นี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,fantasy,โรแมนซ์,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือนนี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
ประตูที่เคยแบ่งภพคนเป็นกับคนตายได้เปิดออก โลกจึงตกอยู่ในความวุ่นวายมาตลอด 100 ปี
มนุษย์ถูกวิญญาณเล่นงาน ดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อจะคงตัวตนให้อยู่ในโลกคนเป็นต่อไปได้ และเพื่อทำสิ่งที่เมื่อครั้งมีชีวิตไม่อาจทำได้
ผู้ที่สามารถจัดการกับเหตุเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้มีเพียงแค่จอมเวทผู้ครอบครองเวทมนตร์ หรือจอมเวทตำแหน่งมือปราบ "Mage Exorcist" พวกเขาต่างช่วยเหลือผู้คนและขบคิดหาวิธีจัดการกับประตูแบ่งแยกสองภพนั่นมาตลอด
ทว่าจนปัจจุบันก็ยังไม่อาจปิดประตูนั่นได้
ภาคที่ 1 เฟาส์วอเชียที่ซึ่งสหายไม่ทิ้งกัน
เอเดน บลายธ์เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในชนบท จนวันหนึ่งก็มีคนจากโรงเรียนเวทมนตร์ชื่อดัง 'เฟาส์วอเชีย' มาทาบทาม โดยบอกว่าเขามีพลังเวทมนตร์ซ่อนอยู่
เอเดนไม่เชื่อในคำพูดสวยหรูเหมือนตนเป็นผู้ถูกเลือก หรือเป็นตัวเอกในเรื่องราวอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ในชีวิตที่ต้องเจอแต่สายตาหวาดระแวงอีกต่อไป จึงคว้าโอกาสโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะมีเวทมนตร์หรือจะใช้มันได้จริงหรือไม่
คุยกันก่อนเข้าเรื่อง
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกคนสู่นิยายเรื่องนี้นะคะ!
เรื่องนี้จะลงแบบหั่นตอนเนื่องจากบางบทค่อนข้างยาว แต่จะลงตอนทั้งหมดเลย โดยหั่นเป็นกี่ตอนขึ้นอยู่กับความยาวเดิมค่ะ
คาดว่าจะมาอัพทุก 2 สัปดาห์ แต่เราจะแต่งจนจบแน่นอนค่ะ
สามารถติดตามเราได้ที่
Twitter: Appletea_c
Facebook: Ringotea is ready
มีภาพประกอบเรื่อยๆ มาส่องได้นะคะ👌😌
#HauntingWish
เอเดนพูดไม่ออก และได้แต่จ้องหน้าอาจารย์ใหญ่
“เราไปคุยเรื่องนี้กันข้างในก่อนดีไหมครับ”
คนที่เอ่ยไม่ใช่คุณลุงแต่เป็นแอ็บนัส เมื่ออาจารย์ใหญ่จากโรงเรียนจอมเวทอันดับหนึ่งพูดเช่นนั้นก็ไม่มีทางปฏิเสธได้ง่ายๆ คุณลุงเบนจึงเชื้อเชิญแขกให้เข้ามาในบ้าน
บ้านของทั้งสองไม่ได้มีหลังใหญ่ และปกติก็ไม่เคยมีแขกจึงไม่มีห้องรับรองอะไรเป็นพิเศษ แถมเบนก็ดูจะไม่ต้องการคุยอะไรกับแอ็บนัสนาน แทนที่จะเลือกห้องนั่งเล่นเล็กๆ ภายในบ้านจึงพาไปโต๊ะกินข้าวในห้องครัวแทน โคมไฟที่ตั้งตรงกลางโต๊ะพอดีฉายแสงลงมาจากข้างบนทำให้เกิดเงาบนใบหน้าของทั้งสาม เป็นการพูดคุยที่เหมือนการประจันหน้า หรือเหมือนกับอยู่ในห้องสอบสวน ถึงอย่างนั้นแอ็บนัสก็ไม่แสดงสีหน้าแล้วพูดเรื่องสำคัญโดยไม่รีรอ
“ผมจะพูดสิ่งเดียวกับที่พูดให้ลุงของคุณฟังเมื่อกี้แล้วกัน คุณเอเดน บลายธ์ คุณมีคุณสมบัติที่จะได้เข้าเรียนในเฟาส์วอเชียครับ”
“คุณสมบัติ…แบบไหนเหรอครับ” เอเดนถามด้วยความประหม่า พร้อมแฝงความไม่ไว้ใจไปด้วย
แอ็บนัสเองก็รู้ถึงความคิดของเขาที่สื่อมา “คุณมีเวทมนตร์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวครับคุณบลายธ์ และผมเชื่อว่ามันเป็นเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งมากๆ ซึ่งสมควรจะได้รับการฝึกฝนเพื่อให้ชำนาญครับ”
“ถ้ามีของแบบนั้นจริงก็น่าจะรู้ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วไม่ใช่รึไง?” เบนแทรก
แอ็บนัสประสานมือแล้วกล่าว “บางครั้งก็มีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกันน่ะครับ”
ทั้งสองจ้องตากันโดยไม่มีทีท่าจะลดละ ทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียดขึ้นไปอีก ฝ่ายเบนก็ไม่คิดจะเชื่อคำพูดของแอ็บนัส ส่วนฝ่ายแอ็บนัสก็อยากจะพาเขาไปเรียนให้ได้ ทว่าหากไม่สามารถตอบข้อสงสัยที่ว่าเอเดนมีเวทมนตร์แฝงอยู่ได้ ก็ไม่มีทางที่เบน หรือตัวเอเดนเองจะยอมไปเรียน ดังนั้นในความเงียบและสายตาที่จ้องกันไปมาอย่างน่าอึดอัดนี่ พวกเขากำลังรออยู่ว่าแอ็บนัสจะยกหลักฐานอะไรมาพูด ในเมื่อเอเดนไม่เคยแสดงลักษณะของเวทมนตร์เลยทั้งชีวิต
แอ็บนัสเคาะนิ้วกับแก้วน้ำที่ไม่พร่องลงเลยตั้งแต่เริ่มบทสนทนา จากนั้นก็มองตาเอเดนแล้วกล่าวอย่างจริงจัง
“คุณเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าหากเกิดมาในยุคนี้ แทบทุกคนจะต้องได้เห็นวิญญาณอย่างน้อยสามครั้งไหมครับ?”
มันเป็นคำกล่าวที่เริ่มมีหลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อร้อยปีก่อนไม่นาน และจนปัจจุบันก็ยังมีพูดถึงกันอยู่ ไม่มีทางที่เอเดนจะไม่รู้
แม้จะเป็นมนุษย์ธรรมดาแต่หากเกิดในยุคนี้ย่อมต้องเคยเห็นวิญญาณอย่างน้อยสักสามครั้ง ไม่ว่าจะวิญญาณที่ยืนนิ่งราวกับจิตใจหลุดลอยไปแล้ว หรือวิญญาณที่ยังดูคล้ายคนปกติ…ไปจนถึงวิญญาณร้ายแบบที่เอเดนเพิ่งพบเจอ
“…เคยครับ”
เอเดนตอบเสียงเบา เขาเริ่มจะคาดเดาสิ่งที่แอ็บนัสกำลังจะสื่อได้แล้ว
“การเห็นวิญญาณที่มีพลังสูงหรือพวกผีร้ายอาฆาตไม่ใช่เรื่องยากหรอกครับ เพราะพวกมันต้องการจะทำร้ายมนุษย์อยู่แล้ว แต่พวกวิญญาณธรรมดาที่ไม่ได้มีความแค้นและพร้อมจะปล่อยวางส่วนใหญ่จะมีพลังน้อยเสียจนตัวตนจืดจาง หรือปิดซ่อนตัวตนไว้จนกว่าจะพร้อมจากโลกนี้ไปจริงๆ พวกนั้นแม้แต่จอมเวทหากไม่ใช่เวทเพ่งจิต เพื่อเพิ่มประสาทสัมผัสการรับรู้ก็ยังมองเห็นได้ยากเลยครับ ดังนั้นถ้ามีคนธรรมดาที่เห็นวิญญาณประเภทหลังบ่อยๆ คุณคิดว่ามันหมายความว่ายังไงล่ะครับ”
เอเดนเม้มริมฝีปาก สำหรับเขาการเห็นวิญญาณที่มีร่างกายโปร่งใสนั้นเป็นเรื่องปกติเหมือนกับการเห็นคนเดินถนนธรรมดาทุกวัน มันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นชินตั้งแต่จำความได้และไม่เคยชอบมันสักนิด แต่จะบอกว่าความสามารถนั้นคือพลังเวทงั้นเหรอ เอเดนไม่คิดจะยอมรับเรื่องนั้นง่ายๆ
“ทำไมคุณเวอนูถึงคิดว่าผมเห็นวิญญาณบ่อยๆ ล่ะครับ”
“เพราะผมมั่นใจว่าคุณมีพลังเวทที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่แน่…แล้วก็เพราะว่าคุณมีดวงตาสีเขียวคู่นั้นด้วยครับ”
แอ็บนัสตอบพลางสบตาสีเขียวอมเหลืองซีดที่ซ่อนอยู่ใต้กรอบแว่นของเอเดน
“ถึงจะเป็นมนุษย์ธรรมดาแต่ถ้ามีตาสีเขียวก็จะสัมผัสไวกับวิญญาณมากกว่าคนปกติ และในกรณีที่หายากมากๆ มันก็อาจสื่อถึงพลังบางอย่างที่แฝงในตัวได้...จะว่าไปดวงตานั่นเอง ก็มีความเชื่อว่าเป็นดวงตาแห่งความโชคร้ายที่นำพาแต่ความตายด้วย คุณเคยได้ยินไหมล่ะครับ”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย! ฉันไม่ยอมให้มาพูดเรื่องความเชื่องมงายนั่นในบ้านหลังนี้หรอกนะ” คุณลุงเบนกระแทกกำปั้นกับโต๊ะเสียงดังแล้วกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
เอเดนเองก็กำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะ เพราะเขาเองก็รู้เรื่องความเชื่อนั้นดี ซ้ำยังถูกอคติพรรค์นั้นทำร้ายมาตั้งไม่รู้กี่ครั้งจากคนในเมือง
เสียงของเด็กๆ ที่ตะโกนว่าร้าย ดูถูกและเยาะเย้ย เสียงของผู้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง
ไม่ว่าเมื่อไรมันก็ยังกลับมาดังก้องจนในหัวอื้ออึงไปหมด
“ตัดเรื่องสีตากับเรื่องการเห็นวิญญาณไปคุณมีอะไรมายืนยันเรื่องพลังเวทในตัวเอเดนอีกล่ะ?” คุณลุงเบนกอดอกถาม
“น่าเสียดายที่ไม่มีครับ สภาวะของคุณเอเดนตอนนี้แทบไม่มีพลังเวทไหลเวียนออกมาจึงทำให้ไม่อาจตรวจวัดได้ด้วย แต่การไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเวทมนตร์อัดแน่นจะช่วยดึงพลังให้กับเขาได้ครับ อีกอย่างเรื่องข้อมูลของคุณเอเดน ทางเราก็มีแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือพอจนทำให้มาเชื้อเชิญคุณเป็นการส่วนตัวครับ”
“แล้วไอ้แหล่งข้อมูลนั่นมันมาจากไหนล่ะ?”
“เป็นความลับของเฟาส์วอเชียครับ”
คุณลุงเบนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความหงุดหงิด แม้จะลองกดดันด้วยสายตาและใบหน้าน่ากลัวแต่อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้านเลย
สิ่งที่แอ็บนัสพูดมันก็ฟังดูน่าสงสัยจริงๆ ทว่าเฟาส์วอเชียไม่ใช่โรงเรียนธรรมดา แต่เป็นโรงเรียนเวทมนตร์อันดับหนึ่งของประเทศที่ผลิตจอมเวทซึ่งได้รับการยอมรับในวงสังคมมากมาย บางคนก็ได้เป็นเมจเอ็กซอร์ซิสต์อันดับต้นๆ ของหน่วยงาน บางคนทำงานในระดับสูงของรัฐบาล คนที่เคยได้รับเหรียญจากเชื้อพระวงศ์ก็มี และแม้แต่คนธรรมดาก็ยังชื่นชมเหล่าเด็กที่จบจากโรงเรียนนั้นเพราะพวกเขาเป็นเหมือนฮีโร่ที่ช่วยเหลือคนจากเหล่าผีร้าย
แม้จะไม่ได้บอกที่มาของข้อมูลแต่การที่แอ็บนัสผู้เป็นอาจารย์ใหญ่มาเชื้อเชิญด้วยตนเองก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษมากแล้ว
“เรื่องเงินก็ไม่ต้องกังวลครับ เพราะเราจะออกทุนให้จนกว่าคุณจะจบการศึกษา นอกจากเวทมนตร์เราก็มีหลักสูตรพื้นฐานของโรงเรียนมัธยมปลายทั่วไปส่วนหนึ่งด้วย หากคุณต้องการจะศึกษาอะไรห้องสมุดของเราก็รวบรวมข้อมูลหลายแขนงและเป็นอันดับต้นของประเทศเช่นกัน”
ท่าทางว่าแอ็บนัสจะสังเกตเห็นหนังสือเรียนเปื้อนดินที่เอเดนถือกลับมาด้วยจึงพูดแบบนี้ เขาต้องรู้ด้วยแน่ว่าสถานะการเงินของบ้านบลายธ์เป็นยังไง แค่จะเข้าเรียนในโรงเรียนมัธยมปลายประจำเมือง บ้านของเขายังไม่มีเงินจ่ายเลย
“คิดว่าพูดเรื่องนั้นแล้วเราจะตกลงง่ายๆ รึไง—” คุณลุงเบนกล่าวด้วยอารมณ์ที่เริ่มขึ้นทีละน้ทว่าเอเดนก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ทำไม…ทำไมถึงต้องการตัวผมครับ?”
แค่ความสามารถในการเห็นวิญญาณที่มากกว่าจอมเวทนิดหน่อยมันไม่ได้โดดเด่นอะไรนักนี่
เอเดนอยากรู้ว่าแอ็บนัสมีข้อมูลอะไรที่ทำให้ลงทุนมาทาบทามตัวเขา ทั้งที่ก็รู้ว่าเขาไม่เคยแสดงความสามารถด้านเวทมนตร์เลย
ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“เพราะมีคนเชื่อว่าคุณจะเป็นกำลังที่แข็งแกร่งให้กับจอมเวทได้ครับ”
ดวงตาที่มุ่งมั่นจะรู้ความจริงของเอเดนนั้นทำให้แอ็บนัสยอมพูดตรงๆ
“เขาเชื่อว่าคุณมีพลังขนาดนั้นซ่อนอยู่ในตัว และผมเองก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน”
พลังเวทที่แข็งแกร่งงั้นเหรอ…สมองของเอเดนนั้นไม่อยากเชื่อสิ่งที่คนตรงหน้าบอกสักนิด ทว่าสายตาของแอ็บนัสกลับเปิดเผยกับเขาตรงๆ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มบทสนทนา
ว่าแม้จะไม่ได้เชื่อในตัวเอเดนร้อยเปอร์เซ็นต์แต่เขาเชื่อในตัวคนที่พูดถึงเมื่อกี้ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็นใครก็ตาม
ไม่คิดเลยว่าดวงตาสีเขียวที่ทุกคนรังเกียจจะทำให้ได้โอกาสแบบนี้ เพราะเอเดนเชื่อมาตลอดว่ามันคือสิ่งที่ทำให้เขาเสียโอกาสทุกอย่างไปมากกว่า
ไม่ว่าจะเพื่อน ชีวิตปกติ หรืออะไรก็ตาม
เอเดนเหลือบมองหนังสือเปื้อนดินที่วางอยู่มุมครัวแล้วเอ่ย
“คุณลุง…ผมอยากไปครับ”
“เอเดน!”
“ไม่รู้ว่าจะใช้เวทมนต์ได้เท่าที่คาดหวังไหม เพราะผมเองก็ไม่เคยใช้มาก่อนด้วย แต่อย่างน้อยก็อยากลองดูครับ”
ถ้าเขาไม่รับโอกาสนี้ก็ต้องพยายามคว้าโอกาสด้วยตัวเองในอีกสามปีข้างหน้า เอเดนไม่ได้อยากรีบใช้ทางลัดหรืออะไรเพียงแค่ไม่ได้อยากอยู่เฉยๆ ตรงนี้อีกแล้วก็เท่านั้น และถึงจะไม่มั่นใจเรื่องเวทมนตร์เลยสักนิดแต่เขาก็มั่นใจในเรื่องการเรียนรู้
อย่างน้อยก็จะได้รับความรู้พื้นฐานด้วย!
คุณลุงเบนไม่อาจปฏิเสธเอเดนที่แสดงสีหน้าหนักแน่นออกมาได้ ชายหนุ่มวัยสี่สิบกว่าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย หลังนวดขมับสองสามครั้งก็กล่าวด้วยเสียงเหมือนยอมแพ้
“ถ้าอยากไปก็ตามใจ แต่ต้องติดต่อมาทุกสัปดาห์ ที่โรงเรียนคุณมีโทรศัพท์ใช้ไหม?”
น่าเสียดายที่บ้านบลายธ์ไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ เพราะความที่ไม่ได้จำเป็นต้องติดต่อกันเองเท่าไร แถมเอเดนก็ไม่มีใครให้คบหาอยู่แล้ว ไปๆ มาๆ พอโทรศัพท์มือถือพังเมื่อปีก่อนเอเดนเลยไม่ได้ต้องการเครื่องใหม่นัก การใช้งานคอมหรืออะไรเขาก็เน้นไปใช้ในร้านคอมเอา
“มีครับ”
“งั้นก็ดี เข้าใจนะเอเดน โทรทุกสัปดาห์แล้วก็ห้ามฝืนเด็ดขาด ถ้าอยู่ไม่ไหวก็ออกมาเข้าใจนะ?”
เอเดนผุดยิ้มเล็กน้อยให้กับความเป็นห่วงออกหน้าออกตาของคุณลุง “ขอบคุณครับคุณลุง”
“เหอะ! ฉันไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อย แล้วจะเดินทางกันยังไง?” คุณลุงเบนหันไปถามแอ็บนัสอีกครั้ง
“เราจะเดินทางกันเลยครับ เพราะโรงเรียนเปิดมาได้สองสัปดาห์แล้ว ถ้าคุณบลายธ์เข้าเรียนได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น”
“งั้นก็ไปเก็บของซะ แล้วลงมาเจอกันหน้าบ้าน”
เอเดนพยักหน้าแล้วรีบขึ้นไปเก็บของบนห้องทันที เขาไม่ได้มีเสื้อผ้าหรือของจำเป็นอื่นๆ เยอะนัก แค่ไม่นานเขาก็กลับลงมาพร้อมกระเป๋าเป้บนหลัง และมาสมทบกับชายทั้งสองที่สนามหน้าบ้านซึ่งเป็นจุดที่ยืนกันตอนแรก
“เข้าใจนะเอเดน ถ้าลำบากใจอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว แล้วถ้าทนไม่ไหวก็กลับมาซะ”
“ครับ คุณลุง”
เอเดนตกลงพลางนึกขอบคุณในใจอีกครั้ง ตัวเขาเสียแม่ไปตั้งแต่ก่อนจำความได้ ส่วนพ่อก็ไม่เคยรู้จัก มีแค่คุณลุงเบนที่คอยเลี้ยงดูมาจนเปรียบเสมือนเป็นพ่อแท้ๆ คนหนึ่ง แม้จะแข็งกระด้างและพูดน้อยแต่เวลาแบบนี้คุณลุงจะไม่ยอมอ้อมค้อมเด็ดขาด ซึ่งนั่นเป็นพลังให้เอเดนมาเสมอ
เขากระชับแว่นตาแล้วมองบ้านหลังเล็กกับไร่นาที่ตนคอยช่วยงานกับคุณลุง น่าเสียดายที่ความมืดกลืนกลินทิวทัศน์ไกลๆ ไปเกือบทั้งหมด แต่สำหรับเขานอกจากคุณลุงแล้ว เมืองเวลบลูมแห่งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าคิดถึงนัก ดังนั้นเขาจึงมีแค่ความหวั่นใจที่จะเผชิญหน้าสถานที่ใหม่ในครั้งแรกที่ได้ออกจากเมือง
อา แล้วไหนจะการเดินทางด้วยเวทมนตร์อีก
แอ็บนัสไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เมื่อกี้ จนเมื่อเขาบอกลาคุณลุงเสร็จแล้วก้าวเข้ามาหาแอ็บนัสก็ยังคงยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นทรนง เขาจับบ่าของเอเดนแล้วอธิบายสั้นมากๆ
“การเดินทางอาจจะทำให้เวียนหัวคลื่นไส้นิดหน่อยครับ”
และยังไม่ทันได้จินตนาการว่ามันจะเป็นยังไง คลื่นพลังงานก็ห่อหุ้มร่างของทั้งสองอย่างหนาแน่นจนทำให้ขนชูชัน อากาศบิดตัวภายในก่อนจะดูดทั้งสองเข้าไปในโพรงของการเคลื่อนที่ซึ่งรวดเร็วและรุนแรงจนเหมือนทั้งร่างกายถูกยืดออก มีแค่สัมผัสหนักๆ บนบ่าที่ช่วยยึดให้เอเดนไม่หลุดออกไปนอกเส้นทาง
เสี้ยววินาทีต่อมาโพรงก็ปล่อยเขามายืนอยู่บนสนามหญ้าที่ไม่คุ้นเคย ในอากาศมีกลิ่นของป่าไม้กับฝนที่พึ่งตกลงมาซึ่งแตกต่างจากกลิ่นไร่ข้าวสาลี
พอแอ็บนัสปล่อยมือจากบ่าของเอเดน ร่างของเขาก็ทรุดลงพร้อมอาการเวียนหัวคลื่นไส้อย่างที่เตือนเอาไว้ไม่มีผิด โชคที่ที่เมื่อตอนเย็นเขายังไม่ได้กินอะไร เลยไม่มีอาหารย้อนออกมาจากกระเพาะลงสนามหญ้านอกจากน้ำลายไม่กี่หยด เอเดนเอามือข้างหนึ่งยันตัวกับพื้นขณะที่อีกข้างกุมท้องไส้ที่ปั่นป่วน
“เครื่องแบบกับอุปกรณ์การเรียนเราเตรียมไว้ให้หมดแล้ว จากนี้คุณจะอยู่ในความดูแลของพรีเฟ็คปีหนึ่งแทนครับ…และยินดีต้อนรับสู่เฟาส์วอเชีย เอเดน บลายธ์”
เมื่อพูดจบอากาศรอบตัวแอ็บนัสก็บิดเบี้ยวด้วยพลังอันหนาแน่น แล้วร่างของเขาก็หายไปในชั่วพริบตา
เอเดนเริ่มจะสงสัยในตัวอาจารย์ใหญ่คนนี้อีกครั้งแล้วว่าเขาอยากให้เอเดนมาเรียนที่นี่จริงๆ รึเปล่า
***
สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาชิมนิยายเรื่องนี้นะคะ! จริงๆ นี่เป็นพล็อตที่เราคิดมาปีกว่าแล้วเพิ่งได้ฤกษ์แต่ง แล้วมาลงในช่วงนี้ (ก็เรื่องผีๆ มันต้องลงช่วงฮาโลวีนอยู่แล้วสิ! //ปิ๊งๆ🥺🥺)
ถ้าหากถูกใจก็รบกวนกดบุ้ค กดไลค์ แชร์ คอมเม้นให้ด้วยนะคะ! การเล่าเรียน(หรือผจญภัย?) ของเอเดนกำลังจะเริ่มแล้ว จากนี้ก็ขอฝากด้วยนะคะ!