อะไรคือเหตุผลที่ทำให้มนุษย์หนึ่งคนยอมอัปเปหิตัวเองออกจากกลุ่ม แล้วร่อนเร่กับซอมบี้หนึ่งตัว ?

โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์ - บทที่ 2 ยังไม่ตื่น โดย ผู้เป็นมิตรกับคนแปลกหน้า @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,ดราม่า,ชาย-ชาย,ไซไฟ,แอคชั่น,พระเอกเทพ,โรแมนติก ,ซอมบี้,วันสิ้นโลก,ดราม่า,ไซไฟ-แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,ดราม่า,ชาย-ชาย,ไซไฟ,แอคชั่น

แท็คที่เกี่ยวข้อง

พระเอกเทพ,โรแมนติก ,ซอมบี้,วันสิ้นโลก,ดราม่า,ไซไฟ-แฟนตาซี,พล็อตสร้างกระแส

รายละเอียด

โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์ โดย ผู้เป็นมิตรกับคนแปลกหน้า @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้มนุษย์หนึ่งคนยอมอัปเปหิตัวเองออกจากกลุ่ม แล้วร่อนเร่กับซอมบี้หนึ่งตัว ?

ผู้แต่ง

ผู้เป็นมิตรกับคนแปลกหน้า

เรื่องย่อ

โลกล่มสลายคืออะไร

ความตายคืออะไร

มนุษย์คืออะไร

ซอมบี้คืออะไร

ลูซีนไม่เข้าใจเลยสักนิด เพียงแค่มีความต่างระหว่างคนที่เดินจูงมือมันไปข้างหน้ากับคนที่เดินโงนเงนสวนทางไปด้านหลัง

แต่หากถามว่ามันเหมือนใครมากกว่า...มันเหมือนกับคนที่ส่งเสียงเครือไม่เป็นคำ เหมือนกับคนที่เดินล่องลอยไร้จุดหมายพวกนั้น...

สัญชาตญาณบอกให้มันตามกลุ่มของมันไป

ใช่...มันควรอยู่กับกลุ่มที่ถูกเรียกว่าซอมบี้ อยู่กับพวกที่เหมือนมัน แต่—

"อย่ามอง"

เมื่อใดก็ตามที่มันหันไปสบตากับกลุ่มซอมบี้ ก็จะมีมือปิดตามัน

"ห้ามไป"

เมื่อใดก็ตามที่มันหยุดเดินแล้วหันหลังจะตามกลุ่มซอมบี้ ก็จะมีคนจับมันไว้แล้วไล่ซอมบี้พวกนั้นให้ตกใจหนี

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต่อให้จะตายกลายเป็นซอมบี้ไปแล้วก็ยังอยากอยู่กับสังคมของมัน...

"อยู่กับฉัน"

แต่ทำไมมันถึงอยู่กับมนุษย์ ?

แล้วทำไมมนุษย์คนนี้ถึงไม่ยอมปล่อยมัน

มนุษย์อย่างเขาและซอมบี้อย่างมันอยู่ด้วยกันได้ยังไง




คำนิยาม : ซอมบี้

ผู้ซึ่งตายไปจากโลกแต่ยังดำรงอยู่คล้ายคนเป็น


สารบัญ

โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์-บทที่ 1 คนที่ตายไปแล้ว,โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์-บทที่ 2 ยังไม่ตื่น,โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์-บทที่ 3 อย่ามอง,โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์-บทที่ 4 คนที่ียังมีชีวิตอยู่,โลกสุดท้ายแด่ผู้วายชนม์-บทที่ 5 ซากศพที่เน่าเปื่อย

เนื้อหา

บทที่ 2 ยังไม่ตื่น

ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำไร้ขอบเขต ใต้อาคารตึกร้างเป็นพื้นที่โล่งกว้างมองเห็นได้ทั้งสี่ทิศทาง ชายคนนั้นพามันเข้าไปในบริเวณหนึ่งซึ่งมีกำแพงล้อมปิด ประตูและหน้าต่างเสียหายเปิดช่องไม่มิดชิดแต่ก็พอกันลมกันฝนได้

เมื่อสำรวจแล้วไม่พบบุคคลอื่นอยู่ที่นี่ ชายคนนั้นจึงวางกระเป๋าสะพายหลังลงข้างกำแพง

“ลูซีน รออยู่ที่นี่” ชายคนนั้นหันมาบอกมันซึ่งกำลังยืนทึ่มทื่อไม่รู้ว่าเข้าใจคำพูดหรือไม่

“...”

อย่างไรก็ตาม โดยไม่รอการตอบรับ เขาก็ได้เดินกลืนหายออกไปในความมืดอย่างรวดเร็วทิ้งลูซีนไว้เพียงลำพังเสียแล้ว

ลูซีนยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่สักพัก ก่อนนัยน์ตาไร้อารมณ์จะกลอกกลิ้งไปมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองทางไหนก็มีแต่ความมืดอยู่ทุกหนทาง เท้าซึ่งติดอยู่กับพื้นเริ่มขยับเดินออกไปจากจุดเดิม

มันได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำไม่ไกลมากจึงตัดสินใจเลี้ยวไปอีกทาง ตามกลิ่นเหม็นคาวรุนแรงจนแม้แต่แมลงพิษก็ยังถูกล่อมา แม้ลูซีนจะมองไม่เห็นอสุภะตรงหน้า แต่เสียงยุ่บยั่บชวนขนหัวลุกก็แว่วมาให้ได้ยินชัดเจน

แม้มันจะเดินเข้าใกล้แต่เหล่าแมลงร้ายก็ไม่ได้หวาดกลัวจนกระจายตัวจากไป ลูซีนเองก็ไม่สนใจ นั่งลงราวกับต้องการร่วมวงหรรษา เอื้อมมือออกไปคว้าบางสิ่งบนพื้นหญ้าขึ้นมา

เจ้าตัวเล็กที่กำลังชอนไชสิ่งนั้นทั้งหลายต่างก็ดิ้นพล่านมุ่งหาเป้าหมายใหม่กันแทบบ้า ทว่าลูซีนกลับทำราวไม่รู้สึกรู้สา ขยับมือเข้าปากโดยตั้งใจจะกัดกินให้สิ้นซาก !

มันทำไปโดยสัญชาตญาณประหนึ่งสัตว์แมลงถูกปรสิตควบคุม

“ลูซีน !”

ในเวลานั้น ร่างของลูซีนล้มหงายหลังตามแรงกระทำที่ถูกดึง ชายคนนั้นไม่รู้มาจากไหนใช้มือปิดปากมันแน่นด้วยความตกใจ

แม้ทุกสรรพสิ่งจะถูกม่านสีดำปกคลุมไว้ แต่คล้ายกับว่ามันจะเห็นนัยน์ตาวาวโรจน์ของใครบางคนอยู่เหนือศีรษะ กำลังถลึงตาลงมาอย่างน่ากลัว

มือซึ่งถือซากเนื้อถูกบังคับให้ละทิ้งด้วยอำนาจเด็ดขาด ก่อนคนแปลกหน้าจะกึ่งดึงกึ่งลากมันกลับไปที่เดิม

“กินไปหรือยัง ! ?”

“...” ลูซีนเงียบราวกับไม่เข้าใจอะไรก็ตาม

ชายคนนั้นตระหนักได้ว่าไร้ประโยชน์จึงระบายลมหายใจออกมาโดยแรง รีบรวบรวมกิ่งไม้ซึ่งทำหล่นกระจายตามพื้นมากองสุมแล้วก่อไฟ

แสงสีส้มแตกกระจายก่อนสลายความมืดมิด ลูซีนยืนมองเปลวไฟลุกโชนแผ่กำจายความร้อนสร้างความอบอุ่นไปทั่วพื้นที่

นัยน์ตาของมันสะท้อนแสงสีทองเป็นประกายเรืองรอง แววตาซึ่งเคยหม่นหมองก็คล้ายว่าถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง

“ห้ามเข้าใกล้” ชายคนนั้นจับมันที่คิดจะพุ่งเข้าใส่ราวกับอ่านใจได้

เขารื้อค้นกระเป๋าด้วยความรีบร้อน หยิบขวดน้ำออกมาก่อนจะดึงลูซีนนั่งลงและเข้าไปดูใกล้ ๆ แล้วง้างปากมันเพื่อตรวจเช็กจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งอันไม่ควรติดอยู่ในซอกมุมไหนภายในช่องปาก จึงสำรวจต่อว่าไม่มีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาบนฝ่ามือ

ทว่านั่นยังไม่ทำให้ชายคนนี้พึงพอใจ เขาล้างมือมันจนสะอาดเอี่ยมอ่องไม่พอ ยังกรอกน้ำใส่ปากจนลูซีนสำลัก

“ค่อกฟ—!”

“คายออกมาให้หมด !” ไม่เพียงพูดปากเปล่า เขายังบีบคางแล้วล้วงนิ้วเข้าไปในโพงปากพลางคว้านไปรอบลิ้นของมัน

เมื่อมีอะไรแหย่เข้ามาในปาก ลูซีนก็ตั้งท่าจะกัดฟันตามสัญชาตญาณ ทว่าไม่สมดังหวังเพราะอีกฝ่ายดันฟันกรามล่างกดขากรรไกรของลูซีนจนปิดไม่ได้ จึงสามารถหยุดยั้งมันได้ทันท่วงที

ชายคนนั้นออกปากเตือน “อย่ากัด !”

ลูซีนดิ้นรนอยู่สักพักแต่ก็ไม่สามารถขัดขืนได้เลยสักนิด กระทั่งนิ้วมือหยาบกร้านคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายของมันยังคงตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมอัตโนมัติ ต่อต้านโดยการยืดคอไปด้านหลังทว่ามีมือจับท้ายทอยไม่ยอมให้หนี

“อย่าขยับ”

สุดท้ายก็ถูกบังคับสำรอกสิ่งที่อยู่ในท้องออกมาจนหมด

ในเวลานี้ ลูซีนไม่ต่างกับลูกนกที่ตกลงไปในลำคลองแล้วรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด !

ลูกนกจะไม่มีทางเข้าใกล้แม่น้ำอีกฉันใด มันก็ไม่อยากเข้าใกล้ผู้ชายคนนี้อีกฉันนั้น !

เพียงแต่ความปราถนาของมันไร้ผู้สนใจ เมื่อชายคนนั้นวุ่นวายกับมันไม่หยุด !

กระดุมเสื้อของลูซีนถูกปลด มือหยาบกร้านแหวกสาบเสื้อสกปรกกรังผิวขาวซีดออกจนเห็นเนื้อขรุขระสีแดงคล้ำบริเวณไหล่ซ้าย อีกฝ่ายขมวดคิ้วมองรูพรุนลึกประมาณหนึ่งข้อนิ้วมือเหนือไหปลาร้าของมันซึ่งมีคราบเลือดสีแดงคล้ำแห้งกรังติดผิวหนัง

เขาเทน้ำสะอาดซึ่งเหลือก้นขวดลงผ้าเช็ดหน้าเพื่อทำความสะอาดให้ เพียงว่าลูซีนกลับถอยห่างคล้ายคนหวาดระแวง ทำให้คนมองมันอย่างเงียบงันชั่วขณะก่อนจะเอื้อมมือมาจับแล้วขยับเข้าใกล้

ขณะลงมือเช็ดคราบเลือดบริเวณไหล่ซ้ายก็พูดกับมันด้วยน้ำเสียงชวนฟัง “ต่อจากนี้ไป นายกินไม่ได้อีกแล้ว ห้ามเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรก็ตาม”

“...”

“อาจเป็นเรื่องยากที่ต้องข่มกลั้นสัญชาตญาณ แต่ฟังฉัน นายไม่ต้องการอาหารอีกแล้ว”

“...”

“เข้าใจไหม ?”

“...”

ชายคนนั้นปล่อยให้ความเงียบปกคลุมบรรยากาศสักพักก่อนจะถามโดยที่ยังก้มหน้าทำความสะอาดบาดแผลอยู่ “ลูซีน สติของนายฟื้นกลับมาหรือยัง ?”

เห็นมันนิ่งไม่ขยับ ฝ่ายนั้นจึงเงยหน้าขยับเข้าหาเพื่อมองตามันใกล้ ๆ เบนหน้าไปซ้ายทีขวาที ทว่านัยน์ตาของลูซีนไม่ได้โฟกัสตาม

“นายได้ยินฉันไหม ?”

มันไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ

เขาโบกมือไปมา “เห็นฉันหรือเปล่า ?”

“…”

“ลูซีน” เขาเรียก

ไม่มีการตอบสนอง

“ลูซีน” เรียกอีกครั้งเสียงดังขึ้น

แต่มันก็ยังเงียบอยู่

“ถ้ารู้สึกตัวอยู่ก็ตอบสักหน่อย”

“...”

“...” นัยน์ตาของชายคนนั้นหลุบลงด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งมันไม่รู้ แล้วพึมพำคนเดียว “อาจต้องรออีกหน่อย”

เมื่อจัดการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วเขาจึงปล่อยมันเป็นอิสระ

ลูซีนนั่งพิงกำแพงมองกองไฟซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายเมตรด้วยแววตาเลื่อนลอยไม่เคยเปลี่ยน ส่วนชายคนนั้นก็กำลังทานอาหารกระป๋องเงียบ ๆ พลางเหลือบมองมันเป็นระยะ

เวลาไหลผ่านไปอย่างช้า ๆ เช่นเดียวกับกิ่งไม้ซึ่งค่อย ๆ เผาไหม้แล้วปล่อยสะเก็ดไฟบางครั้งบางครา

ชายคนนั้นเก็บข้าวของเตรียมพร้อมสำหรับออกเดินทางต่อในเช้าวันพรุ่งนี้ แต่ก่อนจะพักก็นำบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ

แกรก— เครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กถูกเปิดใช้งาน

“วันที่สองหลังจากโลกล่มสลาย ขณะย้ายออกจากโรงพละเพื่อไปอาคารสาม พวกเราประสบกับฝูงซอมบี้คลั่ง ลูซีนใช้ตัวกันฉันจนได้รับบาดเจ็บและติดเชื้อมา ขณะนี้ผ่านไปแล้วแปดชั่วโมงนับจากการกลายสภาพโดยสมบูรณ์...

“ยังไม่ตื่น”


#โลกสุดท้าย


คนแปลกหน้า : เราจะไปกันอย่างช้า ๆ สักพักนึงค่ะ🥰