"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๔ ลงทุน โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่

เนื้อหา

บทที่ ๔ ลงทุน

บทที่ ๔ ลงทุน

คล้ายกับแผ่นดินที่เธออยู่ตอนนี้เป็นคนละมิติกับโลกนอกเขตรั้วกั้นแบ่งเขตสถาน

สายน้ำไหลเอื่อยสีดำกำมะหยี่มีแสงวิบวับของไฟประดับจากเรือนอาหารริมน้ำขับสะท้อนดูสวยงามราวกับอัญมณีหลากสีเรือสำราญลำใหญ่กำลังลอยลำเหนือผิวนที นำนักท่องเที่ยวชมความงามของทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำ มีสายลมอ่อนพัดผ่านหยอกล้อยอดไม้ริมน้ำขับไล่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว หากชายหนุ่มผู้ที่ยืนสงบนิ่งตรงนั้นช่างดูโดดเดี่ยวสะท้อนใจเด็กสาว

ตั้งแต่ถูกพาตัวมาถึงที่นี่ ก็ยังไม่มีวจีใดเล็ดลอดออกจากปากชายหนุ่ม เขาทำแค่ยืนหลับตาสงบนิ่งริมฝั่งน้ำ สง่างามราวกับรูปแกะสลักผลงานชิ้นเอกของนักประติมากรกรีก ที่สะกดให้นิ้วเรียวยกขึ้นแล้วขยับวาดเป็นเส้นตามจินตนาการบนอากาศ ลากตามใบหน้าชายหนุ่มที่เธอยึดเป็นตัวแบบ เส้นเชื่อมต่อเป็นรูปหน้าโค้งสวยจากหน้าผากกว้าง ลาดลงสู่โหนกคิ้วรับกับเปลือกตาที่ถักทอด้วยแพเส้นไหมงอนยาว จมูกโด่งเป็นสัน แต่ไม่ขัดขวางความสวยของปากหยักที่เชิดขึ้นน้อยนิดคล้ายคนเย่อหยิ่ง

“เธอเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินบนเนินเขาที่ศรีราชา” 

จู่ ๆ เขาก็หันหน้ามาเอ่ยพร้อมกับจับจ้องด้วยดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยที่งามประหลาดคล้ายมีลูกแก้วสะท้อนแสงวิบวับอยู่ภายใน

“ดูเหมือนคุณจะรู้จักหนูมากกว่าแค่ชื่อนะคะ” ธิดาลดมือลง ในหัวก็ประมวลถึงที่มาของจี้ดาวดวงน้อย “ถึงขนาดไปบุกรุกที่ของหนูโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ดวงตาคมมีประกาย รอยยิ้มที่มุมปากคล้ายเย้ยหยันคำพูดของเธอ “ก็เจ้าของที่ไม่ได้เขียนป้ายว่าห้ามบุกรุก แล้วก็แค่อยากรู้ว่ากลิ่นหอม ๆ แถวนั้นคือกลิ่นอะไร ก็เลยเดินล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ” 

“คุณไม่ได้ตั้งใจบุกรุก แต่คุณก็เดินขึ้นไปถึงยอดเนิน” 

มุมปากกระตุกเป็นยิ้มกระด้าง ดวงตาคมวาวจับจ้องใบหน้าเด็กสาว “ต้องโทษพุ่มมะลิพวกนั้น กลิ่นหอมแรงล่อแมลงให้เข้าไปดอมดม” 

“ผิดที่มะลิ?” ธิดาถามกลับด้วยแววตาขุ่นขวาง

“ผิดที่แมลง” ร่างสูงตอบเสียงทุ้มต่ำ ขยับตัวเข้ามาใกล้ “รู้ว่าได้แค่ดมกลิ่น ชิมน้ำหวาน แต่ไม่สามารถเด็ดไปครอบครองที่รังได้”

เด็กสาวสะบัดหน้าหนีดวงตาวาวที่จ้องมองราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบหัวใจให้เร่งจังหวะการเต้น “บอกธุระของคุณมาเถอะค่ะ มันเลยเวลากลับบ้านของหนูมามากแล้ว ไม่อยากให้พี่กับพ่อเป็นห่วง”

“พวกเขาจะไม่ห่วงเธอ”

เจ้าของดวงตากลมสีนิลหันขวับไปสบตาเขาเพื่อค้นหาความหมายในคำพูดนั้น

“เพราะตอนนี้พวกเขากำลังสนุกกับงานเลี้ยงผู้ถูกคัดเลือกให้ทำงานกับควีนส์คอร์ปบนเรือสำราญ และก็คงหลงใหลได้ปลื้มกับรายได้เป็นกอบเป็นกำที่จู่ ๆ ก็ตกจากสวรรค์มาอยู่ในมือแบบไม่ต้องลงแรงทำอะไรเลย”

ดวงตากลมโตลุกวาวจ้องมองชายหนุ่มอย่างไม่เก็บซ่อนความรู้สึกโกรธ ด้วยเพราะเขากำลังพูดถึงสองบุคคลอันเป็นที่รักของเธอในแง่ลบทั้งที่ไม่รู้จักไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน “คุณพูดเหมือนกับว่าชลธารคอนสตรักชันได้งานนี้มาเพราะโชคช่วย” 

“เปล่าเลยธิดา” เขาเหยียดปากหยักได้รูปเป็นรอยยิ้มที่สร้างความขุ่นมัวให้เด็กสาวได้อีกหลายเท่า “ชลธารคอนสตรักชันได้งานนี้เพราะความตั้งใจ...แต่เป็นความตั้งใจของฉันคนเดียว ฉันเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดว่าใครจะได้หรือไม่ได้ทำ”

พูดแล้วโน้มหน้าลงมาใกล้จนเธอผงะก้าวถอยหนี แต่มือหนารวบเอวบางรัดรึงไว้แนบแน่นกับอกแกร่ง แม้ว่าเธอจะพยายามออกแรงดันร่างสูงออกห่างสักเท่าไรก็ไม่อาจต้านทานแรงของบุรุษคนนี้ได้

“คุณต้องการอะไร!” ธิดาผลักอกดันตัวเองออก แต่วงแขนแกร่งก็โอบรัดแน่นขึ้นทุกขณะ คล้ายกับเธอยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งสาใจ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าโกรธเขาแค่ไหน ก็ยิ่งมีรอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าหล่อเหลา

“ต้องการที่ดินของเธอ ต้องการให้เธอขายที่ให้”

“ถ้าคุณอยากได้ที่ของหนูถึงขนาดไปรุกล้ำอาณาเขต คุณก็คงรู้อยู่แล้วใช่ไหมเรื่องสิทธิ์โดยสมบูรณ์ของหนู” เด็กสาวยังไม่ยอมแพ้ พยายามดิ้นขลุกขลักให้พ้นจากพันธนาการ “แต่พอหนูได้สิทธิ์ในที่ดินเต็มตัว มันก็เป็นเรื่องของหนูว่าจะขายหรือไม่ขายให้ใคร!”

ดวงตาสีน้ำตาลสวยจ้องมองใบหน้าหวาน นึกสบอารมณ์ประหลาดกับแก้มนวลทั้งสองที่ฉาบด้วยสีแดงสุกปลั่งเพราะความโกรธ “แน่นอนฉันรู้ และเพราะรู้ก็เลยอยากจับจองมันเอาไว้ก่อนที่มันจะหลุดลอยไปอยู่ในมือคนอื่น”

“ของของหนู คุณไม่มีสิทธิ์มาจอง ถึงคุณจะเป็นเจ้าของโครงการที่ชลธารฯ ต้องรับผิดชอบ แต่มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวกัน”

“ไม่เกี่ยวทางตรงแต่เกี่ยวทางอ้อม ฉันบอกแล้วนี่ว่าชลธารฯ ได้งานโพรเจกต์ใหญ่เพราะฉัน ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ คนนี้ คนที่ต่อจากนี้จะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับชีวิตเธอ!”

“คุณพูดอะไรของคุณ” เป็นเพราะแรงฮึดสุดท้ายของเธอหรือเขาแกล้งปล่อยแขนโดยไม่บอกล่วงหน้าก็ไม่รู้ ร่างเล็กจึงเซหงายหลังล้มไปกับพื้นในตอนที่เธอผลักอกเขาเต็มแรง

“เธอคงไม่คิดว่าควีนส์คอร์ปจะบ้าขนาดโยนงานสำคัญให้บริษัทก่อสร้างปลายแถวทำโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ฉันลงทุนเสี่ยงไปเยอะมากกว่าที่เธอคิด และฉันอยากบอกให้เธอรู้ล่วงหน้า ว่าค่าความเสี่ยงของฉันมันต้องได้อะไรตอบแทน”

“ต่อให้คุณอยากได้แค่ไหน คุณก็เปลี่ยนพินัยกรรมที่มีผลทางกฎหมายไม่ได้!”

“ได้สิ”

เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้ ธิดาจึงรีบกระถดถอยหนี แต่เกิดความเจ็บแปลบแผ่ซ่านจากข้อเท้า คงเป็นตอนที่เธอเสียหลักหงายล้ม

“พินัยกรรมมีผลทางกฎหมาย ฉันก็จะใช้สิ่งที่เรียกว่ากฎหมายนี่แหละทำให้เธอยอมมอบสิทธิ์จับจองที่ดินให้ฉัน”

“หนูไม่เข้าใจ” คราวนี้ความกลัวเริ่มแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ ขอบตาเอ่อชื้นมีประกายหยาดน้ำซึม

คล้ายเห็นแวววูบไหวในดวงตาคม แต่เขาเสมองไปทางเรือสำราญที่ลอยผ่านมาอีกครั้งเสียก่อน จึงพูดขึ้นน้ำเสียงเรียบนิ่ง “เธอยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจตอนนี้หรอกธิดา” 

จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินมานั่งยอง ๆ ตรงหน้า ยื่นมือเข้ามาหา “ฉันจะไปส่งที่บ้าน กว่าเรือลำนั้นจะเทียบท่าก็คงอีกนาน”

“คุณทำให้หนูกลัว” เสียงของเธอสั่นเครือชัดเจน

“สิ่งที่เธอควรกลัวไม่ใช่ฉัน มันมีอย่างอื่นที่น่ากลัวรออยู่ในอนาคตข้างหน้า ชลธารคอนสตรักชันจะต้องเปลี่ยนที่ดินเปล่าที่เธอนั่งร้องไห้ตรงนี้เป็นโรงแรมเจ็ดดาวแลกกับสิทธิ์จองซื้อที่ดิน”

ธิดากัดริมฝีปากแน่น ทั้งความเจ็บปวดจากข้อเท้าที่ถาโถม ทั้งเจ็บใจจากเรื่องที่ได้ยิน หากการได้งานใหญ่ของชลธารคอนสตรักชันมาจากความต้องการของเขาจริง แล้วเขาทำไปเพื่ออะไร แค่เพื่อที่ดินอย่างนั้นหรือ!

เด็กสาวตัดสินใจไม่รับความช่วยเหลือ ยันมือทั้งสองกับพื้น พยายามยันตัวขึ้นยืนแม้จะเจ็บจนอยากร้อง พอยืนทรงตัวได้ก็ปล่อยคำพูดที่กลั่นจากความคิดออกไป

“ค่าความเสี่ยงที่คุณพูดมันจะคุ้มค่ากับสิ่งที่คุณทำหรือเปล่า หนูไม่รู้” เธอกัดฟันพูดสะกดกลั้นความปวดร้าวทางกาย “แต่ถ้าคุณยอมทุ่มทุนวางเงินประกันการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยาหลักร้อยล้านกับบริษัทประกัน เพราะไม่แน่ใจในฝีมือของบริษัทปลายแถวที่คุณเลือก คุณคิดผิดแล้วละค่ะ ชลธารฯ จะพิสูจน์ฝีมือให้คุณเห็น”

แล้วก็หมุนตัวเดินโดยพยายามให้กระเทือนข้อเท้าน้อยที่สุด แต่ทุกก้าวที่ขยับมันปวดร้าวเกินต้านทาน หากแต่ความเจ็บปวดทางกายไม่เท่าความเจ็บของจิตใจ 

ถ้าพ่อกับพี่ชายรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะเสียใจหรือท้อใจมากแค่ไหน ไม่...เธอต้องไม่เล่าให้พวกเขาฟัง 

ไม่อยากเห็นใบหน้าดีใจของทุกคนเลือนหายกลายเป็นอดีต ไม่อยากให้ทุกคนมารับรู้ความจริงที่บั่นทอนความรู้สึก หากเขาคนนี้ใช้งานสำคัญเพื่อต่อรองให้เธอขายที่ดิน เธอก็จะใช้งานนี้เพื่อประกาศศักดาว่าชลธารคอนสตรักชันไม่ใช่บริษัทเล็ก ๆ ที่ใครจะมาดูถูกได้

โดยไม่ทันตั้งตัว ธิดาร้องอุทานด้วยความตกใจ เมื่อลำแขนแกร่งข้างหนึ่งโอบรอบแผ่นหลัง ส่วนอีกข้างสอดเข้าตรงข้อพับขา ก่อนจะช้อนอุ้มขึ้นอย่างง่ายดายราวกับตัวเธอเบาปานขนนก

“รั้น...เด็กหัวรั้น” เจ้าของลำแขนแกร่งที่อุ้มร่างเธอแนบอกเอ่ยน้ำเสียงอ่อนลง

“หนูเป็นคนรั้น และจะรั้นไม่ขายที่ดินให้คุณ!” ทั้งที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาแต่ยังกล้าโต้แย้ง ไม่กลัวถูกปล่อยทิ้งลงพื้น “ชลธารฯ จะทำให้คุณต้องเปลี่ยนคำดูถูกเป็นคำชื่นชม!”

“เธอจะต้องแสดงให้ฉันเห็นกับตา” คล้ายเห็นแววหยันในดวงตาสีน้ำตาลที่ก้มมอง “ผลงานนี้จะต้องมีชื่อเธออยู่ในทีม”

เสียงหัวเราะทุ้มในลำคอกับดวงตาสวยเปล่งประกายที่มองมาทำให้เธอรีบเสมองไปทางอื่น เด็กสาวปฏิเสธหนักแน่นว่าหัวใจที่เต้นแรงตอนนี้ไม่ได้เป็นเพราะถูกสะกดด้วยดวงตาคู่สวยของคนใจร้าย หรือเป็นเพราะแขนแกร่งที่ถือวิสาสะกระชับร่างเธอแนบอก

“คุณจะได้เห็น” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ฉันจะคอยดู ธิดา ฤทธิ์นาคา” 

 

ถัดจากวันนั้นไม่กี่วัน ธิดาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มเตือนไว้ล่วงหน้าคืออะไร ทั้งเกรียงไกรและก้องปฐพีก็ไม่ล่วงรู้มาก่อนว่าเหตุใดถึงต้องเชิญทั้งครอบครัวมาร่วมเซ็นสัญญาจ้างงาน กระทั่งเกรียงไกรจดปลายปากกาลงในสัญญาการร่วมธุรกิจระหว่างชลธารคอนสตรักชันและควีนส์คอร์ป สัญญาพิเศษแนบท้ายอีกฉบับก็ถูกวางตรงหน้า

“สัญญาหมั้นนี่มันอะไรกันครับ!” ถึงจะพยายามรักษามารยาทต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่แค่ไหน แต่เมื่อเห็นหัวสัญญาฉบับพิเศษ ก็ทำเอาก้องปฐพีถึงกับอารมณ์ขึ้น

“แท้จริงแล้วคุณหญิงคือคนที่พยายามขอซื้อที่ของลูกสาวผม?” เกรียงไกรเริ่มจับทางเรื่องราวได้ราง ๆ

“ขอโทษที่ไม่ได้บอกกล่าวเธอเรื่องนี้” คุณหญิงพูดด้วยใบหน้าเรียบสนิท “สัญญาหมั้นฉบับนี้เป็นความต้องการของปราณ...หลานชายฉัน”

ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงอยู่ในชุดสูทสีครามเข้มเหมือนสีของน้ำทะเลลึก นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น ดวงตาไร้ความรู้สึกคู่นั้นทำให้เขาเข้าใกล้คำว่าคนไร้หัวใจในสายตาของเด็กสาวที่นั่งเงียบตั้งแต่เข้ามาในห้องประชุม

“ผมชอบที่ดินของคุณธิดา แต่รู้ว่ากว่าที่คุณธิดาจะได้ครอบครองสิทธิ์ก็ต้องบรรลุนิติภาวะเสียก่อน แต่ผมเป็นห่วงว่าถ้าคุณธิดาไปตกล่องปล่องชิ้นกับผู้ชายคนไหนจนถึงขั้นแต่งงาน คุณธิดาก็จะเป็นผู้บรรลุนิติภาวะได้เช่นกัน ซึ่งนั่นก็จะทำให้ผมชวดที่ดินผืนสวย” รองประธานหนุ่มเริ่มเอื้อนเอ่ยที่มาของสัญญาฉบับพิเศษด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไง ความอยากได้มันมีมากจนต้องหาทางออก”

“ด้วยการหมั้นกับน้องสาวฉันทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักไม่เคยคบหากันมาก่อน!” น้ำเสียงของก้องปฐพีเข้มขึ้นทุกขณะ ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร

“มันก็แค่เพื่อจองที่ดิน ไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์อะไรให้ยุ่งยากใจ อีกอย่างเราเคยเจอกันแล้ว” แต่ประโยคที่รองประธานหนุ่มเอ่ยออกมาทำให้คนฟังรู้สึกฉุนจัด 

ก้องปฐพีจึงหันไปทางน้องสาวที่ยังก้มหน้ามองมือตัวเอง “จริงหรือธิดา”

เธอพยักหน้ารับ “วันที่พ่อกับพี่ก้องไปงานประกาศผู้ที่ได้รับคัดเลือกทำงานกับควีนส์คอร์ปบนเรือสำราญ...ธิดาพบกับเขาวันนั้นค่ะ”

“เคยเจอแล้วทำไม ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันขนาดต้องหมั้นต้องหมาย” ก้องปฐพียังแย้งเสียงแข็ง “ผมไม่สนใจแล้วว่าจะได้งานโครงการโรงแรมริมแม่น้ำหรือไม่”

จากนั้นสถาปนิกหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน มองใบหน้าของรองประธานควีนส์คอร์ปด้วยแววตาขุ่นขวาง “ผมคืนงาน!”

“เดี๋ยวสิครับคุณก้องปฐพี” ปราณนารายณ์เอ่ยยิ้ม นั่งเอนหลังกับพนักเก้าอี้ ยกขาไขว่ห้างท่าทางสบาย “คุณคงไม่ได้อ่านบัตรเชิญให้ดี เพราะถ้าคุณอ่าน คุณจะเห็นว่าเมื่อขึ้นเรือสำราญแล้วก็เท่ากับรับทำงานให้ควีนส์คอร์ปเทียบเท่าสัญญา ฉะนั้นถ้าหากคุณคืนงานผม ก็จงกลับไปคำนวณค่าเสียหายที่ผมจะเรียกร้องกับบริษัทเล็ก ๆ ของคุณได้เลย”

ชายหนุ่มหน้าคมเข้มขบกรามแน่น เจ็บแค้นที่เสียรู้พวกนายทุนใหญ่ “จะฟ้องร้องเท่าไหร่ก็เชิญ!”

“ธิดาจะเซ็นสัญญาหมั้นค่ะ”

“ธิดา!” 

เสียงค้านดังลั่นจากปากผู้เป็นพี่ชายและบิดา แต่ความประหลาดใจไม่ได้เกิดแค่ฝ่ายเธอ หากเกิดกับรองประธานหนุ่มด้วยเช่นกัน ทั้งที่ในใจนั้นอยากให้เธอปฏิเสธขึ้นมาเสียดื้อๆ มากกว่ายอมด้วยความไม่สมัครใจ

ในคืนนั้น เขาพาเด็กสาวไปส่งถึงหน้าประตูบ้าน เป็นบ้านสองชั้นเนื้อที่แคบในซอยแสนเปลี่ยว หากไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านมีกิจการก่อสร้าง เขาก็คิดว่าเป็นบ้านพนักงานองค์กรเอกชนทั่วไป แม้จะรู้ว่าฐานะทางการเงินไม่อาจวัดความสามารถของผู้บริหารกิจการได้ แต่สภาพที่เห็นก็ทำให้เขาหวั่นในอกลึกๆ ว่างานนี้จะกลายเป็นตำน้ำพริกละลายแม่น้ำหรือไม่

แค่เพื่อให้ได้ที่ดินผืนนั้นของเธอมา เขาต้องเสี่ยงอีกมากแค่ไหนกัน ชั่งน้ำหนักในใจแล้วตาชั่งก็เอนไปทางสูญเสีย หากแต่รองประธานหนุ่มก็ยังอยากลอง และความท้าทายใหม่ที่น่าแลกเปลี่ยนคือเจ้าของดวงตาสีนิลแสนอวดดี

“ถ้าอย่างนั้นจะรออะไร เซ็นชื่อในสัญญาสิครับคุณธิดา” เขาลุกขึ้นหยิบกระดาษสัญญาไปวางไว้บนโต๊ะด้านหน้าเด็กสาว แต่ก้องปฐพีคว้าไปไว้ในมือ

“จะไม่ให้อ่านเงื่อนไขกันก่อนหรือไงครับคุณรองประธาน” ผู้เป็นพี่ชายยังคงรอบคอบเสมอ

“จะอ่านจนกระดาษทะลุก็เชิญ” ปราณนารายณ์หรี่ตามอง

สถาปนิกหนุ่มแค่นยิ้มแล้วกวาดสายตาอ่านทุกเงื่อนไขของสัญญาโดยละเอียด

 

สัญญาฉบับนี้ทำขึ้นระหว่างนางสาวธิดา ฤทธิ์นาคา (เจ้าของที่ดินหมายเลขโฉนด...) กับนายปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ โดยทั้งสองตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินแปลง...ที่ตั้ง...

ทั้งคู่ตกลงทำสัญญากันโดยมีเงื่อนไขต่อไปนี้

1. เมื่อ นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคา เป็นผู้บรรลุนิติภาวะทางวัยวุฒิตามกฎหมาย นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคาจะพิจารณาขายที่ดินหมายเลขโฉนด...ให้กับ นายปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ 

2. ในระหว่างที่ นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคา ยังไม่มีสิทธิ์ถือครองที่ดิน นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคา จะต้องทำการหมั้นกับ นายปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ จนถึงวันที่ นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคา บรรลุนิติภาวะ เพื่อเป็นการจองสิทธิ์ซื้อที่ดิน

3. การหมั้นในเงื่อนไขข้อที่ 2 จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อ นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคา บรรลุนิติภาวะแล้ว หรือมีเหตุผลทางกฎหมายที่กระทำการได้ 

สัญญานี้ถูกทำขึ้นสองฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้อ่านและเข้าใจโดยตลอดแล้ว จึงลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานเป็นสำคัญและเก็บสัญญาไว้ฝ่ายละฉบับ

 

เมื่ออ่านจบครบทุกข้อ ก้องปฐพีก็วางสัญญาฉบับนั้นลงแล้วไล่สายตาไปทางคุณหญิงราณี ก่อนจะมาหยุดที่ปราณนารายณ์

“จะมีใครว่าอะไรไหมหากผมจะขอเพิ่มเงื่อนไขในสัญญา ผมพบว่าสัญญาที่เขียนมานี้มันไม่เป็นธรรมกับน้องสาวผมสักเท่าไหร่”

“เธออยากเพิ่มเงื่อนไขเรื่องอะไร” คิ้วของคุณหญิงขมวดมุ่น 

ก้องปฐพีแย้มยิ้ม หยิบปากกามาถือไว้แล้วเขียนเงื่อนไขตามต้องการลงบนกระดาษสัญญา ไม่สนใจเสียงร้องท้วงของสตรีสูงศักดิ์ เมื่อเขียนจบก็ยื่นสัญญาคืนให้ปราณนารายณ์ แต่คุณหญิงรีบคว้าไปอ่านก่อนที่จะถึงมือหลานชาย

แว่นสายตากรอบทองถูกฉวยขึ้นสวมใส่เพื่อใช้ขยายตัวหนังสือสีน้ำเงินลายเส้นยุกยิกอ่านยากว่า “ข้อที่สี่ เพื่อให้นางสาวธิดาพึงพอใจในการให้สิทธิ์เข้าซื้อที่ดิน นายปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ จะต้องบริการรับใช้นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคา และครอบครัวของเธอทุกอย่างตามที่ร้องขอโดยไม่มีสิทธิ์บ่ายเบี่ยงตลอดอายุสัญญา” 

“คุณโอเคมั้ยครับคุณปราณนารายณ์” คนเขียนถาม ใช้ปากกาชี้ไปทางคู่สัญญาของน้องสาว

โอเคมั้ย...ผู้ถูกถามทวนคำถามนั้นในใจ แค่บริการธิดาน่ะไม่น่าจะเท่าไร แต่ติดใจตรงวลีว่าครอบครัวของเธอ ประมาณการแล้ว ที่ไม่น่าโอเคก็ตรงนายก้องปฐพี พี่ชายของเธอนี่แหละ

ปราณนารายณ์สูดลมหายใจเข้าแล้วตอบไปว่า “ไม่มีปัญหา”

คุณหญิงมองหน้าหลานชายอย่างกระอักกระอ่วน เพราะในข้อต่อมานี่สิที่ทำให้เธอกลืนน้ำลายลงคอลำบากยากเย็น 

“ข้อที่ห้า สัญญาฉบับนี้จะสิ้นสุดลงทันที ถ้านางสาวธิดา ฤทธิ์นาคาและครอบครัวของนางสาวธิดา ฤทธิ์นาคาไม่ได้รับความพึงพอใจในบริการ แม้จะไม่ครบอายุสัญญาก็ตาม นางสาวธิดา ฤทธิ์นาคาสามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันทีโดยที่นายปราณนารายณ์จะต้องไม่มีข้อโต้แย้ง”

“คุณยังโอเคอยู่มั้ยครับคุณปราณนารายณ์” ก้องปฐพียกยิ้มที่มุมปาก ใช้ปากกาชี้หน้าถามเช่นเดิม

ปราณนารายณ์ไม่ได้รู้สึกเลยว่ารอยยิ้มนั่นแสดงความเป็นห่วงตามความหมายของคำว่า ‘โอเคมั้ย’ เพราะจุดประสงค์จริงนั้นคือต้องการท้าทายเขาเสียมากกว่า และการท้าทายที่ว่าคือการรับประกันความพึงพอใจตลอดสี่ปี ซึ่งจะเอาหลักเกณฑ์หรือทฤษฎีประเมินความเสี่ยงข้อไหนมาใช้ก็ไม่ได้ ก้องปฐพีคงต้องการใช้จุดนี้เปิดช่องหนีให้ธิดา หรือไม่ก็ทำให้เขาทนไม่ไหวแล้วเป็นฝ่ายขอยกเลิกสัญญาเสียเอง

“ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ ผมเห็นว่าวันนี้เราคงตกลงตามเงื่อนไขนี้ไม่ลงตัว ฉะนั้น...” ก้องปฐพีสรุปจากเวลาที่ปราณนารายณ์ใช้ในการหาคำตอบ 

แต่รองประธานหนุ่มฉวยกระดาษสัญญาคืนจากคุณหญิง เขียนคำว่าโอเคเป็นอักษรย่อภาษาอังกฤษท้ายเงื่อนไขทั้งสองข้อ พร้อมกับเซ็นชื่อกำกับส่งคืนให้กับเด็กสาว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง

“ทีนี้ขึ้นอยู่กับเธอแล้ว”

แต่ธิดายังนิ่งเงียบ จ้องมองคำว่า ‘โอเค’ เป็นภาษาอังกฤษกับลายเซ็นกำกับที่เขาเขียนลงน้ำหนักมือบนกระดาษ

“มีอะไรที่ทำให้เธอลังเลอีกหรือไง”

“ไม่มีค่ะ ไม่มีเลย...” เธอตอบน้ำเสียงแผ่วจนเกือบไม่ได้ยิน

แล้วชื่อของธิดา ฤทธิ์นาคาก็ถูกเขียนลงในช่องว่าง สร้างความสมบูรณ์ให้กับสัญญาหมั้นที่จะจองจำเธอและเขา คู่หมั้นที่ไม่มีพันธะผูกพันทางใจ หวังเพียงแค่การจองกรรมสิทธิ์ในการซื้อที่ดิน