นี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,fantasy,โรแมนซ์,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือนนี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
ประตูที่เคยแบ่งภพคนเป็นกับคนตายได้เปิดออก โลกจึงตกอยู่ในความวุ่นวายมาตลอด 100 ปี
มนุษย์ถูกวิญญาณเล่นงาน ดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อจะคงตัวตนให้อยู่ในโลกคนเป็นต่อไปได้ และเพื่อทำสิ่งที่เมื่อครั้งมีชีวิตไม่อาจทำได้
ผู้ที่สามารถจัดการกับเหตุเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้มีเพียงแค่จอมเวทผู้ครอบครองเวทมนตร์ หรือจอมเวทตำแหน่งมือปราบ "Mage Exorcist" พวกเขาต่างช่วยเหลือผู้คนและขบคิดหาวิธีจัดการกับประตูแบ่งแยกสองภพนั่นมาตลอด
ทว่าจนปัจจุบันก็ยังไม่อาจปิดประตูนั่นได้
ภาคที่ 1 เฟาส์วอเชียที่ซึ่งสหายไม่ทิ้งกัน
เอเดน บลายธ์เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในชนบท จนวันหนึ่งก็มีคนจากโรงเรียนเวทมนตร์ชื่อดัง 'เฟาส์วอเชีย' มาทาบทาม โดยบอกว่าเขามีพลังเวทมนตร์ซ่อนอยู่
เอเดนไม่เชื่อในคำพูดสวยหรูเหมือนตนเป็นผู้ถูกเลือก หรือเป็นตัวเอกในเรื่องราวอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ในชีวิตที่ต้องเจอแต่สายตาหวาดระแวงอีกต่อไป จึงคว้าโอกาสโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะมีเวทมนตร์หรือจะใช้มันได้จริงหรือไม่
คุยกันก่อนเข้าเรื่อง
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกคนสู่นิยายเรื่องนี้นะคะ!
เรื่องนี้จะลงแบบหั่นตอนเนื่องจากบางบทค่อนข้างยาว แต่จะลงตอนทั้งหมดเลย โดยหั่นเป็นกี่ตอนขึ้นอยู่กับความยาวเดิมค่ะ
คาดว่าจะมาอัพทุก 2 สัปดาห์ แต่เราจะแต่งจนจบแน่นอนค่ะ
สามารถติดตามเราได้ที่
Twitter: Appletea_c
Facebook: Ringotea is ready
มีภาพประกอบเรื่อยๆ มาส่องได้นะคะ👌😌
#HauntingWish
ขณะที่เอเดนพยายามยันตัวลุกขึ้นก็มีมือหนึ่งยื่นมาให้เขา
เมื่อเงยมองก็พบว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีดวงตาสีฟ้าอ่อนดั่งน้ำทะเลใสตัดกับเส้นผมสีดำอมน้ำเงินซีดจางดุจผืนน้ำยามค่ำคืน เขามีใบหน้าที่ดูหล่อเหลาและเย็นชา แต่ความเยาว์วัยช่วยเสริมให้มีความละมุนละไมบนใบหน้า และแม้จะสวมสเวตเตอร์ทับเสื้อเชิ้ตสีดำกับเนกไทสีม่วง แต่เอเดนก็ค่อนข่างแน่ใจว่านั่นคือชุดเครื่องแบบของเฟาส์วอเชีย
ถ้างั้นคนคนนี้ก็คือพรีเฟ็คที่แอ็บนัสบอก
วินาทีที่สบตากัน ดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้นก็วูบไหว คิ้วขมวดลงเล็กน้อยราวกับติดใจบางอย่าง แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเดียวก่อนที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มจะกลับมานิ่งดั่งหินเช่นเดิม ทว่าเอเดนก็ไม่พลาดที่จะสังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ นั่น เพราะเขาคือผู้เคยชินกับการสังเกตสีหน้าผู้คน และเคยถูกมองด้วยใบหน้าคล้ายกันนี่มานักต่อนัก
ดังนั้นแทนที่จะจับมือซึ่งหยิบยื่นมาให้ เขาจึงยกมือกับกระชับแว่นเพื่อปิดบังดวงตาโดยอัตโนมัติ แล้วจึงลุกขึ้นด้วยตนเอง เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้มีทีท่าอะไรกับการปฏิเสธของเขา เพียงเก็บมือไว้ข้างตัวแล้วแนะนำตนเองด้วยเสียงเรียบเฉย
“สวัสดี ฉันชื่อคาแนตต์ อินคาเพียม เป็นพรีเฟ็คชั้นปีหนึ่ง มีหน้าที่ดูแลนายให้ปรับตัวกับโรงเรียนได้ รวมถึงเป็นรูมเมทของนายด้วย”
เอเดนไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้นิสัยเย็นชาเป็นทุนเดิม หรือเป็นแบบนี้แค่กับเขากันแน่ แต่เขาก็พยายามคิดในแง่ดีว่าเป็นอย่างแรก เพราะอย่างไรเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ต้องมาเป็นรูมเมทกับตนด้วย การจะแสดงท่าทีระแวดระวังใส่คงไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีนัก
“ฉันเอเดน บลายธ์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ความร่าเริงในน้ำเสียงหรือยกมุมปากขึ้นเพื่อแสดงความเป็นมิตร เอเดนยังไม่รู้ว่าสังคมโลกเวทมนตร์เป็นยังไง และการที่คาแนตต์หวั่นไหวกับดวงตาสีเขียวก็ยังติดใจเขาอยู่ด้วย
ใช่ คำถามสำคัญคือพวกจอมเวทเองก็เรียกดวงตาสีเขียวคู่นี้ว่าเป็น ‘ดวงตาแห่งความโชคร้ายที่เห็นแต่ความตาย’ รึเปล่า
ไม่รู้ทำไมคาแนตต์ดูจะพอใจกับการแนะนำตัวที่มีระยะห่างของเขา แล้วขยับมือเป็นการแนะให้เขาเดินตาม
“ถ้างั้นก็เข้าหอพัก ตามฉันมา”
ตอนนี้ทั้งสองอยู่ที่หน้าประตูรั้วโรงเรียนซึ่งเป็นรั้วเหล็กดัดสีดำดูเก่าแก่ เมื่อคาแนตต์โบกมือตรงหน้าหนึ่งครั้งประตูก็เปิดออก และพอทั้งสองก้าวเข้ามาในเขตโรงเรียน ประตูก็ปิดลงตามหลังพร้อมเสียงกระทบกันของเหล็กและเสียงกริ๊กหนาหนักซึ่งดังกังวานทั่วป่าที่ทั้งสองกำลังเดินผ่าน
แม้จะผ่านประตูมาแล้วแต่ทางเดินไปอาคารเรียนยังต้องผ่านป่าสองข้างซึ่งตอนนี้มืดสนิท เอเดนคงไม่มีทางเดินไปเองได้หากไม่มีลูกแสงเวทมนตร์ที่ส่องสว่างในมือคาแนตต์ เขาเหลือบมองเวทมนตร์ที่พึ่งเคยเห็นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกด้วยความทึ่งนิดๆ
แน่นอนว่าประตูเมื่อกี้ก็น่าสนใจ แต่เพราะมนุษย์เองก็เลียนแบบเวทมนตร์ด้วยการพัฒนาวิทยาศาสตร์ การทำประตูที่เปิดปิดเองด้วยระบบเซนเซอร์จึงเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป ทว่ายังไงวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีทางสร้างลูกแสงขึ้นมาจากที่ที่ไม่มีอะไรเลยได้แน่ๆ
ยิ่งทำให้สงสัยว่าตัวเองจะใช้เวทมนตร์แบบนี้ได้จริงเหรอ
“จะว่าไปแล้วนายรู้อะไรเกี่ยวกับโลกเวทมนตร์บ้าง”
คาแนตต์เอ่ยถามโดยยังมองตรงไปข้างหน้า
เขาคงจะรู้จากแอ็บนัสอยู่แล้วว่าเอเดนเป็นเด็กที่มาจากโลกฝั่งคนธรรมดาจึงลองถามเพื่อทดสอบดู
“เอ่อ…ก็ไม่มากหรอก ฉันรู้แค่เรื่องที่มีในหนังสือเรียน”
อันที่จริงเอเดนแทบไม่เคยมีเรื่องเวทมนตร์ในหัวเลย เพราะเขายอมรับความเป็นจริงที่ว่าตัวเองเป็นคนธรรมดา และไม่มีผู้วิเศษหรือซานต้าที่ไหนจะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตตนได้นานแล้ว
คาแนตต์ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ถามต่อ
“งั้นก็รู้เรื่องการเปิดประตูเมื่อร้อยปีก่อนดีสินะ”
เอเดนพยักหน้าพลางนึกถึงข้อมูลที่เคยเรียนมาตั้งแต่ประถม
เมื่อ 100 ปีก่อนเทพแห่งความตาย—หรือที่จอมเวทเรียกว่าเทพชีวาอาสัญ ได้เปิดประตูเชื่อมระหว่างภพคนเป็นและภพคนตาย ด้วยความต้องการจะขยายพื้นที่ของอาณาจักรตน ทำให้เหล่าวิญญาณมากมายหวนคืนสู่แผ่นดินของผู้มีชีวิตอีกครั้งและสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ โชคดีที่ในเวลานั้นมีจอมเวทที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในศตวรรษได้เข้าขัดขวางเทพแห่งความตาย และทำให้เทพหลับไหลไปจนปัจจุบัน แผนการขยายโลกแห่งความตายจึงไม่สำเร็จ
ทว่าเมื่อเทพหลับไหล ก็ไม่มีใครมีพลังพอจะปิดประตูได้อีก ทำให้ภพทั้งสองถูกเชื่อมกันไว้จนถึงปัจจุบัน พร้อมกันนั้นตัวตนของเหล่าจอมเวทและเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหลายก็ถูกเปิดเผยต่อโลกอันธรรมดาสามัญของมนุษย์ แล้วจอมเวทก็กลายเป็นขุมกำลังหลักในการจัดการวิญญาณร้ายไป
เพราะการจะจัดการกับวิญญาณมีแต่ต้องใช้เวทมนตร์เท่านั้น
“แต่ฉันไม่รู้หลักการพื้นฐานของเวทมนตร์ หรือว่าใช้เวทมนตร์ยังไงถึงจัดการวิญญาณได้หรอกนะ” เอเดนยอมรับตรงๆ คาแนตต์จึงเริ่มอธิบาย
“หลักพื้นฐานของเวทมนตร์ก็ไม่มีอะไรมากหรอก นอกจากการใช้เวทควบคุมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ก็มีการใช้เวทในการพลิกแพลงร่วมกับคาถาที่ไม่เกี่ยวกับธาตุ ยกตัวอย่างเช่นการเคลื่อนที่ระยะไกล หรือการปลดล็อกผนึกประตูที่ป้องกันโรงเรียนเมื่อกี้ก็เป็นเวทที่ไม่เกี่ยวกับธาตุ ส่วนการกำจัดวิญญาณก็เน้นเรื่องปริมาณกับความหนาแน่นของพลังเท่านั้น รูปแบบจะเป็นยังไงก็ได้ ขอแค่ทั้งสองอย่างอยู่ในค่าที่จะสลายวิญญาณได้ก็พอ”
“ฟังดูเหมือนวิทยาศาสตร์เลยนะ…” พอพูดออกมาเอเดนก็เงียบลงทันที เขาลืมไปซะสนิทว่าตัวเองกำลังคุยกับจอมเวท ถึงแม้เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์จะใช้ร่วมกันอย่างแพร่หลาย แต่นักวิชาการหรือพวกอนุรักษ์นิยมจากทั้งสองฝ่ายต่างก็ยังขัดแย้งกันอยู่ดี ดังนั้นการพูดแบบนี้อาจจะสร้างความไม่พอใจเข้าก็ได้
ทั้งที่ปกติเขาจะระวังเรื่องการใช้คำพูด หรือไม่ก็เก็บคำพูดไว้กับตัวตลอดแท้ๆ
ท่าทางจะถูกสถานการณ์กระทันหันที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเล่นงานจนเผลอไป เอเดนเหลือบมองเด็กหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อยก่อนจะผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกเมื่ออีกฝ่ายตอบง่ายๆ
“นั่นสินะ ฉันเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
โชคดีที่คาแนตต์ไม่ใช่พวกหัวอนุรักษ์นิยม แม้ว่าเขาจะดูเหมือนหัวหน้านักเรียนเจ้าระเบียบที่ไม่ยอมอ่อนข้อง่ายๆ ก็เถอะ
เอเดนลอบมองเด็กหนุ่มอีกครั้ง พลางวิเคราะห์นิสัยใจคอของอีกฝ่ายจากคำตอบเมื่อกี้
ถ้าตอบว่าคิดเหมือนกัน ก็หมายความว่าอาจเป็นคนเปิดกว้างก็ได้ ที่ผ่านมาก็ไม่มีคำพูดหรือท่าทีแสดงการดูถูกหรืออคติเป็นพิเศษ กลับกันเขาดูคล้ายพวกหุ่นยนต์ที่เอาแต่ขยับตัวหรือพูดจาไปตามหน้าที่โดยไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนมเลยต่างหาก
เอเดนติดใจก็แค่เรื่องตอนที่พบกันเท่านั้น ทำไมถึงมองเขาแปลกๆ ตอนสบตากันครั้งแรกนะ ถ้าเป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงตาที่นำโชคร้ายและความตาย เขาก็น่าจะแสดงท่าทีมากกว่านี้สิ เพราะยังไงในโลกที่วิญญาณเพ่นพ่านฆ่าคนเหมือนในหนังสยองขวัญ ใครๆ ต่างก็กลัววิญญาณกันทั้งนั้น
หรือเพราะเป็นจอมเวทนะ? จอมเวทที่มีเวทมนตร์อาจจะไม่ค่อยกลัวเลยเฉยๆ กับดวงตาของเอเดนก็ได้ ส่วนอาการแปลกๆ ตอนแรกอาจจะแค่ตกใจตอนที่เห็น…ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดีสิ
เอเดนอยากถามตรงๆ เพราะอีกฝ่ายดูจะเฉยเมยกับทุกสิ่ง เขาอยากรู้ให้แน่ใจก่อนว่าที่นี่คือสังคมแบบเดียวกันหรือแตกต่างจากที่เขาเคยเจอเพื่อจะได้เตรียมตัวให้พร้อม เขาก้มมองเท้าที่ก้าวเดินไปเรื่อยๆ ของตนอย่างหนักใจพลางเตรียมคำถามในหัวทว่าก็ไม่ได้ใช้เลยสักอัน
“เรามาถึงแล้ว”