เวรกรรม !! "แฟนเก่า" ในคราบ "เพื่อนร่วมงาน" มันคงไม่วุ่นวายขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พยายามจะกินฉันให้ได้น่ะสิ !!! ชเวฮัลวอล : เธอเสร็จฉันแน่ ยัยหมอแสบ
รัก,ดราม่า,ชาย-หญิง,เกาหลี,ยุคปัจจุบัน,พล็อตสร้างกระแส,ดราม่า,รัก,รักดราม่า,รักดุเดือด,รักโรแมนซ์,คุณหมอ,ความรัก,อีโรติก,NC,มหาลัย,วัยทำงาน,คลั่งรัก,โบ้,ฟินแซบ,ผู้ใหญ่,โรมานซ์,ง้อแฟนเก่า,ครอบครัว,ท้อง,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
คุณหมอครับ ช่วยรักษาหัวใจผมทีเวรกรรม !! "แฟนเก่า" ในคราบ "เพื่อนร่วมงาน" มันคงไม่วุ่นวายขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขา พยายามจะกินฉันให้ได้น่ะสิ !!! ชเวฮัลวอล : เธอเสร็จฉันแน่ ยัยหมอแสบ
ชเวฮัลวอล x คิมดายอน
“ ช่วงนี้คนไข้งดเหล้าด้วยนะคะ ”
“ งดไม่ได้ครับ ผมมีเรื่องเครียด…”
“ ตรวจเจอเอดส์หรอคะ ”
“ ปากแบบนี้ระวังโดนตบ ด้วยลิ้น นะครับหมอ ”
จากใจนักเขียน
นิยายเรื่องนี้ เป็นผลงานเขียนเรื่องแรกในชีวิตของไรท์ ซึ่งยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่า “ มือใหม่ ” ลองผิด ลองถูก เรียนรู้สิ่งต่างๆในวงการนี้ ดังนั้น หากมีข้อผิดพลาด คำติ คำชม คำแนะนำใดๆ ไรท์ยินดีรับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข พัฒนาตัวเองต่อไป
ทั้งนี้ ขอให้คุณผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน ช่วยส่งเสริมและเป็นกำลังให้ไรท์ตัวน้อยๆ คนนี้ด้วยนะคะ
คำเตือน !
นิยายเรื่องนี้ ถูกสร้างขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งหมด ทั้งตัวละคร พฤติกรรม เหตุการณ์และสถานที่ เป็นเรื่องสมมุติ มิได้มีเจตนาส่งเสริมการกระทำใดๆ ทั้งในเรื่องเพศ การใช้ความรุนแรง รวมถึงคำที่ไม่เหมาะสม นิยายเรื่องนี้เหมาะสำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป
ผู้เขียน : LNari
ภาพปก : LNari
นักวาดตัวละคร : Minnaree Panyapong
พิสูจน์อักษร : LNari
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามผู้ใดทำการคัดลอก เลียนแบบ หรือดัดแปลงเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของงานเขียนนี้ รวมทั้งการจัดเก็บ ถ่ายทอด สแกน บันทึก ถ่ายภาพ ไม่ว่าในรูปแบบหรือวิธีการใดๆ ในกระบวนการอิเล็กทรอนิกส์ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์เท่านั้น หากพบการฝ่าฝืนดังกล่าว จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด
ฝากติดตาม Tik Tok และ Blusky ด้วยนะค้าาาา
3 ปี ต่อมา
“ยัยดายอนนนน... ฉันได้งานที่โรงพยาบาลในโซลแล้วค่าาา”
“หู้วว จริงดิ ยอดไปเลย ได้ไปเป็นสาวโซลแล้วสินะ”
ฉันแสดงความยินดีกับโบรา เพื่อนสาวคนสนิทของฉัน
“ว่าแต่ของแกล่ะ จะไม่ไปโรงพยาบาลในโซลกับฉันจริงหรอ ฉันไม่อยากห่างกับแกเลยอ่ะ” โบรางอแงใส่
“เฮ้อ ฉันก็อยากไปหรอก แต่แกก็รู้ว่าฉันต้องอยู่ดูแลแม่น่ะ ถ้าจะย้ายก็ต้องย้ายโรงพยาบาลประจำของแม่ด้วย อีกอย่างหมอโรงพยาบาลอื่น ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาจะรับเคสของแม่ฉันไหม”
ฉันยิ้มเล็กๆ ให้โบรา มันไม่ใช่อาการน้อยใจในโชคชะตา เรียกว่าจำยอมเพราะเลือกอะไรไม่ได้ต่างหาก หลังจากเรียนจบพวกเราก็กระจายตัวกันไปใช้ชีวิตของผู้ใหญ่
ตอนแรกฉันตั้งใจสมัครไปที่โรงพยาบาลรัฐที่แม่รักษาตัวอยู่ เพราะจะได้ดูแลแม่ไปในตัว แต่มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะไม่มีตำแหน่ง
ว่างเลยน่ะสิ ฉันจึงพุ่งเป้าไปที่เอกชลต่อทันที ถึงจะอยู่ห่างแม่ไปสักหน่อยแต่อย่างน้อยสวัสดิการก็โอเคระดับนึงล่ะนะ
ครืดดด ครืดดด
“สวัสดีค่ะ”
< สวัสดีค่ะ คุณหมอคิมดายอน ใช่ไหมคะ >
“ค่ะ ไม่ทราบว่าจากไหนคะ”
< ดิฉันเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคล ของบริษัทอุตสาหกรรมยานยนต์ xyz ค่ะ ทางเราได้พิจารณาคุณสมบัติของคุณหมอคิมแล้ว อยากจะนัดสัมภาษณ์เพิ่มเติม พรุ่งนี้ 09.00 น. สะดวกไหมคะ >
“ได้ค่ะ.. ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ” ฉันตอบกลับด้วยความดีใจ
< ยินดีค่ะ พรุ่งนี้พบกันนะคะ >
กรี้ดดดด ฉันได้นัดสัมภาษณ์งานแล้วค่าาา
แถมเป็นบริษัทเอกชลอันดับหนึ่งที่ฉันเล็งเอาไว้ เพราะได้ค่าจ้างค่อนข้างสูง สวัสดิการเลิศ แถมไม่ไกลจากโรงพยาบาลแม่ฉันด้วย
เอาล่ะ ต้องเตรียมตัว ฉันจะต้องคว้างานของที่นี่ให้ได้ !
วันต่อมา
ฉันมาสัมภาษณ์งานที่บริษัท คร่าวๆ ที่ทราบข้อมูล ที่นี่รับนำเข้ารถยนต์และอะไหล่รถแบรนด์นอก เข้าประเทศ เป็นบริษัทอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในภาค เฉพาะสาขานี้มีพนักงานรวมๆ เกือบสามหมื่นคน แบ่งเป็นโรงงานส่วนต่างๆ ซึ่งรวมถึงแพทย์เองก็เช่นกัน
ฉันได้งานแพทย์ประจำโรงงานส่วนเครื่องล่าง หรือเรียกง่ายๆ ว่าส่วนประกอบอะไหล่เครื่องยนต์นั่นเอง ซึ่งฝ่ายนี้มีพี่หมอประจำแผนกอีก 2 คน และแจ็คพอตคือให้เริ่มงานทันที
หลังการแนะนำข้อมูลเบื้องต้น ฉันเดินตามพี่หัวหน้าฝ่ายบุคคลมา และหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง ที่เขียนว่า “ห้องพยาบาล”
ก็อกๆๆๆ
“ พาน้องใหม่มาฝากค่ะ นี่คือแพทย์หญิงคิมดายอน จะมาประจำฝ่ายส่วนเครื่องล่างตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ ฝากคุณหมอโกและคุณหมอจาง สอนงานคุณหมอคิมด้วยนะคะ”
พี่ฝ่ายบุคคลแจงข้อมูลยาวเหยียด ฉันโค้งหัวทักทายพวกพี่ๆ แม้บนใบหน้าของพวกเขาจะมีความสงสัยผุดเด่นขึ้นมา แต่ก็ยังยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“สวัสดีค่ะ …คิมดายอน ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ”
“สวัสดีครับ พี่โกอุนกู ส่วนนี่พี่จางเจฮา เป็นแพทย์ประจำฝ่ายส่วนล่างครับ”
พี่หมอหน้าหวานพูด พลางผายมือไปทางพี่หมอผู้หญิงอีกคนที่ดูมีอายุมากกว่านิดหน่อย
“นี่โต๊ะทำงานเรา พี่เตรียมไว้ให้แล้ว พวกเราไม่มีห้องพักส่วนตัวนะคะ ส่วนเรื่องอาหาร ก็ไปทานที่โรงอาหารหรือจะห่อมาทานเองก็ได้.. พวกเราอยู่กันแบบสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง มีปัญหาสงสัยอะไรถามพี่ได้เลยนะ”
พี่เจฮาพูดและเดินมาโอบไหล่ฉันให้นั่งลงที่โต๊ะ
“ค่ะ”
“เราดายอนใช่ไหม .. พี่เรียกแบบกันเอง ไม่ถือใช่ไหมครับ”
“ค่ะ เรียกดายอนได้เลยค่ะ”
“ครับ… ดายอนเรียนจบแพทย์เอกชีวอนามัยมาใช่ไหมครับ”
“ค่ะ พึ่งจบใหม่เลยค่ะ เคยฝึกงานของโรงพยาบาลรัฐมาช่วงนึง”
“ครับ ถ้างั้นก็เก่งแล้ว พี่คงไม่ต้องสอนเยอะ อาจจะเป็นเราต้องสอนพี่แทน”
“ฮ่าๆๆ พี่ก็พูดไป ยังไงขอฝากตัวกับพี่ๆ ด้วยนะคะ”
ฉันทำท่าไฟล์ทติ้งแล้วลุกคำนับพวกพี่ๆ อีกครั้ง
หน้าที่ฉันก็ทั่วๆ ไป รอรักษาพนักงานที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างทำงาน ซึ่งต้องสลับเวรกันอยู่ประจำห้องพยาบาล ส่วนมากพี่อุนกูจะอยู่กะกลางคืนเพราะเป็นผู้ชาย ฉันกับพี่เจฮาจะสลับกันเข้ากะเช้าบ้าง หรืออาจมีแทนกะกลางคืนกรณีพี่อุนกูหยุด
ด้วยความที่บริษัทนี้ค่อนข้างใหญ่ ถ้าเดินคนเดียวมีหลงทางแน่นอน ฉันเลยเลือกที่จะไม่เสี่ยงชีวิต โดยการนั่งทำตาปริบๆ รอคนมารักษา
ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์แล้ว ฉันได้เจอคนไข้ (พนักงาน) ที่เข้ามาขอยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง และรักษาแผลเล็กๆ จากการโดนเครื่องจักรบาดนิ้ว บาดขาและหกล้มเท่านั้น
“เอ่อ คือว่า... มันว่างขนาดนี้จริงๆ หรอคะ”
“ก็ประมาณนี้แหละ เพราะที่นี่กฎระเบียบการปฏิบัติงานค่อนข้างเคร่งครัด เลยไม่ค่อยมีพนักงานได้รับอุบัติเหตุน่ะ นอกซะจากจะป่วยกะทันหัน”
พี่เจฮาตอบ คือว่าตอนทำงานที่โรงพยาบาล ฉันยุ่งจนแทบไม่มีเวลากินข้าวเลยด้วยซ้ำ แต่พอมาทำที่นี่ กลับว่างจนฉันนั่งหาวไปหลายรอบ
“ง่วงหรอครับ” พี่อุนกูหันมาถาม
“นิดหน่อยค่ะ”
“งั้นไปเดินเล่นไหมครับ เดี๋ยวพี่พาไป เรายังไม่เคยเดินดูรอบๆ โรงงานเลยนิ”
“เกรงใจค่ะ พี่อุนกูจะพักผ่อนหรือเปล่า”
“ไม่ครับ พี่ก็ง่วงๆ เหมือนกัน”
ว่าแล้วก็ถือโอกาสนี้เดินเล่นเลยแล้วกัน เผื่อวันไหนไปคนเดียวจะได้ไม่หลง ฉันชวนพี่เจฮาแต่แกยกมือบ๊ายบายเพราะกำลังติดซีรี่ย์อยู่
“เราอายุเท่าไรแล้วนะครับ” ขณะเดินมาเรื่อยๆพี่อุนกูก็เปิดฉากถาม
“ปีนี้ 26 ค่ะ… พี่อุนกูล่ะคะ”
“พี่แก่แล้วครับ 30 แล้ว”
“30 ยังแจ๋วนะคะ ฮ่าๆๆๆ”
ฉันแซวพี่อุนกู เจ้าตัวดูผงะไปครู่นึงที่โดนมุกห้าบาทสิบบาทของฉันเล่นงาน แล้วเกาหัวแกรกๆ ใส่
“ฮ่าๆๆๆ ครับ แล้ว ..เรามีแฟนหรือเปล่าครับ”
“..คะ?” ฉันหันมองพี่อุนกู เจ้าตัวรีบยกมือปฏิเสธพัลวัน
“คือ ..พี่จะได้ไม่ล้ำเส้นครับ จะได้รู้ว่าอะไรเล่นได้ เล่นไม่ได้ พี่กลัวจะมีปัญหาทีหลังน่ะครับ”
“อ่อ สบายใจได้ค่ะ ดายอนยังไม่มีแฟนค่ะ”
“เอ๋ ดายอนน่ารักขนาดนี้ การศึกษาก็ดี ไม่มีแฟนจริงหรอครับ”
“แปลกตรงไหนคะ ดายอนไม่อยากมีเองค่ะ มัน…ยาวน่ะค่ะ”
ฉันหลบตาลงพื้น เพราะเรื่องที่กำลังคุยกัน มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องในวันนั้นขึ้นมาอย่างชัดเจน
“เอ่ออ พี่ถามเราเกินเลยไปหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ คือกับแฟนเก่า ..เราเลิกกันไม่ดีน่ะค่ะ เลยนึกขึ้นมาได้”
“อ่อ พี่ขอโทษด้วยนะครับ ไม่ได้ตั้งใจให้ดายอนรู้สึกแบบนั้น เปลี่ยนเรื่องดีกว่า … ปกติเราชอบทานอะไรครับ”
“ฮ่าๆๆๆ ปรับอารมณ์ตามไม่ทันเลยค่ะ”
หลังจากนั้นเราก็เดินคุยกันมาเรื่อย จนได้ข้อมูลที่ทำให้รู้จักกันมากขึ้น ฉันสัมผัสได้ทันทีว่าพี่อุนกูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นมาก ยิ้มแล้วเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานรับแสงแดดยามเช้า เป็นคนที่คุยด้วยแล้วสบายใจ
“พี่ขอแวะโรงอาหารซื้อน้ำสักหน่อยนะครับ คุยกับดายอนคอแห้งเลย”
“แหม่ งั้นขากลับดายอนจะไม่พูดกับพี่อุนกูนะคะ”
ฉันแซวกลับ เราพากันหัวเราะแล้วแวะโรงอาหารของแผนก
“....เฮ้ย ไอ้ฮัลวอล รอด้วยโว้ย”
พนักงานหนุ่มตะโกนลั่นโรงอาหาร เขารีบยัดข้าวคำโตเข้าปาก แล้ววิ่งตามเพื่อนชายที่เดินหลังลิบๆ ไป
“ฮัลวอล… ไอ้คนเฮงซวย”
เสียงสบถคำหยาบดังออกมาเบาๆ เพราะได้ยินชื่อเจ้ากรรมนายเวรเจ้าเดิม พอมีเรื่องมาสะกิดใจให้นึกถึงเขา เรื่องอื่นมันก็ผุดขึ้นมาไม่หยุด ฉันถอนหายใจทิ้งก่อนจะรีบตั้งสติ
แค่ชื่อเหมือนกันแหละ ในเกาหลี ฮัลวอล มีเป็นหมื่นเป็นแสนคน คงไม่ใช่ ..ฮัลวอล เดียวกันหรอกมั้ง
“ดายอน”
“คะ?”
“เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นเรายืนพึมพำอะไรคนเดียว”
“อ่อ คุยกับแม่สื่ออยู่ค่ะ”
“หืม พูดจริง”
“พี่อุนกูเชื่อคนง่ายเหมือนกันนะคะ”
“อย่าหลอกพี่เลย พี่แก่แล้ว”
พี่อุนกูเล่นมุกแซวตัวเอง เราพากันหัวเราะลั่น หลังได้เครื่องดื่มและของกินเล็กๆ น้อยๆ กันแล้วก็ชวนกันกลับห้องพยาบาล
“พี่เจฮา.. มีขนมมาฝากค่ะ” พี่เจฮาหันมารับขนมแล้วยิ้มแฉ่ง
“อุ้ยยย ขอบใจจ้ะ”
“อาทิตย์หน้า พี่จะลาอาทิตย์นึงนะ กลับโซลน่ะ น้องสาวพี่แต่งงาน”
“ฝากยินดีด้วยครับพี่ ว่าแต่อาทิตย์นึงเลยหรอครับ”
“จ้ะ นานๆ ครอบครัวจะมาเจอกันด้วยน่ะ เลยว่าจะพากันไปเที่ยวที่ไทย”
“ช่วงนี้ไทยฤดูร้อนนะคะพี่ เห็นว่าร้อนเหมือนซ้อมตกนรกเลย”
“ ฮ่าๆๆ เอาเถอะ อีกหน่อยเกาหลีก็จะเข้าฤดูหิมะแล้ว พี่คงคิดถึงแดดประเทศไทยเองแหละ”
ฉันแซวพี่เจฮา ว่าแต่ อาทิตย์นึงนี่นานมากเลยนะ แล้วฉันต้องอยู่กับพี่อุนกูสองคนด้วยสิ คงจะเกร็งๆ อยู่นิดนึง
“พี่อุนกูไหวใช่ไหมคะ จัดตารางให้ดายอนเข้ากะดึกสลับกับพี่ก็ได้นะคะ”
“ไม่เป็นอะไรครับ ดายอนเข้าเช้าดีกว่า กลางคืนมันน่ากลัวนะ”
“เอ่อ ค่ะ” ฉันรับคำพี่อุนกู แล้วนั่งทำงานต่อจนหมดวัน
วันนี้ฉันต้องแวะไปหาแม่ด้วย ตั้งแต่ได้งาน ฉันก็ไปวันเว้นวัน เพราะตารางเวลาเข้าเยี่ยมไม่ตรงกับตารางงานของฉัน
“ดายอนกลับก่อนนะคะพี่ๆ... สวัสดีค่ะ”
“หืม วันนี้ออกไวจังเลยครับ ปกติจะเห็นนั่งอยู่อีกพักใหญ่เลย”
“แหะๆ ดายอนต้องไปเยี่ยมแม่ค่ะ”
“หืม แม่เราเป็นอะไรหรอ” พี่เจฮาถาม
“มะเร็งค่ะ ระยะสุดท้าย” ฉันตอบด้วยเสียงเบาๆ ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“เอ่ออ พี่ไม่น่าถามเลย ขอโทษนะดายอน” พี่เจฮาพูด ก่อนจะยิ้มแหยๆ ให้
“ไม่เป็นอะไรค่ะพี่”
“อยู่โรงพยาบาลไหนหรอครับ” พี่อุนกูถาม
“โรงพยาบาลโกวอนค่ะ”
“พี่ผ่านทางนั้นพอดี งั้นเราติดรถพี่ไปไหมครับ”
“เกรงใจค่ะ เดี๋ยวดายอนเรียกแท็กซี่ไปเองดีกว่า”
“ไม่ต้องเกรงใจครับ บ้านพี่ผ่านทางนั้นอยู่แล้ว”
“เอ่อ ค่ะ ...งั้นรบกวนด้วยนะคะ”
วันนี้พี่เจฮาขอสับกะอยู่เวรดึก เพราะคงจะรู้สึกเกรงใจพี่อุนกูที่ต้องลากเวรดึกยาวช่วงที่แกลาหยุด หลังจากที่ล่ำลากันแล้ว พี่อุนกูเดินนำหน้าฉันมาที่โรงจอดรถ และเริ่มออกเดินทางไปที่โรงพยาบาลโกวอน
“แม่เรา..เป็นมานานแค่ไหนแล้วหรอครับ”
“ นับจากวันที่พบ ก็น่าจะ 3 ปีกว่าแล้วค่ะ”
“ถือว่านานมาก สำหรับคนเป็นโรคนี้ แม่เก่งมากเลยนะครับ”
“ค่ะ เพราะตอนเจอ เจอระยะต้น บวกกับดายอนมีความรู้หมอ เลยประคบประหงมแม่มาอย่างดีค่ะ ทำให้รักษายืดเวลามาได้ แต่ตอนนี้มันลุกลามไปเยอะแล้ว เลยรักษาตามอาการเท่านั้นค่ะ”
“แล้วแม่ดายอนอายุเท่าไรแล้วครับ”
“52 ค่ะ”
“อ่อ งั้นไว้วันหลัง พี่ลงไปเยี่ยมแม่ด้วยได้ไหม จะได้ทักทายผู้ใหญ่ด้วย”
“ได้ค่ะ… ว่าแต่ บ้านพี่อุนกูไปทางนี้หรอคะ”
“ครับ จริงๆ ก็ห่างโรงพยาบาลโกวอนไม่ถึง 10 กิโลหรอก”
“อ่อค่ะ”
“ถ้าวันหลังจะมา มากับพี่ก็ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจครับ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ”
พี่อุนกูจอดส่งฉันที่หน้าโรงพยาบาลแล้ว ก็แยกย้ายกันไป ฉันเดินมาถึงห้องพักของแม่ แอบส่องผ่านช่องประตู หญิงชราคนนึงที่ร่างกายซูบผอมจนเห็นรูปร่างของโครงกระดูก นั่งยิ้มรอฉันอยู่ที่เตียง
“แม่คะ”
“อ่าาา มาแล้วหรอ วันนี้เป็นไงบ้างลูก”
คำทักทายที่คุ้นเคย ส่งผ่านด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและเบาจนแทบไม่ได้ยิน ฉันวางสัมภาระลงแล้วเดินไปนั่งข้างเตียงแม่
“ดีมากเลยค่ะแม่ พี่ๆ ใจดี งานไม่หนัก อ่อ วันนี้ดายอนมีน้ำสมุนไพรมาให้แม่ด้วยนะคะ ปรับสูตรนิดหน่อย แม่จะได้ดื่มง่ายขึ้น”
ฉันเทน้ำสมุนไพรที่ต้มเอง คิดสูตรเองให้แม่ดื่ม
“ดายอน…”
“คะ” ฉันหันมองหน้าแม่ แม่ยิ้มเล็กๆ ออกมา ก่อนจะหลบตาฉัน
“แม่ฝัน ว่าพ่อมาชวนไปอยู่ด้วยน่ะ”
“...แม่”
“แม่คิดว่า มันใกล้จะถึงเวลาแล้ว เพราะฉะนั้น ลูกสาวคนเก่งของแม่ หนูควรจะไปใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้วนะลูก”
“...”
“เพราะมัวแต่ดูแลคนแก่อย่างแม่ ดูสิ ลูกสาวคนสวยยังขายไม่ออกเลยเนี้ย”
“..ฮึก อย่าพูดแบบนี้สิคะ แม่ก็รู้ว่าหนู....” ...ไม่เหลือใครแล้ว
คำพูดสุดท้ายมันจุกอยู่ในอก แม่รู้คำตอบนั้นดี มือที่แห้งเหี่ยวแต่อบอุ่นกว่าสิ่งไหนๆ บนโลกใบนี้ ยกขึ้นลูบหัวฉันเบาๆ น้ำตาล่วงอาบแก้มทั้งสองข้าง ถึงจะทำใจมานานแล้วว่าต้องมีสักวันที่ฉันควรจะปล่อยมือแม่ แต่มันก็ยังไม่พร้อมที่จะเป็นเร็วๆ นี้
ฉันนั่งร้องไห้อยู่นาน จนพยาบาลเข้ามาแจ้งว่าหมดเวลาเยี่ยมไข้ ริมฝีปากสวยก้มลงจูบเบาๆ ที่หลังมือแม่ เป็นการล่ำลาสำหรับวันนี้
ดวงตาที่ยังชุ่มไปด้วยน้ำ มองทอดวิวเมืองผ่านกระจกรถแท็คซี่ เหม่อถึงเรื่องที่แม่พูด แค่คิดฉันก็หายใจไม่ออกแล้ว มันเจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยายออกมา
ถึงปลายทางที่คุ้นเคย ซอยเปลี่ยวกลางชุมชนใหญ่ มีเพียงไฟไลน์ทางส่องสว่าง และกองขยะข้างเสา ห้องซุกหัวนอนหลังน้อย ที่อดีตเคยเป็นห้องเก็บของบนชั้นดาดฟ้าบ้านมนุษย์ป้าคนนึง
“แม่งเอ้ย! เมื่อไรอีเด็กนั่นจะมาวะ รอจนขาแข็งแล้ว”
“ขาแข็งรึอะไรแข็ง มึงพูดอีกที หึๆ”
อึก!
ฉันรีบวิ่งไปหลบหลังกำแพงทันที เพราะแก๊งเจ้าหนี้นอกระบบ มันมาดักรอฉันหน้าบ้าน …อีกแล้ว
ฉันกู้หนี้นอกระบบมาเพื่อรักษาแม่ เพราะตอนที่แม่เริ่มป่วย ฉันยังเรียนมหา’ลัย จะมีปัญญาเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล
ได้เป็นปีๆ กันล่ะ
“เดือนนี้ฉันจ่ายดอกไปแล้วนิ ทำไมพวกมันยังมาอีกล่ะ” ฉันพึมพำ
“เห้ย กลับก่อนเถอะ กูหิวข้าว อีนั่นป่านนี้แม่งมัวไปไหนไม่รู้”
“เสียเวลาชิบ.. จะไถดอกเบี้ยเพิ่มซะหน่อย ถ้าไม่มีให้ กูจับขัดดอกแม่ง”
ฉันมือสั่น กำโทรศัพท์แน่นด้วยความโกธรผสมกลัว พวกมันพูดถึงแผนการอันน่ารังเกลียดอย่างกับเป็นเรื่องตลก ไม่นานเสียงเดินลงบันไดดังใกล้เข้ามา ฉันรีบเข้าหลบมุมมืดข้างถังขยะที่เหม็นชวนอ้วก จนเสียงคุยเงียบไป จึงค่อยๆ ชะเง้อออกมาดู แล้ววิ่งหนีขึ้นห้อง
“เฮ้อออ ...ทำไมฉันต้องมาเป็นแบบนี้ด้วยนะ”
ฉันนั่งกอดเข่าทรุดลงกับพื้นห้องไม้เก่าๆ กลิ่นเชื้อราที่ชินจมูก ความเย็นเฉียบจากการไม่มีเครื่องทำความอุ่นใต้พื้น พอเห็นบรรยากาศแบบนี้รอยยิ้มที่สมเพชตัวเองก็ฉีกขึ้นมา
ฉันคงเป็นหมอที่จนที่สุดในโลกแล้วมั้ง ..
กริ้งงงง กริ้งงง
ร่างผอมบางสะดุ้งตื่นจากเสียงนาฬิกาปลุก ..อาา นี่ฉัน หลับไปทั้งอย่างนี้เลยหรอ ถึงว่าทำไมปวดตัวอย่างกับโดนช้างเหยียบ
วันนี้ฉันต้องอยู่กับพี่อุนกู 2 คน โดยฉันเข้าเวรกะเช้า พี่อุนกูเข้าเวรกะบ่าย และมันเป็นอย่างเช่นทุกวัน มีเพียงพนักงานแวะเวียนมาขอยาแก้ปวดและล้างแผลเท่านั้น นาฬิกาบอกเวลาประมาณเที่ยง ทันทีที่ประตูห้องทำงานเปิด พี่อุนกูทักทายด้วยรอยยิ้มหวานๆ
“สวัสดีครับดายอน”
“สวัสดีค่ะพี่อุนกู”
“ทำอะไรอยู่หรอครับ”
“อ่านบทความแพทย์ค่ะ หาความรู้ใหม่ๆ ใส่ตัวบ้าง”
“ขยันจังเลย อ่ะนี่.. พี่ซื้อขนมมาฝาก”
พี่อุนกูส่งถุงขนมปังปลาไส้เนยกลิ่นหอมฉุยให้ ฉันแบมือรับ โดยไม่ทันระวังว่ามันเป็นอาหารชนิดร้อน
“ขอบคุณ…อ้ะ ว้าย!”
ตุ๊บ!
“เป็นอะไรหรือเปล่า!”
ขนมปังปลาลงไปแหวกว่ายบนพื้นเรียบร้อย ด้วยความตกใจพี่อุนกูรีบจับมือฉันไปดู และเป่าให้ประหนึ่งฉันเป็นเด็กน้อย
“มะ ไม่เป็นอะไรค่ะ” พี่อุนกูยังกุมมือฉันไว้ จนฉันแอบใจสั่นนิดๆ
ปั้ง!!
“หมอ ....แห้กๆ ไปหน้างาน ...แห้กๆ ครับ”
พนักงานชายโน้มตัวค้ำกับเข่า ใบหน้าที่ร้อนรนนั้นมีเหงื่อผุดท่วม เขาพูดไปหอบไป จนแทบฟังไม่รู้เรื่อง
“เกิดอะไรขึ้นครับ” พี่อุนกูถาม
“แห้กๆ.. อึก แม็กซ์หล่นลงมาทับขาพนักงานช่างครับ”
“ดายอน เตรียมอุปกรณ์ทำแผลด่วนครับ”
“รับทราบค่ะ”
ฉันวิ่งไปเตรียมกล่องปฐมพยาบาล พี่อุนกูแบกชุดดามขา พวกเราพากันวิ่งเข้าไปในโรงงานต้นตอทันที พนักงานหลายสิบคนกำลังมุงดูเหตุการณ์
“ขอทางด้วยครับ!”
พี่อุนกูตะโกนบอก ก่อนจะฝ่าดงผู้คน จนไปถึงตัวผู้ได้รับบาดเจ็บที่นอนโอดครวญอยู่
“ขาเบี้ยวผิวรูปแต่ไม่มีเลือดออก คาดว่ากระดูกน่าจะเคลื่อนหรือหัก หมอจะดามไว้ก่อน ..ดายอน โทรเรียกรถพยาบาลด่วนครับ”
“รับทราบค่ะหมอ”
ฉันรีบกดโทรศัพท์หาโรงพยาบาลประสานงานทันที พี่อุนกูเป็นคนลงมือดามขา ส่วนฉันเป็นผู้ช่วยจับและส่งอุปกรณ์ให้
“ทุกท่านกลับไปทำงานด้วยครับ”
เสียงชายสูงวัยคนนึงสั่ง พนักงานกระจายตัวกันไปทำงานตามปกติ พอผู้คนเริ่มบาง ฉันเงยหน้าขึ้น สายตาก็ไปผสานกับชายคนนึงที่ใส่ชุดหมี
ครึ่งล่าง เสื้อกล้ามสีขาวเลอะคราบน้ำมันเครื่อง และรอยสักที่คุ้นตาโผล่พ้นขอบเสื้อออกมา
… ไอ้ชั่วฮัลวอล หรอ???
เหมือนเวลาถูกหยุดเอาไว้ตรงนั้น บรรยากาศรอบตัวนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงวุ่นวายในตอนแรก สายตาของเขาที่มองมา มันเป็นสายตาคุ้นชินที่ไม่คุ้นเคย เต็มไปด้วยความห่างเหินและว่างเปล่า
เขาดู ..เปลี่ยนไปนิดหน่อย แบบว่าร่างกายบึกบึนขึ้น กล้ามเป็นมัดๆสีผิวเข้ม ใบหน้าคมดุ ไม่ได้ขาวตี๋ ดูสะอาดสะอ้านอย่างเมื่อก่อน และสิ่งที่ทำให้ฉันมั่นใจว่าเป็นเขาแน่นอน คือ รอยสักรูปฟันเฟืองบนหน้าอกซ้าย
รอยสักนี้ มีคนเดียวในโลก เพราะฉันเป็นคนออกแบบรอยสักนั้นเอง
“...ดายอนครับ”
“...”
“...ดายอน!”
“ห้ะ คะ?” ฉันรีบตั้งสติ กลับมามองคนบาดเจ็บตรงหน้า
“ขอผ้าเทปด้วยครับ”
“ค่ะ”
ฉันส่งของให้พี่อุนกูด้วยมือที่สั่นเทา หัวใจเต้นแรง หน้ามืดเหมือนกำลังจะเป็นลม ไม่รู้เพราะตกใจเสียงตะคอกของเขาหรือกำลังประหม่าการลงสนามครั้งแรก หรือเพราะ ใคร กันแน่
“รถพยาบาลมาแล้ว ไปนำทางมาครับ”
พี่อุนกูสั่ง ฉันรีบลุกวิ่งไปหารถพยาบาล จากนั้นนำทางเจ้าหน้าที่มารับตัวผู้บาดเจ็บ ฉันไม่กล้าหันไปมองทางเดิมเพราะกลัวจะเจอคนๆ นั้น
หลังส่งตัวผู้บาดเจ็บให้รถโรงพยาบาลแล้ว บรรยากาศเริ่มกลับสู่ความเงียบสงบ พี่อุนกูเก็บชุดปฐมพยาบาลและเดินนำหน้าไปเงียบๆ
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” พอถึงห้อง พี่อุนกูก็เปิดฉากถาม
“คะ?? มะ ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“พี่เห็นเราเหม่อไปช่วงนึง ประหม่าการลงสนามหรือเปล่า”
“เอ่อ นิดหน่อยค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ แต่อยากให้เราตั้งสติให้ดี เพราะวินาทีนั้น คือนาทีชีวิต ถ้าหมอมัวเหม่อ คนไข้อาจจะได้รับอันตรายมากขึ้นกว่าเดิมนะครับ”
พี่อุนกูติยาว ฉันทำได้เพียงก้มหน้ารับคำตินั้น พยักหน้าตามช้าๆ
มุแง้... โดนพ่อหนุ่มดอกไม้ดุค่าาา
“จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกค่ะ”
“ครับ”
เพราะไอ้บ้านั่นแหละ …
หลังเกิดเรื่อง ทั้งวันฉันก็ไม่กล้าขยับตัวไปไหนเลย หมกตัวอยู่แต่ในห้องพยาบาล คิดถึงใบหน้านั้นแล้วภาวนาว่าขอให้ตาฝาดไปเอง จนวันต่อมา