"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
บทที่ ๓ เธอคือ...ธิดา ฤทธิ์นาคา
ความเร็วของเครื่องยนต์สมรรถนะสูงทำให้เขากลับมาถึงคฤหาสน์ปรเมศศิวะวงศ์ได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แต่ปราณนารายณ์รู้สึกถึงการถูกคุกคามเวลาส่วนตัวจากคุณย่าของตนมากขึ้นทุกวัน จึงขอถ่วงเวลาไว้ให้ตัวเองได้ทบทวนและคลายความตึงเครียดที่กำลังพุ่งขึ้นเป็นเส้นกราฟหน้าผาสูงชัน ไม่ต่างกับกราฟหุ้นม้ามืดที่ถูกปล่อยข่าวว่าควีนส์คอร์ปจะเข้าซื้อ
แล้วหุ้นตัวนี้ก็มาแรงเสียด้วย เพราะมันมีมูลค่ามากกว่าจะทำให้คุณหญิงราณีบังคับใจหลานชายให้ยอมทำในเรื่องที่ฝืนมากที่สุดในชีวิต ซึ่งคืนนี้คงเป็นคืนแห่งการทวงคำตอบ
ยานพาหนะคันโปรดพาเขาผ่านซุ้มประตูทางเข้าของคฤหาสน์ภายในหมู่บ้านจัดสรรโครงการใหญ่นาม Hidden Wood แต่ทิศทางของเขายังไม่หันเหสู่บ้านพักของตระกูลปรเมศศิวะวงศ์ ชายหนุ่มเลือกบังคับพวงมาลัยรถให้นำเขาไปหยุดที่ริมเนินเหนือทะเลสาบจำลองขนาดใหญ่
เขาดับเครื่องยนต์แล้วก้าวลงจากรถ ทอดสายตามองความเงียบสงัดของผิวน้ำสีดำที่สะท้อนประกายแสงจันทร์สดสวยได้ราวกับเป็นกระจกเงา จากนั้นเอนตัวพิงกับรถแล้วหยิบบุหรี่มวนยาวจากซองขึ้นจุดไฟ สูดควันเอาสารนิโคตินเข้าปอดแล้วปล่อยออกทางจมูกและปากอย่างบางเบา ให้กลุ่มควันสีเทาลอยขึ้นไปในอากาศท่ามกลางความเงียบสงัด
ดวงตาคมปิดเปลือกตาลงเพื่อใช้ประสาทหูรับสัมผัสกับสิ่งรอบกายแทนสายตา ฟังเสียงยอดหญ้าพลิ้วไหวตามแรงลม ได้ยินเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องเพลงประสานกัน และเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะในความมืดมิดเงียบสนิท
กระทั่งมีแรงสั่นสะเทือนที่กระเป๋ากางเกงซึ่งได้ทำลายความสงบให้หายไป ปราณนารายณ์ลืมตาและล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงออกมาดูเบอร์ที่ปรากฏ เกิดรอยยิ้มบางระบายบนใบหน้า รองประธานหนุ่มวางนิ้วแกร่งสไลด์หน้าจอรับสายให้บรรลุวัตถุประสงค์การใช้งานของมัน
“ไงลูกชาย ยังหายใจสะดวกดีอยู่ใช่ไหม” ปลายสายเป็นฝ่ายกล่าว ก่อนจะปล่อยให้ชายหนุ่มเปล่งเสียงหัวเราะ
“พ่อจะฟังเสียงชีพจรของผมไหมล่ะครับ”
เขาได้ยินคนปลายทางหัวเราะเช่นกัน จึงเอ่ยถามถึงคนที่คิดถึงอีกคน
“แม่สบายดีไหมครับ”
“อะไรกัน ไม่เห็นถามพ่อบ้าง แม่แกน่ะสบายกว่าพ่ออีกนะ”
“ก็เพราะผมรู้ว่าพ่อสบายดี อาจจะสบายดีกว่าผมด้วยซ้ำไปเลยไม่ได้ถามไงล่ะครับ” ปราณนารายณ์พ่นควันบุหรี่ แหงนมองกลุ่มควันสีเทาจางที่กำลังลอยขึ้นไปบนอากาศ ได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากอีกฝ่ายก่อนตามด้วยคำถามเหมือนกันทุกครั้งที่ท่านติดต่อมา
“แล้ว...คุณย่าของเอ็งล่ะ...เขา...สบายดีไหม”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ ก่อนเอ่ยคำตอบแบบเดียวกับทุกครั้ง “ก็แข็งแรงดีครับ”
“ได้ยินแบบนี้ก็สบายใจ พ่อจะได้ไม่ต้องห่วงอะไร”
คำพูดของบิดาสร้างรอยยิ้มให้ชายหนุ่ม ด้วยรู้ว่าท่านทั้งรักและห่วงใยในตัวคุณย่ามากแค่ไหน แต่เพราะการสลัดเก้าอี้ประธานบริษัททิ้งแล้วหนีไปเป็นช่างภาพสารคดีตามความฝัน ทำให้คุณย่าโกรธเคืองจนเกือบตัดแม่ตัดลูก หากแต่ก็ยังมีตัวตายตัวแทนคือเขา ที่คุณหญิงราณีกำลังปั้นให้เป็นผู้นำควีนส์คอร์ปคนต่อไป ในขณะที่ตัวท่านดำรงตำแหน่งรักษาการแทนอดีตประธาน
“แล้วพ่อจะกลับเมื่อไหร่ครับ” กระนั้นก็อยากถามไถ่ถึงการกลับมา
“คงอีกนาน”
แม้คำตอบที่ได้ทำให้หัวใจผู้ฟังห่อเหี่ยว แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดฉุดรั้งความสุขของบิดา “ฝากบอกแม่ด้วยว่าผมคิดถึง”
จากนั้นก็ถามไถ่การเป็นอยู่ของกันและกันอีกสักพักจึงบอกคำลา ปราณนารายณ์ไม่ได้บอกพ่อเรื่องที่กำลังกลัดกลุ้ม เพราะไม่อยากสร้างความบาดหมางระหว่างคุณย่ากับบิดาให้มากขึ้นไปกว่าเดิมอีก
เขาสูดควันบุหรี่กลุ่มสุดท้ายเข้าปอดแล้วขยี้บุหรี่กับตลับโลหะ ดับเปลวร้อนสีแดงก่อนเก็บใส่กระเป๋า แต่เมื่อปลายไฟมวนบุหรี่ดับลง ดวงตาคมก็เห็นแสงวิบวับล่องลอยอยู่เหนือดงดอกอ้อริมทะเลสาบเบื้องล่างชัดเจน รอยยิ้มอ่อนโยนจึงเกิดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา แล้วก็ขึ้นรถขับออกไป
เมื่อบังคับให้รถเคลื่อนไปตามถนนจนผ่านประตูอัตโนมัติของคฤหาสน์ปรเมศศิวะวงศ์ ปราณนารายณ์ปิดไฟหน้ารถแล้วถอยเข้าจอดในโรงรถของคฤหาสน์ให้เงียบที่สุดเท่าที่เครื่องยนต์ของรถรุ่นนี้จะทำได้ จากนั้นมองไปทางตึกใหญ่ เห็นไฟในตึกยังสว่างไสว และเพราะยังไม่อยากเดินผ่านโถงใหญ่ที่มีโอกาสพบคุณหญิงราณีจัง ๆ
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเลือกใช้เส้นทางด้านหลังเรือนหลังใหญ่ซึ่งเป็นทางที่ไม่ได้ดูแลใส่ใจมากนักจากคนสวน ขายาวก้าวอย่างเงียบเชียบ แม้จะหลีกเลี่ยงการเหยียบวัชพืชตัวร้ายที่ไวต่อการสัมผัสไม่ได้ก็ตามที ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองในความมืดหาต้นหางนกยูงฝรั่งต้นใหญ่
แต่ก่อนกระโดดถีบตัวจับกิ่งก้านที่โน้มลงมา ขาของเขาก็สัมผัสถึงความนุ่มของเจ้าเหมียวขนฟูสีขาวที่วิ่งมาถูไถเพราะจับสัญญาณการกลับมาของเขาได้
ปราณนารายณ์แย้มยิ้ม อุ้มมันขึ้นมาขยี้หัวอย่างเอ็นดู “ไม่ได้เจอกันหลายวัน คิดถึงฉันบ้างหรือเปล่าเจ้าเหมียว”
พูดหยอกล้อแล้วปล่อยมันลงพื้น จากนั้นใช้สองมือจับกิ่งที่อยู่ใกล้มือแน่นแล้วดึงตัวเองขึ้นท้าแรงโน้มถ่วง ขาแกร่งไต่ขึ้นอย่างชำนาญ จนไปถึงกิ่งที่ใกล้หน้าต่างห้องนอนของตน เมื่อจับได้กิ่งสุดท้ายก็ถึงเวลาที่ต้องใช้แรงเหวี่ยงเพื่อพาตัวข้ามหน้าต่างเข้าไป แต่มือใหญ่เกือบเลื่อนหลุดจากกิ่งไม้เมื่อมีใบหน้าใครคนหนึ่งยื่นออกมาทักทายจากหน้าต่างห้อง
“ว่าไงจ๊ะพ่อสุดหล่อ เขารอตัวเองในห้องตั้งนานแน่ะ”
“ไอ้เนตร ไอ้เวร ตกใจหมด!” ปากไวด่าไปก่อนแล้วรีบจับยึดกิ่งไม้แน่น โหนตัวผ่านเข้าหน้าต่างห้องใช้เท้าแตะพื้นเสียงเบา
“เด็กคนนั้น...กูไปเจอมาแล้ว” ภีฆาเนตรพูดพลางหมุนตัวเดินไปล้มนอนบนเตียงใหญ่
“แล้วเธอว่ายังไง” เจ้าของห้องเดินตามไป โดยมีแมวน้อยขนปุยกระโดดหย็องตามเขาเข้ามาเช่นกัน
ศิลปินหนุ่มไหวไหล่ ทอดสายตามองไฟบนเพดาน “ก็ดูยังไม่ไว้ใจกู ไม่รู้ว่าจะหลงกลเข้าแผนของมึงหรือเปล่า”
ปราณนารายณ์ถอนหายใจยาวขณะทรุดตัวนั่งบนเตียง เจ้าเหมียวได้ทีกระโจนขึ้นไปนั่งตัก นอนซบนิ่งอ้อนให้เกาคาง “ต้องรอดูกัน มึงจัดการในส่วนของมึงให้ดี ที่เหลือกูจะจัดการเอง”
“ปราณ”
เขาหันหน้าไปตามเสียงเรียก เห็นแววตาของน้องชายที่ละจากไฟเพดานมามองสบ
“กูว่ากู...ชอบเขาเข้าแล้วว่ะ”
ปราณนารายณ์เลิกคิ้วถาม “ล้อเล่นใช่ไหม”
“ถ้ามันไม่ทำให้แผนมึงเสีย กูขอเขาได้มั้ย”
น้ำเสียงจริงจังจนคนฟังเงียบไปอึดใจ ไม่ใช่ว่าน้องชายผู้นี้ไม่เคยรักใครมาก่อน ซ้ำยังเป็นคนมากรัก หากแต่แววตาคู่นั้นทำให้เขารู้สึกว่าคำพูดที่ออกจากปากของภีฆาเนตรครั้งนี้จริงจังแค่ไหน
“กูกับเขาจะไม่เกี่ยวข้องกันมากกว่าแผนที่วางไว้”
บอกไปอย่างนั้นก็สร้างความปรีดาให้กับผู้เป็นน้องที่ยังพร่ำพรรณนาถึงรอยยิ้มหวานหยดย้อย ดวงตาเป็นประกายของคนเกิดรักแรกพบทำให้ฟังจนคนฟังชักอยากรู้แล้วว่า เด็กสาวที่ให้คนไปแอบสืบเรื่องของเธอมานั้น ตัวจริงจะเป็นดังเช่นคำโฆษณาของภีฆาเนตรหรือไม่
กระทั่งเข็มนาฬิกาเตือนให้ต้องพาตัวเองไปพบคุณหญิงราณีที่ห้องทำงาน เขาจึงปล่อยแมวน้อยลงพื้นแล้วก้าวขาเดินออกจากห้อง ปล่อยให้น้องชายครอบครองเตียงนอนเพ้อฝันถึงคนในห้วงความคิดต่อไป
บ้านหลังใหญ่ทำให้ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะไปถึงห้องเป้าหมาย เขาเดินลงบันไดไปตามโถงทางเดิน ผ่านห้องรับแขกกว้างขวาง ผ่านห้องเปียโน ผ่านสตูดิโอศิลปะของภีฆาเนตร จงใจก้าวขาให้ช้าเพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุด จนมาหยุดตรงหน้าประตูบานใหญ่ สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผลักประตูเข้าไป เห็นคนที่นัดเขามานั่งรออยู่บนเก้าอี้บุนวมหนาที่วางอยู่ข้างหน้าต่างบานสูง มองเห็นสวนสวยประดับโคมไฟสว่างไสว
เจ้าของใบหน้าโรยราไปตามวัยเอ่ยทักทายด้วยคำพูดเหน็บแนม “โผล่มาได้เสียทีนะ”
“ขออภัยที่มาช้าครับ” แต่ผู้เป็นหลานตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หวังว่าการมาช้าจะถูกทดแทนด้วยคำตอบที่น่าพอใจ”
พอใจผู้ฟังแต่ฝืนใจผู้พูดนัก ปราณนารายณ์สูดลมหายใจเข้า ดวงตาไร้แววความรู้สึกทอดมองอย่างเหม่อลอยไม่มีจุดหมาย แต่ในภวังค์ความคิดกลับมีใบหน้าของเด็กสาวลอยเด่น ย้ำเตือนถึงคำขอร้องแกมบังคับที่คุณย่าของเขาเพียรพยายามใช้สิทธิ์ของผู้มีพระคุณบีบบังคับเขา
“ผมตกลงทำตามสิ่งที่คุณย่าต้องการ แต่ผมมีข้อแม้ ในสี่ปีที่ผมต้องอยู่ในพันธสัญญา ผมกับเธอคนนั้นสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระทุกอย่าง เงื่อนไขตามสัญญาจะไม่สร้างพันธะระหว่างกัน แม้แต่เรื่องความรัก”
“ความรัก?” คุณหญิงราณีหัวเราะในลำคอ แล้วปรายตามาจ้องมอง “ถ้าแกรู้จักความรักจริง แกจะรู้ว่ามันสร้างความทุกข์ความเจ็บปวดให้แกได้พอๆ กับที่แกเอามีดกรีดเนื้อตัวเอง”
“ไม่ต้องรอให้รู้จักความรักหรอกครับคุณย่า” ผู้เป็นหลานตอบกลับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “แค่ต้องพันผูกกับคนที่ไม่รักก็เจ็บยิ่งกว่าเอามีดกรีดหัวใจตัวเองเสียอีก”
ฮัดชิ้ว!
เสียงจามของเด็กสาวดังขึ้นขณะเก็บกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน แปลกใจที่รู้สึกคันจมูกทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นหวัด
วันนี้เธอกลับช้ากว่าปกติเพราะรอให้เพื่อนที่เรียนเก่งกว่าสอนการบ้านแลกกับการทำเวรแทน ซึ่งสิ่งที่เธอต้องเจอเมื่อกลับบ้านช้าคือการรอเที่ยวรถที่นานกว่าเวลาปกติ และอีกปัญหาก็คือการโดยสารร่วมกับเด็กช่างกลสถาบันในละแวกใกล้ ๆ ที่มักวิวาทกันจนเป็นข่าวออกทีวี
ซึ่งตอนนี้เธอก็รอนานมากแล้วจึงรู้สึกกระวนกระวายใจ นั่งไม่ติดที่ต้องชะเง้อชะแง้ดูตัวเลขบนรถร่วมบริการที่ใกล้มาถึง และพอเห็นว่าเป็นสายที่คอยอยู่ก็รีบลุกขึ้นหยิบกระเป๋านักเรียนพร้อมกับกระเป๋าผ้าใบเตรียมตัวเดินไปรอริมฟุตพาท แต่แล้วในตอนนั้นเองมีรถเก๋งสัญชาติยุโรปคันโตสีดำสนิทขับแซงเข้ามาจอดเทียบด้านหน้าเธอพอดิบพอดี
ประตูตอนหลังของรถหรูเปิดกว้าง เผยให้เห็นผู้ที่นั่งบนเบาะหนังสีครีมสะอาด เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดสูทสีดำกับเนกไทสีเดียวกัน ส่วนใบหน้าของเขานั้นเธอเห็นไม่ชัด เพราะแว่นตากันแดดที่เขาสวมใส่ปิดบังใบหน้าเกือบครึ่ง กอปรกับแสงอาทิตย์ยามสนธยาเริ่มอ่อนลง เพียงแค่แสงจากหลอดไฟถนนไม่อาจส่องให้เห็นเค้าหน้าได้ชัดเจน
“เธอคือธิดา ฤทธิ์นาคาใช่มั้ย” น้ำเสียงถามนั้นฟังดูแข็งกระด้าง
นั่นเป็นชื่อของเธอจริง แต่เขาเป็นคนที่เธอไม่คุ้น จึงไม่เห็นว่าต้องตอบตามความจริง “เปล่าค่ะ ไม่ใช่”
แต่ร่างสูงก้าวขาลงมารถมาขวางทางไว้ รูปหน้าและโครงร่างสูงใหญ่ของเขาที่ได้เห็นเต็มตาทำให้ธิดาตกอยู่ในภวังค์ ไฟถนนสีเหลืองนวลทอดแสงฉาบเรือนผมสีน้ำตาลเป็นประกายมันวาวดุจเส้นไหม ช่วยให้เห็นสันจมูกโด่งเป็นสันแบบชาวตะวันตกและกรอบหน้าเรียวได้รูปสมส่วน ปากหยักนั้นก็สมบูรณ์แบบราวกับเป็นฝีมือของช่างแกะสลักชั้นครู
“เด็กโกหก ถ้าประธานบริษัทชลธารคอนสตรักชันสอนลูกตัวเองให้เป็นคนโกหก เห็นทีบริษัทนี้คงไม่น่าไว้วางใจ”
คำพูดของเขาทำให้ธิดาหลุดออกจากภวังค์ทันที เธอชักสีหน้าใส่เขาด้วยความฉุน “คุณมีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าพ่อของ...” แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก กลืนคำพูดลงคอเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าถูกเขาพูดต้อน
และเมื่อเห็นปากหยักที่เพิ่งชื่นชมในใจว่าสมบูรณ์แบบนั้นเหยียดออกเป็นรอยยิ้มหยัน เด็กสาวก็รู้สึกขัดตาขัดใจ เบี่ยงตัวเดินอ้อมผ่านเพื่อหนีให้ห่างจากชายแปลกหน้า แต่ข้อมือเรียวถูกเขาคว้าไว้
“คุณจะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ!” ธิดารีบสะบัดแขน ส่งผลให้กระเป๋านักเรียนและย่ามผ้าใบหลุดจากมือหล่นลงพื้น
“ไม่ได้จะทำอะไร” ร่างสูงก้มเก็บกระเป๋านักเรียนส่งคืนให้ ส่วนย่ามผ้าใบนั้นยังถือเอาไว้ในมือ
“ถ้าไม่ได้จะทำอะไรก็คืนมาสิคะ” เด็กสาวทวงของของตัวเอง ยื่นมือคว้าหมายฉวยเอาคืน แต่เขายกกระเป๋าขึ้นเหนือหัว ดวงตากลมโตสีนิลจึงขุ่นมัว จับจ้องชายแปลกหน้าด้วยความโกรธ
“ฉันคืนแน่ อย่าห่วง” เขาพูดพร้อมกับสอดมือเข้าในกระเป๋าเสื้อสูทแล้วโชว์บางสิ่งให้เธอเห็น “อะไรที่ไม่ใช่ของฉัน ฉันคืนให้แน่นอน”
ปากหยักบอกแล้วร้อยจี้รูปดาวห้าแฉกสีทองเข้ากับปลายโซ่ที่สอดเข้าห่วงซิปกระเป๋าผ้าใบ แก้ไขความพิกลพิการของจี้ห้อยกระเป๋าให้คืนความสมบูรณ์ดังเดิม แล้วก็พูดประโยคเดิมซ้ำ
“ขอถามอีกครั้ง เธอคือธิดา ฤทธิ์นาคาใช่หรือไม่”
เจ้าของชื่อเงียบกริบ รับกระเป๋าย่ามที่เขาส่งมาให้กอดไว้แนบอก มองใบหน้านิ่งเฉยของเจ้าของคำถาม “แล้วคุณล่ะ คุณเป็นใครคะ”
“ฉันเป็นเจ้าของโครงการโรงแรมริมแม่น้ำเจ็ดดาวที่ชลธารคอนสตรักชันจะต้องรับผิดชอบงานก่อสร้างทั้งหมด”
คล้ายขาดอากาศหายใจไปชั่วขณะ คำตอบของเขาสั่นสะเทือนความรู้สึกของเด็กสาวจนต้องกอดกระเป๋าตัวเองแน่นขึ้น เพราะเรื่องที่ชายหนุ่มรูปงามมาปรากฏกายตรงหน้าเธอก็น่าพิศวงพอดูแล้ว แต่เรื่องที่เขานำเจ้าดาวดวงน้อยมาคืนให้นั้นน่าพิศวงกว่ามาก ยังไม่รวมถึงสิ่งที่เขาเพิ่งกล่าวออกมา
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ ช่วยขึ้นรถไปกับฉันที”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าคุณคือคนที่บอกจริง”
ธิดาหาเหตุผลบอกปัด แล้วรีบหมุนตัวเดินหนี แต่ในวินาทีที่เธอหันหลังไปกลับประจันหน้ากับกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ เธอได้ยินเสียงชายหนุ่มในชุดสูทสบถเสียงดัง และก่อนที่เธอจะถูกคุกคามด้วยเจ้าของกล้องปริศนาที่กำลังตั้งท่ารัวแฟลชใส่ราวปืนกล ลำแขนแกร่งก็เข้ามารวบตัวเธอจากด้านหลังแล้วอุ้มเธอขึ้น ก่อนจะผลักเข้าไปในรถอย่างรวดเร็วจนเธอตั้งตัวไม่ทัน
“ไปเร็ว!” เสียงสั่งการเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่งทันทีแล้วเหยียบคันเร่งพาเธอและเขาออกจากตรงนั้น หากแต่เส้นทางที่ไปหาใช่ถนนสายหลักไม่ ธิดาและเขาถูกพาเข้าไปในเส้นทางลัดที่คดเคี้ยว จุดประสงค์คือหนีจากการตามล่าของตากล้องในมุมมืดให้พ้น กระทั่งรถเคลื่อนมาจอดนิ่งสนิทบนที่ดินเปล่าริมแม่น้ำอันมีรั้วรอบขอบชิดติดป้ายแสดงกรรมสิทธิ์ของตระกูลปรเมศศิวะวงศ์