นี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,fantasy,โรแมนซ์,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือนนี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
ประตูที่เคยแบ่งภพคนเป็นกับคนตายได้เปิดออก โลกจึงตกอยู่ในความวุ่นวายมาตลอด 100 ปี
มนุษย์ถูกวิญญาณเล่นงาน ดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อจะคงตัวตนให้อยู่ในโลกคนเป็นต่อไปได้ และเพื่อทำสิ่งที่เมื่อครั้งมีชีวิตไม่อาจทำได้
ผู้ที่สามารถจัดการกับเหตุเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้มีเพียงแค่จอมเวทผู้ครอบครองเวทมนตร์ หรือจอมเวทตำแหน่งมือปราบ "Mage Exorcist" พวกเขาต่างช่วยเหลือผู้คนและขบคิดหาวิธีจัดการกับประตูแบ่งแยกสองภพนั่นมาตลอด
ทว่าจนปัจจุบันก็ยังไม่อาจปิดประตูนั่นได้
ภาคที่ 1 เฟาส์วอเชียที่ซึ่งสหายไม่ทิ้งกัน
เอเดน บลายธ์เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในชนบท จนวันหนึ่งก็มีคนจากโรงเรียนเวทมนตร์ชื่อดัง 'เฟาส์วอเชีย' มาทาบทาม โดยบอกว่าเขามีพลังเวทมนตร์ซ่อนอยู่
เอเดนไม่เชื่อในคำพูดสวยหรูเหมือนตนเป็นผู้ถูกเลือก หรือเป็นตัวเอกในเรื่องราวอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ในชีวิตที่ต้องเจอแต่สายตาหวาดระแวงอีกต่อไป จึงคว้าโอกาสโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะมีเวทมนตร์หรือจะใช้มันได้จริงหรือไม่
คุยกันก่อนเข้าเรื่อง
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกคนสู่นิยายเรื่องนี้นะคะ!
เรื่องนี้จะลงแบบหั่นตอนเนื่องจากบางบทค่อนข้างยาว แต่จะลงตอนทั้งหมดเลย โดยหั่นเป็นกี่ตอนขึ้นอยู่กับความยาวเดิมค่ะ
คาดว่าจะมาอัพทุก 2 สัปดาห์ แต่เราจะแต่งจนจบแน่นอนค่ะ
สามารถติดตามเราได้ที่
Twitter: Appletea_c
Facebook: Ringotea is ready
มีภาพประกอบเรื่อยๆ มาส่องได้นะคะ👌😌
#HauntingWish
สายตาเจ้าคิดเจ้าแค้นของเจดยังคอยตามเอเดนตลอด จนถึงเวลาออดหมดคาบดังเขาถึงพอจะหลุดจากแนวสายตานั่นออกมาได้ เมื่อออกนอกห้องเรียนสู่โถงทางเดินที่คลาคล่ำด้วยผู้คนแล้ว ไอน์ก็โบกมือให้กับเด็กสาวคนนั้น
“ซิลวี่ ทางนี้ๆ!”
เพราะไอน์ตัวสูง เธอเลยสังเกตแล้วฝ่าฝูงชนเข้ามาหาพวกเอเดนได้สบายๆ ปลายผมสีน้ำตาลที่มัดเป็นแกละต่ำสองข้างแกว่งไกวขณะเคลื่อนไหวจนมาหยุดตรงหน้าเอเดน และสิ่งแรกที่จับความสนใจของเขาก็ไม่ใช่ใบหน้าแก่นแก้ว หรือชุดนักเรียนที่ดัดแปลงจนผิดระเบียบอย่างเห็นได้ชัด
แต่เป็นดวงตาสีเขียวเข้มดั่งมรกตที่สะท้อนแสงวาววับต่างหาก
ดวงตาของเด็กสาวตรงหน้านั้นเป็นเฉดสีเขียวสดที่ต่างจากเอเดนไปคนละเรื่อง เพราะสำหรับเอเดนนั้น สีเขียวของเขาเป็นสีเขียวอ่อน เหมือนสีใบไม้ใบหญ้า ในขณะที่ของเธอคือสีเขียวแบบอัญมณีที่จะไม่ถูกย้อมด้วยสีอื่นเป็นอันขาด
‘อา แบบนี้นี่เอง…'
มันทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมไอน์ถึงไม่สนใจดวงตาคู่นี้สักนิด
สำหรับไอน์แล้วเขาก็คงไม่ต่างจากเพื่อนของตัวเองสินะ...
'ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะเจอคนที่มีสีตาแบบเดียวกัน'
แถมยังเป็นคนที่แตกต่างจากตัวเองอย่างสิ้นเชิง ตัวตนของเด็กสาวคนนี้ทำให้ในหัวของเขารู้สึกสับสน เหมือนชีวิตที่เขาอยู่มามันไม่เป็นความจริง ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็ยังอดประทับใจในตัวเธอไม่ได้
ระหว่างที่เอเดนยังประมวลผลสิ่งต่างๆ อยู่ ทั้งสองคนก็เริ่มทักทายกัน
“หายไปทั้งวันเลยนะ เมื่อเช้าก็ไม่อ่านไม่ตอบข้อความ” ไอน์ว่า
“ก็เมื่อคืนฉันเล่นเกมแล้วลืมชาร์จโทรศัพท์ ว่าแต่ฉันเพิ่งรู้นี่ล่ะว่ามีเด็กใหม่!” เธอหันมายื่นมือทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “ฉันชื่อซิลวี่ แอช ยินดีที่ได้รู้จัก!”
มือถูกจับเขย่าอย่างรวดเร็ว เป็นการทักทายแบบเดียวกับไอน์จนแน่ใจเลยว่าสองคนนี้เพื่อนกันจริงๆ
“ยินดีที่ได้รู้จัก…ฉันเอเดน บลายธ์” เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “เมื่อกี้ขอบคุณนะที่ช่วย ทั้งสองคนเลย”
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องเกรงใจ”
“ใช่ๆ อีกอย่างนายเองก็เหมือนฉัน โดนดูถูกว่าใช้เวทมนตร์ไม่ได้แค่เพราะมีตาสีเขียวเนี่ยนะ!” ซิลวี่กำหมัดพลางส่งสายตาไปรอบๆ แบบพร้อมซัดทุกคนที่กล้ามาดูถูก
“อืม…ซิลวี่” ไอน์ตบไหล่ของเพื่อนเบาๆ แล้วลดเสียงลง “คือว่าเอเดนเขายังใช้เวทไม่ได้น่ะ”
“ฮะ!? …เอ่อ” เธอมองหน้าเขาอย่างหวาดๆ แล้วพูดเสียงเบา “ขอโทษที ฉันไม่นึกว่านายจะใช้ไม่ได้จริงๆ ตะ-แต่ฉันก็ไม่ได้ใช้เวทเก่งหรอกนะ!”
เอเดนยิ้มเจื่อน “ไม่เป็นไร…อันที่จริงฉันอยู่แบบคนธรรมดามาตลอด เพิ่งรู้ว่าตัวเองมีเวทมนตร์ก็เมื่อคืนนี้เอง”
ซิลวี่เอียงคออย่างสงสัย เขาจึงเล่าเรื่องที่เกิดเมื่อคืนให้ฟังแบบสรุป จากนั้นเธอก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“แอ็บนัสงั้นเหรอ…สั่งให้ไอน์กับพรีเฟ็คดูแลเนี่ยนะ อย่างน้อยก็น่าจะบอกวิธีใช้เวทให้ไม่ใช่เหรอ อืมมม…ถ้างั้นเอเดน! วันนี้หลังเลิกไปซ้อมเวทกับพวกฉันสิ!”
“โอ้ ฉันว่าจะชวนอยู่เหมือนกัน”
“ซ้อมเวทเหรอ…”
“อืม! จะได้ดึงพลังเวทในตัวมาใช้ได้เร็วๆ ไง! เดี๋ยวพวกฉันจะช่วยเองนะ!”
ทั้งสองยื่นใบหน้าเป็นมิตรสุดๆ เข้ามาใกล้ จนเอเดนทำตัวไม่ถูกเลยเผลอตอบไปอย่างตะกุกตะกัก
“อะ-อึ้ม ได้สิ”
“เยส~! ถ้างั้นเราไปเรียนวิชาต่อไปกันเถอะ! นายเรียนอะไรต่อ?”
“เอ่อ…” เขาใช้เวลานึกครู่หนึ่ง “ปรุงยา”
ใบหน้าของซิลวี่ชะงักทันที ส่วนไอน์ก็หัวเราะคิกคัก
“อืม วิชาเดียวกัน ใช่ ลืมไปเลยว่าต่อไปคือปรุงยา” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อจากนั้นก็ขยับตัวเหมือนหุ่นยนต์นำทั้งสองไป
“ยัยซิลวี่เกลียดวิทย์น่ะ”
“อ้อ…”
'เป็นคนที่แตกต่างกันจริงๆ แฮะ แต่ว่า...'
การแสดงออกที่ตรงไปตรงมานั่นก็ทำให้เอเดนอดยิ้มนิดๆ ไม่ได้
วิชาปรุงยาสำหรับจอมเวทนั้นคล้ายกับการทดลองวิทยาศาสตร์อย่างเหลือเชื่อ เอเดนจึงไม่มีปัญหาในการทำความเข้าใจสิ่งที่อาจารย์สอน จะมีแค่เรื่องวัตถุดิบกับสิ่งที่ปรุงออกมามันเหนือความเข้าใจของเขาไปนิดหน่อยก็เท่านั้น แต่เอเดนก็คิดว่าน่าจะตามทันการเรียนได้ในไม่ช้า
ส่วนซิลวี่นั้นเอาแต่นั่งกุมหัวขณะจ้องมองหนังสือเรียนด้วยแววตาว่างเปล่า กว่าวิญญาณจะกลับเข้าร่างก็ตอนออดแจ้งหมดคาบดัง เธอลุกขึ้นด้วยพลังเต็มเปี่ยมผิดจากตอนเรียนแล้วพาทั้งสองเดินลงบันไดด้วยย่างก้าวฉับไว มุ่งหน้าไปยังห้องซ้อมเวทที่เธอพูดถึง
โซนห้องซ้อมเวทนั้นอยู่ในตึกเดียวกับที่เอเดนเรียนวิชาเวทและวิชาปรุงยา ซึ่งเป็นตึกฝั่งตะวันออก จากที่ไอน์เล่าให้ฟังระหว่างเดิน ตึกฝั่งนี้จะถูกจัดให้ทนทานต่อการใช้งานเวทมากกว่าเพื่อป้องกันเวลาเกิดอุบัติเหตุ ห้องซ้อมเวทจึงอยู่ฝั่งนี้ ในขณะที่ห้องสันทนาการอื่นๆ จะอยู่ฝั่งตะวันตก รวมถึงห้องสมุดด้วย
เอเดนค่อนข้างสนใจห้องสมุดที่แอ็บนัสเคยกล่าวถึงมากกว่าห้องซ้อมเวท แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นนักเรียนโรงเรียนเวทมนตร์ ถึงจะไม่รู้ว่าทำได้หรือไม่ แต่ถ้าใช้ไม่ได้เลยคงจะอยู่ในโรงเรียนนี้ได้ยาก เขาเลยตั้งเป้าแบบไม่กดดันตัวเองว่าขอแค่ใช้ได้ก็พอแล้ว
‘ถึงอาจารย์ใหญ่จะบอกว่าเรามีพลังที่แข็งแกร่งอยู่ก็เถอะ’
เอเดนไม่ได้ตั้งเป้าจะเป็นจอมเวทหรือเมจเอ็กซอร์ซิสต์ ดังนั้นเขาเลยไม่เห็นความจำเป็นที่จะเชี่ยวชาญในการใช้เวท เอาแค่เสกไฟหรือควบคุมน้ำได้ก็น่าจะถือว่าผ่านพื้นฐานรึเปล่านะ?
“ถึงแล้ว! นี่ล่ะห้องซ้อมเวทของโรงเรียนเรา!”
ซิลวี่ผายมือไปรอบๆ ห้องกว้างที่ก่อจากอิฐหนาและมีหน้าต่างบานเล็กสองบาน ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากนักนอกจากหีบใบใหญ่ เก้าอี้กับโต๊ะสองสามตัว และถึงจะทำความสะอาดมาอย่างดีแต่ก็บนพื้นหรือผนังก็มีร่องรอยของการซ่อมแซมหรือขูดขีด รวมถึงรอยไหม้อีกนับไม่ถ้วน ซิลวี่เดินเข้าไปค้นของจากในหีบแล้วหยิบแก้วน้ำออกมาวางกลางโต๊ะ
“งั้นเราเริ่มจากพื้นฐานก่อนแล้วกัน เวทมนตร์น่ะมีสี่ธาตุคือดินน้ำลมไฟ แต่ละคนจะมีพลังเวท ความสามารถในการควบคุมและความถนัดต่างกันไป บางคนอาจจะถนัดแค่ธาตุเดียว สองธาตุ หรืออาจจะเป็นสายใช้เวทสายอื่นที่ไม่ใช่ธาตุเลยก็ได้ แต่อย่างน้อยการใช้ธาตุก็เป็นอะไรที่ง่ายที่สุด ทุกคนเลยใช้ได้ไม่มากก็น้อยล่ะนะ”
เธอผายมือไปที่แก้ว “ก่อนอื่นก็ต้องเริ่มจากลองดึงพลังของธาตุในธรรมชาติออกมาใช้อย่างง่ายๆ ก่อน”
“เอ่อ…” เอเดนมองแก้วแล้วก็มองไอน์อย่างลำบากใจเล็กน้อย
“ซิลวี่ อย่าลืมสิว่าเอเดนไม่เคยใช้เวทมนตร์เลย ถึงจะบอกว่าให้เริ่มทำก็คงนึกไม่ออกหรอก”
“อ๊ะ นั่นสินะ ขอโทษที…อืม แต่ฉันก็เป็นพวกใช้เวทตามความรู้สึกเลยนึกไม่ออกเหมือนกันว่าการดึงพลังมาใช้นี่มันยังไง” เธอยกนิ้วแตะคางอย่างครุ่นคิด
“ใช้ได้มาตั้งแต่ต้นเลยงั้นเหรอ?” เอเดนถาม
“อือ…คนที่มีตาสีเขียวแล้วใช้เวทมนตร์ได้ เท่าที่ฉันรู้ก็คงมีแค่ฉันกับนายนั่นแหละ”
‘หายากขนาดนั้นเลยสินะเนี่ย’
เขายิ่งแคลงใจว่าจะดึงพลังเวทมาใช้ได้จริงหรือไม่
“ถ้ายังไงทั้งสองคนช่วยลองทำให้ดูก่อนได้ไหม” เอเดนลองถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น เพราะนอกจากที่เคยเห็นผ่านๆ ในทีวีกับเมื่อวาน เขาก็ยังไม่ได้ดูการใช้เวทมนตร์แบบจริงจังเลย
“ของฉันได้อยู่แล้ว แต่ของซิลวี่นี่ก็…ไม่แน่ใจแฮะว่าดูแล้วจะมีประโยชน์”
“หุบปากไปเลยเจ้าบ้านี่”
“หวายๆ ล้อเล่นน่า” ไอน์ทำทีเป็นหลบหลังเอเดน จากนั้นก็ยื่นมือมาข้างหน้า “งั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา~!”
เมื่อโบกสะบัดมือหนึ่งครั้ง แก้วน้ำที่ไม่มีอะไรอยู่จนถึงเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยน้ำใสสะอาด เป็นเวทมนตร์ที่รวดเร็วราวกับนักมายากล แต่ไอน์ยังไม่คิดหยุดแค่นั้น
“ถ้าดูแค่นี้ก็ไม่ถือเป็นการสาธิตสิ”
เขาหรี่ตาลงแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างใช้สมาธิ สายลมเริ่มก่อตัวรอบๆ ทั้งสาม โดยเริ่มรุนแรงขึ้นจนเห็นเกลียวสายลมที่ไปรวมตัวอยู่ที่แก้วน้ำ สายลมค่อยๆ ยกแก้วใบนั้นขึ้นมา แล้วส่งให้ลอยไปยังหน้าต่างอย่างช้าๆ ไอน์โบกมืออีกข้างแล้วสายลมก็พัดบานหน้าต่างให้เปิด เพื่อทิ้งน้ำลงไปในพุ่มไม้ด้านนอก จากนั้นลมก็พัดเอาแก้วที่วางเปล่ากลับมาวางบนโต๊ะอย่างนิ่มนวล
“เวทที่ฉันถนัดคือเวทธาตุลมล่ะ” ไอน์ขยิบตา ในขณะที่เอเดนเอาแต่มองการใช้เวทตรงหน้าด้วยความทึ่ง
“ไม่ได้หวือหวาเท่าไรแต่ก็พอเป็นตัวอย่างได้ใช่ไหมนะ”
เอเดนพยักหน้า “อืม ได้สังเกตเยอะเลยล่ะ”
ไอน์หัวเราะ “สำหรับฉัน การใช้เวทคือสมาธิกับการค่อยๆ ดึงพลังในตัวออกมาใช้ ความรู้สึกมันจะคล้ายกับตอนออกไปวิ่งแล้วแรงเฮือกนึงหายไปน่ะ”
พอเอเดนทำหน้าเหมือนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ไอน์ก็ยิ้มร่า
“ลองทำตัวให้ชินกับพลังเวทภายในห้องก็ได้ พลังเวทของฉันไม่ได้เยอะเลยอาจรู้สึกน้อย แต่ถ้าเป็นยัยนี่…”
“โอ้ ไว้ใจได้เลย!” ซิลวี่ยกมือขึ้นทุบอกตนเอง จากนั้นก็ขยับมาอยู่ข้างหน้าเอเดนเล็กน้อย โดยหันหน้าเข้าหากำแพง
“ซิลวี่ถนัดเวทธาตุอะไรเหรอ”
เด็กสาวยืดแขนไปด้านหน้าเหมือนเมื่อตอนอยู่ในคาบเรียน สายตาจับจ้องไปยังกำแพง “ฉันถนัดการใช้พลังเวทสายอื่นเลยมากกว่าน่ะ แต่ก็พอใช้เวทสายธาตุได้อยู่” เธอเหลือบมองเอเดน “เอาเป็นเวทไฟแล้วกัน”
เขานึกสงสัยว่าเธอตัดสินใจเลือกธาตุจากสีผมของเขาอย่างนั้นเหรอ ทว่าความคิดนั้นปลิวหายไปทันทีเมื่อเกิดแรงบีบอัดของชั้นบรรยากาศภายในห้อง เขารู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปรวมถึงสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างซึ่งแผ่ออกมาจากมือของซิลวี่ พลังนั้นหลอมรวมกันก่อเป็นลูกไฟขนาดเล็กก่อนจะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นจนเหมือนจะละลายทุกอย่าง
เอเดนไม่รู้ตัวเลยว่าเขาจ้องมองลูกไฟนั่นอยู่จนกระทั่งไอน์จับตัวเขาให้ถอยห่างจากซิลวี่
“เฮ้อ เมื่อเสาร์อาทิตย์เธอพักมากไปรึไง”
เขาพึมพำจากนั้นลูกไฟขนาดใหญ่ก็ถูกแรงกดที่เอเดนไม่รู้จักผลักออกไปด้วยความเร็วสูง และปะทะเข้ากับกำแพงจนเกิดระเบิดขึ้น!
เศษอิฐและหินกระเด็นออกมาจากควันระเบิด เขายกมือขึ้นปิดหน้าพลางกั้นหายใจเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองสูดเอาควันเข้าไป ไอน์รีบใช้เวทลมโบกเอาควันออกไปทางหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ
“เล่นใหญ่โชว์จริงจริ๊ง”
ซิลวี่หันมาด้วยใบหน้าเหยเก “ฉันพยายามให้ระเบิดแค่รูเท่ากำปั้นแล้วนะ”
“กำปั้นแน่นะ”
“ก็มันควบคุมระดับพลังยากนี่!”
เมื่อควันหายไปเอเดนถึงเห็นว่าอิฐบนผนังห้องได้กระจายหายไปเกือบหมดจนเกิดรูขนาดใหญ่ขึ้น ทว่าอีกฝั่งของรูแทนที่จะเป็นห้องอีกห้อง กลับเป็นผนังสีดำสนิทที่สะท้อนใบหน้าของทั้งสาม
“ห้องซ้อมเวทมีระบบป้องกันอุบัติเหตุอยู่ แบบเมื่อกี้นั่นแหละ”
“อ้อ…” เอเดนว่าพลางมองเศษหินที่ร่วงลงมาแล้งกระเด็นกระดอนบนพื้นใกล้ๆ เขาเริ่มจะเข้าใจปฏิกริยาของคนในคาบเรียนตอนซิลวี่บอกจะใช้เวทมนตร์แล้ว ยิ่งพอเห็นเด็กสาวมีสีหน้าลำบากใจเขาก็อยากถามจริงๆ ว่านี่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยรึเปล่า
“นี่ เธออีกแล้วเหรอ”
เสียงของเด็กหนุ่มทำให้เอเดนต้องหันไปมอง และพบว่าคนที่ยืนหน้าเข้มหน้าประตูแถมเมฆทะมึนเต็มหัวนั้นคือพรีเฟ็คชั้นปีหนึ่ง คาแนตต์ อินคาเพียม นี่เอง
“โย่ คาแนตต์คุง!” ไอน์ยกมือทักทาย แต่อีกฝ่ายไม่สนใจแล้วมองสภาพกำแพงที่เสียหาย
“ฉันเตือนมาสามครั้งแล้วนะว่าอย่าทำห้องซ้อมระเบิดอีก”
“กะ-ก็มันช่วยไม่ได้นี่ ฉันคุมพลังเวทไม่เก่ง…นาย...อึก”
ซิลวี่ตอบอย่างอ้ำอึ้งราวกับต้องการจะพูดอะไรอีก แต่เธอก็ตัดสินใจไม่พูดมันออกมา ส่วนคาแนตต์ก็กล่าวต่อโดยไม่มองผู้ก่อความเสียหาย
“ห้ามใช้ห้องซ้อมไปสองสัปดาห์”
“หา! เดี๋ยวสิ ถ้าฉันไม่ใช้ที่นี่แล้วจะใช้ที่ไหนล่ะ!”
“ก็ไม่ต้องใช้ไปสองสัปดาห์ เป็นโทษฐานที่ทำลายห้องซ้อมมาสามครั้งแล้ว”
“ทำลายนี่---ยังไงห้องมันก็ซ่อมตัวเองได้ไม่ใช่รึไง!”
“แต่คนที่ต้องมาคอยดูแลว่ามันซ่อมแซมตัวเองเรียบร้อยดีหรือไม่ เวทมนต์ที่ร่ายไว้ยังทำงานดีโดยไม่รวนใช่หรือเปล่าคือฉัน ในฐานะพรีเฟ็คฉันขอสั่งเธอห้ามเฉียดเข้าใกล้ห้องซ้อมอีกในสองสัปดาห์”
คาแนตต์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาแล้วทิ้งคำสั่งอีกครั้งก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
“รีบๆ ออกมาด้วยล่ะ ผลของคำสั่งมีตั้งแต่วินาทีนี้ และฉันไม่อยากเห็นเธอที่นี่อีก”
ซิลวี่กำหมัดแน่น หน้าแดงด้วยความโกรธก่อนจะตะโกนไล่หลังไป
“ฉันก็ไม่อยากเห็นหน้านายเหมือนกันนั่นล่ะ! ไอ้เจ้าพรีเฟ็คงี่เง่า! เจ้ากี้เจ้าการ! ยุ่งยากไม่เข้าใจหัวอกคนอื่นเอ้ยยยย!!”
พอตะโกนเสร็จเธอก็หายใจแฮ่กๆ แล้วเตะเศษหินหนึ่งที
“สองคนนั้นเขามีอะไรกันรึเปล่า?” เอเดนกระซิบถามไอน์
“ไม่รู้สิ ก็เห็นไม่ถูกกันตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียนแล้ว ไม่ใช่แค่เพราะชุดนักเรียนหรอกนะ” ไอน์ว่าพลางยักไหล่ จากนั้นก็เดินไปตบบ่าซิลวี่เบาๆ
“เอ้า รีบไปเหอะ ก่อนคาแนตต์จะเดินกลับมา”
ซิลวี่พ่นลมหายใจเสียงดังก่อนจะยอมตามไอน์ออกมาแต่โดยดี
“ถ้าอย่างนั้นเราไปดูส่วนอื่นของโรงเรียนที่ซิลวี่น่าจะไม่ทำระเบิดกันเถอะเอเดน” ไอน์ว่าแล้วก็หลบหมัดของเด็กสาวไปด้วย เขาจึงรีบเดินตามทั้งสองไปพลางปิดประตูห้องซ้อมอย่างเบามือ ดูท่าวันนี้เขาคงจะไม่ได้ลองใช้เวทเองแล้ว
“…ขอโทษนะ เอเดน”
ระหว่างที่เดินไปยังตึกอีกฝั่ง ซิลวี่ก็ถอยมาเดินข้างเขาแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าซึมๆ
เอเดนไม่คุ้นกับการถูกขอโทษสักเท่าไร จะว่าไปแค่วันนี้วันเดียวเขาก็ได้ยินคำขอโทษจากเด็กสาวคนนี้มาสามครั้งได้แล้ว เด็กหนุ่มยิ้มบาง
“ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้นี่นา”
อีกอย่างแค่ได้รู้ว่ามีคนที่เป็นเหมือนเขาอยู่ก็พอแล้ว
ใบหน้าของซิลวี่สดใสขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เอ่ยต่ออย่างจริงจัง
“ไม่ต้องห่วงนะเอเดน ยังไงนายก็มีพลังเวทแน่ๆ …ถ้าเป็นคนที่เมอ---แอ็บนัสเลือกยังไงก็ไม่มีปัญหาหรอก”
“…ขอบคุณนะ”
ซิลวี่ฉีกยิ้ม แต่แล้วก็กลับไปทำสีหน้าครุ่นคิดอีก
“เอ้อ แต่รีบๆ ดึงพลังเวทมาใช้ให้ได้ก็ดีนะ”
“ฮืม?”
เด็กสาวจ้องมองเขาด้วยสีหน้าหวาดผวา
“เพราะศุกร์นี้มีลงดันเจี้ยนน่ะสิ”