีวิตในโลกใหม่ของเธอก็ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร เธอเองก็สามารถแก้ไขได้ทุกเรื่อง ความโชคดีต่างๆ ล้วนเข้าข้างเธอ
เทพปกรณ์เดินพาหล่อนเข้ามาในตัววัด พร้อมกับเหล่าคณะทหารต่างชาติ พระรูปหนึ่งรับเป็นธุระในการจะเข้าไปช่วยจัดการเผาและส่งดวงวิญญาณของเหล่าทหารญี่ปุ่นให้ไปสู่สุคติภูมิ
เรื่องทั้งหมดจึงถือได้ว่าจบลงด้วยดี
ซากิ และนายทหารญี่ปุ่นคนอื่นลงมาขอบคุณเทพปกรณ์อีกครั้งด้วยความจริงใจ
“ขอบคุณ คุณลำดวน ด้วยนะครับ” เขาพยายามสื่อสารกับหญิงไทย
“ยินดีค่ะ อาริกาโตะ ซาโยนาระ”
“ห๋า คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้หรือครับ” ทหารต่างชาติหันไปมองหน้ากัน รวมถึงเทพปกรณ์ที่แทบจะยืนอ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ ภรรยาของเขาเป็นครู แต่ว่าเขาเองไม่รู้มาก่อนว่าหล่อนจะรู้จักภาษาญี่ปุ่นด้วย
เจติยา ในร่างลำดวน ปรับสีหน้าไม่ถูก ได้แต่ยิ้มแทนคำตอบ ความสงสัยในตัวของภรรยา มีมากขึ้นในทุกที เขาได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ เพราะไม่อยากจะเค้นถามอะไรหล่อนตอนนี้
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ถึงตัวโบสถ์ คุณนายโสพิศ และแม่ปั้นสาวรับใช้คนสนิท ก็กำลังจูงเจ้าก้านหลานชายเดินออกมาพอดี การทำบุญคงเสร็จสิ้นแล้ว กว่าหล่อนจะมาถึง
เจ้าก้านตาโต วิ่งเข้ามากอดลำดวน ราวกับไม่ได้เจอกันนาน ทั้งที่เพิ่งจากกันไม่ถึงชั่วโมงนี่เอง เจติยาในร่างลำดวน ก็รู้สึกเอ็นดูเด็กชายไม่น้อย อาจจะเป็นเพราะหน้าตาและท่าทางของเจ้าก้าน น่ารักกว่าเด็กทั่วไป
ทั้งกริยามรรยาทที่ถูกคุณนายโสพิศซึ่งเป็นย่า อบรมมาอย่างประณีต ทำให้เจ้าก้านเป็นเด็กชายที่ใครๆ ที่พบเห็นต่างชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเด็กดี
“ทำไมแม่มากับพ่อละครับ” เด็กชายถามใสซื่อ เขาไม่เคยเห็นว่า พ่อกับแม่จะไปไหนมาไหนด้วยกันแม้แต่ครั้งเดียว นี่นับเป็นเรื่องใหม่สำหรับเด็กชายตัวน้อย
“มาไม่ได้หรือจ๊ะ” หล่อนยอบตัวลงไปถามเด็กชายอย่างอ่อนโยน
“มาได้ซิครับ ผมดีใจมากเลย” เด็กชายเอ่ย มองสลับไปที่เทพปกรณ์ผู้เป็นพ่อ และ ลำดวนผู้เป็นแม่ของเขา ดวงตากลมโตบอกถึงความสุขเป็นล้นพ้น
“ฉันก็นึกว่าหล่อนจะไม่มา” คุณนายโสพิศ กระแอมกระไอพูดไม่เต็มปากนัก เมื่อตอนขามา หล่อนทำเป็นมองไม่เห็นตอนลูกสะใภ้วิ่งเพื่อให้ทันขึ้นรถมาทำบุญด้วย ใจจริงคือหล่อนไม่อยากให้ผู้คนที่วัดมานินทา ตอนที่ลำดวนอยู่กับหล่อน ใครๆต่างก็ลือกันว่า ลำดวนเป็นคนสติไม่สมดี แถมเจ้าหล่อนฟื้นขึ้นมาจากความตายได้อีก พวกชาวบ้านไม่รู้เอาเรื่องในบ้านไปพูดอย่างไรกันบ้าง
เพื่อให้ไม่เป็นจุดสนใจ คุณนายโสพิศจึงรีบให้คนรถขับหนีเจ้าหล่อน แต่ก็ดันมีความมานะตามมาได้อีก ลูกชายของตนก็ช่างปะไร เอาหล่อนมาเจอจนได้ คิดแล้วก็น่าหงุดหงิดไม่น้อย
“หล่อนถีบจักรยานตามมากับกระถิน ผมไปเจอหล่อนข้างทาง เห็นว่าอยากมาวัดเลยพามาครับ” เทพปกรณ์เอ่ยบอกกับคุณแม่ เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่ได้เจอกับพวกทหารต่างชาติ ไม่อย่างนั้น คุณนายโสพิศคงเป็นลมล้มพับไปตอนนี้แน่
“ตายแล้ว แม่ลำดวล หล่อนถีบจักรยานตามมาหรือ” ไม่บอกเรื่องที่เจอกับทหารต่างชาติ แต่คุณนายโสพิศก็ตกใจเรื่องหล่อน ถีบจักรยานอยู่ดี
“ใครๆ ก็ขี่จักรยานกันนี่คะ” เจติยา ในร่างลำดวนเลิกคิ้วอย่างสงสัย ทำไมต้องทำท่าทางตกใจขนาดนั้นด้วย
“แม่ลำดวน เธอไม่ใช่พวกชาวบ้านธรรมดานะยะ ผัวของเธอเป็นถึงนายทหารมียศมีศักดิ์ ทำไมทำตัวแบบนี้”
ลำดวนยิ่งสงสัยไปอีก หล่อนไม่เข้าใจ ว่าการเป็นเมียนายทหารทำไมถึงขี่จักรยานไปตามท้องถนนไม่ได้
“อิฉันว่า ให้คุณเทพปกรณ์พาคุณลำดวนไปหาคุณท่านที่โรงพยาบาลหน่อยก็ดีนะคะ” ยายปั้นบ่าวคนสนิทของคุณนายโสพิศกระซิบคนเป็นเจ้านาย
“พ่อเทพพาแม่ลำดวนไปตรวจอาการกับคุณพ่อหน่อยเถอะ แม่ใจคอไม่ดี ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ แม่ลำดวนจะลุกขึ้นมาทำอะไรพิเรนทร์อีก เผื่อบางที หมอเขาอาจจะมีวิธีรักษา”
เจติยา ไม่อาจเข้าใจความนึกคิดของคนพวกนี้ได้ทั้งหมด แต่พอจะเดาได้ว่า หล่อนคงทำเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
เรื่องการวางตัวให้เหมาะสม เป็นเรื่องที่คนสมัยก่อน ค่อนข้างซีเรียส อย่างคุณยายที่บ้านเด็กกำพร้าที่เคยดูแลเจติยามา ก็เคร่งครัดเรื่องระเบียบการวางตัวของเด็กในบ้านอย่างจริงจัง เมื่อได้มาสัมผัสโลกภายนอก เจติยา จึงใช้ชีวิตอันโชคร้ายของเธอได้อย่างดี โลกใจร้ายกับหล่อน แต่ว่าความดีงามจะคุ้มครองหล่อนให้พ้นจากโพยภัยมาได้ จนถึงอายุ25ปีเต็ม
“ผมจะเข้าไปหาคุณพ่อพอดี เรื่องธุระของท่านเจ้ากรม ลูกสาวของท่านป่วยเป็นโรคที่รักษายาก ผมจะนำความไปปรึกษาคุณพ่อไว้ก่อน เสร็จแล้วจะเลยไปเอาชุด ที่คุณแม่สั่งไว้ที่ตลาด อย่างนั้น ผมจะพาลำดวนกับเจ้าก้านไปด้วยกันเลย” ปกรณ์เอ่ยขึ้นกับมารดา ที่บัดนี้ลอบมองใบหน้าดีใจจนเกินงามของ ลำดวลอย่างหมั่นไส้
“ไปเที่ยวตลาดหรือคะ” หล่อนถาม พลางหันไปยิ้มแป้นกับเจ้าก้านลูกชาย
“นี่แม่คุณ!! บ้านเมืองเกิดสงครามเช่นนี้ ยังมีกะจิตกะใจอยากไปเที่ยวอีกหรือ ร้านรวงที่ตลาดน่ะ ไม่มีให้เดินเล่นอย่างสบายใจหรอกนะ มีแค่ร้านที่ต้องเปิดด้วยความจำเป็นเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ระเบิดของไอ้พวกฝาหรั่งมันจะร่วงลงมาใส่หัวเวลาไหน เจ้าก้านไม่ต้องไปกับเขาหรอกนะ รีบกลับบ้านกับย่าดีกว่า” คุณนายโสพิศรีบคว้ามือหลานชายไว้กับตัว หน้าตาเจ้าก้านสลดเหมือนจะร้องไห้ เทพปกรณ์เห็นว่า ที่มารดาพูดก็ถูก เรื่องของความปลอดภัย หากว่าเจ้าก้านไปด้วย เขาเองก็คงต้องห่วงเป็นสองเท่า รีบพาลำดวนไปตรวจอาการที่โรงพยาบาลแล้วรีบกลับบ้านจะดีที่สุด
“ก้านอยู่กับย่าก่อนนะ พ่อกับแม่จะรีบกลับ” เทพปกรณ์ลูบศีรษะลูกชายอย่างอ่อนโยน
“ก้านอยากไปด้วย” เด็กชายเสียงสั่นเครือ
“เอาแบบนี้นะ ฉัน... เอ้ยยย แม่!!! จะแวะตลาดซื้อขนมมาฝากเยอะๆ เลย กลับมาก็จะเล่านิทานก่อนนอนเรื่องใหม่ให้ฟังด้วย ดีไหมครับ” ลำดวนเอ่ยขึ้นบ้าง ดวงตาเด็กน้อยค่อยๆ คลายความเศร้าลง
“จริงๆ นะครับ”
“จริงซิจ๊ะ”
เด็กชายพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับปาดหยดน้ำตาบนใบหน้า มองตามแม่กับพ่อขึ้นรถไปด้วยกัน
“เดี๋ยวเขาก็กลับมา” คนเป็นย่าเอ่ยปลอบใจ เมื่อมองหน้าเศร้าสร้อยของหลานชาย เมื่อมองรถของพ่อกับแม่ที่แล่นออกไปจากบริเวณ
“หรือไม่ ท่านหมอก็อาจจะให้อยู่โรงพยาบาลยาว ถ้าหากตรวจเจอว่า คุณลำดวนมีอาการทางสมอง” แม่ปั้น สาวรับใช้เอ่ยขึ้นอย่างเบา ข้างๆ หูคุณนายโสพิศ
“น่าสงสารพ่อเทพ นี่ถ้าแม่รู้ว่า แม่ลำดวนจะกลายมาเป็นคนวิกลจริตแบบนี้ แม่คงไม่ตกปากรับคำให้ทั้งสองแต่งงานกันหรอก ดูซินี่ ขนาดแจ้งไปว่า ลูกสาวตัวตายแล้วฟื้นขึ้นมา ญาติทางฝั่งโน้นยังไม่มีใครมาดูดำดูดีแม่ลำดวนเลยสักนิด
คุณนายโสพิศเอ่ยขึ้น พาลให้รู้สึกเวทนาลูกสะใภ้ไม่น้อย ที่เหมือนถูกขายให้มาแต่งงานอยู่กับเทพปกรณ์ เมื่อคุณพ่อของลำดวนสิ้น ทางแม่เลี้ยงและลูกชายก็เอาสมบัติไปตั้งรกรากทางเหนือกันหมด ทิ้งบ้านเก่าไว้ให้ลำดวนแค่หลังเดียว ถึงหลังจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็มีอาณาเขตพื้นที่บริเวณไม่น้อย ซึ่งลำดวนก็ได้ปล่อยให้เพื่อนครูของตัวเอง เช่ามาหลายปี เก็บค่าเช่าไม่มาก แต่มีคนดูแลบ้านให้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ฉลาด
“ตั้งแต่ฟื้นมา คุณลำดวนทำตัวแปลกประหลาดยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีกนะคะ อิฉันว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา” ยายปั้นเอ่ยขึ้น พาให้คุณนายโสพิศขมวดคิ้วแน่น
“แม่ลำดวนก็ทำตัวประหลาดมานาน แบบที่คุณท่านบอก ว่าเธอป่วยเป็นโรคทางใจ”
“ไม่ใช่แบบนั้นซิคะ อาจจะไม่ใช่โรค แต่ว่าเป็นเรื่อง...” แม่ปั้นทำหน้าตาเหมือนมีลับลมคมใน
“เรื่องอะไร”
“แบบที่วิญญาณของใครก็ไม่รู้มาเข้าร่างนะซิคะ”
“แม่ปั้นละก็!!! พูดอะไรตอนนี้นะ” คุณนายโสพิศกล่าวเสียงตำหนิ ให้คนรับใช้เลิกพูด เพราะเจ้าก้านเองก็พอจะรู้เรื่องรู้ราวแล้ว หล่อนไม่อยากให้หลานต้องมารับรู้เรื่องอะไรพวกนี้
แต่คุณนายโสพิศ ก็คิดสงสัยอยู่ไม่น้อย ว่าเรื่องของแม่ลำดวนก็น่าแปลก หล่อนไม่รับรู้ถึงความหม่นหมองในตัวของลำดวนอีกแล้ว ตอนนี้เหมือนกับว่า ลำดวนได้หายไปจริงๆ แต่คนที่มาอยู่ในบ้านในฐานะเมียของพ่อเทพ เหมือนเป็นคนอีกคนที่มีท่าทางการวางตัว ที่แตกต่างจากออกไปอย่างสิ้นเชิง
หรือจะเป็นไปได้ว่า มีวิญญาณใหม่มาสิงร่างของลูกสะใภ้ตัว แค่คิดก็เหมือนจะขนหัวลุก คุณนายโสพิศได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไม่เล็ดลอดให้ใครได้รับรู้ ต้องหาทางที่จะพิสูจน์เรื่องนี้ให้ได้ด้วยตัวเอง...