"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่

เนื้อหา

บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน

บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน

“ปริมประภา รังสิตานนท์”

ชายหนุ่มในเครื่องแบบรำพึงชื่อของหญิงสาวที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ออกมาราวกับต้องมนตร์สะกด ดวงตาเรียวจับจ้องใบหน้างาม ดวงตาคมหวาน และเรียวปากอิ่มเคลือบสีแดงสดน่าหลงใหล จนทิ้งกองเอกสารคดีสำคัญที่วางกองเป็นพะเนินเอาไว้ 

“บุตรสาวของนายองอาจ พาณิชกิจ ผู้ต้องสงสัยคดีค้าของเถื่อน” ปากหยักอ่านข้อมูลของหญิงสาวอย่างใคร่ครวญ “รายได้มาจากงานอิสระ เป็นคอลัมนิสต์และสไตลิสต์” 

แต่แล้วก็เอียงคอสงสัย “เสี่ยองอาจเป็นถึงเจ้าของกิจการ แล้วทำไมตัวลูกสาวถึงไม่ช่วยงานของบริษัท” 

เกิดคำถามที่ต้องหาคำตอบอย่างเร่งด่วน จึงพิมพ์ข้อความบางอย่างส่งให้กับหน่วยงานในกรมตำรวจ เพื่อขอสืบค้นข้อมูลที่ลึกขึ้น ไม่กี่วินาทีถัดมา สิ่งที่เขาร้องขอถูกส่งเข้ามาในกล่องจดหมายอิเล็กทรอนิกส์

“บริษัทองอาจพาณิชกิจ ประกอบกิจการค้าขายไม้ ติดแบล็กลิสต์ของสถาบันการเงินหลายแห่ง มีประวัติการเลี่ยงภาษี ผลประกอบการขาดทุนมากกว่าห้าปี ที่ผ่านมาได้รับช่วยเหลือจากบริษัทควีนส์คอร์ป จึงดำรงธุรกิจอยู่ได้แม้ไม่มีเงินปันผล นอกจากยอดขายที่ทรงตัวยังต้องมีการจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน ล่าสุดเกิดวิกฤตหนัก ควีนส์คอร์ปชะลอป้อนเงินทุนทำให้การเงินขาดสภาพคล่อง...”

แต่ทำไมถึงยังดำเนินกิจการอยู่ได้ คำถามนี้ทำให้ชายหนุ่มกังขานัก

“นั่นแกทำอะไร”

“หาข้อมูลของภรรยาในอนาคตครับ” ตอบแบบไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น

ผัวะ!!!

แล้วก็ตื่นตัวฉับทันทีเมื่อถูกฝ่ามือตบฉาดลงบนหัว จึงเด้งตัวขึ้นจากเก้าอี้แล้วยกมือตะเบ๊ะ ทำความเคารพผู้มีตำแหน่งสูงกว่าแม้จะมีศักดิ์เป็นอาแท้ ๆ

“สวัสดีครับสารวัตร”

“ทำคดีคนหายไปถึงไหนแล้ว ทางกรมฯ เขาถามฉันทุกวัน” สารวัตรอัชวินนั่งลงบนที่เก้าอี้ของชายหนุ่มเมื่อเขาลุกขึ้นสละให้

อาวุธพ่นลมหายใจ “สายของเรายังไม่ได้เบาะแสอะไรทั้งสิ้น ผมเองก็พยายามสืบจากรายชื่อที่ได้มา แต่ก็เหมือนกับว่าไม่มีที่ไหนเข้าข่าย”

สารวัตรใหญ่ก็หนักใจอยู่ไม่น้อย ถ้าคดีไหนหลานชายของเขายังสืบหาข้อมูลอะไรไม่ได้ นั่นหมายความว่าคดีนั้นอาจกลายเป็นคดีดำมืด 

“ยังไงเราก็ต้องพยายามต่อไป แต่ถ้าพยายามเองไม่ได้ก็ต้องหาตัวช่วย”

“คุณอาจะไปขอให้เตชินช่วยเหลือเราอีกหรือครับ ถ้าทำแบบนั้น ผมว่าเขาจะมาลำเลิกบุญคุณเราภายหลังได้ ผมไม่อยากให้คุณอาไปข้องแวะกับเตชินเท่าไร ถึงจะเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่อย่าลืมว่าเรากับเขาอยู่คนละฟากโลก”

“เพราะอยู่คนละฟากโลกนี่แหละ เราถึงต้องขอความช่วยเหลือ ไอ้ขบวนการที่เราตามตัวอยู่มันไม่ใช่มนุษย์เดินดินธรรมดา เพราะถ้ามันไม่เก่งจริง ไม่มีทางรอดพ้นสายตาสายสืบอย่างเอ็งแน่”

ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่มาเฟียก็คือมาเฟีย ถึงเตชินจะไม่กระทำการอุกอาจขนาดสร้างความไม่สงบหรือก่อเหตุไม่มั่นคงให้สังคม แต่กาสิโนที่ทั้งเขาและสารวัตรเพียรสืบค้นที่ตั้งมาตลอดนั้นก็กำลังมอมเมาประชาชนให้ลุ่มหลงในการพนันจนอาจก่อให้เกิดเหตุร้ายตามมาได้

“ผมขอลองด้วยตัวเองก่อน” สายสืบหนุ่มบอกอย่างแข็งขัน

“หรือไม่เราก็ต้องหาทางแทรกซึมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกที่อยู่ในรายชื่อ แล้วล้วงความลับที่อาจเกี่ยวข้อง” สารวัตรใหญ่เอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าควรแทรกตัวเข้าที่ไหน” ผู้เป็นหลานเกิดคำถาม

“พวกที่ก่อคดีในช่วงนี้นั่นแหละคือคำตอบ”

“คุณอาหมายความว่า...”

อัชวินกระตุกยิ้ม “ใครก็ตามที่กล้าก่อคดีในขณะที่ข้ากำลังวางกำลังกวาดล้าง แสดงว่ามันไม่ได้เกรงกลัวอำนาจของรัฐ”

“นั่นหมายความว่า มันอาจเป็นพวกเดียวกับกลุ่มที่ก่อคดีลักพาตัวที่ไม่เกรงกลัวคุกตะราง” ชายหนุ่มต่อประโยค

สิ่งที่พวกเขาทำได้ตอนนี้ก็คือการรอคอยเท่านั้นหรือ อาวุธสังหรณ์ใจไม่ดีว่าถ้าหากเขาไม่รีบเร่งจัดการตามล่าหัวไอ้ตัวพ่อให้ไวที่สุดก็อาจมีผู้โชคร้ายกลายเป็นเหยื่อเกิดขึ้นอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้เด็ดขาด

 

“พี่ ๆ จ๋า พักเที่ยงแล้วมากินข้าวกันเร็ว วันนี้ธิดาเตรียมบาร์ส้มตำไว้นะจ๊ะ เครื่องปรุงอุปกรณ์การทำก็เตรียมไว้ในเต็นท์นั้นแล้ว มะละกอสดใหม่จากไร่ของพนักงานเรานี่เอง ใครอยากกินรสแซ่บแค่ไหนก็ตำกันเองได้เลยจ้ะ เครื่องปรุงมีไม่อั้น”

เสียงสาวน้อยร้องบอกเหล่าพนักงานที่ทยอยเดินตรงมาทางเต็นท์พักผ่อนหลังสิ้นเสียงสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาพักกลางวันแล้ว เธอเอ่ยทักทายคนนั้นคนนี้ หากพบเจอใครที่คุ้นหน้าคุ้นตา หรือถ้ามีพนักงานใหม่เข้ามาธิดาก็จะเข้าไปทำความรู้จักโดยไม่ถือตัว นี่อาจเป็นนิสัยแสนน่ารักของหญิงสาวผู้แสนจะมีมนุษยสัมพันธ์ดี

“ธิดา พ่อเรียกให้ไปรวมตัวกันที่เต็นท์สำนักงานแน่ะ”

เสียงของพี่ชายดังมาจากปลายแถวของพนักงานที่กำลังต่อคิวรับอาหาร ธิดาจึงวางมือจากงานช่วยเหลือแม่ครัวของบริษัท เช็ดไม้เช็ดมือแล้วเดินตามไปยังเต็นท์สำนักงาน ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่เห็นว่าทีมงานคนสำคัญ ๆ ของชลธารคอนสตรักชันอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา และทุกใบหน้านั้นมีรอยยิ้มปรากฏ ยกเว้นพี่ชายและตัวเธอ

“มีอะไรกันหรือคะ ทำไมทุกคนถึงมารวมตัวกันได้แบบนี้” ถามไปด้วยความใคร่รู้ เห็นแต่ละคนมองหน้ากันไปมาด้วยแววตาเป็นประกาย

“นั่นสิ ทุกทีผมจะได้เห็นหน้าทุกคนก็เฉพาะตอนประชุมใหญ่” ฝ่ายก้องปฐพีก็สงสัยไม่แพ้กัน

“ไม่มีอะไรที่ทำให้เราต้องมารวมตัวกันได้ขนาดนี้ นอกจากจะมีข่าวดีของชลธารฯ หรอกครับ” ผู้จัดการฝ่ายการตลาดเป็นคนเปิดประเด็น

“ข่าวดี?" ก้องปฐพีเลิกคิ้ว หันไปสบตากับน้องสาว “ข่าวดีอะไรครับ รีบบอกมาเถอะ ผมอยากรู้แล้ว”

ผู้จัดการฝ่ายการตลาดยิ้มกริ่ม มองไปทางผู้มีอำนาจสูงสุดของบริษัทเพื่อโยนหน้าที่ใหญ่นี้ “ให้ท่านประธานบริษัทเป็นคนประกาศเถอะ นั่นแน่ะดูสิ เขายิ้มไม่หุบแล้ว”

พอถูกแซวเกรียงไกรก็หัวเราะขัดเขิน ก่อนจะกระแอมเล็กน้อยเป็นการเกริ่นนำ “ข่าวดีก็คือ ปีนี้ชลธารฯ ได้งานโพรเจกต์ใหญ่มา”

“งานโพรเจกต์ใหญ่?” ก้องปฐพีทวนคำ

เกรียงไกรอธิบายต่อ “จำข่าวโครงการโรงแรมเจ็ดดาวริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ลือมาตั้งแต่ปีกลายได้ไหม”

“งานที่มีแต่บริษัทก่อสร้างใหญ่ ๆ สู้ราคากันน่ะหรือคะ เอ๊ะ...นี่อย่าบอกนะว่า...” คราวนี้ธิดาเป็นฝ่ายถาม ความตื้นเต้นระบายทั่วบนใบหน้า 

ผู้เป็นพ่อยิ้มกว้าง กวาดตามองทุกคนแล้วประกาศเป็นทางการด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “พวกเราได้งานนั้นแล้ว เขาระบุว่าต้องชลธารฯ เท่านั้น” 

ฝ่ายผู้จัดการก็ขอเสริมข้อมูลให้มั่นใจขึ้นไปอีก “เขาส่งบัตรเชิญให้ไปร่วมงานประกาศผู้ที่ได้รับคัดเลือกทำงานกับควีนส์คอร์ปบนเรือสำราญแบบเอกซ์คลูซีฟเลยนะครับ แต่ถ้าเราไม่ไปก็ถือว่าสละสิทธิ์”

“แบบนี้ก็ต้องไปสิครับพ่อ จะลังเลอะไร” ก้องปฐพีดีใจจนดวงตาสีนิลเข้มเปล่งประกาย

เช่นเดียวกับผู้เป็นน้องที่เกิดความรู้สึกปรีดาไปทั่วร่างบาง และความยินดีมันก็เอ่อล้นกลั้นไว้ไม่อยู่ จึงร้องกรี๊ดออกมาดังลั่นด้วยความดีใจ จนทุกคนในบริเวณนั้นหันมามองด้วยความสนใจ

“เราต้องฉลอง เราต้องฉลอง ทุกคนคะเราต้องฉลอง พรุ่งนี้ธิดาจะทำอาหารพิเศษเลี้ยงทุกคน พ่อคะ อนุมัตินะคะ” เธอประกาศให้คนอื่นทราบก่อนถามพ่อของตัวเอง แล้วใครจะกล้าปฏิเสธได้ลงคอ เกรียงไกรจึงพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะขำอาการดีใจมากมายของลูกสาว

“แต่ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ งานนี้ผมแทบไม่ได้ไปลุยฟาดฟันแข่งขันกับบริษัทอื่นเลยนะครับ แถมปีนี้เราก็ไม่ได้ออกบูทแนะนำบริษัทที่ไหน อยู่ดี ๆ ก็มีงานวิ่งมาชน ที่สำคัญชื่อของเจ้าของโครงการกับผู้ร่วมทุนก็เชื่อมั่นได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุนก่อสร้างแน่นอน”

นิตยสารเล่มหนึ่งที่รวบรวมการสัมภาษณ์และบทความด้านธุรกิจถูกวางลงบนโต๊ะทันทีที่ผู้จัดการฝ่ายการตลาดพูดจบ ฉบับล่าสุดนี้มีภาพสตรีผู้สูงศักดิ์สวมใส่ชุดผ้าไหมสีดำเข้ม ใบหน้าเรียบเฉยไร้รอยยิ้มกับดวงตาคู่ที่แสดงความมั่นใจเต็มเปี่ยม

“คุณหญิงราณีแห่งควีนส์คอร์ปเป็นแบ็กด้านการเงินให้แบบนี้ งานเราก็ราบรื่น สร้างได้ตามกำหนด ไม่มีล่าช้าแน่นอน แถมชลธารฯ ยังได้โอกาสสร้างชื่อในแวดวงมากขึ้นไปอีก ผมเชื่อมั่นเลยว่าแค่งานนี้งานเดียวเราจะได้งานอื่น ๆ ตามมาโดยไม่ต้องไปแข่งราคากับใครให้เหนื่อยเหมือนเมื่อก่อน” เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ช้าไม่ได้แล้ว ธิดาต้องไปตลาดเดี๋ยวนี้ จะไปซื้อเครื่องปรุงมาทำอาหาร พรุ่งนี้เราจะมีงานฉลองต้อนรับความสำเร็จล่วงหน้า” หญิงสาวพูดไปก็รีบเดินไปคว้ากระเป๋าสะพาย รูดซิปแล้วหยิบเอาสมุดจดบันทึกเล่มโปรดขึ้นมาจดรายการต่าง ๆ นานาที่ต้องซื้อ

“เลี้ยงวันเดียวไม่หมดก็เลี้ยงต่ออีกหลายวันก็ได้มั้ง จดรายการเป็นหางว่าวแบบนั้น ใครจะไปช่วยหิ้วไหว” ผู้เป็นพี่เย้าอย่างอารมณ์ดี

แต่ดูเหมือนน้องสาวไม่ได้สนใจต่อปากต่อคำ เพราะมัวแต่จดรายการที่ต้องซื้อ เสร็จแล้วก็เก็บสมุดลงกระเป๋า และขณะที่รูดซิปเห็นโซ่ทองพิกลพิการขาดแหว่งก็อดคิดถึงจี้ดาวสีทองที่เคยส่องแสงเป็นประกายวับวาวไม่ได้ แต่ก็คงต้องทำใจ เพราะของชิ้นจิ๋วนั้นไม่ได้มีราคาค่างวดใด ๆ มากนัก หล่นหายไปแล้วคงไม่มีใครตามเอามาคืน

“ธิดาไปซื้อของก่อนนะคะ จะได้ไม่กลับดึกมาก” เธอบอกลาทุกคนแล้วคว้านิตยสารที่วางอยู่บนโต๊ะติดมือขึ้นมา

“คุณหญิงราณีกับอนาคตของควีนส์คอร์ป แม้ขาดหัวเรือใหญ่อย่างอติภพไป แต่ราชินีแห่งควีนส์คอร์ปยังมั่นใจ ลั่นวาจาให้จับตาปราณนารายณ์ ทายาทแห่งปรเมศศิวะวงศ์ อนาคตผู้คุมบังเหียนยักษ์ใหญ่ทางการเงินให้ดี” เธออ่านข้อความพาดหัวแล้วก็แย้มยิ้ม ตื่นเต้นที่บริษัทของบิดาจะได้มีโอกาสทำงานให้คนใหญ่คนโตในแวดวงธุรกิจ

“ธิดาขอยืมอ่านก่อนนะคะ จะได้ทำความรู้จักลูกค้าของเราด้วย”

แต่ยังไม่ทันที่ธิดาจะเดินออกจากกลุ่ม เสียงโทรศัพท์มือถือของเกรียงไกรก็ดังขึ้น เจ้าของกิจการหนุ่มใหญ่มองเบอร์โทรของสายที่โทรเข้ามา แล้วก็ย่นคิ้วเมื่อพบว่าเป็นเบอร์ไม่รู้จัก

พักหลังมานี้มีคนโทรศัพท์มาหาเขาหลายสายเพื่อพยายามคุยต่อรองเรื่องซื้อที่ดินแทบทุกวัน จนแทบไม่อยากรับสายใดก็ตามที่เป็นเบอร์โทรศัพท์ไม่คุ้นตา แต่ครั้งนี้เกิดความลังเลใจ หากเป็นการติดต่อจากตัวแทนโครงการใหญ่ที่เพิ่งได้งานไปล่ะ ไม่รับก็คงจะไม่ดีแน่

“สวัสดีครับ ผมเกรียงไกรกำลังพูดสายครับ” เขากรอกเสียงลงไป

พลันถอนหายใจเมื่อฟังปลายสายพูดและรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ครับ ใช่ครับ ที่ตรงเนินเขานั่นเป็นของตระกูลฤทธิ์นาคาครับ”

“สนใจจะซื้อ? คือคุณครับ ผมยังไม่มีความคิดจะขายที่ตรงนั้นนะครับ”

“เท่าไหร่ก็ไม่ขายครับ” น้ำเสียงทวีความแข็งขึ้นเรื่อย ๆ

“จะขอนัดคุย? นัดคุยเพื่ออะไรครับก็ผมไม่ขาย เอาตามจริงแล้วเนี่ย คุณต้องคุยกับลูกสาวผมเพราะเธอเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่เธอยังไม่มีสิทธิ์ถือครองตามกฎหมาย ผมจึงเป็นคนจัดการแทนเธอทั้งหมด เข้าใจตรงกันนะครับ”

การสนทนาด้วยใบหน้าจริงจังและน้ำเสียงแกมขุ่นเคือง ทำให้ก้องปฐพี ธิดา รวมถึงผู้จัดการกับผู้ช่วยทั้งหลายสนใจว่าใครกันที่ทำให้เกรียงไกรคนนี้อารมณ์เสียได้

“เจ้านายของคุณจะร่ำรวยมาจากไหนผมไม่สนนะ ผมขอพูดสั้น ๆ ได้ใจความว่า ไม่ขาย!” เมื่อสิ้นสุดบทสนทนาด้วยคำยืนยันเดิม เกรียงไกรก็ตัดสายโทรศัพท์ทันที

“ใครหรือคะพ่อ” 

“ใครก็ไม่รู้ ไม่ได้ถามชื่อหรอก เขาโทรมาขอซื้อที่ของหนู” เกรียงไกรบอกลูกสาวแล้วโบกไม้โบกมือ 

เด็กสาวรู้ความหมายของใบหน้าละเหี่ยของบิดาดี จึงไม่ถามหาความอะไรต่อ เธอบอกลาทุกคนแล้วขึ้นรถเมล์เพื่อไปซื้อของตามรายการในซูเปอร์มาร์เกต รวมถึงหนังสือพื้นฐานการวาดเส้นที่ต้องการจากร้านหนังสือ แต่ก่อนที่เธอจะกลับ กลิ่นหอมของเนยและวานิลลาที่ลอยมาก็ทำปฏิกิริยาเคมีบางอย่างกับสมองเด็กสาวให้ว่อกแว่ก

ธิดาชอบชิมขนมหวานของร้านต่าง ๆ พอ ๆ กับชอบทำขนมกินเอง ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เผื่อแผ่ให้คนอื่นอิ่มท้องได้ด้วย เธอชื่นชอบนักเวลาที่ใคร ๆ ชิมขนมฝีมือเธอแล้วมีใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับคำชมว่าอร่อยแบบไม่เคยกินที่ไหนมาก่อน

คงไม่ผิดเท่าไรถ้าได้ลิ้มลองขนมออกใหม่ของร้านดัง เผื่อว่าจะเอาไปปรับสูตรให้เป็นสูตรเฉพาะของเธอเอง เมื่อหาเหตุผลเหมาะสมให้ตัวเองได้ สองขาเรียวก็พาร่างระหงเลี้ยวเข้าร้านขนมแล้วเลือกเมนูที่ต้องการซื้อกลับบ้าน จากนั้นพนักงานก็นำกล่องขนมบรรจุลงถุงกระดาษดีไซน์สวยมายื่นให้ แต่ด้วยความรีบจึงไม่ทันได้ระวัง เธอหันไปชนกับใครคนหนึ่งจนข้าวของในมือทั้งของเธอและของคู่กรณีร่วงหล่นลงพื้น

“ตายแล้ว!”

ธิดาอุทานออกมาพร้อมกับรีบก้มตัวลงเพื่อเก็บข้าวของที่กระจัดกระจาย แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรขอโทษคนที่เธอซุ่มซ่ามเดินชนก่อน

“ขอโทษนะคะ หนูเดินไม่ระวัง ขอโทษจริง ๆ” เอ่ยบอกแล้วรีบก้มช่วยเขาเก็บข้าวของก่อนส่งให้ แต่พอได้เงยหน้าก็สบประสานกับดวงตาคมที่จับจ้องมองมาอยู่แล้ว แต่ที่สะดุดใจเธอที่สุดคงเป็นรอยยิ้มกว้างที่ทำให้เกิดรอยบุ๋มลึกบนแก้มทั้งสองข้างของเขา

“ข้อแรก ผมยังไม่ตาย คุณก็ยังไม่ตาย ข้อที่สอง ถ้าคุณตั้งใจชนผม เราคงมีเรื่องกันแน่ เพราะผมเป็นคนไม่ยอมคน และข้อที่สาม...”

เขาใช้น้ำเสียงนุ่มเจรจาขณะย่อตัวลงเก็บถุงขนมและนิตยสารที่ตกลงบนพื้น แล้วเงยหน้ามองสาวน้อยพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มที่แก้มทั้งสองข้าง

“ผมให้อภัย แต่ที่ให้อภัยไม่ใช่เพราะผมใจดีกับคนสวยนะครับ แต่เพราะคุณขอโทษผมจึงยอมให้อภัย”

ธิดายิ้มแห้ง ๆ รีบรับของคืนแล้วหลบสายตากรุ้มกริ่มที่ส่งมาให้อย่างเปิดเผย รีบเอ่ยพลางก้มหัวเพื่อบอกให้เขารู้ว่าเธอขอตัว

“หนูผิดจึงต้องขอโทษค่ะ ขอตัวนะคะ”

“จะสอบวาดเส้นเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยหรือ มีหนังสือที่ดีกว่าเล่มนั้นนะ ถ้าได้ฝึกตามละก็ ต่อให้ตัวแบบยากแค่ไหนก็วาดได้” เขาส่งเสียงบอกตามหลังขณะที่เด็กสาวความสูงเท่าอกกำลังเดินห่างออกไป

“จริงหรือคะ” เธอหยุดเท้าแล้วหันกลับไปถามเขาทันที

ชายหนุ่มพยักหน้า “จริงสิ แต่เสียดายที่มันไม่มีขายในไทย และมันก็เป็นภาษาฝรั่งเศส”

ธิดาห่อปากเมื่อได้ยิน “คงจะแพงน่าดู แถมเป็นภาษาฝรั่งเศสอีก หนูอ่านไม่ออกหรอกค่ะ ขอบคุณที่แนะนำนะคะ” พูดแล้วก็ก้มศีรษะอีกครั้งและหันหลังเดินต่อ

“แต่มีที่หนึ่งที่สามารถให้ยืมหนังสือเล่มนั้นอ่านฟรี”

คำพูดของเขาหยุดเธอได้อีกครั้งหลังจากที่เดินห่างออกไปสามก้าว สาวน้อยหมุนตัวหันมาเอียงคอมองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้เพื่อยื่นกระดาษใบเล็กให้ 

“นี่นามบัตรของฉัน ฉันเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนนี้ ถ้าเธอสนใจจะจัดคอร์สพิเศษติวเข้มให้โดยเฉพาะ”

คุณภีฆาเนตร ปรเมศศิวะวงศ์...ผู้อำนวยการโรงเรียนศิลปะและการดนตรีคีตศิลป์” เด็กสาวอ่านชื่อบนนามบัตรเสียงเบา

คีตศิลป์เป็นโรงเรียนสอนศิลปะที่มีชื่อเสียงมาก และค่าเรียนก็แพงมากเช่นกัน ซึ่งเหตุผลที่เธอไม่เคยสนใจอยากเรียนที่นี่เพราะไม่อยากให้บิดาเสียค่าใช้จ่ายแพง จึงต้องใช้วิธีเก็บเงินค่าจ้างที่ได้จากการช่วยงานพี่ๆ ในบริษัทซื้อหนังสือเล่มที่เขาบอกว่าไม่ดีเท่ากับหนังสือเล่มนั้น

แต่...นามสกุลนี้ เด็กสาวฉุกคิดได้ทันใด เขาเป็นอะไรกับคุณหญิงราณีกัน

“เรียกฉันว่าพี่เนตรเถอะ อายุเราไม่น่าจะห่างกันมาก เธอล่ะชื่ออะไร”

“เอ่อ...” ธิดาลังเลที่จะบอกชื่อตัวเอง ถึงแม้เขาจะใช้นามสกุลเดียวกันกับคนบนหน้าปกนิตยสาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องไว้ใจเขา

“ที่ถามชื่อเพราะว่าถ้าเธอไปสมัครเรียน ฉันจะได้บอกกับทางฝ่ายลงทะเบียนว่าให้เก็บราคาพิเศษ คิดเสียว่าชดใช้ค่าขนมหน้าเละนั่นแล้วกัน”

สาวน้อยรีบเปิดถุงขนมในมือดู และมันก็เละอย่างที่เขาบอกจริงๆ ถ้าเดาชีวิตล่วงหน้าได้ เธอคงเปลี่ยนจากเค้กไปเป็นขนมที่ทนต่อการกระแทก

“เละแต่ก็กินได้ค่ะ เอ่อ...หนูชื่อธิดาค่ะ”

“นามสกุลล่ะ”

“เอาไว้ตอนที่ธิดาไปสมัคร ธิดาจะบอกว่าเป็นคนที่คุณภีฆาเนตรชนจนเค้ก...เมนูนี้หน้าเละโอเคไหมคะ” บอกโดยจงใจละเว้นชื่อเค้กไว้

“ได้สิครับ แต่อย่าตัดสินใจช้านัก เพราะคอร์สนี้เป็นคอร์สพิเศษ หวังว่าเราจะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้” บอกแล้วคลี่ยิ้มกว้าง จากนั้นก็ขยิบตาข้างหนึ่งให้ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าร้านขนมไป

 

บนถนนสายธุรกิจยามพลบค่ำของเมืองหลวงนั้นยังคงมีความวุ่นวาย แต่ภายในรถยุโรปคันหรูซึ่งเคลื่อนตัวเชื่องช้าไปตามคลื่นจราจรแสนติดขัดนั้นห้ามมิให้เสียงจากภายนอกเล็ดลอดเข้าไปทำลายสมาธิของรองประธานหนุ่มในชุดสูทสุดสมาร์ต ซึ่งกำลังอ่านรายงานผลประกอบการของบริษัทที่เขาสั่งชะลอการอนุมัติเงินทุนปีต่อไป

การตัดสินใจครั้งนี้อาจมีผลชี้ชะตาบริษัทที่ว่านั้นได้ แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรเด็ดขาดก็อาจสร้างปัญหาอื่น ๆ ตามมา ซึ่งนั่นก็เป็นสิทธิโดยชอบธรรมในฐานะรองประธานบริษัท ทว่านอกจากคนในครอบครัวแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่าเขามักอ่อนข้อต่อผู้เป็นย่าที่เลี้ยงดูอุ้มชูเขามาตั้งแต่วัยเยาว์

เรียกได้ว่าเจ้าของกระดานชีวิตของเขาคือคุณหญิงราณี โดยที่เกมกระดานนี้มีเขาเป็นหมากก้าวเดินตามคำสั่ง และทุกคำสั่งนั้นเขาน้อมรับทำเพื่อทดแทนคุณ แต่บางคำสั่งนั้นก็สุดจะกล้ำกลืน...

“คุณปราณจะตรงกลับบ้านหรือให้ผมไปส่งที่คอนโดครับ” เสียงถามของคนขับรถแทรกการใช้สมาธิ

“ไปส่งผมที่คอนโดทีครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะขับรถไปควีนส์คอร์ปเอง”

ชายหนุ่มตอบแล้วปิดแฟ้มหลังจากอ่านรายงานหน้าสุดท้ายจบ จากนั้นแหงนมองขึ้นไปเหนือตึกแถวที่เรียงตัวเป็นแนวยาว คงเป็นเพราะไฟเมืองจัดจ้า จึงทำให้เขาเห็นแค่สีเทาเข้มของผ้าแพรผืนใหญ่ปกปิดแสงดาวที่ควรเผยตัวบนท้องฟ้ายามรัตติกาล

พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ มือหนาหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วควานหาของที่เก็บได้ตรงที่ดินบนเนินเขาที่ศรีราชาออกมาพิศดู ไม่มีดาวบนฟ้าแต่ก็ยังมีเจ้าดาวดวงนี้อยู่ในมือ แล้วเอ่ยรำพึงพลางมองดาวโลหะสีทอง 

“เจ้าของแกเขายังตามหาแกอยู่หรือเปล่านะ” 

เมื่อสารถีผู้ซื่อสัตย์พาเขามาถึงที่หมาย รองประธานหนุ่มก็พาร่างแสนเหนื่อยล้าขึ้นไปยังชั้นซึ่งเป็นห้องของตน เขาแตะคีย์การ์ดแล้วก้าวขาเข้าห้องชุดสุดหรูในคอนโดมิเนียม แต่ภายในห้องนั้นกลับเปิดไฟสว่างไสวก่อนที่เจ้าของห้องจะได้เข้าไปเสียอีก แล้วสายตาก็พลันสะดุดเข้ากับกระเป๋าหนังสีน้ำเงินเข้มบนโซฟา ซึ่งเจ้าของกระเป๋าใบนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล

“ปริม”

เขาเรียกหาเจ้าของกระเป๋า ก้าวขาเดินตามกลิ่นน้ำหอมแสนคุ้นเคยที่โชยมาแตะจมูก จนถึงบานประตูห้องนอนที่แง้มอ้าคล้ายจงใจถูกเปิดค้างไว้ ชายหนุ่มจึงผลักประตูเข้าไป แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่หาเหตุผลอะไร ร่างอรชรที่รออยู่แล้วโผเข้าสวมกอดเอวหนา

“กลับมาแล้วหรือคะ” ไม่แค่นั้น เธอยังเขย่งตัวขึ้นหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ และออดอ้อนเสียงหวาน “ฉันกังวลแทบแย่ กลัวว่าวันนี้คุณจะไม่มาค้างที่คอนโด”

“คุณก็รู้นี่ว่าผมจะมาค้างที่นี่ช่วงประชุมใหญ่ทุกกลางเดือน” มือหนาจับเอวคอดแล้วดันออกอย่างนุ่มนวล จ้องมองผู้บุกรุกสาวด้วยแววตาอ่อนโยน “แล้วทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อนว่าคุณจะมา”

“คือ...พอดีว่าฉันเพิ่งเสร็จงานปิดต้นฉบับให้นิตยสารไปค่ะ แล้วก็เพลียมากจนกลับบ้านไม่ไหว เลยคิดว่าจะมา ขอค้าง คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะ” เธอบอกแล้วหมุนตัวเดินนวยนาดไปหย่อนตัวลงบนเตียง

ปราณนารายณ์ยิ้มที่มุมปาก มองร่างอรชรในเดรสสายสปาเกตตีสีน้ำเงินเข้มรัดรึงรูปร่างงามตา “พ่อของคุณรู้เรื่องที่เรากลับมาคบกันหรือเปล่า แล้วถ้าคุณไม่เข้าบ้านคืนนี้ เขาจะส่งคนมาสังหารผมไหม”

“คุณกลัวพ่อฉันหรือกลัวการเป็นข่าวฉาวกับฉันกันแน่คะ” คนบนเตียงพูดเสียงประชดประชัน

“เป็นข่าวฉาวกับคุณ?” ปราณนารายณ์ยกยิ้ม ถามด้วยน้ำเสียงขบขัน ก่อนเดินตรงเข้ามาหาและหย่อนตัวนั่งลงด้านข้างหญิงสาว จับจ้องมองดวงตาคมสวยที่แต่งแต้มสีเทาหม่น “ไม่หรอกครับปริม ผมไม่กลัวเป็นข่าวกับคุณหรอก แต่ไม่อยากให้คุณทะเลาะกับเสี่ย”

ปริมประภาถอนหายใจ หันหน้าไปอีกทางหลีกเลี่ยงการสบตา “อย่าห่วงว่าพ่อฉันจะคิดยังไงเลยค่ะ”

“ก็เพราะเขาเป็นพ่อคุณนี่ครับ ผมก็เลยแคร์” 

หากแต่ปริมประภาอ่านแววตาของเขาออก และรู้ดีว่าพ่อของเธอไม่ใคร่ชอบหน้าชายหนุ่มผู้นี้มาแต่ไหนแต่ไร แม้ว่าเขาจะเป็นหลานชายแท้ ๆ ของคุณหญิงราณีก็ตาม ยิ่งตอนที่พ่อรู้ว่าปราณนารายณ์เป็นคนตัดสินใจไม่เพิ่มทุนช่วยเหลือยามองอาจพาณิชกิจมีปัญหา พ่อของเธอก็ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังในตัวเขามากขึ้นเป็นทวีคูณ แต่กระนั้นพ่อของเธอก็ไม่อาจคัดค้านการกลับมาคบกันใหม่ของเธอและเขาด้วยเห็นผลของความจำเป็น

หญิงสาวสวมกอดเอวชายหนุ่ม แนบใบหน้ากับต้นแขนแกร่ง เอ่ยพูดเสียงออดอ้อน “แต่...คนเราก็เปลี่ยนแปลงกันได้ไม่ใช่หรือคะ” 

เขาหัวเราะในลำคอ “สำหรับพ่อของคุณคงต้องมีพลังเหนือธรรมชาติอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงได้”

หญิงสาวนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนหาคำพูดตอบกลับเบี่ยงเบนความสนใจจากประเด็นของบิดา “จะด้วยพลังธรรมชาติอะไรฉันไม่รู้หรอกค่ะ รู้แต่ว่าฉันคิดถึงการคบกับใครสักคนแบบจริงจัง และคนคนนั้นก็คือคุณ”

“คบแบบจริงจัง?” คิ้วเข้มเลิกขึ้น “คุณกับผมน่ะหรือ”

“ฉันเห็นแค่คุณคนเดียว” ดวงตาคมซึ้งสื่อความหมายในคำพูดเต็มเปี่ยม “ครั้งนี้มันจะไม่เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา ฉันสัญญาว่าจะไม่โกรธ ไม่โมโหอะไรทั้งนั้นหากคุณไม่มีเวลาให้ฉัน เพราะฉันรู้ว่างานของรองประธานยุ่งมากแค่ไหน”

รอยยิ้มบางประดับมุมปากหยัก น่าจะเป็นสัญญาณของเยื่อใยรักที่ยังโยงเกี่ยวใจเขาให้กลับมาพันผูกกับเธอได้อย่างในอดีต แต่เสียงถอนหายใจภายใต้แผ่นอกแกร่งนั้นฟังแล้วช่างหนักอึ้งคล้ายว่าในใจของเขามีทั่งเหล็กกดทับไว้

“ผมกลัวว่าจะไม่มีเวลาให้คุณยิ่งกว่าเมื่อก่อน ยังมีอะไรที่ผมต้องรับผิดชอบมากมายรออยู่ข้างหน้า”

ทั้งคำเอ่ยกับแววตาสีน้ำตาลคู่ที่หม่นเศร้าสร้างความกังวลใจให้หญิงสาวอย่างช่วยไม่ได้ มือบางทั้งสองยกสัมผัสกรามแกร่ง พยายามจ้องมองดวงตาของชายหนุ่มให้ลึกถึงหัวใจ “ฉันรู้ว่าคุณจะผ่านทุกอย่างไปได้ แต่ขอให้มีฉันเคียงข้างไปกับคุณ...ได้ไหมคะ”

“คุณจะอยู่ข้างผมจริงหรือ” ยามใบหน้าหล่อเหลาระบายยิ้มนั้นช่างมีเสน่ห์นัก ยิ่งยามที่ดวงตาสีสวยของเขาเปล่งประกายคล้ายแก้วเจียระไนก็ยิ่งดึงดูดสายตา 

แต่ปริมประภาไม่ได้มองเขาเพียงแค่รูปกาย ภายใต้รูปลักษณ์สง่างามเขาเป็นคนมีความคิดเฉียบแหลมดังคมเขี้ยวพยัคฆ์ ดังเช่นเขากำลังใช้ดวงตาคู่นั้นอ่านความคิดของเธอ และเพราะเคยเป็นมากกว่าเพื่อนสนิท ปริมประภาจึงรู้วิธีจัดการกับสถานการณ์ในตอนนี้

หญิงสาวปั้นยิ้มสดใส โน้มใบหน้าเข้าใกล้ ประทับเรียวปากอิ่มสีแดงไวน์บนเรียวปากหยัก ค่อย ๆ สัมผัสเขาแผ่วเบา เมื่อได้ยินเสียงครางพึงใจจากชายหนุ่มจึงเลื่อนมือลงลูบไล้ที่ต้นคอแกร่ง ก่อนคลายเน็กไทลดความเคร่งเครียด แล้วปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาทีละเม็ดเพื่อสอดมือสัมผัสไอร้อนของแผงอกเต็มแน่นไปด้วยมัดกล้าม

“อย่างน้อยคืนนี้...คุณจะมีฉัน” กระซิบแผ่วแล้วขบเม้มใบหู จากนั้นเอนหลังลงพร้อมเกี่ยวต้นคอชายหนุ่มให้โน้มตัวลงทาบทับ 

ไฟราคะในกายจุดติดง่ายในยามที่หัวใจอ่อนล้าและต้องการการปลอบประโลม ปากหยักจึงพร้อมมอบจุมพิตร้อนหล่อหลอมตัวเธอให้ละลายไปกับทุกสัมผัส เบียดร่างแกร่งเข้าหาเรือนร่างนุ่มเนียนของหญิงสาวแนบแน่น 

ปริมประภาหลับตาพริ้มปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นไปตามครรลองของอารมณ์ซึ่งมันจะนำเธอไปสู่เป้าหมาย ทว่าความรู้สึกหวามไหวถูกซัดหายไปในทันทีตอนที่มีเสียงข้อความเข้า หญิงสาวจึงรีบเรียกความสนใจของเขาไม่ให้หันเหไปจากเธอด้วยการรั้งศีรษะลงมาแล้วมอบจูบเร่าร้อนให้

หากแต่ก็พ่ายแพ้ต่อเสียงข้อความที่ดังรัวเหมือนเด็กซนแกล้งกดออดหน้าบ้าน เขาผละออกจากตัวเธอแล้วหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ามาอ่านข้อความ ก่อนพ่นลมหายใจเสียงดัง

“ผมต้องกลับบ้าน แต่คุณนอนที่นี่ต่อได้ตามสบาย” คิ้วเข้มย่นเข้าหากัน

“อะ...อะไรนะคะ” หูของเธอคงเพี้ยนไป จึงฟังได้เช่นนั้น

แต่เมื่อเรียวปากอุ่นจุมพิตแผ่วที่หน้าผากมน แล้วรีบลุกจากเตียงเดินออกจากห้องไปพร้อมกับการคุยโทรศัพท์เสียงดังราวกับเกิดการโต้เถียงกับคนในสาย ปริมประภาจึงได้รู้แจ้งว่าเขาทิ้งเธอไว้กับความวาบหวามที่ยังคุกรุ่นอยู่!

หญิงสาวขบกราม ทุบมือลงบนเตียงระบายความโกรธขึ้ง มั่นใจว่าคนที่โทรมาขัดจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มคือคุณหญิงราณี อุปสรรคสำคัญซึ่งคล้ายเป็นกำแพงที่เธอต้องหาทางทะลุทะลวงเข้าหาตัวชายหนุ่มให้ได้ ในขณะที่พ่อของเธอไม่ชอบปราณนารายณ์ คุณหญิงราณีก็ไม่ชอบเธอเช่นกัน ไม่ถึงขนาดเรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน แต่ยามที่ต้องเข้าหาคุณหญิงทีไร เธอจะถูกจ้องมองด้วยสายตาค้นหาราวกับตำรวจสอบสวนผู้ร้าย

แต่การกลับมาสานสัมพันธ์กันใหม่ครั้งนี้ เธอต้องทลายกำแพงอุปสรรคทั้งปวงลงให้ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่หาคู่เดตยามเหงาอย่างที่ผ่านมา เธอต้องการมากกว่านั้น เธอต้องการแต่งงานกับเขา ฉะนั้นจะต้องใช้พลังเหนือธรรมชาติหรือพลังปลุกเสกอะไรอย่างที่เขาประชดช่วยด้วยหรือเปล่าเธอไม่รู้

รู้แต่ว่าเธอต้องทำให้สำเร็จ!