นี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
แฟนตาซี,ชาย-หญิง,วัยว้าวุ่น,ตะวันตก,รั้วโรงเรียน,พล็อตสร้างกระแส,fantasy,โรแมนซ์,ผี,แฟนตาซี,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
Haunting Wish ปรารถนามิลืมเลือนนี่คือโลกที่เหตุผีหลอกวิญญาณหลอนสามารถเกิดได้ทั่วไปมา 100 ปี และผู้ที่คอยช่วยเหลือผู้คนมาตลอดนั้นก็คือเหล่าจอมเวท แต่พวกเขาจะจัดการต้นตอของปัญหาแล้วทำให้โลกคนเป็นกับคนตายแยกจากกันอีกครั้งได้หรือไม่นะ
ประตูที่เคยแบ่งภพคนเป็นกับคนตายได้เปิดออก โลกจึงตกอยู่ในความวุ่นวายมาตลอด 100 ปี
มนุษย์ถูกวิญญาณเล่นงาน ดูดกลืนพลังชีวิตเพื่อจะคงตัวตนให้อยู่ในโลกคนเป็นต่อไปได้ และเพื่อทำสิ่งที่เมื่อครั้งมีชีวิตไม่อาจทำได้
ผู้ที่สามารถจัดการกับเหตุเหนือธรรมชาติเหล่านั้นได้มีเพียงแค่จอมเวทผู้ครอบครองเวทมนตร์ หรือจอมเวทตำแหน่งมือปราบ "Mage Exorcist" พวกเขาต่างช่วยเหลือผู้คนและขบคิดหาวิธีจัดการกับประตูแบ่งแยกสองภพนั่นมาตลอด
ทว่าจนปัจจุบันก็ยังไม่อาจปิดประตูนั่นได้
ภาคที่ 1 เฟาส์วอเชียที่ซึ่งสหายไม่ทิ้งกัน
เอเดน บลายธ์เป็นเด็กหนุ่มธรรมดาที่อาศัยอยู่ในชนบท จนวันหนึ่งก็มีคนจากโรงเรียนเวทมนตร์ชื่อดัง 'เฟาส์วอเชีย' มาทาบทาม โดยบอกว่าเขามีพลังเวทมนตร์ซ่อนอยู่
เอเดนไม่เชื่อในคำพูดสวยหรูเหมือนตนเป็นผู้ถูกเลือก หรือเป็นตัวเอกในเรื่องราวอยู่แล้ว ทว่าเขาไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ในชีวิตที่ต้องเจอแต่สายตาหวาดระแวงอีกต่อไป จึงคว้าโอกาสโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะมีเวทมนตร์หรือจะใช้มันได้จริงหรือไม่
คุยกันก่อนเข้าเรื่อง
สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกคนสู่นิยายเรื่องนี้นะคะ!
เรื่องนี้จะลงแบบหั่นตอนเนื่องจากบางบทค่อนข้างยาว แต่จะลงตอนทั้งหมดเลย โดยหั่นเป็นกี่ตอนขึ้นอยู่กับความยาวเดิมค่ะ
คาดว่าจะมาอัพทุก 2 สัปดาห์ แต่เราจะแต่งจนจบแน่นอนค่ะ
สามารถติดตามเราได้ที่
Twitter: Appletea_c
Facebook: Ringotea is ready
มีภาพประกอบเรื่อยๆ มาส่องได้นะคะ👌😌
#HauntingWish
“เป็นยังไงบ้าง เอเดน อยู่ที่นั่นสบายดีไหม”
คุณลุงเบนเอ่ยถามผ่านทางหูโทรศัพท์ที่เอเดนถืออยู่ ตอนนี้เขาอยู่ใต้บันไดขึ้นหอพักชาย ที่ซึ่งมีห้องเล็กๆ สำหรับใช้โทรศัพท์ฟรีของโรงเรียนอยู่ ตัวโทรศัพท์เป็นแบบหมุนเลขและมีสายพ่วงที่ไม่ได้เห็นมานาน จึงให้ความรู้สึกคลาสสิคสมกับโรงเรียนเวทมนตร์ดี
เขาถามถึงจุดโทรศัพท์มาจากไอน์แล้วตัดสินใจใช้เวลาหลังมื้อเย็นโทรหาคุณลุงก่อนจะลงดันเจี้ยนในวันพรุ่งนี้ เผื่อว่าเขาซวยโดนวิญญาณเล่นงานขึ้นมาจนชีวิตหาไม่น่ะนะ
เพราะจนตอนนี้เอเดนก็ยังไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เลยสักนิด
“ก็ดีนะครับ อาหารการกินดี ที่นอนดี อากาศดี”
“ถ้าไม่ดีก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะ ฉันไปหาข้อมูลมา ความจริงแล้วค่าเทอมแพงใช่ย่อยนะที่นั่นน่ะ”
เอเดนหัวเราะเจื่อน “งั้นเหรอครับ”
“เออ ที่สำคัญคือคนต่างหาก เด็กที่นั่นเป็นไง พวกอาจารย์ด้วย คงไม่ใช่ว่าเหมือนที่นี่หรอกนะ”
เขาหยุดคิดครู่นึงก่อนจะตอบ “มีทั้งดีและไม่ดีนั่นล่ะครับ รูมเมทผมค่อนข้างโอเคอยู่ แล้วก็เพื่อนของเขาด้วย”
“ไหนลองเล่ามาซิ”
เอเดนไม่ค่อยชินกับการต้องพูดคุยยาวๆ กับคุณลุงเบนนัก แต่คงเพราะคุณลุงเป็นห่วงจริงๆ ถึงได้ถามไถ่เยอะกว่าปกติ เขาจึงเริ่มเล่าตั้งแต่ตอนที่เจอคาแนตต์ ไอน์ และซิลวี่เป็นครั้งแรก ตอนแรกเขาว่าจะเล่าแบบสั้นๆ แต่เล่าไปเล่ามาเขาก็พูดถึงเรื่องที่ได้เรียนรู้ในช่วงไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์นี้ด้วย
“ผมเพิ่งรู้ว่ามีการจับวิญญาณมาขังด้วยนี่ล่ะ ไอน์กับซิลวี่เล่าว่าหน้าที่ของเมจเอ็กซอร์ซิสต์คือการปราบวิญญาณก็จริง แต่ในกรณีที่คดีไม่ร้ายแรงและสามารถจับวิญญาณได้ก็อาจจะมีส่งกลับไปยังอีกภพได้ด้วย คล้ายกับวิธีจัดการกับนักโทษเลยครับ”
นี่เป็นเรื่องที่ถามหลังจากคาบวิชาเวทปราบวิญญาณเมื่อวาน แน่นอนว่าการจับนั้นยากกว่าการทำลาย และเมจเอ็กซอร์ซิสต์ส่วนใหญ่ก็เลือกจะทำลายมากกว่าเพราะมองเหล่าวิญญาณที่ก่อคดีว่าเป็นผีร้าย แต่เอเดนก็สบายใจนิดหน่อยที่ยังมีการจับวิญญาณมาเพื่อพิจารณาส่งกลับด้วย คงเพราะเขามักจะเห็นวิญญาณไม่มีพิษมีภัยคล้ายคนปกติที่เวลบลูมบ่อยๆ ถึงรู้สึกเห็นใจอยู่บ้างล่ะมั้ง
หลังเล่าจบ เสียงจากปลายสายก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะพูด
“…เหรอ อืม สองคนนั้นเป็นเพื่อนสินะ”
เอเดนชะงัก เสียงของไฮน์เมื่อวานก้องกังวานขึ้นมา
‘สมแล้วล่ะเพื่อน!’
ช่วงนี้เหมือนจะมีแต่เสียงอันไม่คุ้นเคยของสองคนนั้นดังก้องอยู่ในหัวเต็มไปหมด ทั้งที่เมื่อก่อนเสียงที่จะดังขึ้นมาในหัวเขา มักจะเป็นเสียงอันไม่น่าอภิรมณ์ของคนหลายๆ คนแท้ๆ
อารมณ์ความรู้สึกปั่นป่วนและสั่นไหว ถึงจะไม่ชินเท่าไรแต่ก็อยากจะเข้าใจ แล้วก็อยากจะคุ้นเคยกับมัน
“…คงแบบนั้นล่ะมั้ง”
คนอย่างเขาก็คงจะมีเพื่อนได้ในที่ไหนสักแห่งแน่ๆ เอเดนคิดแบบนั้นมาหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเป็นความหวังให้ตัวเองอดทนแล้วไปต่อ มุ่งมั่นตามหาที่ที่จะยอมรับตัวเองได้ จนถึงกับคว้าโอกาสหนีจากเวลบลูมโดยไม่คิดหน้าคิดหลังและมายังเฟาส์วอเชียแห่งนี้
แต่พอความหวังเหมือนจะเป็นจริงขึ้นมาก็กลัวนิดหน่อย
คุณลุงเบนก็เหมือนจะสังเกตเห็นสิ่งนั้น
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำตัวให้ชินไปนั่นแหละ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของคุณลุงนั้นชวนให้นึกถึงสมัยเด็กขึ้นมา
เอเดนแตะขอบแว่นตาแล้วพึมพำด้วยรอยยิ้มบาง
“ครับ…”
“ถ้าอย่างนั้นไว้วันเสาร์ก็โทรมาอีกล่ะ ลุงจะรอ”
“ครับ ไว้คุยกันนะครับ”
เอเดนบอกแล้ววางหูโทรศัพท์ลง เขาผ่อนลมหายใจ สุดท้ายก็ไม่ได้บอกเรื่องลงดันเจี้ยน หวังว่าเขาจะไม่เจ็บหนักจนมาโทรศัพท์ไม่ได้ล่ะนะ
แต่อย่างน้อยก็โล่งใจที่ได้คุยกับคุณลุง
เอเดนเดินออกจากห้องโทรศัพท์ใต้บันได ตั้งใจจะกลับไปเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ให้พร้อม ทว่าเดินออกมาเพียงไม่กี่ก้าวน้ำเย็นๆ ก็ราดลงเต็มหัว
ศีรษะกับร่างกายท่อนบนเปียกโชกไปหมด และถึงแม้ข้างในหอจะอบอุ่นแต่น้ำที่สาดลงมากลับเย็นเฉียบเหมือนอยู่กลางหิมะ เสียงหัวเราะคิกคักที่ดังมาจากเหนือหัวทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ
“โทษที พอดีมือลั่นน่ะ แต่แค่นี้ไม่น่าเป็นอะไรนะ เพราะใช้เวทมนตร์แปบเดียวตัวก็แห้งแล้วนี่”
“ก็ถ้ามีเวทมนตร์ล่ะนะ~”
“คิกๆๆ”
เอเดนไม่คุ้นกับเสียงผู้ชายคนแรก แต่เสียงคนที่สองนั้นไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร
เจด วิลเลี่ยม เพื่อนร่วมชั้นที่คอยหาเรื่องเขาตั้งแต่วันแรก
“มาอยู่ผิดที่ผิดทางรึเปล่าปีหนึ่ง ฉันในฐานะรุ่นพี่ปีสามผู้อาวุโสสุดแนะนำทางให้เอาไหม แต่สำหรับคนที่มีตาอัปมงคลแบบนายคงมีแค่ทางออกแล้วล่ะ” เสียงของเด็กหนุ่มคนแรกพูดขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงที่แฝงความรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าซะจนเดาออกเลยว่าต้องเป็นคุณชายจากที่ไหนสักแห่งแน่
โรงเรียนนี้มีคุณหนูคุณชายเยอะนี่นะ จะเดินเจอพวกคนที่เล่นกลั่นแกล้งกันแบบเด็กๆ บ้างก็ไม่แปลก
“มัวแต่ยืนนิ่งอยู่ได้ พอไม่มีสองคนนั้นก็กลัวจนหัวหดรึไง!” เจดว่า
“นั่นสิ ขอดูดวงตาสีเขียวนั่นหน่อย จะได้บอกถูกว่ามันอัปมงคลระดับไหน” คนที่บอกว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ปีสามพูด พวกผู้ชายที่เป็นลิ่วล้อซึ่งมาด้วยกันก็เริ่มพูดกันอย่างสนุกสนาน
“คุณแดเนียล ถ้าเห็นจะโชคร้ายเอานะครับ ดวงตานั่นนำพาแต่ความตายนี่ครับ”
“ระดับคุณแดเนียลแค่นี้ไม่เห็นเป็นไรเลย!”
“ยังไงก็แค่พวกที่เกิดมามีสีตานำโชคร้ายแถมไม่มีพลังเวทนี่”
นี่สิ เสียงที่เอเดนคุ้นเคย
สำหรับคนที่ขี้กลัวก็คงจะหวาดระแวงไม่กล้าเข้าใกล้ดวงตาคู่นี้แล้วเอาไปพูดลับหลัง แต่พวกที่ไม่กลัวก็จะใช้ประโยชน์จากจุดด้อยนี้เอามากดขี่กันอย่างเพลิดเพลิน
เอเดนถอดแว่นที่เปียกจนมองไม่เห็นออก พลางคิดว่าอยากจะเห็นหน้าของพวกที่กำลังพ่นขยะออกมาให้ชัดๆ
เขาค่อยๆ หันไปทางนักเรียนชายพวกนั้น ดวงตาสีเขียวซีดเฉยชาและไร้ความหวั่นไหว ราวกับคนที่ปลงโลกไปแล้ว
‘หน้าตาไม่ต่างจากพวกที่บ้านเลย’
ถึงจะโครงหน้าคนละแบบ ผมคนละสี รูปร่างและขนาดคนละอย่าง แต่ก็เป็นคนประเภทเดียวกันจริงๆ
รู้สึกเหมือนพลังที่ได้มาเมื่อกี้หายไปเลย
เด็กหนุ่มผมทองที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจก ‘แดเนียล’ เดาะลิ้นอย่างไม่พอใจเมื่อถูกสายตาแบบนั้นของเอเดนจ้องมอง
“มองแบบนั้นหมายความว่าไงกัน”
คงจะไม่พอใจที่แกล้งขนาดนี้ก็ยังไม่มีปฏิกริยาอะไรสักอย่าง เอเดนนึกสงสัยว่าพวกเขาจะเริ่มลงมือหนักกว่านี้หรือจะปล่อยผ่านไปกันแน่ ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากเลือกเดินหนีไปให้พ้นๆ อยู่ แต่ดูจากที่ทำขนาดนี้แล้วยังไม่มีใครสนใจก็แสดงว่าคนกลุ่มนี้ใหญ่พอตัว
‘หรือเราจะไม่ได้ลงดันเพราะเจ้าพวกนี้กันล่ะเนี่ย’
ระหว่างที่คิดแบบนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาใกล้
“นี่พวกแกทำอะไรเอเดนฮะ!”
ซิลวี่กระทืบเท้ายืนอยู่ตรงหน้าบันไดด้วยท่าทางโกรธจัด
“เฮอะ พวกตาอัปมงคลมาอีกคนละ”
“หุบปากเน่าๆ ของแกไปเลยนะ แดเนียล คานาโซ่!”
“ก็มันเรื่องจริงนี่ อีกอย่างเธอจะทำอะไรได้ คนที่ถูกทิ้งแบบเธอน่ะ”
ซิลวี่กัดฟันกรอด จากนั้นก็ยกมือขึ้น เอเดนรู้สึกได้ว่ากระแสเวทกำลังหมุนวนรอบตัวเธอ
“อัดร่างแกปลิวไง”
แดเนียลเก็บใบหน้าไม่หยี่ระแบบคุณชายปลิ้นปล้อนไปทันที
“คนที่คุมเวทมนตร์ไม่อยู่แบบเธอน่ะนะ”
“ถึงไม่โดนแกแต่พวกลิ่วล่อคงมีเจ็บกันบ้างล่ะ แถมบันไดคงพังไปครึ่ง พวกอาจารย์ต้องแห่มาแล้วสอบปากคำแน่ๆ”
“ระหว่างคำพูดพรีเฟ็คกับยัยเด็กตัวซวยแบบเธอ ฝ่ายไหนจะมีน้ำหนักกว่าก็คงรู้สินะ”
ซิลวี่แสยะยิ้ม “เป็นพรีเฟ็คแล้วทำไมถึงไม่พยายามห้ามฉันล่ะคะ? หรือว่าไม่มีปัญญาจะห้าม เป็นถึงคุณชายตระกูลคานาโซ่ที่อวยตัวเองว่าเก่งนักเก่งหนาไม่ใช่เหรอ?”
ถึงแม้แดเนียลจะไม่พูดอะไรแต่เห็นได้ชัดว่ากำลังโมโห มือที่จับราวบันไดนั้นมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกจะหันหลังให้
“อย่าคิดว่าจะได้อยู่สบายเชียวล่ะ แอช”
“ก็มาดิ”
แดเนียลเดาะลิ้นแล้วเดินจากไปพร้อมกับเจดและพวกลิ่วล้อที่ส่งสายตาเกลียดชังทิ้งท้าย
‘ไม่อยากจะเชื่อว่าคนแบบนั้นได้เป็นพรีเฟ็ค’
พอเทียบกับคาแนตต์แล้วคนละเรื่องเลย
“ไม่เป็นไรใช่ไหม เอเดน” ซิลวี่เดินเข้ามาหาแล้วถามอย่างเป็นห่วง
เอเดนส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอก …รู้จักกันเหรอ”
เขาลองถามดูเพราะเหมือนทั้งสองจะเคยตีกันมาก่อน
“ตั้งแต่ม.ต้นแล้วล่ะ มันชอบทำอะไรต่ำๆ แบบนี้แหละ อย่าใส่ใจเลย ปากหมาทั้งนั้น”
“อือ ไม่สนใจหรอก”
เอเดนพอจะนึกภาพออกเลยว่าซิลวี่ก็คงเคยเจอแบบเดียวกัน เป็นความเข้าใจของคนที่เกิดมาพร้อมดวงตาสีเขียว
“อาา แต่เปียกโชกเลยแฮะ เอาไงดี”
ซิลวี่มองเนื้อตัวชุ่มน้ำของเขาอย่างกังวล เอเดนเลยจะบอกเธอว่าเดี๋ยวค่อยไปเปลี่ยนที่ห้องก็ได้ ทว่าเด็กสาวก็ปิ๊งไอเดียซะก่อน
“เดี๋ยวฉันลองเป่าให้แห้งดูนะ เอ้า หลับตา!”
หลังเตือนสั้นๆ คำเดียว ลมจากเวทมนตร์ก็พัดใส่หน้าเอเดนทันที สายลมพัดรุนแรงเหมือนเอาพัดลมตัวยักษ์มาจ่อตรงหน้าทำให้ร่างเขาเอนไปข้างหลังจนเกือบล้มเลยทีเดียว
“โอ้ เหมือนจะคุมไหวอยู่!” ซิลวี่กล่าวเสียงสดใส
“นี่เธอทำอะไรเอเดนเนี่ย!”
ไอน์ที่เดินผ่านมาร้องลั่นแล้ววิ่งเข้ามาจับไหล่เขาราวกับต้องการจะดูว่าบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า
ถ้าไม่นับตาแห้งๆ กับผมที่ชี้ฟูแบบในการ์ตูนก็ไหวอยู่ล่ะนะ
“ถึงจะรู้ว่าเธอมันเกินเยียวยาแล้วก็เถอะ แต่ถึงกับแกล้งเพื่อนเลยเหรอ กระซิกๆ” ไอน์ยกมือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงแล้วดึงตัวเขาให้ถอยห่างจากซิลวี่
“เฮ้ย จะปากเสียเกินไปละ แล้วฉันก็ไม่ได้แกล้งแต่แค่เป่าแรงไปนิดต่างหาก เอเดนไม่ได้ถูกพัดปลิวสักหน่อย”
“นี่กะเอาให้ตัวปลิวเลยเหรอ ขุ่นพระ!”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไง!”
“ทำให้ทรงผมเพื่อนฉันเสียทรงก็ถือว่ามีความผิดแล้วเฟ้ย! โอ๊ะ แต่นายเปิดเถิกแล้วก็ดูดีนะ เอเดน” ไอน์ขยับมาสังเกตหน้าเขาให้ชัดเจน เด็กหนุ่มทำหน้าตาประหลาดใจเหมือนเพิ่งเคยเห็นหน้าเขาชัดๆ ครั้งแรก แต่อาจจะจริงก็ได้ เพราะที่ผ่านมาเขาไว้ผมปรกหน้าแบบตั้งใจให้ปกปิดดวงตาได้มาตลอด
ไอน์สังเกตอยู่ครู่นึงก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ลองมัดจุกมาเรียนไหม?”
“…”
ซิลวี่เดินมาตีหลังไอน์ดังป้าบ “คนที่แกล้งเพื่อนน่ะไม่ใช่ฉันแต่มันนายต่างหาก!”
“โอ้ยย ก็แค่ลองเสนอดู!”
“งั้นนายกล้ามัดจุกมาเรียนเรอะ!”
“อย่าท้านะเว้ย!”
“เออฉันท้า! ฉันท้าเลย! พรุ่งนี้มัดจุกมาเรียนซะ!”
“ได้! คอยดูแล้วกัน!”
“ฉันจะเตรียมกล้องมาถ่ายเก็บไว้ยันลูกบวชเลย!”
“อุ๊บ—ฮะฮะ ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นมานั้นทำให้ทั้งสองหยุดต่อปากต่อคำแล้วหันมามองที่ต้นเสียงพร้อมกัน
เอเดนเองก็พอจะรู้ตัวอยู่ว่ากำลังถูกมองด้วยสายตาประหลาดใจ แต่เขาอดไม่ได้จริงๆ ก็ในเมื่อทั้งสองคนกำลังทะเลาะเรื่องแปลกๆ กันนี่ ใครมาฟังก็คงทนไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหละ
รู้สึกเหมือนจะเจ็บกรามนิดหน่อย คงเพราะไม่ได้หัวเราะเสียงดังแบบนี้นานแล้ว แต่ก็หยุดไม่ได้เลย
“...จะว่าไปเมื่อกี้มันก็ตลกจริงๆ นั่นแหละ” ซิลวี่เห็นด้วย
“หรือว่าเราควรไปเปิดตลกคาเฟ่?” ไอน์พูดพร้อมปั้นหน้าจริงจัง
“ไม่เอาด้วยหรอกนะ”
“มันต้องลองสักตั้งสิ~น้าาา~” คราวนี้ไอน์ทำเป็นย่อตัวอ้อนวอนด้วยสายตาแบบลูกหมา
“ก็บอกว่าไม่ไง!” ซิลวี่หลบพลางหัวเราะร่วมไปกับเอเดน ฝ่ายไอน์เองก็ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ กับการออกท่าทางขำขันต่างๆ กลายเป็นว่าเอเดนเองก็ต้องหลบลูกตื๊อชวนเข้าคณะตลกของไอน์ไปด้วยกัน พอหัวเราะไปด้วยขยับตัวไปด้วยก็หายใจไม่ทันขึ้นมาเลย
ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกดี เหมือนจำได้อีกครั้งว่าความจริงแล้วการหัวเราะมันง่ายแค่นี้เอง
“…เพื่อนสินะ”
ถ้าเป็นครั้งนี้—ถ้าเป็นสองคนนี้ก็คงสามารถเชื่อใจได้ ต่างจากสมัยเด็กแล้ว
เขาอาจจะพบที่ที่ตัวเองตามหามาตลอดแล้วก็ได้
เอเดนไม่อยากสงสัยอีกแล้ว เขาอยากจะก้าวหน้าต่อไป
‘ถ้าอย่างนั้นต่อไปก็…'
เขามองฝ่ามือของตนเอง ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ ก็ต้องใช้เวทมนตร์ที่อาจารย์ใหญ่บอกว่าแฝงอยู่ในตัวให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ความมุ่งมั่นที่จู่ๆ ก็พลุ่งพล่านในใจนั้นช่วยให้รู้สึกสดชื่น ราวกับเมฆหมอกในใจได้ถูกสายลมพัดกระจัดกระจายออกไปทีละน้อย
เอเดนคลี่ยิ้มออกมา
“ยัยนั่นยังน่ารำคาญเหมือนเดิม”
ในห้องพักของพรีเฟ็คที่ใหญ่กว่าของนักเรียนทั่วไป แดเนียลและเหล่าลูกน้องนั่งรวมกลุ่มกันแล้วพูดคุยถึงเรื่องก่อนหน้านี้
แม้จะไม่แสดงออกตรงๆ แต่แดเนียลไม่ชอบหน้าซิลวี่มานานแล้ว ทั้งที่คิดว่าช่วงนี้คงจะกำจัดตัวปัญหาไปได้เพราะเธอถูกถอดออกจากตระกูล แต่กลับกลายเป็นว่าเธอยังคงปีกกล้าขาแข็งเหมือนเดิม
ไหนจะเจ้าเด็กตาอัปมงคลคนใหม่นั่นอีก ไม่มีแววหวาดกลัวหรือไม่พอใจสักนิด สายตาที่มองเหมือนเห็นขยะไร้ค่านั่นพอนึกขึ้นแล้วก็หงุดหงิด
“จะว่าไป พรุ่งนี้พวกนายมีเรียนภาคปฏิบัติสินะ”
เขาหันไปถามเจดกับเด็กปีหนึ่งอีกสองสามคน
“ครับ ทำไมเหรอครับ?”
แดเนียลแสยะยิ้ม
“ฉันคิดอะไรสนุกๆ ออกน่ะสิ”