เจติยา สาวผู้โชคร้ายมาตลอดชีวิต จนวันที่ไฟฟ้าดูดตายได้รู้ว่า ตอนเกิด สวรรค์ลืมเอาปุ่มโชดดีใส่มาด้วย การเกิดใหม่ในชีวิตอีก25ปีครั้งนี้ มันต้องมีแต่โชคดีเท่านั้น.. แต่!ทำไมดันมาเกิดยุคสงครามโลก อ๊ากกก!
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,ย้อนยุค,รัก,รักแฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดีในยุคสงครามโลกเจติยา สาวผู้โชคร้ายมาตลอดชีวิต จนวันที่ไฟฟ้าดูดตายได้รู้ว่า ตอนเกิด สวรรค์ลืมเอาปุ่มโชดดีใส่มาด้วย การเกิดใหม่ในชีวิตอีก25ปีครั้งนี้ มันต้องมีแต่โชคดีเท่านั้น.. แต่!ทำไมดันมาเกิดยุคสงครามโลก อ๊ากกก!
เกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดี ในยุคสงครามโลก
เจติยา เป็นหญิงสาวที่เรียกได้ว่าโชคร้ายที่สุดในโลก ตั้งแต่เกิดมา หล่อนก็ต้องประสบพบเจอแต่สิ่งที่โชคร้ายแบบสุดขั้ว
จวบจนอายุ 25ปีเต็ม วันเกิดของเธอ เพื่อนสนิทคนเดียวที่จะมางานวันเกิด ก็ประสบอุบัติเหตุขาเจ็บ มาร่วมงานไม่ได้
โชคร้ายซ้ำซ้อน แมวที่ห้องก็ดันหนีตามผู้ชายไปอีก เธอปลงกับชีวิต หอบตะกร้าผ้าลงมาเพื่อมาซักผ้า
แต่โชคร้ายครั้งสุดท้ายก็มาถึง เธอโดนไฟดูดตาย คาเครื่องซักผ้า!!!!!
นายบัญชีที่มารับตัวหล่อนแจ้งว่า ตอนเจติยาจะลงมาเกิด ระบบของสามโลกล่ม เลยทำให้ปุ่มโชคดีที่ต้องส่งมาคู่กับปุ่มโชคร้ายพัง
โดยไม่มีใครรู้!!
เจติยาประท้วงและอยากขอทนาย เพื่อฟ้องสวรรค์ นายบัญชีจึงมีตัวเลือกให้หล่อนว่าอยากเกิดใหม่ไหม จะทบอายุให้อีก25ปี แต่หล่อนไม่มีสิทธิ์เลือกร่างของมนุษย์ได้ เพราะต้องใช้บัตรทองในการสุ่มชิงโชค เจติยาตกลง เพราะต่อจากนี้ชีวิตของเธอจะมีแต่ปุ่มที่โชคดีเท่านั้น
แต่พอได้มาเกิดจริง หล่อนดันย้อนเวลากลับมาช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มาอยู่ในร่างครูสาวหุ่นอวบระยะสุดท้าย
แถมยังเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง และเป็นเมียนายทหารที่โคตรหล่ออีกด้วย ย๊ากกกกกกกกกกกก!!!
หอบลูกวิ่งหลบระเบิดแปป!!!
คำเตือน นิยายเรื่องนี้เกิิดจากจินตนาการของผู้แต่งล้วนๆ
อาจมีข้อมูลประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ของไทยอยู่บ้าง
แต่ไม่ขอพาดพิงถึงชืิ่อคนและสถานที่ต่างๆใดๆทั้งสิ้น
คำเตือน 1.1 มันกาวและไร้ซึ่งความสมจริงในบางจุด ขอให้ผู้อ่านเสพเพื่อความบันเทิงเท่านั้นเกิดใหม่อีกที ไปเป็นภรรยาผู้โชคดี ในยุคสงครามโลก
ความลับ
รถยนต์แล่นผ่านอาคารบ้านช่องมาตามถนนลูกรัง บ้านเมืองในสมัยก่อน
เจติยาเคยผ่านตามาบ้างกับสภาพในรูปถ่าย ที่ส่งต่อกันมาในโลกโซเชียล แต่ไม่นึกว่าเมื่อตนเองได้มาสัมผัสแล้วนั้น มันไม่ได้ดูเก่าทรุดโทรมเหมือนในภาพถ่าย แต่กลับแปลกตาและสบายตากว่าตอนที่หล่อนเห็นตึกอาคารเบียดเสียดกันเสียอีก
สายตาคมกริบคู่หนึ่งแอบมองหล่อนอยู่โดยที่คนถูกมองไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย เทพปกรณ์สังเกตดูเจ้าหล่อนจะตื่นเต้น มองซ้ายมองขวาเหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นของใหม่ตลอดเวลา ไม่เหลือเค้าเดิมของภรรยาผู้เย็นชาของเขาเลยแม้แต่นิด
แต่เมื่อเธอหันกลับมาสบตากับเขาพอดี นายทหารก็รีบผลุบตาหลบ กลัวว่าหล่อนจะเห็นว่า เขากำลังพินิจพิเคราะห์หล่อนอยู่ แต่ไม่ทันซะแล้ว
“ทำไมหรือคะ”
“ทำไมอะไร”
“ก็เห็นว่ามอง คิดว่าสงสัยอะไร”
“เธอมีอะไรให้พี่สงสัยหรือ” เขาถามกลับ
“ก็ไม่รู้ซิคะ” หล่อนกลอกตา หันหน้าไปมองบรรยากาศนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง
“เรากำลังจะไปโรงพยาบาลที่คุณพ่อท่านประจำอยู่ เพื่อไปตรวจอาการของเธอก่อน”
เจติยา ในร่างลำดวนหันมาสบตากับชายหนุ่มอย่างเปิดเผย หล่อนเองก็ได้ยินอยู่ว่า คุณนายโสพิศ ท่านสั่งให้ลูกชายพาหล่อนมาตรวจอาการว่าหล่อนวิกลจริตรึเปล่า
“คุณคิดว่าฉันเป็นบ้าหรือ”
“เรียกว่าคุณพี่” เสียงของเขาสั่งเข้ม
อะไรกันนักหนา ผู้ชายสมัยก่อนนี่จอมเผด็จการชะมัดเลย ทำตัวอย่างกับตาแก่ใกล้ฝั่ง เจ้าหล่อนชักสีหน้าอย่างไม่รู้ตัว
“อย่างน้อยเดี๋ยวนี้ เธอก็มีความรู้สึกโกรธ หรือดีใจมากกว่าเมื่อก่อน” เขาเอ่ยขึ้นกับหล่อน
“เมื่อก่อน...” หล่อนทวนคำ ที่เขาหมายถึงคือลำดวนที่ป่วยทางจิต
ลำดวนคงเป็นคนที่หม่นหมองมากทีเดียว สังเกตจากคนรอบตัวหล่อน เพื่อนสนิทจะมีกับเขาบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ คิดแล้วชีวิตก็น่าสงสารพอพอกับเจติยา เพื่อนสนิทไม่ค่อยมี เพราะเมื่อเพื่อนๆ ต่างได้รู้ว่าอยู่ใกล้หล่อนแล้วจะเจอแต่เรื่องที่โชคร้ายก็พากันหนีหายไปหมด
“คุณพ่อท่าน เป็นห่วงหล่อนมากนะ ตอนที่หล่อนหมดลมหายใจไป ตอนนั้นท่านได้แต่โทษตัวเอง ว่าได้ให้คำสัญญากับเจ้าคุณศักดิ์ พ่อของเธอไว้ ว่าจะดูแลเธอเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง แต่แล้วเธอกลับมาตายที่บ้าน โดยที่ท่านเป็นถึงหมอใหญ่ของโรงพยาบาทระดับประเทศ ก็ไม่สามารถช่วยเธอไว้ได้” เทพปกรณ์พูดกับหล่อน เป็นประโยคยาวที่สุดเท่าที่หล่อนเคยได้ยินมา มันคงเป็นเรื่องสำคัญที่เขาพยายามจะเล่าให้เธอฟัง
“หมอก็คือคน ไม่ใช่เทวดา ถ้าหมดอายุขัย ต่อให้รั้งยังไง ก็ต้องไปอยู่ดี” เจติยา เสียงสลดลงโดยที่นายทหารไม่ทันได้รับรู้
ลำดวนเป็นโรคทางจิตใจ ทำให้หล่อนเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว ร่างที่ลำดวนไม่ได้ต้องการ กลับเป็นร่างที่เจติยา ใช้อาศัยเป็นบ้านใหม่ที่อบอุ่นอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกที่หล่อนไม่เคยได้รับ...
‘คำว่าบ้านเป็นอย่างไร’
‘การมีครอบครัวเป็นอย่างไร’ เจติยาเองก็เพิ่งจะเคยได้สัมผัส มันช่างหอมหวาน จนหล่อนเองก็รู้สึกกระดากอายอยู่ในใจนิดๆ
‘ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจมาขโมยร่างนี้ แต่ฉันเพิ่งจะเกิดใหม่มาในร่างของคนที่ไม่ได้ต้องการมันอีกต่อไป’
“ขอบคุณนะคะ” หล่อนพูดกับสามี ที่กำลังนั่งขับรถอยู่ เขาเหลือบมองหล่อน อย่างสงสัย
“ขอบคุณเรื่องอะไร”
“ที่พาฉันไปโรงพยาบาล”
นายทหาร ยื่นมือไปอังที่หน้าผากของเธอ ครั้งแรกเหมือนจะชั่งใจ ว่าจะสัมผัสหล่อนดีไหม แต่ว่าเมื่อตัดสินใจเด็ดขาด ก็แตะไปที่หน้าผากหล่อนอย่างเบามือ
เจติยาในร่างของลำดวนไม่ได้ขัดขืนอะไร นั่งตากลม เหมือนจะกลั้นหายใจไว้น้อยๆ เขากำลังจะวัดอุณหภูมิร่างกายของเธอหรือ... เธอรู้สึกร้อนหน้าวูบๆ รู้สึกเขินขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว
“ก็ปกติดีนะ ตัวไม่ร้อน”
“ก็ปกติซิคะ” หล่อนตอบทันควัน แกล้งพูดเสียงดัง หลบตาไปทางอื่น
“แปลกใจ ที่จู่ๆ ก็ขอบคุณขึ้นมา” เขาเอ่ย
เหมือนว่าเขาจะยิ้มมุมปากน้อยๆ หล่อนไม่ได้คิดไปเองแน่นอน
“ขำอะไรฉันหรือคะ”
“พี่ก็ไปส่งเธอไปโรงพยาบาลตลอด เดือนหนึ่งก็ประมาณสิบวัน เราไม่เคยคุยกันแม้แต่คำเดียว แต่วันนี้ เธอกล่าวขอบคุณพี่ แถมยังยิ้มแป้นขนาดนี้ จะไม่ให้พี่แปลกใจบ้างหรือ”
“อะไร อะไรก็เปลี่ยนกันได้ เราไม่เห็นต้องตึงใส่กันเลยนี่คะ คนเราอยู่ด้วยกันไม่ถึงร้อยปีหรอกนะ โดยเฉพาะฉัน... อยู่ได้อีกแค่25ปี ฉันจะพยายามเป็นมิตรกับทุกคน ให้คนจดจำฉันในทางที่ดีจะดีกว่า”
“ทำไมถึงตั้งใจจะอยู่อีกแค่25ปีละ ตอนนั้นเธอก็อายุแค่50เองนะ” นายทหารเอ่ยถาม
“ฉันถูกกำหนดมาแล้วจากเบื้องบน” หล่อนทำท่าทางกระซิบกระซาบ
ทางฝ่ายคนได้ยินหัวเราะในลำคอ เขาเองเห็นว่าหล่อนคงจะหาเรื่องพูดไปเรื่อย จึงไม่ได้เอาคำพูดหล่อนมาคิดอะไรมากมาย
“คนที่ผ่านความตายมาแล้ว ก็มักจะตื่นมาบอกกับคนที่ยังอยู่ เรื่องของนรก สวรรค์ เธอมีเรื่องเล่าบ้างไหมล่ะ” เขาเริ่มชวนเจ้าหล่อนคุย เทพปกรณ์ไม่รู้ตัวเลย ว่าเขาเองอยากจะใช้เวลา อย่างที่คู่แต่งงานอื่นเขาได้ใช้ด้วยกัน ไปเที่ยว และคุยเรื่องต่างๆ ด้วยกันมานานแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยมีโอกาสนั้น เมื่อก่อนภรรยาของเขา สร้างกำแพงที่สูงมากมากั้นเอาไว้ จึงไม่เคยมีบทสนทนาใดๆ นอกจากถามคำตอบคำ
“อย่าให้เล่าเลย คุณพี่ไม่มีทางเชื่อหรอก” ลำดวนในร่างเจติยา ทำท่าทางเหมือนคนไม่อยากจะเล่า แต่ข้างในอยากจะเมาส์เต็มแก่ ได้แต่ยั้งตัวเองไว้ ถ้าหากพูดเรื่องที่อยากเล่าไป มีหวังเทพปกรณ์ส่งตัวหล่อนเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลโรคประสาทแน่ คุณนายโสพิศ แม่ของเขายิ่งจับจ้องหล่อนอยู่ในเรื่องนี้
“ว่าแต่...คงยากลำบากมากเลยนะคะ ในการเป็นทหารในยุคนี้” เจติยาเอ่ยถามขึ้น มองเห็นใบหน้าของเขาที่เหมือนกับว่ามีเรื่องคิดตลอดเวลา ยิ่งเป็นทหารที่มียศสูงขึ้นไป หน้าที่รับผิดชอบคงมากขึ้นตามไปด้วย
เทพปกรณ์ขมวดคิ้วแน่น เผลอหันมาจ้องใบหน้าขาวตากลมโตรับกับคิ้วคางนั่นอย่างลงตัวแล้วอดใจเต้นไม่ได้
“เป็นทหารยุคไหนก็ลำบากทั้งนั้น บ้านเมืองเราต้องผ่านเรื่องต่างๆ มาไม่น้อย ทหารก็เปรียบเหมือนเกราะคุ้มครองประเทศ ถ้าหากว่าเราทำผิดพลาด คนที่เราปกป้องก็ต้องเดือดร้อน”
“สงครามมีอยู่ในทุกยุค กว่าประเทศเราจะผ่านไปได้ ก็เสียหายไม่น้อย แต่เชื่อเถอะค่ะยังไง กลุ่มเสรีไทยก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้ประเทศเราไม่ตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามอย่างแน่นอน”
รถเบรก จนหน้าของลำดวนเกือบจะทิ่ม ดวงตายาวรีจับจ้องหล่อนเขม็ง ก่อนที่มือใหญ่จะรวบสองแขนของหล่อนเอาไว้
“คุณทำอะไร” ลำดวนถามหน้าตื่น
“คุณไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน” เทพปกรณ์ถาม แทบจะตะคอก
“เรื่องอะไร”
“กลุ่มใต้ดิน”
“ใคร ใคร เขาก็รู้กันทั้งนั้นแหละน่า อีกหน่อยก็เขียนเป็นหนังสือเล่มหนาๆ บอกประวัติไว้หมด” เจติยา ในร่างลำดวนเอ่ยขึ้น แต่พอคิดไปคิดมา หล่อนอยู่ในยุคที่สงครามเพิ่งจะเริ่ม ญี่ปุ่นเพิ่งจะเข้ามาขอผ่านทางในประเทศ เรื่องของขบวนการใต้ดิน ย่อมเป็นเรื่องลับมาก พอคิดได้ก็ไม่รู้จะหาคำไหนมาแก้ตัวได้
“โอ๊ย” เจติยา ในร่างลำดวน ทำท่าทางกุมขมับ ใช่แล้ว หล่อนใช้มุกสำออยแกล้งปวดหัว
และดูเหมือนว่าเทพปกรณ์จะรีบเข้าพยุงร่างเธอ
“ลำดวน” เสียงนุ่มเรียกหล่อน มีความเป็นห่วงอย่างเต็มเปี่ยม
“ปวดหัวจัง” เธอแกล้งโงนเงน ชายหนุ่มจับเธอนั่ง ก่อนจะรีบเร่งเครื่องไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว หญิงสาวแอบลืมตามองเขา ดูท่าทางเขาจะเป็นห่วงเธอโดยไม่ได้สงสัยว่าเธอแกล้งป่วยแต่อย่างใด รู้สึกผิดบาปอีกครั้ง ความมารยาสาไถยนี้ ถึงจะทำให้เธอรอดพ้นจากความปากไวของตัวเองไปได้ แต่มันต้องยิ่งสร้างความน่าสงสัยเข้าไปกว่าเดิมแน่นอน
เมื่อถึงโรงพยาบาล การแสดงของหล่อนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เหมือนคนขึ้นหลังเสือแล้วตอนนี้ก็ลงไม่ได้ ต้องตามน้ำไป หล่อนแกล้งปรือตาแบบคนที่ป่วย คนหน้าโรงพยาบาลสองสามคนวิ่งเข้ามารับคนป่วย แต่เทพปกรณ์โบกมือห้าม เขาวิ่งออกมาจากรถและช้อนร่างของหล่อนขึ้นมาไว้กับอก
เจติยารู้สึกตกใจไม่น้อย น้ำหนักของหล่อนน่าจะราวๆ เจ็ดสิบ คือคูณสองจากร่างเดิมเมื่อชาติที่แล้ว แต่นายทหารยกเจ้าหล่อนได้ตัวปลิว คงเหมือนกับตอนที่คนตกใจแล้วยกของหนักวิ่งได้ แค่คิดก็เกือบหลุดขำ ทำได้แต่ซุกหน้าลงกับอกของคนอุ้ม ใจหล่อนเต้นระทึก
จู่ๆ ในหัวสมองคิดอะไรไปเรื่อย จนรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
‘อยากจะเขกกะโหลกตัวเองจริงๆ เลย ยัยทะลึ่งเอ๊ย!!’
หล่อนถูกพาตัวเข้าไปในห้องตรวจ ที่มีผ้าม่านขาวกั้น เขาวางหล่อนลงกับเตียง ก่อนจะถูกให้ออกไปรอที่ด้านนอกของห้อง
เสียงผู้คนดังตลอดเวลา หล่อนลืมตาขึ้นมาเจอกับ นายแพทย์ เปี่ยม พ่อของเทพปกรณ์
ใบหน้าใจดี ยิ้มให้หล่อนทันที
“ความดันสูง” นายแพทย์เอ่ยขึ้น เมื่อนำเจ้าเครื่องตรวจความดัน ที่มีลักษณะเป็นตัวที่ใช้มือบีบถอดออกจากแขนอวบของเธอ
เจติยา ในร่างของลำดวนหัวเราะ หึหึ ความดันสูงเพราะว่าลูกของพ่อหมอนั่นแหละ!! ทำใจเต้นแรงแทบจะระเบิดออกมา...
“มีอาการยังไงบ้าง” ท่านเอ่ยถาม
“ร้อนๆ วูบๆ วาบๆ” หล่อนตอบ
นายแพทย์ขมวดคิ้ว
“พ่อเทพว่าเธอปวดหัว” คุณหมออมยิ้มน้อยๆ เหมือนจะรู้ทันว่าหล่อนแกล้งป่วย
“อ่อ ใช่ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ
“อาการทางร่างกายไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่ นั้นรอเดี๋ยวนะ หมอทางใจ หมอประจำของลูกกำลังมาแล้ว” คุณพ่อสามีเอ่ย
“หมอประจำ อย่างนั้นหรือ”
ลำดวน มีโอกาสได้รักษาโรคทางจิตเวชในยุคนี้ นับว่าหล่อนโชคดีมากๆ แม้มันจะเป็นเรื่องใหม่อยู่มากก็ตาม
หมอทางใจ... คนสมัยก่อนนี่ใช้คำน่ารักดีนะ ถ้าหากว่าจะใช้คำว่าจิตแพทย์ สมัยก่อนคงไม่มีคนรู้จัก แถมคนที่เรียนมาทางสายนี้คงหายากเต็มที จิตแพทย์เป็นที่รู้จักในยุคหลังๆ นี้เอง
ผู้คนในห้องนี้เยอะจนเตียงเบียดติดกัน มีแค่ม่านขาวขึงกั้นเป็นส่วนๆ พอที่ตัวคนจะเดินได้เท่านั้น คนป่วย คนบาดเจ็บไม่ได้ถูกแยกส่วนเหมือนโรงพยาบาลสมัยใหม่ นี่ก็คงเป็นห้องฉุกเฉินในยุคนี้
รอไม่กี่นาที คุณหมอทางใจที่ว่าก็เดินมาหาหล่อน ชายไทยตัวไม่สูงผิวคล้ำ สวมแว่นตาหนาเตอะท่าทางไม่เหมือนหมอซักเท่าไหร่ ถ้าหากไม่ได้ใส่เสื้อขาว เขาจับผมเผ้าให้หายยุ่งเหยิง ก่อนจะนั่งลง เขาหันรีหันขวาง รวบม่านให้ปิดทั้งสี่ด้าน ยื่นบางอย่างให้หล่อน
“นี่จดหมายของกันต์”
ลำดวนถึงกับชะงัก นี่มันใครกันนะ หล่อนหลับตานึกยังไงก็นึกไม่ออก
“รับไปซิ”
ลำดวนรับจดหมายที่สีขาวเข้ามาไว้กับตัว ท่าทางของเขาทำให้ลำดวนต้องลุกลี้ลุกลนตาม
“เอ่อ..” หล่อนไม่รู้จะพูดอะไร
“กันต์มันดีใจมาก ที่หล่อนยังไม่ตาย ผมโทรเลขไปบอกมันอย่างไวที่สุดหลังจากได้รู้ข่าวเรื่องที่คุณฟื้นขึ้นมา และไม่นานมันจะหาทางกลับมารับคุณไปเมืองนอกด้วย วางใจเถอะ”
“คะ!!!!” เสียงหล่อนถามสูง จนคนเป็นหมอทางใจ ต้องหยุดพิจารณาหล่อน
“คุณเป็นยังไงบ้าง เหมือนว่าไม่ปกติเท่าไหร่” เขาเอ่ยก่อนจะเอาไฟฉายมาส่องตาหล่อน เพราะอาการมึน งง จนผิดปกติ ทำให้นายแพทย์สร ถึงกับไปไม่เป็น
“จำผมได้ไหม” เขาเอ่ยถามจ้องตาหล่อน สีหน้าวิตก
“ไม่ค่ะ” ลำดวนตอบไปตรงๆ
“แล้วกันต์ละ”
“ใครคะ”
นายแพทย์สร หน้าถอดสี
“คนรักของคุณไง เพื่อนสนิทของผม”
เจติยา ยิ่ง งง เข้าไปอีกคูณสิบเท่า
อ้าว!!! แม่ลำดวนเธอแต่งงานแล้ว แล้วทำไมมีคนรักอีก จะว่าไปชื่อกันต์ก็คุ้นๆ เวลาเรียกชื่อนี้ ใจของเธอจะเต้นระทึก เหมือนกับว่า สมองได้จดจำชื่อนี้ประทับไว้อย่างแน่นหนา
“อาจารย์หมอเปี่ยมบอกว่า คุณมีอาการความจำเสื่อม ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้” นายแพทย์สรกุมขมับ
“จดหมายนั้น คุณต้องแอบให้มิดชิดที่สุด ห้ามให้ใครเห็นแม้แต่คนเดียว ไม่อย่างนั้นคุณและผม ตายแน่”
เขาเอ่ยอย่างหนักแน่น
“ฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม ลำดวน มีอาการทางจิตจริงรึเปล่า หรือว่าทั้งหมดหล่อนหลอกทุกคน”
คนเป็นหมอ แทบจะหยุดหายใจ เขาอยากจะขอจดหมายคืนจากเจ้าหล่อนเดี๋ยวนี้เลย เพราะตอนนี้ ลำดวน ได้กลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว หล่อนเป็นใครกันแน่ ที่รู้ๆ คือไม่ใช่ลำดวนอย่างแน่นอน