"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่,ลมห่วงรัก-บทที่ ๙ ความหวังเดียว,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 1/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 2/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๔ ไฟ

เนื้อหา

บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก

บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก

‘วันนี้ฉันยังเป็นสุขดี

บอกกับตัวเองด้วยคำพูดนี้ทุกครั้งที่ความเจ็บปวดภายในร่างกายแสดงอาการของมันทีละเล็กทีละน้อย และยอมรับว่าเหลือเวลาบนโลกนี้อีกไม่นาน

เกรียงไกรยังขยันขันแข็งเพื่อครอบครัวทั้งที่เขาเองก็แสนเหนื่อยล้า ก้องก็พยายามตั้งใจเรียนและช่วยพ่อทำงานโดยไม่มีเสียงบ่น ลูกสาวของฉัน แม่นางฟ้าตัวน้อยก็เสนอตัวขอช่วยงานทุกวัน แต่ก็มักถูกเกรียงไกรเอ็ดกลับว่าเป็นการเล่นซุกซนอยู่ร่ำไป

พวกเขากำลังพยายามเพื่อฉัน ฉันก็ต้องพยายามเหมือนกัน ฉันต้องยิ้มสู้กับมัน จะไม่ยอมแพ้หรือจมจ่อมอยู่กับความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ ความสุขที่เหลืออยู่ต่างหากคือสิ่งที่ฉันต้องเพ่งเล็ง’

 

สมุดบันทึกเล่มหนาปกสีแดงถูกปิดลง แล้ววางสงบนิ่งบนผืนหญ้าข้างกายสาวรุ่น เจ้าของร่างบอบบางที่เอนตัวลงนอนบนพรมหนานุ่ม สองแขนยกขึ้นเหนือหัวรองรับศีรษะต่างหมอนหนุน ผมสีดำเงางามยาวสลวยปล่อยสยายแผ่กว้างล้อมกรอบใบหน้านวลสวยหวานหยดย้อย 

ดวงตาสีนิลเปล่งประกายจ้องมองปุยเมฆขาวที่ลอยละล่องตามแรงลมบนแผ่นฟ้ากว้าง สูดกลิ่นหญ้าหอมอ่อน ๆ แซมกลิ่นหอมของดอกมะลิสีขาวบริสุทธิ์ที่อบอวลไปทั่วบริเวณ แล้วหลับตาจินตนาการถึงหน้าตักอุ่นของมารดาที่เคยหนุนต่างหมอน

ความทรงจำที่ไม่เคยเลือน ความสุขที่ไม่เคยลบหาย ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ที่นี่ บนเนินเขาสวยตรงนี้...

ที่ดินแดนแห่งรัก...

“แม่เคยบอกให้ยิ้มเสมอเวลาที่เรามีเรื่องเศร้าใช่ไหมคะ ธิดา กำลังพยายามทำอยู่ค่ะ แต่บางเรื่องมันก็ยากเกินที่เราจะฝืนยิ้มได้ ถ้าจะขอร้องไห้บ้างคงไม่ผิดนะคะแม่” ธิดาเอ่ยบอก และหวังให้มารดาได้ยินเสียงจากอีกฟากภพ

“แต่เวลาที่ธิดารู้สึกเศร้า สมุดบันทึกปกแดงที่แม่ฝากมากับ คุณครูเกสรช่วยได้มากทีเดียวค่ะ ช่วยให้ธิดาได้พบกับแม่ผ่านตัวอักษรที่แม่ฝากไว้ทีละหน้า ๆ แต่ธิดาจะหยิบอ่านเฉพาะเวลาที่เศร้าเท่านั้น เพราะอะไรรู้ไหมคะ”

รำพึงถึงตรงนี้แล้วจึงเปิดเปลือกตา “เพราะธิดาไม่อยากให้จบ ถ้าอ่านถึงหน้าสุดท้ายเมื่อไรก็หมายความว่าเป็นหน้าสุดท้ายที่แม่เขียนก่อนจากโลกนี้ไปแล้ว” 

‘น้ำเขาฝากให้ครูเก็บไว้ กำชับว่าให้ส่งถึงมือธิดาและอย่าให้เกรียงไกรรู้ ครูก็ไม่ได้ถามอะไรเขามากนัก แต่เขามีบางเรื่องที่อยากบอกธิดา แล้วย้ำว่าต้องอ่านบันทึกให้ครบทุกหน้า อย่าได้ขาดแม้เพียงสักหน้าเดียว’

ความทรงจำย้อนรำลึกถึงวันแรกที่สัมผัสหน้ากระดาษ หลังจากแม่ของเธอเสียไม่นาน โรงเรียนอนุบาลที่แม่เป็นครูก็ถูกขายต่อให้นายทุนเพื่อนำที่ดินไปสร้างคอนโดมิเนียมหรูวิวภูเขา ซึ่งหากแม่ของเธอยังอยู่ โรงเรียนแห่งใหม่จะต้องถูกสร้างทดแทนบนผืนดินนี้ ตรงที่เห็นทุ่งดอกอ้อพัดพลิ้ว ธิดาจึงตั้งฝันว่าจะสร้างโรงเรียนอนุบาลแห่งใหม่ให้สำเร็จ และอยากให้แม่ที่อยู่ในอีกโลกได้รู้ว่าลูกสาวคนนี้ก็มีดีพอจะสร้างความภูมิใจให้แก่ครอบครัว

เธอปาดน้ำตาแล้วเก็บสมุดบันทึกใส่กระเป๋าสะพายผ้าใบ รูดซิปที่มีพวงกุญแจรูปดาวห้าแฉกสีทองคล้องไว้แล้วยกขึ้นสะพายไหล่ ยันตัวเองขึ้นเพื่อสูดอากาศและกลิ่นอายทะเลเข้าปอด ดวงตากลมสวยมองทอดไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า เห็นท่าเทียบเรือสินค้าอยู่ไกลตาจากเนินเขา อันเป็นมรดกตกทอดจากมารดาที่ใคร ๆ ต่างบอกว่าเป็นที่แปลงสวย หน้าจดทะเลหลังจดเขาสูง ผืนหญ้าเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์

มีนายทุนหลายคนสนใจขอซื้อและเสนอราคาสูงลิบ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธจากเกรียงไกร บิดาของเธอทุกครั้ง แม้ว่าที่ดินผืนนี้จะเป็นมรดกที่ส่งมอบแก่เธอ แต่เพราะยังเป็นผู้เยาว์จึงยังไม่มีสิทธิ์ในที่ดินของตัวเองตามพินัยกรรมของปู่ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า

‘ที่ดินผืนนี้จะต้องถูกมอบให้แก่ทายาทฝ่ายหญิงของตระกูลฤทธิ์นาคา เมื่อเธอผู้นั้นบรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย’ 

ซึ่งนอกจากบิดาแล้วก็ยังมีก้องปฐพี พี่ชายแสนห่ามที่คอยช่วยกีดกันพวกนายหน้าที่ดินจอมตื๊อให้หลายต่อหลายครั้ง และเขาก็ช่างเป็นคนตายยากเสียจริง คิดถึงไม่เท่าไรก็ปรากฏกายให้เห็นทันที

ดวงตาสีนิลยิบหยีลงขณะยกมือป้องแดดมองพี่ชายแสนห่ามที่ปรากฏกายอยู่เบื้องล่างพร้อมกับเจ้าแบล็กแบร์ ยานพาหนะคู่ใจที่เป็นมอเตอร์ไซค์คันโตสีดำสนิท ชายหนุ่มจอดรถมอเตอร์ไซค์ตรงตีนเนิน ถอดหมวกกันน็อกเผยให้เห็นรูปหน้าเรียว คิ้วคมเข้ม ดวงตาสีดำสนิท ก่อนจะส่งรอยยิ้มกว้าง โบกมือโบกไม้ให้แล้วเดินขึ้นเนินมุ่งตรงมาหา

ธิดาจึงลุกขึ้นยืนโบกมือตอบอย่างสบายใจ ทว่าทันทีที่เห็นผู้เป็นพี่มือบอนเด็ดต้นอ้อก้านยาวติดมือมาด้วย เด็กสาวก็ประหวั่นใจ รีบก้าวถอยหลังเมื่อเจ้าของขายาวเข้ามาใกล้ พร้อมกับวาดก้านดอกอ้อเป็นวงกลมตัดอากาศฟาดลง

เพียงแค่อึดใจเดียวที่เด็กสาวคิดว่ารอดพ้น ก้านดอกอ้อนั้นก็ฟันลงตรงกลางศีรษะอย่างจัง จนปุยดอกของมันฟุ้งกระจายลอยละล่องไปตามสายลม ดูสวยงามแต่ช่างทารุณเหลือเกินสำหรับผู้กำลังถูกทรมาน

“เจ็บนะคะพี่ก้อง ขี้โกงนี่ ก็เห็นอยู่ว่าธิดาไม่มีอาวุธในมือ”

ผู้เป็นน้องร้องโวยวายพลางยกมือปัดป้องต้นอ้อที่ก้องปฐพีเพียรกระหน่ำตีลงมา ไม่สนใจว่าน้องสาวแสนรักจะพยายามเบี่ยงตัวหลบหลีกหนีดาบต้นอ้อด้วยความยากลำบากเพียงใด

“ไม่มีอาวุธก็ต้องรู้จักสู้ด้วยมือเปล่าสิ สอนไปแล้วนี่นาว่าให้สู้กลับยังไง” พูดไปก็ไล่กวัดแกว่งดาบดอกอ้อฟาดเธออย่างไม่ปรานี

“จะมีใครรู้บ้างไหมว่าพี่ชายที่ทุกคนต่างก็อิจฉาว่าสุดหล่อแสนเท่ของธิดาน่ะซาดิสม์ ชอบรังแกน้องสาวเป็นงานอดิเรก” คนถูกรังแกพูดไปก็หาทางหลบหลีกไป และพอได้จังหวะเห็นช่องทางสู้ก็ใช้กระเป๋าสะพายเป็นอาวุธเหวี่ยงฟาดเข้าใส่ร่างใหญ่เต็มแรง

แต่กระเป๋าสัมภาระที่ว่าหนักไม่อาจทำให้ก้องปฐพีสะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย แถมยังคว้ากระเป๋าแล้วกระชากเข้าหาตัวจนน้องสาวเซถลาโผเข้าหาอ้อมอก แต่ก็ยังไม่หนำใจ พี่ชายขาโหดขอจบกระบวนท่าสุดท้ายด้วยการล็อกคอของเธอด้วยท่อนแขนที่แกร่งกำยำ 

“ไม่อยากให้โตไปกว่านี้เลย น้องสาวพี่” บอกขึ้นในขณะที่คนตัวเล็กดิ้นขลุกขลักทุรนทุราย

“ก้องนี่ เราน่ะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะยังชอบแกล้งน้องอยู่ได้” เสียงพูดกึ่งตำหนิกึ่งขบขันดังเข้ามาใกล้

“ผมไม่ได้แกล้งอย่างเดียวสักหน่อย มีสอนการป้องกันตัวให้ด้วย ดูสิผมสอนไปตั้งหลายกระบวนท่า แต่ไม่มีแววว่าจะคืบหน้าไปไหน” ก้องปฐพีรีบแก้ตัวกับบิดาที่เพิ่งเข้ามาร่วมวง

“คงไม่มีใครมาทำอันตรายธิดาได้หรอกค่ะ ก็พี่ก้องน่ะไปรับไปส่งทุกวัน ตามติดอย่างกับธิดาเป็นเด็กอนุบาล เรียนการป้องกันตัวไปก็คงไม่ได้ใช้จริง” ผู้เป็นน้องแย้งทันทีหลังจากหลุดออกจากพันธนาการของพี่ชายตัวใหญ่

“แต่ต่อจากนี้พี่เขาคงจะไปรับไปส่งไม่ได้แล้วละ” เป็นบิดาที่พูดพลางเดินนำบุตรชายและบุตรสาวลงจากเนินเขา

คนที่ได้ยินก็แปลกใจ เร่งฝีเท้านำหน้าขวางทางพ่อเอาไว้เอง “ทำไมคะ เอ๊ะ หรือว่าพี่ก้องเจอคนถูกใจแล้ว เลยจะไปรับส่งเขาแทนน้องสาวละสิท่า”

“ที่บอกว่าไปรับไปส่งไม่ได้ก็เพราะว่าพี่ต้องเริ่มสานต่องานจากพ่อแล้ว เลยต้องช่วยพ่อทุกวันไงยายโง่ แล้วก็อีกอย่างนะ ใครจะมาชอบคนอย่างพี่ วัน ๆ ก็อยู่แต่ในไซต์ก่อสร้าง เนื้อตัวสกปรกเหม็นเหงื่อ เอาใจใครก็ไม่เป็น” พี่ชายเฉลยให้น้องสาวรู้ ได้ยินเสียงหัวเราะครืนของบิดาที่อยู่ด้านหน้า

“แต่ถ้าเขารู้ว่าก้องปฐพีคนนี้เป็นทายาทบริษัทก่อสร้างที่กำลังโตวันโตคืนละก็ ธิดาว่าขี้คร้านจะรีบมาต่อคิว ขอเป็นคู่ควงกันจนหัวกระไดไม่แห้งเนอะพ่อเนอะ”

“ถ้าจะคบกันเพราะเหตุผลนั้นละก็ ขอเป็นโสดจนตายดีกว่า”

ได้ยินแล้วความหวังที่จะได้พี่สะใภ้ห่างไกลออกไปทุกที เด็กสาวจึงลอบถอนหายใจแล้วเร่งฝีเท้าเดินไปเคียงข้างพี่ชาย “ไม่แต่งก็ไม่แต่ง ธิดาก็เหมือนกันค่ะ ถ้าธิดาสร้างโรงเรียนตามความฝันของแม่ไม่ได้ ธิดาก็จะไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น”

“จะทำได้จริงหรือ” ก้องปฐพีเลิกคิ้วถามเสียงสูง

“ทำได้สิคะ” น้องสาวยืนยันแข็งขัน

สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ก้องปฐพีโอบไหล่น้องสาวแน่น ยกมือขยี้หัวจนผมสลวยเรียบตรงของเธอยุ่งเหยิง ส่งเสียงหัวเราะสดใสกังวานดั่งระฆังแก้วในสายลม

 

สายลมโบกพัดธงไตรรงค์บนเสากระโดงเรือปลิวไสว ดูสวยงามคล้ายชายกระโปรงของนักเริงระบำกำลังขับแข่งกันชิงความเด่นให้เจ้าของเรือประมงที่เข้าจอดเรียงรายตรงท่าเทียบสะพานปลา

บริเวณโดยรอบดังเซ็งแซ่ด้วยเสียงของเหล่าชายชาวประมงที่พูดคุยกันเฮฮา บ้างก็ช่วยกันขนย้ายถังแช่เย็นปลาสดที่จับได้จากทะเล บ้างก็พูดคุยต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ขายที่มารับของทะเลถึงหน้าเรือ ภาพเหล่านี้ล้วนเป็นภาพแสนธรรมดาสามัญของผู้คนที่เกิดและเติบโตที่นี่ แต่จะผิดแผกแปลกไปก็คงเป็นภาพของบุคคลสองคนที่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนในถิ่น

เพราะหญิงสูงวัยที่เดินท่ามกลางชาวบ้านแต่งตัวธรรมดา โดดเด่นด้วยหมวกปีกกว้างสีขาว และสง่างามในชุดเสื้อกับกระโปรงผ้าเนื้อดีสีเดียวกันที่ตัดเย็บอย่างประณีต ส่วนผู้ที่ตามหลังมาไม่ห่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ โครงหน้าเรียว จมูกโด่งเป็นสันคล้ายกับคนที่มีเชื้อสายยุโรป สวมใส่เสื้อโปโลคอปกผ้าเนื้อดีสีน้ำเงินเข้มเข้ากับสีของท้องฟ้า และกางเกงสแล็กทรงสวยพอดีตัวสีคาราเมล

แค่หน้าตาและการแต่งกายก็ดูดีแตกต่างจากคนที่นี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งคู่ยังสวมแว่นกันแดดปิดบังดวงตา โผล่พ้นเพียงใบหน้าครึ่งล่าง มากไปกว่านั้นคือลักษณะท่าทางเดินด้อม ๆ มอง ๆ ตามเรือลำนั้นลำนี้ ทำให้หญิงสาวชาวประมงผู้หนึ่งอดเดินเข้าไปถามไถ่ไม่ได้

“คุณมาหาใครหรือคะ” 

ผู้มาเยือนจากต่างถิ่นฝ่ายหญิงคลี่ยิ้มเอ่ยวาจาตอบด้วยปากแต้มสีแดงสด ลดทอนอายุของเธอให้ดูอ่อนกว่าวัย “เธอรู้จักคนชื่อ บรรพต ไหมจ๊ะ ฉันมาตามหาเขาน่ะ”

หญิงสาวท้องถิ่นส่ายหน้า “บรรพตที่นี่มีตั้งหลายคน บรรพตที่คุณหานั่นน่ะนามสกุลอะไร เผื่อว่าพวกฉันจะพอรู้จักบ้าง”

“บรรพต ฤทธิ์...”

แต่เจ้าของเรียวปากสีแดงยังไม่ทันจะได้พูดต่อให้จบก็ต้องรีบหันหลังขวับ จับปีกหมวกกว้างลดลงบังใบหน้าจนเกือบมิด ก่อนจะดึงแขนหลานชายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวให้เดินออกมาจากตรงนั้น แล้วหามุมลับตาเพื่อมาแอบมองหญิงสาวชาวประมงคนนั้นที่กำลังคุยอยู่กับผู้หญิงสูงวัยรูปร่างท้วมอีกคนที่เพิ่งเดินเข้าไปทักทาย

“อะไรกันครับคุณย่า ทำไมถึงหยุดถามเขาล่ะ แถมยังลากผมมาแอบตรงนี้อีก” ผู้เป็นหลานรีบซักไซ้หาความ 

“ฉันเจอคนรู้จัก...คนนั้นน่ะ” เธอพูดแล้วพยักพเยิดหน้าบอกทิศทาง

ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงมองตามสายตาของผู้เป็นย่า “ก็ดีแล้วนี่ครับ เขาอาจจะรู้จักคุณบรรพตของคุณย่าก็ได้” แล้วรีบก้าวเท้าออกเดินจากที่กำบังแต่กลับถูกรั้งแขนไว้ก่อน

“หยุดนะ อย่าเพิ่งไป”

“นี่คุณย่าลากผมมาที่นี่หลายครั้งแล้วนะครับ จะมีก็ครั้งนี้ครั้งแรกที่คุณย่ากล้าถามหาคนที่คุณย่าตามตัวอยู่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นรู้จักคุณย่า เขาก็ต้องรู้จักคุณบรรพตด้วยแน่”

“เขารู้จักแน่ คนนั้นน่ะชื่อเกสร” คนเป็นย่าบอก

“แล้วไงครับ คุณเกสรคนนั้นเขาเป็นญาติกับคนที่ชื่อบรรพตหรือเปล่าล่ะ ถ้าใช่ทำไมเราไม่ถามเขาเสียเลย”

“เปล่า เขาไม่ใช่ญาติบรรพต แต่ฉันยังไม่อยากเจอเขาตอนนี้” เธอบอกแค่นั้นแล้วพ่นลมหายใจออกเสียยาว “ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะมาถามหาเพื่อนของบรรพตที่เป็นเจ้าของเรือประมงพวกนั้น แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครที่คุ้นหน้าเลย”

“เปลี่ยนใจอีกแล้วหรือครับ ให้ตายสิคุณย่า นี่หมายความว่าผมจะต้องมาที่นี่อีกสักกี่ครั้งถึงจะเจอตัวคนที่ชื่อบรรพตอะไรนั่น” เขาพูดอย่างหัวเสีย ยกแว่นกันแดดที่ปกปิดดวงตาสีน้ำตาลเข้มสุกสกาวขึ้นคาดผมนุ่มสีน้ำตาลสวยมองผู้เป็นย่าให้เต็มตา

“คงไม่ได้เจอครั้งนี้แน่” ผู้เป็นย่ากอดอกบอกเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรกับอาการไม่พอใจของหลานชาย

“นี่คุณย่าของผมคือ คุณหญิงราณี ผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลในโลกการเงินจริงหรือเปล่า ตอนที่คุณย่าอยู่ในการประชุมผู้ถือหุ้นดูน่ายกย่องและข่มพวกนักลงทุนได้แบบไม่เกรงใจเพศตรงข้าม แต่ทำไมเวลามาอยู่ที่นี่กลับเป็นคนละคน”

“ฉันไม่ได้กลัวแค่ยังไม่พร้อม” คุณหญิงราณีเถียงกลับ

“แต่ผมพร้อม”

พูดแล้วก็เอาแว่นตากันแดดลงมาสวมกลับบดบังดวงตา ก้าวเดินจากที่ซ่อนตัวมุ่งตรงไปหาหญิงสาวคนเดิมที่กำลังคุยอย่างออกรสออกชาติกับคนที่ชื่อเกสร โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านของคนเป็นย่าด้านหลังที่ยังไม่กล้าเผยโฉมจากมุมลับตา

“ขออภัยครับคุณผู้หญิงทั้งสอง ผมขอขัดจังหวะการสนทนาสักครู่นะครับ” ชายหนุ่มนัยน์ตาสีสวยเอ่ยปากขออนุญาตแทรกการสนทนาด้วยคำพูดไพเราะนอบน้อม “ผมอยากทราบว่าผมจะพบคนที่ชื่อบรรพต ฤทธิ์นาคาได้ที่ไหนครับ”

ใบหน้าของหญิงชาวประมงเรียบนิ่งไร้คำตอบ แต่อีกคนกลับขมวดคิ้วก่อนเอ่ยถาม “พ่อหนุ่มจะตามหา บรรพต ฤทธิ์นาคา ทำไมกัน”

“คือว่าคุณย่าของผม...โอ๊ย!” อยากจะพูดให้จบแต่มันเจ็บจนต้องร้องออกมา

คุณหญิงราณีปรากฏกายในสภาพหมวกปิดบังครึ่งหน้า ใช้กระบวนท่าบิดเนื้อพิฆาตที่ใช้ได้ดีเสมอแม้ว่าต้นแขนของชายหนุ่มจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามแค่ไหนแล้ว เธอก็ใช้มันได้ทันกาลก่อนที่เขาจะพูดอะไรไปมากกว่านี้

“แหม มาอยู่ตรงนี้เองตามหาตัวเสียตั้งนาน ขอโทษทีนะจ๊ะ หลานชายฉันเขาสติไม่ค่อยดี ชอบถามหาคนไปทั่วแหละ ไม่รู้แต่ละคนมีตัวตนจริงหรือเปล่า” ว่าพลางหัวเราะร่วน แล้วรีบลากพ่อตัวร้ายด้วยการเพิ่มแรงบิดเนื้อขึ้นอีกหลายระดับ จนเขาต้องยอมตามไปแต่โดยดีเพราะกลัวเนื้อตัวเองจะหลุดติดมือคนเป็นย่า แต่ยังไม่ทันเดินไปได้ไกลก็มีเสียงของเกสรตะโกนไล่หลังมา

“ถ้าจะมาหา บรรพต ฤทธิ์นาคา น่ะไม่เจอเขาหรอก เขาตายไปนานแล้ว แต่ถ้าจะหาลูกหลานของเขาน่ะ นู่นแน่ะ ต้องขึ้นไปบนเนินเขาหลังโรงเรียนเก่านู่น”

ปราณนารายณ์ ถ้าฉันยังไม่มีคำสั่งแกห้ามทำอะไรโดยพลการ!” คุณหญิงราณียืดตัวตรงพูดเสียงเข้ม กลับเข้าสู่โหมดผู้หญิงแกร่งแห่งโลกธุรกิจ

“รู้ไหมครับคุณย่า บางครั้งผมก็อยากฝืนคำสั่งคุณย่าบ้าง”

“แกจะทำให้ฉันหัวใจวายตายน่ะสิ จู่ ๆ เดินไปถามอย่างนั้น ถ้าเกิดว่าเกสรรู้ว่าฉันมาที่นี่จะทำยังไง”

ชายหนุ่มจ้องกลับเขม็ง ใคร่อยากรู้ความนัยที่แฝงไว้ในประโยคนั้น “คุณย่าเคยทำอะไรแย่ ๆ ไว้ที่นี่หรือไงครับถึงไม่อยากเปิดเผยตัว”

เหมือนกำลังถูกอ่านความคิด คุณหญิงราณีจึงสะบัดเสียง “ไม่เกี่ยวกับแก!” แล้วเดินกลับไปยังรถยุโรปคันใหญ่ที่จอดซ่อนตัวในซอยแคบ เปิดประตูเข้าไปทิ้งตัวนั่ง ห่างกันเพียงไม่กี่นาที ที่นั่งด้านข้างก็ถูกร่างสูงของหลานชายคนโตที่เกือบทำเธอหัวใจวายนั่งลงไป แต่เมื่อเห็นแววตาของคนที่เพิ่งเข้ามาร่วมโดยสารก็พ่นลมหายใจแรง พูดน้ำเสียงไม่พอใจ 

“ฉันเกลียดเวลาที่แกมองฉันแบบนั้นนักเชียว”

คนช่างสังเกตสัมผัสได้ถึงความสั่นเครือในน้ำเสียง รู้สึกผิดที่ทำให้ผู้เป็นย่าสะเทือนใจ แม้จะไม่ทราบเหตุผลแต่จำต้องเก็บความสงสัยไว้กับตัว ก่อนเอ่ยบอกอีกความรู้สึกที่สัมผัสได้จากคำพูด

“ผมเสียใจด้วยครับที่เขาจากไปแล้ว” และแม้อีกฝ่ายจะไม่มีคำพูดตอบกลับ แต่ปราณนารายณ์รู้ว่าคำพูดของเขาได้ผ่านเข้าโสตประสาทการรับรู้ของคนฟังที่นิ่งเงียบ “เรากลับกันเถอะครับ ออกจากกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เช้า ผมว่าคุณย่าคงจะเหนื่อยแล้ว”

“ฉันยังไม่กลับ” คุณหญิงราณีปฏิเสธคำชวน แล้วสั่งกับคนขับรถประจำตัวของหลานชาย “พาฉันไปที่เนินเขาลูกที่เห็นนั่นที”

“คุณย่าจะไปที่นั่นทำไมครับ” ชายหนุ่มรีบถามทัดทาน

“ออกรถสิ ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง” น้ำเสียงสั่งกระด้างขึ้นราวกับไม่ได้สนใจอะไรอีกนอกจากความต้องการของตัวเอง แต่เห็นแววตาคนขับรถที่มองผ่านกระจกมองหลังนั้นบ่งบอกถึงความกระอักกระอ่วนใจ

“ขอโทษนะครับคุณย่า คุณลุงเขาเป็นคนขับรถของผม เขาจะฟังคำสั่งของผมคนเดียว และผมก็อยากกลับแล้ว มีงานหลายอย่างที่ควีนส์คอร์ปรอผมอยู่”

คุณหญิงจึงหันขวับไปทางต้นเหตุแห่งความลังเลของคนขับรถทันที “ฉันอยากขึ้นไปสูดอากาศ ชมเมืองศรีราชาบนเนินเขาลูกนั้น ถ้าโชคดีอาจได้เจอลูกหลานของบรรพตอย่างที่แม่เกสรว่า”

เธอไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริง และก็ยังไม่อยากพบใคร แม้กระทั่งลูกหลานของชายคนที่ตามหาอยู่ก็ตาม การที่ไม่ทันได้บอกลาหรือแสดงความยินดีที่บรรพตได้พบกับความสุขในบั้นปลายชีวิต จนมีทายาทสืบสกุลนั้นทำให้เธอเสียใจเป็นทุนเดิม แต่ถ้าได้ไปยืนอยู่บนที่ดินผืนนั้นแล้วบอกกับเขาว่า เธอขอโทษ บอกเขาว่า เธออยากชดใช้ในความผิดที่ก่อไว้ เขาจะได้ยินเสียงเธอหรือไม่

“แต่ผมคิดว่า...” หลานชายกำลังจะเอ่ยบางสิ่ง

“ชื่อเจ้าของรถคันนี้ยังเป็นชื่อฉัน ถ้าแกอยากกลับก็เชิญจูงคนขับรถผู้ซื่อสัตย์นั่งรถทัวร์กลับกันเองเถอะ”

คนฟังถอนหายใจยาว ถูกยื่นคำขาดแบบนี้มีหรือจะขัดได้ ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความระอา บอกกับคนขับรถของตนที่รอคำสั่งว่าจะไปต่อหรือจะนั่งรถทัวร์กลับดี

“คุณลุงทำตามคำสั่งคุณหญิงได้เลยครับ”

ชายหนุ่มอ่อนใจเอ่ยวาจาสั่งการ ซึ่งถ้ากลับไปจัดการงานไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีการพูดคุยทางโทรศัพท์ และระหว่างที่สั่งงานกับเลขานุการส่วนตัวและผู้ช่วยฝ่ายต่าง ๆ ดวงตาสีน้ำตาลก็เพลินตาไปกับภาพภายนอกหน้าต่างรถยนต์ บ้านเรือนผู้คนที่ใช้ชีวิตแสนเรียบง่าย ไม่เร่งร้อน ช่างสงบเงียบแต่น่าค้นหา ไม่น่าเชื่อว่าเมืองท่าเล็ก ๆ แห่งนี้ทำให้เขาผ่อนคลายความเครียดจากหน้าที่การงานที่รอให้สะสางได้อย่างประหลาด

“คุณย่าเคยอยู่ที่เมืองนี้หรือครับ”

หลังจากเคลียร์งานทางโทรศัพท์ได้บางส่วนจึงลองเอ่ยถามคุณหญิงที่นั่งเงียบมองวิวข้างทาง ซึ่งก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา คุณย่าของเขาคงตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอีกครา

บ่อยครั้งที่เขาเห็นเงาความเศร้าเลือนรางรอบกายของคุณหญิงราณี ผู้ที่แสดงให้ใครอื่นเข้าใจว่าเธอเป็นคนแกร่งกร้าว มั่นใจและใช้คำสั่งให้ใครต่อใครทำตามใจต้องการ

ในอดีตนั้นเขาไม่เคยเข้าใจในตัวคุณย่าเลย และคิดว่าคุณย่าคงเป็นพวกชอบเผด็จการชีวิต แต่นับจากวันที่ อติภพ บิดาของเขาตัดสินใจออกจากบ้าน ทิ้งเก้าอี้ประธานบริษัทไปทำความฝันของตนให้สำเร็จ เขาก็ได้เห็นหยาดน้ำตาของหญิงชราหลั่งรดบนฝ่ามือ

ปราณนารายณ์จึงต้องรับภาระหน้าที่สืบทอดตำแหน่งประธานควีนส์คอร์ปคนใหม่ ซึ่งตามจริงแล้วผู้สืบทอดที่ถูกต้องควรจะเป็นลูกชายคนโตของคุณปู่ วายุ ปรเมศศิวะวงศ์ ผู้ก่อตั้งควีนส์คอร์ป

แต่อติภพกลับไม่ใคร่สนใจไยดีธุรกิจที่คุณปู่สร้างขึ้นมาสักเท่าไร ถึงจะเป็นกิจการมูลค่ามหาศาลแค่ไหนก็ตาม เงินทองไม่มีผลต่อบิดาของเขานัก อติภพใช้ชีวิตอิสระในการเป็นช่างภาพสารคดีมืออาชีพ ท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ บนโลกใบนี้ นานครั้งถึงจะกลับมาหา 

ส่วน โจเอล มารดาเชื้อสายฝรั่งเศสของเขาก็มีภาระหน้าที่ต้องดูแลกิจการโรงแรมของตระกูลที่ประเทศฝรั่งเศส นาน ๆ จะมาเยี่ยมเขาบ้าง ทั้งสองทิ้งเขาไว้ให้คุณย่าเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยเรื่องนี้ 

เพราะนอกจากคุณย่าที่ดูแลเขาอย่างเข้มงวดใกล้ชิดและอบอุ่นจนเกือบร้อนแล้ว ก็ยังมีครอบครัวของ คุณอาฤดี กับ คุณอาระตี ลูกสาวของคุณย่าทั้งสองที่คอยดูแลให้ความรักเหมือนลูกแท้ ๆ โดยเฉพาะกับ คุณอาเตชิน สามีของคุณอาระตีที่เขาสนิทสนมมากเป็นพิเศษ

เมื่อคนขับรถผู้ซื่อสัตย์และรักนายพาทั้งสองมาถึงที่หมายตามคำบอกของคุณหญิงราณี ปราณนารายณ์จึงพอเดาได้ว่า ในอดีตย่าของตนอาจเคยอยู่ในเมืองนี้มาก่อน มีหลายคำถามเกี่ยวกับเธอที่เขาหาคำตอบไม่ได้ แล้วก็มีหลายสิ่งถูกเก็บบันทึกอยู่แค่ในใจของคุณหญิงราณี แม้แต่หลานชายคนโตผู้สนิทมากที่สุดก็ไม่เคยแพร่งพรายให้รู้

ชายหนุ่มเป็นฝ่ายก้าวขาลงจากรถก่อน และทันทีที่เปิดประตูรถก็มีสายลมเย็นพัดแผ่วพากลิ่นหอมเจือจางลอยมาแตะจมูก แต่พอเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่พบต้นเหตุแห่งกลิ่นหอมนั้น นอกจากทุ่งดอกอ้อก้านใหญ่ที่มีดอกปุยพองฟู ไหวเอนตามสายลม

“ระวังเท้านะครับ”

เขาเอ่ยเตือนแล้วยื่นมือไปให้คุณหญิงราณีจับเพื่อขยับออกจากรถคันงาม จากนั้นจึงอุทิศลำแขนให้เธอยึดขณะเดินบนพื้นดินขรุขระ แต่คุณหญิงยกมือบอกเป็นนัยว่าขอเดินด้วยตัวเอง ปราณนารายณ์จึงไม่ขัดคำสั่ง เดินตามหลังคอยเฝ้าระวัง คอยมองตามเท้าของผู้สูงวัยขณะย่ำลงบนเนินเขาที่ปกคลุมด้วยหญ้าอ่อนนุ่มทั่วบริเวณ

 

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาแปลกใจ คือที่ดินผืนนี้ไม่มีรั้วกั้น หรือว่าเจ้าของที่ใช้แนวต้นอ้อพวกนั้นเป็นสิ่งแสดงอาณาเขตสุดลูกหูลูกตา ฉะนั้นการก้าวล้ำเข้ามาอย่างถือวิสาสะแบบนี้จะเรียกว่ารุกล้ำได้หรือไม่

ซึ่งไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่กล้าดีบุกเข้าเขตแดนในปกครองของคนอื่น แต่มีผู้เป็นย่าซึ่งกำลังนำทางนั่นอีกหนึ่งคนที่ทำตัวราวกับเป็นเจ้าของที่ดินเสียเอง

เมื่อผู้บุกรุกทั้งสองเดินมาจนถึงยอดเนินก็ได้ยลโฉมทัศนียภาพแสนงามของเมืองท่าเต็มตา ชายหนุ่มยกแขนกางออกเหนือหัวสูดอากาศบริสุทธิ์ไร้มลพิษจนเต็มปอด แล้วก็ได้ความหอมละมุนมาเป็นของแถม ดวงตาสีน้ำตาลสวยจึงหันมองไปรอบตัว จนพบต้นเหตุของความหอมซึ่งเข้ามาต้อนรับทักทายตรงตีนเนินตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง

“ที่แท้ก็กลิ่นมะลินี่เอง”

ปราณนารายณ์คลี่ยิ้มบางพลางเดินเข้าไปใกล้เพื่อพิศมองกลีบดอกไม้ดอกจิ๋วสีขาวสะอาดตา นึกอยากเด็ดเจ้าดอกไม้กลิ่นหอมหวานไว้เป็นที่ระลึก แต่เจ้าของคงจะโมโหน่าดู

“ที่นี่สวยนะครับ” เขาหันไปพูดกับย่าของตัวเองที่กำลังทอดสายตาไปสุดปลายขอบฟ้า “ผมไม่เห็นใครที่นี่เลย แสดงว่าเราคงจะคลาดกับพวกเขา”

เมื่อมีแต่ความเงียบตอบกลับมา จึงปล่อยให้คุณหญิงมีเวลาอยู่กับตัวเอง ส่วนเขาขอชื่นชมความงามของท้องทะเลจากตรงนี้ นึกอยากให้บิดากับมารดามาเห็นภาพนี้เหมือนกับที่เขาเห็นบ้าง ป่านนี้พวกท่านทั้งสองจะเป็นอย่างไรนะ สุขสบายดีหรือไม่

ปราณนารายณ์หย่อนตัวนั่งลงบนผืนหญ้าอ่อนนุ่ม แหงนมองเมฆก้อนใหญ่เคลื่อนตัวออกจากการบดบังดวงอาทิตย์ด้วยแรงลมเอื่อย ส่งผลให้แสงสุรีย์จัดจ้าสาดฉายลงมาบนยอดเนินเป็นทางคล้ายสะพานจากสวรรค์ ยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้งดงามตายิ่งนักเมื่อต้นหญ้าสีเขียวอ่อนต้องกระทบกับความสว่างไสว

และในความสว่างไสวนั้น เขาเห็นประกายของบางสิ่งตรงพื้นไม่ห่างจากตัว ประกายของมันช่างยั่วตายั่วใจให้เอื้อมมือไปเก็บตัวต้นเหตุขึ้นมา และพบว่ามันเป็นโลหะสีทองรูปดาวห้าแฉก จึงพลิกไปพลิกมาด้วยความสนใจ ดวงตาคมสีสวยสังเกตเห็นห่วงทองที่ติดอยู่บิดเบี้ยวแตกหัก มันอาจเป็นจี้สำหรับห้อยกับสายสร้อยอะไรสักอย่าง น่าสงสารเจ้าดาวดวงน้อยที่ถูกทอดทิ้งอยู่แถวนี้

ในชั่ววินาทีเดียวกันกับที่ชายหนุ่มชื่นชมประกายงดงามของสิ่งที่เก็บได้ คุณหญิงก็เกิดความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว เธอตัดสินใจแล้วว่าเธอจะต้องเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ให้จงได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เธอจะกว้านซื้อมันทั้งหมด เมื่อมันเคยเป็นของ บรรพต ฤทธิ์นาคา นั่นก็หมายความว่า...

มันก็ต้องเป็นของเธอเช่นกัน!

ในตอนนั้นปราณนารายณ์ไม่รู้เลยว่าของที่เก็บมาไว้ในมือ กาลต่อมาคนที่นำส่งคืนเจ้าของก็คือตัวเขานั่นเอง