เคท เด็กสาวที่บังเอิญไปพบพี่สาวของเธอก่อเหตุฆาตกรรม เธอพยายามบอกคนอื่นแต่ก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่ทำให้คนอื่นเชื่อได้ การรวบรวมหลักฐานเพื่อจองจำพี่สาวสุดที่รักของเธอจึงจำใจต้องเริ่มขึ้น

ร้อยเรียงคืนสีเลือด - บทที่1 กระดิ่งและสายลม โดย kewrom @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,ไทย,เลือดสาด,หญิง-หญิง,สืบสวนสอบสวน,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ร้อยเรียงคืนสีเลือด

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน,ระทึกขวัญ,ไทย,เลือดสาด,หญิง-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

สืบสวนสอบสวน

รายละเอียด

เคท เด็กสาวที่บังเอิญไปพบพี่สาวของเธอก่อเหตุฆาตกรรม เธอพยายามบอกคนอื่นแต่ก็ไม่มีหลักฐานมากพอที่ทำให้คนอื่นเชื่อได้ การรวบรวมหลักฐานเพื่อจองจำพี่สาวสุดที่รักของเธอจึงจำใจต้องเริ่มขึ้น

ผู้แต่ง

kewrom

เรื่องย่อ

เคทเด็กสาวชั้นม.5ที่พบพี่ตัวเองก่อเหตุฆาตกรรโดยบังเอิญแต่นั้นจะเป็นไปได้ด้วยหรอ? ที่เด็กม.6 ที่มีนิสัยอ่อนโยนและมีความประพฤดีเสมอทั้งที่บ้านและโรงเรียน จะมีความโกรธแค้นใครถึงขั้นก่อเหตุได้ หรือจะมีเหตุผลที่มากกว่านั้นกัน [ความจริงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่]

สารบัญ

ร้อยเรียงคืนสีเลือด-บทที่1 กระดิ่งและสายลม

เนื้อหา

บทที่1 กระดิ่งและสายลม

ท้องถนนที่ค่อนข้างเงียบกว่าทุกวัน ร้านค้าที่เคยส่งเสียงเพื่อโปรโมทสินค้าก็พากันปิดเงียบเหมือนไม่เคยเปิดมาก่อน แต่ก็เข้าใจได้เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้วจึงไม่แปลกที่ร้านเล็กใหญ่จะพาปิดตามๆ  กัน แสงไฟตามทางเปิดสว่างจนแสบตาเมื่อเผลอหันไปมอง รถโดยสารที่เคยนั่งประจำก็หมดรอบวิ่งไปหลายชั่วโมงแล้ว เคทได้แต่คิดว่าการที่เธอเลือกที่จะบอกลาเพื่อนเพื่อขอกลับบ้านตอนนี้จะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างที่คิด




ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด!




เคทสดุ้งแรงเมื่อได้ยินเสียงปริศนาดังขึ้นเมื่อมองหาต้นตอของเสียงอยู่นานสองนาน ก็พบว่าเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงจากมือถือเธอเอง ความตกใจเมื่อครู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นความโล่งใจทันที เคทอ่านชื่อบนหน้าจอแล้วพบว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เพิ่งขอตัวแยกกลับบ้านเมื่อหลายนาทีก่อน ‘เบล’ เคทกดรับสายและได้แต่สงสัยว่าตนเองนั้นลืมอะไรหรือเปล่า




“นี่เคท พรุ่งนี้เช้าฉันฝากลาครูให้หน่อยสิ”




เสียงเล็กพูดด้วยความเหนื่อยอ่อนผ่านโทรศัพท์มือถือของผู้ถูกขอร้องอย่างขาดหวัง แต่ก็ไม่วายที่จะถูกเหน็บแนมกลับเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคทถูกขอร้องแบบนี้ แถมเธอต้องมาขวัญหายเพียงเพราะเรื่องเล็กที่สามารถส่งข้อความทิ้งไว้ได้นี่อีก




"อยากให้ฉันพูดว่าอะไรดีคะ? วันนี้กุลจิราขอลาป่วย อาการเหมือนครั้งที่แล้วเลยค่ะคุณครู"




“…”




เคทพูดกล่าวด้วยเสียงเรียบ ก่อนที่จะเงียบเพื่อรอรับปฏิกิริยาจากคนปลายสาย เมื่อมั่นใจว่าเพื่อนของตนนั้น ไม่มีคำพูดดีๆ เพื่อจะโต้แย้งการเหน็บแนม เธอก็อดไม่ได้ที่จะแซวคนในสายอีกครั้ง




“วันก่อนก็ความแตกเพราะไปเดินสวนกับครูเขา ครั้งนี้ไม่จบแค่เขียนรายงานสำนึกผิดหรอกนะ”




“ใครจะไปคิดว่าพวกครูจะออกมากินข้าวข้างนอกกันล่ะ!! ปกติก็กินที่โรงอาหารนี่เธอก็เห็น”




“ฮ่า ฮ่า ฮ่ายังไงก็เป็นเธอที่ผิดนะ จะไปโทษใครเขาได้”




“…ฉันเริ่มคิดแล้วนะว่าเธอเป็นเพื่อนฉันจริงหรือเปล่า”




“พรุ่งนี้เธอไม่อยากลาแล้วหรอ?”




“อุ๊ย ขอโทษค่ะคุณนางฟ้าของเค้า”




“…”




เคทนิ่งเงียบไปไม่ใช่เป็นเพราะคำชมที่แปลกประหลาดเหมือนจะชมก็ไม่ใช่เหมือนประชดประชันก็ไม่เชิงของเสียงเล็กปลายสาย แต่เป็นสายลมที่พัดแรงกว่าปกติมาจากซอยๆ หนึ่งข้างๆ เธอพร้อมกับความรู้สึกบางอย่าง




“เคท? ฮัลโหล”




“เลือด?”




เสียงอุทานออกมาจากปากโดยที่เคทไม่รู้ตัว แต่กลิ่นสนิมที่ลอยตามลมมาจากตรอกเล็กข้างหน้านั้นดึงความสนใจของเธอมากกว่า เป็นกลิ่นที่เธอนั้นได้กลิ่นมาจากแม่ของเธออยู่บ่อยครั้งจากอาการป่วยที่รุนแรงแต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดแว็บแรกที่กลิ่นนั้นลอยมาเตะจมูกของเธอเท่านั้นก่อนที่จะถูกเสียงเล็กทักถามด้วยความเป็นห่วง ทำให้ความสนใจของเธอตกมาอยู่ที่คนปลายสายอีกครั้ง




“เลือด? เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?!”




"…ฉันได้กลิ่นแปลกๆ เหมือนเลือดเฉยๆ นะ"




"ฉันรู้นะว่าเธอจมูกดี แต่เธอนี้เหมือนหมาขึ้นทุกวันเลยนะเคท"




"…."




เคทนิ่งเงียบไม่ตอบรับการเล่นมุกที่ไม่สนสถานการณ์ของเพื่อนสนิทของเธอ จนทำให้ เบล ที่สัมผัสได้ว่าตัวเองนั้นเล่นผิดที่ผิดเวลาเกินไป จึงพยายามเปลี่ยนมาออกความคิดเห็นที่สามารถเป็นไปได้แทนอย่างลุกลี้ลุกลน




"สนิมหรือเปล่า? เธออาจจะเดินผ่านกองเหล็กแถวนั้น หรือไม่ก็คงเป็นหมาแมวที่บาดเจ็บก็ได้"




” งั้นหรอ ก็คงเป็นแบบนั้นแหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันบอกครูให้ ฉันไปก่อนนะ”




“ห้ะ! เดี๋…”




เคทรีบกดตัดสาย ก่อนที่เบลจะพูดจบ เคทนั้นรู้จักเพื่อนของเธอดีว่า ถ้าเธอนั้นบอกว่าสงสัยแล้วจะเข้าไปดูต้องโดนห้ามหัวชนฝาเป็นแน่ เคทเดินเข้าไปในซอยมืดที่มีแสงไฟประปราย ถึงจะมีความวิตกอยู่บ้างแต่เคทก็เลือกที่จะเดินต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นผิด




เมื่อเดินไปสักพักแสงไฟประปรายที่เคยมอบความกล้าให้เธอก็กับสิ้นสุดลงไปซะอย่างงั้น ตอนนี้ด้านหน้าของเคทเป็นตึกสูงที่หยุดสร้างกลางคันไม่มีทั้งสีและแสงไฟ เหมือนกับถูกปล่อยให้ร้างมายาวนานตัวตึกทั้งเก่าและพุพัง รอบตึกมีหญ้ารกสูงเท่านักบาสต่างประเทศเลยก็ว่าได้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เธอกลัวนั้นไม่ใช่แสงไฟที่หมดไปหรือบรรยากาศที่เหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญ แต่เป็นกลิ่นสนิมที่แรงกว่าเดิม




เคทเดินเข้าไปในตัวตึกอย่างนึกสงสัยเพราะเธอไม่เคยเห็นที่นี่มาก่อน แถมบริเวณนี้นั้นมีแต่ปูนเกือบทั้งหมด ‘แล้วกลิ่นสนิมมาจากไหนกัน’




เคทครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนที่จะเดินออกไป เธอไม่มีความกล้าพอที่จะเดินสำรวจในตัวตึกแห่งนี้ ถึงแม้จะเดินก้าวเข้ามาในอันตรายแล้วแต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องก้าวไปในที่ที่อันตรายกว่า ดังคำกล่าวที่ว่า ถ้าแมวเอาแต่นึกสงสัยจะมีกี่ชีวิตก็ไม่พอ




กริ๊ง กริ๊ง




เสียงกระดิ่งดังขึ้นจากชั้นสอง เป็นเสียงที่เบามากจนเคทแน่ใจว่าถ้าจังหวะนั้นมีเสียงใบไม่กระทบกันตัวเธออาจจะไม่ได้ยินเป็นแน่ เคทย้อนนึกถึงคำกล่าวที่คิดขึ้นได้เมื่อสักครู่ ก่อนจะเดินต่อไป (…ก็ฉันไม่ใช่แมวนี่เนอะ) เคทเดินขึ้นไปชั้นสองอย่างระมัดระวังกลิ่นสนิมที่สร้างความสงสัยให้เธอตั้งแต่ต้นนั้นแรงจนเธอต้องปิดจมูกเพื่อทำให้กลิ่นนั้นจางลง




ความกลัวของเคทเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเธอเริ่มมั่นใจว่ากลิ่นนั้นคือเลือดอย่างที่เธอคิด จากเดิมที่มีเพียงคำถามว่า ใช่ หรือ ไม่ แต่ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ถ้าไม่ได้เห็นกับตาของตัวเอง




"….เป็นเลือดของตัวอะไร"




เคทตัดสินใจเดินตรงไปอย่างช้าๆ พยายามเดินให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยถ้าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเธอจะได้เดินหนีได้โดยที่ไม่โดนจับสังเกต




กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!




"!!!!"




เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับรุนแรงกว่าครั้งแรกที่เธอได้ยิน เคทย่อตัวลงและนำมือทั้งสองข้างปิดปากโดยเร็วเพื่อไม่ให้เสียงกรีดร้องของเธอนั้นเล็ดลอดออกมา ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเสียงกระดิ่งนั้นมาจากอะไร แต่เธอรับรู้ได้ว่าถ้าต้นเสียงนั้นรู้ถึงการมีอยู่ของเธอคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่




กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง! กริ๊ง!




เสียงกระดิ่งดังอยู่ที่เดิมซ้ำๆ ซ้ำๆ จากทางแยกด้านหน้าเธอโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เคทค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูต้นตอขอเสียงนั้น




เมื่อเคทเห็นภาพตรงหน้าสติของเธอแทบจะดับวูบ เธอเห็นหญิงสาวผมยาวสวมฮู้ดหูกระต่ายถือมีดเล่มหนึ่งยาวราวๆ 15นิ้ว แทงร่างชายที่นั่งพิงกำแพงแบบไม่ยั้ง เลือดของชายคนนั้นไหลทั่วบริเวณรอบๆ ตัวเขา ทำให้เดาไม่ยากเลยว่าชายคนนั้นได้เสียชีวิตไปแล้วเป็นแน่




กำไรข้อมือที่มีกระดิ่งเล็กๆ ติดอยู่ส่งเสียง กริ๊ง กริ๊ง ไปตามแรงมือของหญิงสาวคนนั้นอย่าไม่ลดละ




คำถามที่เคยอยู่ในหัวของเธอได้หายไปหมดแล้วทั้งเรื่องเสียงและเรื่องกลิ่น ในหัวของเคทคิดแค่ว่าถ้าเธออยู่ตรงนี้สภาพของเธอคงไม่ต่างจากเขาคนนั้นอย่างแน่นอน




ความหวาดกลัวเริ่มครอบงำมากขึ้นเรื่อยๆ




ก่อนที่เคทจะตัดสินใจออกไปจากตรงนั้น เธอได้ชะโงกไปดูหญิงสาวอีกครั้งเพื่อหาจังหวะหนี ทุกอย่างเหมือนเดิมดั่งภาพที่ฉายซ้ำ แต่ที่ต่างออกไปก็คงจะเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ออกมาจากผู้หญิงคนนั้น และฮู้ดที่เธอใส่คลุมปิดบังใบหน้าร่วงหล่นจนทำให้เห็นหน้าเธออย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น




“พ…พี่?”




คำพูดแผ่วเบาออกจากปากเคทเหมือนพยายามถามตัวเอง ตอนนี้ร่างกายของเธอเย็นเฉียบสายตาที่เคยมองเห็นที่มืดได้อย่างดีเพราะมีแสงจันทร์คอยช่วยก็เริ่มพร่ามัวไปซะดื้อๆ ทั้งมือและปากของเธอก็สั่นไปหมด เธอพยายามปฏิเสธความคิดนั้นอยู่หลายครั้งแต่มันก็วนกลับมาที่เดิมอยู่เสมอ




‘แต่มันจะเป็นไปได้ยังล่ะพี่สาวที่อ่อนโยนขนาดนั้น ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว แค่มดสักตัวเธอยังไม่กล้าที่จะฆ่ามันด้วยซ้ำ แล้วพี่ก็เป็นคนที่เข้านอนไวด้วย…’




“ใช่แล้ว..ไม่ใช่พี่แน่นอน…ไม่ใช่ ไม่ใช่”




ตอนนี้สติของเคทไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกต่อไป มือที่สั่นเทาของเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเบาเสียงและกดโทรหาพี่สาวของเธออย่างหวั่นๆ




ไอคอนรอสายขึ้นอยู่ไม่นานก็มีคนรับ




“พ…พี่คะ”




“…ว่าไงจ๊ะ เคท”




“…พี่อยู่ที่ไหนคะ”




“ก็อยู่ในห้องไงจ๊ะ มีอะไรหรือเปล่า”




เคทถอนหายใจเบาๆ เมื่อคนปลายสายมีท่าทีปกติ ‘พี่อยู่ที่ห้องแถมยังไม่มีเสียงกระดิ่งอีกด้วย…ส..เสียงกระดิ่ง’




เมื่อเคทนึกได้อย่างนั้นเธอจึงวางโทรศัพท์ลงทันทีแล้วค่อยๆ เงียบหูฟัง ‘เสียงหายไปแล้ว’ เสียงกระดิ่งที่ไม่มีท่าทีจะหยุดพักเลยสักวินาที กลับเงียบลงจนน่าใจหาย ความสบายใจหายไปจนหมด เคทค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปอีกครั้ง ตอนนี้หญิงสาว ไม่สิ…ต้องเรียกว่าเด็กสาวคนนั้นกำลังถือโทรศัพท์อยู่ในมือ




เธอชั่งใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาฟังอีกครั้งโดยที่ไม่วางตาจากเด็กสาวตรงหน้า




“เคท?”




เคท




เสียงเรียกดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ…พร้อมกับชื่อของเธอที่ออกมาจากเด็กสาวคนนั้น






.






.






.






ตอนนี้ร่างกายนั้นไวกว่าความคิดของฉัน รู้ตัวอีกทีฉันก็กำลังวิ่งออกมาจากตึกร้างนั้นซะแล้ว ฉันหันกลับไปเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าพี่จะไม่ได้วิ่งตามมา ความกลัวที่เห็นภาพนั้นยังไม่หายไปมือและขายังสั่นไม่หยุดในสมองว่างเปล่าแต่ที่คิดได้อย่างเดียวคือฉันไม่ควรกลับบ้านตอนนี้




ความสับสนและวุ่นวายใจได้พาฉันมาหยุดที่หน้าบ้านของเบล เพื่อนสนิทของฉัน




“เบล! เบล! เปิดประตูที! เบล!”




ฉันทั้งทุบทั้งตะโกนเรียกเบลด้วยเสียงอันแหบแห้ง ถึงแม้ว่าจะฉุกคิดเรื่องมารยาทได้แต่มันก็ไม่ได้ทำให้การร้องเรียกเพื่อนสนิทฉันหยุดลง




เสียงตะโกนเรียกดังอยู่ไม่นาน เสียงวิ่งลงมาจากชั้นสองก็ดังขึ้นเป็นจังหวะจนทำให้ฉันใจหายไปวูบนึง เมื่อคิดกลัวว่าเพื่อนร่างเล็กจะตกบันไดไปเสียก่อนที่จะมาเปิดประตูให้




” เคท! เกิดอะไรขึ้น?! บาดเจ็บหรอ?!”




เบลเปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็วแล้วซักถามด้วยความเป็นห่วง ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกกลัวและสับสนมันมารวมกันที่ดวงตาของฉันโดยไม่รู้ตัว เสียงสะอื้นดังออกมาจากลำคออย่างเลี่ยงไม่ได้ทำให้ฉันโผกอดเพื่อนร่างเล็กจนทำให้เบลร้องเสียงอู้อี้จนไม่ได้ศัพท์




ฉันร้องอย่างนั้นอยู่หลายนาที ความกลัวและความสับของฉันเบาบางแต่มันก็ไม่หายไป ทั้งภาพและเสียงกระดิ่งมันยังฉายซ้ำอยู่ในความคิดเหมือนมันเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ เบลพาฉันขึ้นไปสงบสติอารมณ์ในห้องของเธอ การกระทำของเธออ่อนโยนกว่าทุกที น้ำเสียงที่นิ่มนวลของเบลทำให้ฉัน…รู้สึกปลอดภัย




“เธอใจเย็นลงหรือยัง”




“อืม นิดหน่อย”




ฉันพูดด้วยเสียงอู้อี้ในอ้อมกอดเบลโดยไม่กล้าสบตาเพราะกลัวจะเล่าเหตุการณ์ที่เจอออกไปโดยไม่คิด ถึงฉันจะอยากเล่าให้ใครสักคนฟังแต่ไม่ใช่กับเพื่อนคนนี้




“เธอไปเจออะไรมา ช่วยบอกฉันที”




“...ไม่เอา”




” ทำไม?”




“ฉันไม่อยากให้เธอเจอปัญหา… และเธออยู่บ้านคนเดียว”




ความเงียบของเบลทำให้ฉันรำลึกถึงความกลัวนั้นอีกครั้ง รอบตาฉันร้อนอย่างบอกไม่ถูกมือก็เริ่มสั่น ฉันพยายามออกจากการโอบกอดของเบลเพื่อหลบหนีไม่ให้คนที่ถูกกอดรู้ตัว แต่มันคงไม่ทันเสียแล้ว




เบลนำมือทั้งสองข้างมาหยิกแก้มของฉันอย่างแรงเหมือนคนที่โกรธอยู่อย่างไงอย่างนั้น ฉันไม่รู้ว่าฉันทำอะไรผิดด้วยซ้ำทำไมเธอถึงมาหยิกฉันแบบนี้กัน




"ฮึก ฉันผิดอะไร มันน่ากลัวจริงๆ นะ ฉันผิดหรือไงที่กลัว”




“นี่ ถ้ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวขนาดนั้นฉันก็ควรรู้สิ เธอกลับบ้านไปได้ไม่นานแล้วก็วิ่งกลับมาด้วยท่าทีแตกตื่นมันก็เท่ากับว่าเรื่องที่เธอเจอมันอยู่ใกล้ตัวฉัน ถ้าเธอไม่บอกแล้วฉันจะระวังตัวยังไงล่ะ จริงมั้ย”




“….”




“ถ้าเป็นห่วงกันจริงเธอก็ควรพูดมันออกมานะ”




ฉันมองหน้าเบลอย่างตำหนิที่ทำให้ฉันดูเป็นคนไร้เหตุผล แต่ฉันก็ไม่ได้เกลียดนิสัยนี้ของเธอ ฉันเลยหยิกเธอคืนก่อนที่จะเล่าเรื่องที่เจอให้กับเบลฟัง






____________________________________