นี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ

Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน - บทที่ 4 น้ำมันเย็นเฉียบ แต่ลมนั้นสดชื่น (1/2) โดย Ringotea @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,fantasy,โรแมนซ์,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

แฟนตาซี,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พล็อตสร้างกระแส,fantasy,โรแมนซ์,ผี,แฟนตาซี

รายละเอียด

Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน โดย Ringotea @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

นี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ

ผู้แต่ง

Ringotea

เรื่องย่อ

ประตูที่เคยแบ่งภพคนเป็นกับคนตายได้เปิดออก โลกจึงตกอยู่ในความวุ่นวายมาตลอด 100 ปี


มนุษย์ถูกวิญญาณเล่นงาน ดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อจะคงตัวตนให้อยู่ในโลกคนเป็นต่อไปได้ และเพื่อทำสิ่งที่เมื่อครั้งมีชีวิตไม่อาจทำได้


ผู้ที่สามารถจัดการกับเหตุเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้มีเพียงแค่จอมเวทผู้ครอบครองเวทมนตร์ หรือจอมเวทตำแหน่งมือปราบ "Mage Exorcist" พวกเขาต่างช่วยเหลือผู้คนและขบคิดหาวิธีจัดการกับประตูแบ่งแยกสองภพนั่นมาตลอด


ทว่าจนปัจจุบันก็ยังไม่อาจปิดประตูนั่นได้



ภาคที่ 1 เฟาส์วอเชียที่ซึ่งสหายไม่ทิ้งกัน


เอเดน บลายธ์เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในชนบท จนวันหนึ่งก็มีคนจากโรงเรียนเวทมนตร์ชื่อดัง 'เฟาส์วอเชีย' มาทาบทาม โดยบอกว่าเขามีพลังเวทมนตร์ซ่อนอยู่


เอเดนไม่เชื่อในคำพูดสวยหรูเหมือนตนเป็นผู้ถูกเลือก หรือเป็นตัวเอกในเรื่องราวอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ในชีวิตที่ต้องเจอแต่สายตาหวาดระแวงอีกต่อไป จึงคว้าโอกาสโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะมีเวทมนตร์หรือจะใช้มันได้จริงหรือไม่



คุยกันก่อนเข้าเรื่อง


สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกคนสู่นิยายเรื่องนี้นะคะ!


เรื่องนี้จะลงแบบหั่นตอนเนื่องจากบางบทค่อนข้างยาว แต่จะลงตอนทั้งหมดเลย โดยหั่นเป็นกี่ตอนขึ้นอยู่กับความยาวเดิมค่ะ


คาดว่าจะมาอัพทุก 2 สัปดาห์ แต่เราจะแต่งจนจบแน่นอนค่ะ


สามารถติดตามเราได้ที่

Twitter: Appletea_c 

Facebook: Ringotea is ready

มีภาพประกอบเรื่อยๆ มาส่องได้นะคะ👌😌


#HauntingWish

สารบัญ

Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-Prologue The story of an ordinary boy,Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-บทที่ 1 สิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้,Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-บทที่ 2 รูมเมททั้งสอง (1/2),Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-บทที่ 2 รูมเมททั้งสอง (2/2),Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-บทที่ 3 ห้องซ้อมที่พังราบคาบ (1/2),Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-บทที่ 3 ห้องซ้อมที่พังราบคาบ (2/2),Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-บทที่ 4 น้ำมันเย็นเฉียบ แต่ลมนั้นสดชื่น (1/2),Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือน-บทที่ 4 น้ำมันเย็นเฉียบ แต่ลมนั้นสดชื่น (2/2)

เนื้อหา

บทที่ 4 น้ำมันเย็นเฉียบ แต่ลมนั้นสดชื่น (1/2)

เขาเองก็เคยมีความเชื่อใจในตัวคนอื่นมาก่อน

ทุกคนเองก็คงต้องมีบ้างอยู่แล้ว คนที่ตัวเองเชื่อใจว่าจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน อย่างเช่นพ่อแม่ เพื่อนสนิท หรือคนรัก

แต่เอเดนไม่มีพ่อแม่ พ่อของเขาหายตัวไปก่อนเขาเกิด ส่วนแม่ก็เสียชีวิตไปจากอุบัติเหตุหลังเขาอายุแค่สามขวบ คนในครอบครัวที่เอเดนไว้ใจจึงมีแค่คุณลุงเบน

ส่วนถ้าเป็นเพื่อน เอเดนก็เคยมีเพื่อนที่สนิทด้วยอยู่เหมือนกัน เด็กคนนั้นเป็นคนห่ามๆ ชอบพูดจาโผงผาง และสนิทกับทุกคนได้ง่าย เอเดนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกดึงดูดด้วยความเป็นมิตรนั้น เรียนด้วยกัน เล่นด้วยกัน จนเริ่มสนิทกันมากกว่าคนอื่นนิดหน่อย ถ้าใช้เวลาด้วยกันเรื่อยๆ ก็อาจจะเป็นเพื่อนซี้กันก็ได้

ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังการเล่นซ่อนแอบครั้งนั้น

เด็กที่ร่าเริงคนนั้นหน้าซีดเผือดในทันทีที่สัมผัสถึงไอเย็นและเห็นร่างสูงโปร่งจนเกือบผิดมนุษย์ของวิญาณด้านหลัง วิญญาณตนที่เอเดนพูดคุยด้วยและชี้ให้เขาดู

เขาจำได้ว่าเด็กคนนั้นร้องกรี๊ดจนสุดเสียงก่อนจะวิ่งหนีไปโดยที่เขาตามไม่ทัน ความกังวลเกาะกุมจิตใจของเอเดนในทันที แต่เขาก็ยังเชื่อในมิตรภาพของทั้งสอง เชื่อว่าถ้าอธิบายจะต้องเข้าใจแน่

‘ไม่ได้มีแต่วิญญาณที่น่ากลัวหรอกนะ! เพราะงั้นไม่ต้องกลัวหรอก…อีกอย่างเพราะฉันมีความสามารถแบบนี้เลยได้เปรียบเวลาเล่นเกมไง อ๊ะ แต่ไม่ได้หมายควาทว่าตะโกงหรอกนะ แค่เวลาจำเป็นน่ะ อย่างตอนหลงทางเวลาไปทัศนศึกษาก็ช่วยได้ไม่ใช่เหรอ?’

เขาคิดคำอธิบายไปสารพัดจนแทบนอนไม่หลับ พอเช้าวันต่อมาก็รีบพุ่งตัวไปโรงเรียนอย่างความมุ่งมั่น…ด้วยความเชื่อในตัวเด็กคนนั้น

ทว่าเมื่อก้าวข้ามธรณีประตูห้องเรียนไป สายตาหลายสิบคู่ก็จับจ้องมา โดยมีเด็กคนนั้นอยู่ที่ศูนย์กลาง เด็กชายผู้มีใบหน้าร่าเริงให้กับผู้อื่นอยู่เสมอแสดงความหวาดกลัวเมื่อเห็นเขา

‘หมอนั่นมันตัวประหลาด'

ประโยคนั้นยังเด่นชัดในสมองของเอเดนจนถึงตอนนี้ เพราะมันคือประโยคที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปทั้งหมด

แค่คำพูดไม่กี่คำทุกคนต่างก็มองเอเดนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม เอเดนกลายเป็นคนที่ทุกคนหวาดกลัวและรังเกียจ แม้แต่กับเหล่าผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ในเมืองที่เคยมองเขาด้วยแววตาเอ็นดูสงสารเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ ตอนนี้ก็กลับมองด้วยความหวาดระแวงพร้อมกับเล่าเรื่องซุบซิบไม่มีมูลไปต่างๆ นานา อย่างเช่นว่าแม่ของเขาไม่ได้เสียด้วยอุบัติเหตุธรรมดา แต่เสียเพราะดวงตาที่ดึงดูดความตายของเขาต่างหาก

ทั้งเมืองหันหลังให้กับเขาภายในพริบตาเดียวด้วยคำพูดไม่กี่คำ กับความไม่ประสีประสาของตัวเอง

ตั้งแต่วันนั้นตัวเขาที่ต้องทนกับสายตา คำพูดและการกลั่นแกล้งของผู้คนก็ไม่เชื่อใจใครง่ายๆ อีก…


🪦🪦🪦


โรงเรียนเฟาส์วอเชียเป็นโรงเรียนที่เด่นในเรื่องของการผลิตจอมเวทปราบวิญญาณ เพราะผู้ก่อตั้งโรงเรียนนั้นเป็นถึง ‘จอมเวทผู้จัดการเทพแห่งความตาย’ และเป็นจอมเวทที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดในศตวรรษก่อน ดังนั้นวิชาเกี่ยวกับเวทมนตร์และเวทปราบวิญญาณจึงมีการสอนกันอย่างจริงจัง และปีนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนหลักสูตรของรายวิชาปราบวิญญาณเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือการฝึกต่อสู้จริง หรือที่ซิลวี่เรียกว่าการลงดันเจี้ยนนั่นเอง

สาเหตุที่เธอเรียกว่าดันเจี้ยนก็เป็นเพราะการฝึกต่อสู้จริงนั้นจัดขึ้นที่ใต้ดินของโรงเรียน ซึ่งถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นเขาวงกตขนาดใหญ่ที่สามารถกักเก็บเหล่าวิญญาณไว้ได้ แม้จะดูอันตรายแต่เพราะมีการแบ่งโซนให้เหมาะกับระดับของนักเรียนแต่ละชั้นปี รวมถึงมีการใช้เวทคอยจับตาดูภายในชั้นใต้ดินเพื่อให้อาจารย์ไปช่วยเหลือนักเรียนได้ทันอยู่ตลอด การปรับปรุงหลักสูตรนี้จึงไม่มีเสียงคัดค้านมากนัก

การลงดันเจี้ยนนั้นจัดอยู่ในคาบวิชาปราบวิญญาณ จึงเปลี่ยนช่วงการเรียนปกติเป็นการลงไปฝึกปฏิบัติแทน โดยจะฝึกกันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ นั่นทำให้อาทิตย์แรกที่เอเดนเข้าเรียนจึงมีการลงดันเจี้ยนด้วย ถึงจะรู้สึกว่าเป็นการต้อนรับนักเรียนใหม่ที่โหดร้าย แต่ซิลวี่กับไอน์เองก็โดนไม่ต่างกัน เด็กปีหนึ่งส่วนใหญ่จึงคร่ำครวญเมื่อวันศุกร์ใกล้เข้ามาถึงเรื่อยๆ

ตั้งแต่รู้ว่าจะมีการลงดันเจี้ยนจากซิลวี่ เอเดนก็ใช้เวลาช่วงพักเที่ยงและหลังเลิกเรียนไปกับการฝึกดึงพลังเวทออกมา แต่เข้าวันพุธแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดึงพลังอะไรออกมาใช้ได้

“อึก…”

เอเดนตั้งสมาธิไปยังกังหันลมตรงหน้า พยายามสัมผัสถึงอากาศที่ไหลวนอยู่ในห้อง อากาศที่ตนสูดหายใจเข้าไปและผ่อนออกมา จากนั้นจินตนาการว่าส่งกระแสอากาศเหล่านั้นไปยังกังหันให้เกิดเป็นลมที่จะทำให้มันหมุน ทว่ามันก็ไม่กระดิกแม้แต่นิด และเขายืนทำแบบนี้มาสามสิบนาทีได้แล้ว

“เหมือนว่าธาตุลมก็ไม่ไหวนะ” ไอน์สรุปแล้วหยิบกังหันของเล่นที่ได้แถมจากห่อขนมมาเป่า

“นี่เพิ่งธาตุที่สองเอง พรุ่งนี้ยังมีดินกับไฟอีก สู้ๆ นะเอเดน!” ซิลวี่พยายามให้กำลังใจเอเดนที่ทรุดนั่งกับเก้าอี้

“ขอบคุณนะ” เขาตอบโดยทำเป็นไม่รู้สึกอะไร พลางเริ่มสงสัยรอบที่เท่าไรไม่รู้ว่าแอ็บนัสหลอกลวงเขารึเปล่า

ก็ขนาดเวทง่ายๆ ยังงัดออกมาใช้ไม่ได้ หรือว่านี่ยังไม่ถึงเวลาที่ร่างกายจะคุ้นเคยกับเวทมนตร์ในบรรยากาศรอบๆ จนดึงออกมาใช้ได้รึไง? ถ้ามันจะช้าขนาดนั้นก็ไม่น่ารับเข้ามาในสัปดาห์เดียวกับที่มีการลงดันเจี้ยนสิ

เอเดนแอบถอนหายใจเบาๆ

เสียงออดคาบบ่ายดังขึ้น ไอน์ที่นั่งเล่นกังหันลมบนโต๊ะอยู่จึงรีบลงมา พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว

“วันนี้อุตส่าห์กินข้าวเร็วแล้วนะ ไปกันเถอะเอเดน” ไอน์เรียก เขาจึงเดินตามออกจากห้องเรียนว่างที่ทั้งสามใช้แทนห้องซ้อมไปก่อน

ห้องเรียนวิชาต่อไปนั้นอยู่ไม่ไกลจากห้องที่ทั้งสามใช้ เพราะไอน์เลือกห้องที่อยู่ในตึกฝั่งตะวันออก ซึ่งมีการร่ายเวทป้องกันเอาไว้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุในชั้นเรียนวิชาเวทมนตร์คาถา และวิชาต่อไปก็คือวิชาเวทปราบวิญญาณนั่นเอง

ไอน์เล่าว่าสองสัปดาห์แรก หากไม่นับการลงดันเจี้ยนก็ยังเรียนในเรื่องของทฤษฎีกันอยู่ เพียงแต่ค่อนข้างจะรวบรัดกว่าปีก่อนๆ และพยายามเน้นการประยุกต์ใช้หรือเอาตัวรอดจากวิญญาณมากขึ้น อย่างเช่นการทดสอบจับสัมผัสของวิญญาณที่จะมีในวันนี้

“ความจริงการจะเข้าเฟาส์วอเชียมันก็ควรมีทักษะนี้กันตั้งแต่แรกอะนะ แต่เพราะมันมาฝึกทีหลังได้ คะแนนของส่วนนี้เลยไม่ค่อยจำเป็นขนาดนั้น” ไอน์พูดขณะที่ทั้งสามรีบเดินไปยังห้องเรียน

“แต่ฉันใช้คะแนนตรงนี้เป็นส่วนใหญ่เลยอะนะ” ซิลวี่พึมพำ

“อย่างเธอนับเหรอ?” ไอน์ส่งยิ้มอ่อนให้ ซึ่งทำให้เด็กสาวเบ้หน้าไปทางอื่น

แต่ถ้าเป็นแบบนั้น อย่างเอเดนนี่ถือว่าเข้าได้เพราะทักษะนี้เต็มๆ เลยรึเปล่าเนี่ย…

ทั้งสองคนที่เดินนำหน้าหยุดหยอกล้อกันและนำเข้าห้องเรียนที่คนอื่นๆ นั่งประจำที่กันหมดแล้ว รวมถึงอาจารย์สอนวิชาเวทปราบวิญญาณด้วย หญิงสาวตวัดสายตาแหลมคมมายังทั้งสามทันทีที่ประตูห้องปิดตามหลัง

“มาสายนะ” เธอกล่าวเสียงเย็นเฉียบโดยมีออร่าแผ่ออกมาด้านหลังประดุจเสือโคร่งตัวใหญ่ แม้แต่ซิลวี่ที่กล้าต่อปากต่อคำกับอาจารย์คาร์ลเมื่อไม่กี่วันก่อนก็ยังถึงกับยืนตัวแข็ง เหงื่อไหล่เต็มหน้า ไอน์เองก็มีสภาพไม่ต่างกัน

“…ขอโทษครับอาจารย์ลอร่า” ไอน์ทำใจดีสู้เสือเป็นตัวแทนกล่าว

“ถ้าขอโทษแล้วมันช่วยได้ก็คงไม่ต้องมีเมจเอ็กซอร์ซิสต์กันแล้ว ฉันควรทำโทษพวกเธอยังไงดี วิ่งรอบโรงเรียนสักยี่สิบรอบเพื่อเพิ่มทักษะเอาตัวรอดดีไหม?”

“มะ-ไม่น่าไหวนะคะอาจารย์” ซิลวี่พึมพำ ลอร่าจึงก้าวเข้ามาใกล้

“เหรอ ฉันก็เห็นเธอออกจะลิงโลดมีพลังเกินร้อยทุกวันนี่ แอช”

“อันนั้นมันก็….”

“แล้วเด็กหัวแดงนั่นใคร?” ลอร่าชะเง้อมองผ่านไอน์ผู้ตัวสูงมายังเอเดน

ไอน์รีบใช้โอกาสนี้แทรกทันที “นักเรียนใหม่ไงครับอาจารย์! พอดีพวกผมต้องช่วยแนะนำส่วนต่างๆ ในโรงเรียนให้เขาก็เลยมาสายน่ะครับ แต่แน่นอนว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแน่นอนครับ!”

ซิลวี่รีบพยักหน้าตาม “ใช่ค่ะๆ พวกหนูออกจะรักวิชานี้นะคะ ไม่มีสายอีกแน่นอนค่ะ!”

ดูจากสายตาของซิลวี่ตอนหลังๆ เหมือนเธอจะพูดจริงมากกว่าทำเป็นยอนะนั่น

ลอร่าหรี่ตามองทั้งสามก่อนจะยอมปล่อยไป “รีบไปหาที่นั่ง เสียเวลามากแล้ว”

“ขอบคุณค่ะ/ขอบคุณครับ!”

เอเดนประสานเสียงร่วมกับทั้งสองด้วยความโล่งอกแล้วไปนั่งที่โต๊ะ เนื่องจากห้องเรียนนี้เป็นห้องเรียนแบบไล่ระดับที่นั่งลงมา ที่นั่งด้านบนซึ่งอยู่ห่างไกลและเป็นมุมหลบอาจารย์ชั้นดีจึงถูกจับจองไปหมดจนเหลือแต่แถวหน้าสุดเท่านั้น พอนั่งลงหยิบหนังสือออก เขาถึงสังเกตว่าหน้าชั้นเรียนมีตู้หรืออะไรบางอย่างที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้ตั้งเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่ เขาอยากจะถามไอน์เรื่องสิ่งที่อยู่ใต้ผ้าคลุมใหญ่นั่น แต่สายตาของอาจารย์ลอร่าก็ทำให้เขาตัวแข็งเป็นหิน แล้วได้แต่นั่งฟังเธอพูดเท่านั้น

“อย่างที่พวกเธอรู้กัน วันนี้ฉันจะให้พวกเธอฝึกทักษะการใช้เวทเพ่งจิตสัมผัสวิญญาณ นี่คือทักษะสำคัญที่เมจเอ็กซอร์ซิสต์ทุกคนจะต้องมีและขาดไปไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีมันพวกเธอก็ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ธรรมดาที่คลำทางในความมืด และการจะฝึกทักษะนี้ได้พวกเธอจำเป็นจะต้องใช้อะไรบ้าง ไหนลองตอบมาสักคนซิ”

ทั้งห้องเงียบกริบ สายตาก้มลงมองหนังสือเรียนบนโต๊ะอย่างตั้งใจแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งที่บางคนวางหนังสือกลับหัวแต่สายตาก็ยังจ้องไปยังตัวหนังสือราวกับกำลังคิดหาวิธีอ่านแบบใหม่ที่จะทำให้รอดพ้นสายตาอาจารย์

อาจารย์ลอร่ากวาดสายตามองทั่วทั้งห้องเรียนแบบเสือที่มองหาเหยื่อ จากนั้นก็เรียกเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งขึ้นมา

“เอ้า รีบๆ ตอบมา อย่าบอกนะว่าไม่ได้เตรียมบทเรียนมากันเลย” เสียงเธอกดต่ำลงในคำท้ายๆ จนเหล่านักเรียนพร้อมใจกันคิดว่าจะทำให้อาจารย์อารมณ์เสียไม่ได้!

เด็กคนที่ถูกเรียกและกลายเป็นความหวังหมู่บ้านในชั่วพริบตาพยายามตอบเสียงตะกุกตะกัก

“สะ-สมาธิแล้วก็กะ-การควบคุมพลังเวทครับ”

อาจารย์ลอร่าพยักหน้า “ถูกต้อง การใช้เวทเพ่งจิตให้ได้ อย่างแรกที่ต้องทำเลยคือตั้งสมาธิ แล้วควบคุมพลังเวทให้เสถียรพอที่จะจับตัวตนของวิญญาณที่ซ่อนอยู่ได้ ดังนั้นในคาบนี้ฉันจะให้พวกเธอเริ่มจากการฝึกสมาธิกันก่อน! ห้ามวอกแวกแม้ว่าจะมีอะไรมารบกวน แล้วพยายามควบคุมพลังเวทให้ได้ซะ!”

เหล่านักเรียนกลืนน้ำลายให้กับท่าทางขึงขังของอาจารย์

“คำตอบล่ะ!”

“ครับ/ค่ะ!”

“อ้อ แล้วก็…ตอนท้ายคาบจะมีการสุ่มทดลองด้วย ใครไม่ตั้งใจก็อย่าหวังว่าจะรอดพ้นไปได้ง่ายๆ ล่ะ”

“คะ-ครับ…”

“ค่ะ…”

เพิ่งเริ่มคาบเรียนไม่ทันไร นักเรียนในชั้นก็แสดงความสั่นกลัวแบบเหยื่อที่เจอผู้ล่าซะแล้ว แต่เอเดนก็เข้าใจได้ ความกดดันที่แผ่มาจากอาจารย์คนนั้นรุนแรงจริงๆ 

ถึงเขาจะกลัวนิดหน่อย แต่ก็ไม่รู้สึกว่าถูกคุกคาม คงเพราะเป็นการแผ่ความกดดันให้ทั่วห้องเพื่อสั่งสอน ต่างจากการตั้งใจกดดันแบบมุ่งเป้าไปที่คนคนเดียวอย่างที่เขาเจอบ่อยๆ ล่ะมั้ง

ทั้งห้องเริ่มฝึกตั้งสมาธิแล้วควบคุมพลังเวทกันจนมีแต่เสียงลมหายใจสม่ำเสมอให้ได้ยิน บางคนก็หลับตาแล้ววางมือประสานบนตักหรือบนขา บางคนก็นั่งมองตรงไปข้างหน้า หรือวางมือกับโต๊ะ แต่ละคนทำสมาธิด้วยวิธีแบบของตนเองในขณะที่อาจารย์ลอร่าก็เริ่มสร้างความรบกวนเรื่อยๆ เริ่มจากมลพิษทางเสียงอย่างเสียงช็อกครูดกับกระดาน อากาศที่เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน แมงมุมหรืองูที่จู่ๆ ก็โผล่มาตรงหน้าโต๊ะเรียน ถึงแม้จะมีการควบคุมไม่ให้เกิดอันตรายต่อนักเรียน แต่ก็มีหลายคนที่หลุดจากสมาธิเพราะการรบกวนรูปแบบต่างๆ

เขาลองสังเกตไอน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มนั่งหลังตรงอย่างแน่วแน่พลางหลับตาตั้งสมาธิโดยไม่วอกแวกไปกับเสียงรบกวนของเด็กที่ตกใจจนกรีดร้อง หรือเสียงแมลงคลานไปมาตรงหน้าแม้แต่น้อย ถึงเอเดนจะสัมผัสเวทมนตร์ไม่ได้แต่เขาก็รู้สึกว่าไอน์ต้องกำลังใช้เวทเพ่งจิตอยู่แน่

ส่วนซิลวี่นั้นนั่งท่าสบายๆ จนเกือบจะดูไม่หยี่ระ เขาจึงบอกไม่ถูกว่าเธอกำลังใช้เวทเพ่งจิตอยู่รึเปล่า

เอเดนหันกลับมาตั้งสมาธิกับตัวเองบ้าง แต่เขาก็ยังนึกภาพไม่ออกว่าจะรวบรวมเวทมนตร์จากตรงไหน จึงอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากซิลวี่มากเท่าไรนัก

หลังผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง อาจารย์ลอร่าก็สั่งหยุดการทำสมาธิ นักเรียนหลายคนโล่งอกที่ไม่ต้องลุ้นว่าจะมีอะไรโผล่มาหลอกให้ตกใจอีก

“งั้นจากนี้จะเป็นการทดลองว่าพวกเธออยู่ในระดับไหนกัน ด้วยการให้ลองใช้เวทกับของจริงดู”

เธอดึงผ้าที่คลุมตู้หน้าห้องออกมา เผยให้เห็นแทงค์กระจกว่างเปล่าแบบที่ชวนให้นึกถึงห้องทดลองในหนัง

“นี่คือที่กักเก็บวิญญาณชั่วคราวซึ่งร่ายเวทมนตร์ป้องกันไม่ให้วิญญาณหลุดออกมาได้ รวมถึงเวทมนตร์ที่เชื่อมระหว่างที่กักเก็บด้วยกันเพื่อจะย้ายวิญญาณไปมาด้วย การทดสอบก็ง่ายๆ เหมือนเกมสลับแก้ว พวกเธอที่ถูกเลือกแค่ต้องบอกว่าวิญญาณอยู่ในที่กักเก็บอันไหนก็พอ”

นักเรียนในห้องเริ่มพูดคุยกันด้วยความสบายใจ

“เมื่อกี้ฉันพอจะสัมผัสได้อยู่ เพราะงั้นน่าจะไหวล่ะ”

“จริงด้วย ไม่ได้สัมผัสยากเท่าไร ไปไหวเว้ย!”

“คงเป็นวิญญาณระดับสองล่ะมั้ง สัมผัสถึงค่อนข้างชัด”

“วิญญาณระดับสอง?” เอเดนพึมพำเมื่อได้ยินคำศัพท์ไม่คุ้นหู ซึ่งไอน์ก็ทำหน้าที่ตอบให้อย่างเคย

“วิญญาณถูกแบ่งเป็นสามระดับน่ะ วิญญาณระดับหนึ่งคือพวกที่ไม่มีพิษมีภัย ลอยไปลอยมา พอถึงเวลาก็ไปภพคนตาย ระดับสองคือพวกที่เล่นงานมนุษย์เพื่อสูบพลังวิญญาณมาทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น พวกนี้พบได้เยอะสุด ส่วนระดับสามคือพวกที่สิงคนได้ ซึ่งอันตรายที่สุด ทุกระดับจะสามารถซ่อนตัวตนไม่ให้เห็นได้ง่ายๆ ก็จริงแต่เพราะระดับสองกับสามมีพลังวิญญาณหรือระดับตัวตนมากก็เลยจับสัมผัสได้ง่ายกว่าระดับหนึ่งน่ะ”

“แบบนี้นี่เอง…” ดูท่าว่าเขาจะต้องอ่านหนังสือวิชานี้เพิ่มซะแล้ว

ไอน์ดูว่าอาจารย์ลอร่ามองอยู่ไหม แล้วพูดเสียงเบา “จะว่าไปก็ง่ายกว่าที่คิดนะ ถึงจะสลับที่วิญญาณแต่ถ้าเมื่อกี้สัมผัสได้ถูกก็สบายๆ อยู่”

“ฮะ! จะแน่รึเปล่าเถอะ” ซิลวี่ซึ่งได้ยินเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสนุกสนาน ไอน์จึงย่นคิ้วอย่างไม่พอใจ

“ขี้โกงจริงๆ ความสามารถแบบนั้นของเธอเนี่ย”

“ก็น้า~”

เอเดนมองทั้งสองสลับกันอย่างงุนงง แต่เมื่อนักเรียนคนแรกถูกเรียกออกมา พวกเขาก็ไม่มีโอกาสให้พูดคุยกันอีก

เด็กสาวที่ถูกเรียกออกมาคนแรกนั้นตอบถูกได้ภายในไม่กี่นาทีหลังถูกเรียกออกมา ส่วนคนที่สองนั้นใช้เวลานิดหน่อยก่อนจะชี้ตู้แทงค์ที่ต่างจากเดิม ในทุกครั้งที่มีคนตอบถูก บรรยากาศในห้องเรียนจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความภูมิใจกับพลังเวทของตน จนไม่นานก็มาถึงคนสุดท้าย

“อืม…นักเรียนใหม่ เชิญ”

เอเดนที่ภาวนาให้ผ่านตัวเองไปโดยไม่ถูกเรียกนั้นลุกขึ้นมาด้วยหัวใจที่เต้นรัว ถึงจะมั่นใจเรื่องการเห็นวิญญาณบ่อยแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะต้องมาชี้ผิดชี้ถูกว่าตู้ไหนมีผีไม่มีผี เวทมนตร์อะไรก็ไม่มี เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองจะทำได้ไหม

ตอนที่กำลังจะเดินไปหน้าห้อง ซิลวี่ก็ดึงชายเสื้อเบลเซอร์เขา

“ถ้าใช้เวทมนตร์ไม่ได้ก็ตั้งสมาธิแล้วเชื่อในสัญชาตญาณเอา นายทำได้อยู่แล้ว”

เอเดนพยักหน้าอย่างหวั่นๆ แล้วก้าวมายืนอยู่หน้าตู้แทงค์ทั้งห้าซึ่งมีผ้าคลุมปิดทึบ ไม่สามารถแยกออกได้ด้วยตาเปล่าเลยว่าแทงค์ไหนมีวิญญาณ เขาสูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับหัวใจที่เต้นรัวของตน แล้วหลับตาทำสมาธิ

ใช่ เขาไม่มีทางดึงเวทมนตร์มาใช้ในตอนนี้แน่ๆ แต่ถ้าลองเชื่อมั่นในสัญชาตญาณดูล่ะก็…

เอเดนลืมตามองแทงค์ทั้งห้าอีกครั้ง มองไล่ไปทีละอันๆ ด้วยความพินิจพิเคราะห์

“อย่าบอกนะว่านอกจากใช้เวทมนตร์ไม่ได้ ไอ้ตาอัปมงคลนั่นก็ของปลอมน่ะ”

เสียงนักเรียนที่คุ้นหูดังขึ้น แต่เอเดนไม่สนใจแล้วจดจ่อไปที่การมองหาวิญญาณเพียงอย่างเดียว

เขายกมือชี้ไปที่แทงค์ทางซ้ายสุด

“ตรงนี้”

จากนั้นก็ชี้ไปยังแทงค์กลาง

“กับตรงนั้นครับ”

ทั้งห้องส่งเสียงฮือฮาทันที

“อะไรของหมอนั่น จิ้มมะเขือเอารึไง!?”

“นั่นสิ ก็มีแค่ตัวเดียวนี่ จะไปมีเพิ่มได้ยังไง”

“มั่วนิ่มแหงๆ ก็มันไม่น่ามีพลังเวทนี่---"

“เงียบ!”

อาจารย์ลอร่าตะโกนตัดเสียงของนักเรียนทุกคน จากนั้นหันขวับมายังเอเดน

“คนที่ตอบถูกทั้งหมดมีแค่เอเดน บลายธ์ ส่วนคนที่เหลือถือว่าผ่านแค่ครึ่งเดียว!”

“อะไรกันครับ! จะบอกว่ามีวิญญาณสองตนตั้งแรกแล้วงั้นเหรอครับ!” เสียงเด็กหนุ่มที่เยาะเย้ยเอเดนในตอนแรกร้อง พอไม่ได้ตั้งสมาธิอยู่เอเดนก็นึกออก เด็กหนุ่มในวิชาเวทมนตร์ที่ชื่อ เจด วิลเลี่ยม นั่นเอง

“ใช่แล้ว เป็นวิญญาณระดับสอง…และระดับหนึ่ง” อาจารย์ลอร่าโบกมือหนึ่งครั้งทำให้ผ้าคลุมทั้งหมดตกลงมา และเผยให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ ในแทงค์ทั้งสองที่เอเดนชี้มีร่างซีดจางของวิญญาณอยู่ พวกเขาดูไม่พอใจสักเท่าไรที่ถูกคุมขัง แต่คงเพราะแทงค์กันเสียงได้ จึงเห็นเป็นแค่คนสองคนที่บ่นงึมงำและออกท่าทางไปมา คนนึงดูมีแรงเยอะกว่าอีกคนที่เซื่องซึม

“อึก...วิญญาณระดับหนึ่งช่างมันไปก็ได้นี่ครับ” เจดกล่าว ซึ่งเรียกสายตาแหลมคมจากอาจารย์ลอร่าไปในทันที

“นี่คือวิญญาณระดับหนึ่งที่กำลังจะเป็นระดับสอง มันพยายามจะสูบวิญญาณของหมอในโรงพยาบาลเพื่อจะได้แข็งแกร่งขึ้น แล้วแบบนี้เธอจะยังบอกว่าไม่สำคัญอยู่อีกไหม”

“อึก…”

เจดกัดฟันแล้วก้มหน้าลงโดยที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

“วิญญาณสามารถเลื่อนระดับได้ พวกเธอถึงจำเป็นจะต้องจับสัมผัสวิญญาณให้ได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่อย่างนั้นก็จะถูกเล่นงานข้างหลังเอาโดยที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว! เข้าใจแล้วนะ!”

เหล่านักเรียนที่ก้มหน้ากับความผิดพลาดของตนต่างตอบรับเสี่ยงอ่อย มีแค่ซิลวี่กับไอน์เท่านั้นที่ยิ้มแฉ่งอยู่ด้านหน้าสุด ทั้งสองคนกระซิบให้เอเดนที่ยืนหน้าห้องฟัง

“เก่งมาก!”

“สมแล้วล่ะเพื่อน!”

หลังได้ยินคำชมและคำว่า ‘เพื่อน’ ที่ออกมาจากปากไอน์ เอเดนก็ตัวแข็งทื่อไปก่อนจะกลับมานั่งที่อีกครั้ง โดยที่ไม่ได้เอ่ยตอบคำชมและความยินดีจากทั้งสองคน 

เพราะเขาไม่ได้ยินคำนั้นมานานมากแล้วจริงๆ 


🪦🪦🪦