"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่

เนื้อหา

บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู

บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู 

ดวงตาสีน้ำตาลสวยจับจ้องรูปถ่ายเด็กสาวผมหางม้าเจ้าของดวงตาสีนิลผู้ครองตำแหน่ง ‘คู่หมั้นเฉพาะกิจ’ สถานะใหม่ที่ได้มาหมาดๆ แต่ต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายให้ใครอื่นรู้ เหตุเพราะทั้งเธอและเขาต้องใช้ชีวิตไปตามเส้นทางของตัวเอง ซึ่งก็หวังว่าการหมั้นที่เขาใช้เล่ห์บังคับนั้นจะไม่สร้างปัญหาอะไรให้เด็กสาวไปมากกว่านี้

“คุณปราณคะ คุณปริมมาขอพบค่ะ”

เสียงเลขานุการคนเก่งดังมาทางเครื่องมือสื่อสารภายใน ชายหนุ่มจึงนึกขึ้นได้ว่าสองสามวันมานี้เขาวุ่นอยู่กับการประชุม แล้วยังมีเรื่องของคุณหญิงราณีเข้ามาอีก จนไม่ได้ใช้เวลากับปริมประภา แม้แต่ข้อความก็ไม่ได้ส่งหา รู้สึกผิดจนต้องรีบตอบกลับเลขานุการให้หญิงสาวมาพบเขาได้ทันที

“ฉันมารบกวนเวลาคุณหรือเปล่า” เป็นคำพูดแรกของเธอตามมารยาทเมื่อได้รับการอนุญาตให้เข้ามาในห้องทำงานของรองประธานหนุ่ม

เขาคลี่ยิ้มบาง “คุณกำลังจะบอกว่าผมไม่มีเวลาให้จนต้องใช้คำว่า ‘รบกวน’ ”

“รู้ดีแบบนี้ก็คงไม่จำเป็นต้องต่อว่าอะไรแล้ว แต่เอาเถอะ ฉันไม่ได้มาหาเรื่องทะเลาะกับคุณแน่ ฉันรู้ว่างานของคุณสำคัญแค่ไหน เหตุผลนี้ฉันยอมรับได้”

“ขอบคุณที่เข้าใจครับ”

“แต่...เวลาของคุณคืนนี้ต้องเป็นของฉัน” เธอรีบบอก ยังไม่ยอมให้เขาตายใจ

“คืนนี้?”

“ค่ะ คืนนี้” ร่างอิ่มลุกขึ้นยืน วางมือทั้งสองลงบนโต๊ะตัวใหญ่ โน้มตัวเข้าใกล้จนได้กลิ่นของน้ำหอมยั่วยวน 

“ผมอาจจะไปช้า กลัวว่าคุณจะรอไม่ไหว”

“ฉันรอคุณได้เสมอ” ปริมประภากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันจะเตรียมไวน์ไว้รอคุณ...ที่ห้องคุณ”

เสียงแผ่วเบากับปลายเล็บสีแดงตกแต่งคริสทัลที่กำลังไต่ไปกรามแกร่งทำให้ใจแกว่งได้ทีเดียว

“ทำไมเราไม่ใช้เวลาพูดคุยทบทวนเรื่องที่ผ่านมาของกันและกันแทนการดื่มของมึนเมาล่ะครับ”

“นี่ไงคะที่ฉันต้องการ เราจะมาทบทวนความทรงจำกันสักหน่อย”

“ถ้าให้ทบทวนความจำก็ไม่ต้องรอให้ถึงคืนนี้หรอกค่ะ” หญิงสาวส่งสายตาพราวเสน่ห์แล้วเดินนวยนาดเข้าไปหา ก่อนขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงาน ยกขาไขว่ห้างแล้วดึงเน็กไทของชายหนุ่มให้เขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ เพื่อกดประทับริมฝีปากอิ่มเคลือบสีแดงกำมะหยี่ลงบนเรียวปากหยักบางแนบแน่น 

“แล้วเจอกันนะคะ” ถอนปากออกเอ่ยคำลาแล้วผละตัวออกมา ทิ้งความรู้สึกค้างเติ่งไว้ให้เขาเพื่อให้ตามไปสานต่อกับเธอคืนนี้

 

การตัดสินใจเซ็นสัญญาหมั้นเป็นเหตุให้ธิดาดั้นด้นมาสมัครเรียนที่คีตศิลป์หลังโรงเรียนเลิกในวันต่อมา เธอถูกพามาให้นั่งรอในห้องกว้างสีขาวสะอาด มีเปียโนสีแดงสดวางเด่นริมบานหน้าต่างโดยไม่บดบังทัศนียภาพของสวนภายนอก 

“ธิดา มองต์บลังค์!”

เด็กสาวรีบลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อถูกเรียกชื่อ ทว่านามสกุลกลับไม่ใช่นามสกุลของเธอ ผู้เรียกชื่อเป็นชายหนุ่มร่างสูงผึ่งผาย ใบหน้าเรียวได้รูป จมูกโด่งเป็นสัน ปากหยักสวยและมีรอยกดที่มุมปากคล้ายเขากำลังยิ้มตลอดเวลา 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นรอยยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มทั้งสองข้าง และไม่ใช่ครั้งแรกที่สายตาวิบวับคู่นั้นบรรจงส่งมอบมาให้เธอเช่นกัน

“สวัสดีค่ะคุณภีฆาเนตร” เธอรีบยกมือไหว้ทำความเคารพ

“ในที่สุดเธอก็มาหาฉันจนได้” ชายหนุ่มเอ่ยเมื่อเดินเข้ามาใกล้และแย้มยิ้มอย่างผู้มีชัย “ธิดา...มองต์บลังค์” แล้วย้ำชื่อและนามสกุลนั้นอีกครั้ง

“เอ่อ...ไม่ทราบว่าในคลาสยังพอมีที่นั่งว่างอยู่หรือเปล่าคะ” เด็กสาวบอกถึงจุดประสงค์การมา “หนู...ยังไม่ได้เขียนใบสมัคร”

“ฉันต้องเสียใจด้วยธิดา มองต์บลังค์ เธอมาช้าไป คลาสในโรงเรียนของเราเต็มหมดแล้วทุกคลาส” ผู้อำนวยการหนุ่มบอกแล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผายมือเชิญเป็นสัญญาณให้เด็กสาวนั่งลง

คิดไว้แล้วว่าต้องได้ยินคำตอบนี้ แต่ก็ไม่คิดอ้อนวอนให้ยืดเยื้อ จึงลุกขึ้นยืนยกมือไหว้เอ่ยคำลาด้วยใบหน้าผิดหวัง “ถ้าอย่างนั้นหนูไม่รบกวนเวลาของคุณภีฆาเนตรแล้วค่ะ” 

“เดี๋ยวสิ ครั้งนั้นก็ดูรีบ ๆ ครั้งนี้ก็ยังจะรีบ จะไม่ให้เราได้มีโอกาสคุยกันบ้างเลยหรือไง” เขารีบกวักมือเรียกให้นั่งลง

“ก็คุณภีฆาเนตรบอกว่าคลาส...เต็ม” เธอทวนความจำให้เขาฟัง

“บอกว่าคลาส...ใน...โรง...เรียน...เต็ม” ชายหนุ่มก็ทวนความจำเช่นกัน

“ใน...โรง...เรียน...เต็ม” เด็กสาวพูดย้ำ

ผู้อำนวยการหนุ่มยิ้มกว้าง พยักหน้า “แต่คีตศิลป์ไม่อยากให้ใครพลาดโอกาส ตัวเธอเองก็คงไม่อยากพลาดโอกาสใช่ไหม แล้วที่ฉันเคยบอกไว้ว่าจะคิดราคาค่าเรียนให้เป็นพิเศษ นั่นหมายความว่าที่นั่งของเธอถูกจองไว้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ใช่คลาส...ใน...โรง...เรียน...”

“แล้ว...เป็น...คลาส...ที่...ไหน...คะ” เมื่อเขาพูดย้ำเป็นคำ ๆ เธอก็ขอย้ำเป็นคำ ๆ บ้าง

“บ้านฉัน”

“ฮะ!”

“ที่บ้านฉัน”

“ขอกราบลาเพียงเท่านี้” ยกมือไหว้แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยเร็ว

“แหม เอะอะก็จะลาท่าเดียว บ้านฉันมีสตูดิโอและอุปกรณ์การเรียนการสอนครบเช่นกัน อย่าคิดมาก ไปที่บ้านมีสมาชิกอยู่กันหลายคน เราไม่ได้อยู่กันตามลำพัง ฉันเป็นครูมืออาชีพ ถ้าบอกว่าสอนก็คือสอน ไม่มีกิจกรรมอื่นแน่นอน”

“แต่...” แน่นอนว่าเธอลังเล

“ให้เวลาตัดสินใจหนึ่งอาทิตย์ หลังจากนั้นชั่วโมงเรียนจะน้อยลง จนฉันไม่สามารถอัดเนื้อหาให้จบได้ก่อนเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย” เขารีบบอกเงื่อนไขเพื่อปิดการขาย

“เอ่อ...แล้ว...คุณภีฆาเนตรจะสอนด้วยตัวเองหรือคะ” เด็กสาวรู้สึกเกรงใจ เพราะรู้ว่าเขาเป็นถึงผู้อำนวยการและเป็นหลานชายของคุณหญิงราณี

ชายหนุ่มเอนหลังกับพนักเก้าอี้ ยกมือกอดอกมองใบหน้ากังวลของเธอ “แน่นอนสิ ก็คนที่ตกลงเงื่อนไขในวันนั้นเป็นฉันเองนี่นา ธิดา มองต์บลังค์”

เธอชักเริ่มขัดเขินกับชื่อและนามสกุลสมมุตินั่นเสียเอง “เลิกเรียกหนูด้วยนามสกุลขนมนั้นได้แล้วค่ะ”

“ฉันพอใจเรียกแบบนี้มากกว่า” คนได้โอกาสยิ้มแก้มปริ “ธิดา ฤทธิ์นาคา”

“คุณรู้จักหนูอยู่แล้ว”

“ก็เมื่อไม่นานมานี้” ภีฆาเนตรเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ก้มตามองมือที่วางบนโต๊ะว่างเปล่า รำพึงคำพูดที่ธิดาไม่เข้าใจความหมายนัก “แต่ถึงอย่างไรก็ยินดีที่ได้รู้จัก ธิดา ฤทธิ์นาคา ต่อจากนี้ฉันจะถ่ายทอดความรู้ให้จนหมดไส้หมดพุงเชียวละ ไม่ว่าจะในฐานะศิษย์หรืออะไรก็แล้วแต่” 

เด็กสาวเดินออกจากคีตศิลป์ด้วยความปรีดาเต็มอก เสียงหัวเราะและคำพูดหยอกเอินของผู้อำนวยการหนุ่มยังทำให้หญิงสาวยิ้มค้าง และความขี้เล่นไม่ถือตัวของเขาก็ทำให้เธอเผลอคิดเปรียบเทียบกับชายหนุ่มอีกคนที่ใช้นามสกุลเดียวกัน ซึ่งพอย้อนความคิดไปถึงคำพูดที่ลั่นใส่หน้ารองประธานหนุ่มคนนั้นแล้วก็ให้หนักใจ ไม่รู้ว่าการได้ร่ำเรียนกับปรมาจารย์ชั้นครูจะช่วยให้ทำงานใหญ่สำเร็จหรือไม่ 

เธออยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองจนเดินมาถึงป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากคีตศิลป์ เมื่อเห็นรถเมล์สายที่วิ่งผ่านซอยบ้านมาถึงป้ายรถเมล์ก็กระโดดขึ้นแล้วกวาดตาหาที่นั่ง สายตาก็พลันสะดุดกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน 

กลาง” ร่างบางรีบปรี่เข้าไปจับจองพื้นที่ว่างด้านข้าง แล้วชวนเขาสนทนา “บังเอิญจัง นายมาทำอะไรแถวนี้” 

กลางหรือระพีพัฒน์เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอวางหนังสือในมือที่กำลังอ่านลง “ฉันมาเรียนพิเศษ แล้วเธอล่ะ เส้นนี้ไม่ใช่ทางกลับบ้านนี่นา”

“ฉันมาสมัครเรียนที่คีตศิลป์”

เขาพยักหน้าว่ารับรู้แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ธิดาไม่อยากรบกวนจึงนั่งเงียบไปตลอดทาง จนถึงป้ายรถเมล์หน้าสถาบันอาชีวะที่เหล่านักเรียนชายสายอาชีพพากันขึ้นมานั่งจับจองจนเต็มพื้นที่

“ฉันไปก่อนนะ เธอกลับคนเดียวได้ใช่ไหม” ระพีพัฒน์ขยับตัวลุกขึ้นเมื่อใกล้ถึงจุดหมายของตน แล้วถามเธอด้วยน้ำเสียงที่เบาจนเกือบกระซิบ

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันไม่ใช่เด็กอนุบาลนะ” ธิดาตอบกลับด้วยใบหน้าสดใส

“ยังไงก็ระวังตัวด้วยล่ะ” 

เธอยิ้มตอบกลับคำเตือนและโบกมือลาให้ก่อนเขาเดินลงไป จากนั้นขยับตัวเข้าไปใกล้หน้าต่างแทนที่ แล้วทอดสายตาชมทัศนียภาพนอกกระจกรถ กระทั่งที่นั่งด้านข้างถูกครอบครองโดยนักเรียนสายอาชีวะผู้หนึ่ง ซึ่งความกังวลใจเริ่มเกิดในตอนที่เห็นว่าผู้โดยสารคนอื่นเริ่มทยอยลงจากรถเมล์ไปจนเหลือเพียงเธอกับพนักงานขับรถเท่านั้นที่กลายเป็นพวกแปลกแยก

อีกไม่กี่แยกไฟแดงก็จะถึงป้ายรถเมล์ใกล้บ้าน ธิดาตัดสินใจว่าจะลงแล้วเดินเท้าต่อ เธอจึงลุกจากที่นั่งแล้วเอ่ยขอทาง รีบเดินแทรกตัวไปกดกระดิ่งแจ้งความจำนง พนักงานขับรถจึงชะลอความเร็วลงเพื่อเข้าจอดที่ป้ายรถเมล์ แต่รถยังไม่ทันจอดถึงป้ายดีก็มีกลุ่มนักเรียนสายอาชีพอีกสถาบันกรูขึ้นมา สวนทางกับเธอในจังหวะที่กำลังจะก้าวลง ร่างบางจึงถูกดันให้ย้อนกลับเข้าไปในรถดังเดิม ในที่สุดประตูทางออกก็ถูกปิดตายด้วยกำแพงนักเลงในร่างนักเรียน

หลังจากนั้นเหตุทะเลาะวิวาทก็เกิดขึ้นเร็วและรุนแรงมาก จนเธอต้องก้มหาที่ซุกตัวระหว่างเก้าอี้โดยสาร ได้ยินเสียงตะโกนด่าทอหยาบคายสลับกับเสียงร้องเพราะความเจ็บปวด การตะลุมบอนในพื้นที่แคบมันโหดร้ายเกินไปสำหรับผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่กำลังหาทางหนี

ธิดาจำต้องคลานต่ำหาที่หลบหลีกเท้าไปเรื่อยเพื่อให้ปลอดภัยจากเหล่านักบู๊นอกโรงเรียนทั้งหลาย ในใจก็ภาวนาขอให้เตะต่อยกันก็พอ อย่าให้มีอะไรมากไปกว่านี้ แต่เทวดาคงไม่ได้ยินคำขอของเธอ หัวใจของเด็กสาวหยุดเต้นไปชั่วขณะเมื่อสบตากับดวงตาเหลือกถลนของร่างที่เพิ่งล้มลงตรงหน้า ธิดายกมือปิดกั้นเสียงร้อง หวาดผวากับบาดแผลเหวอะหวะยาวตั้งแต่หน้าผากจนถึงปลายคางของเจ้าของร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติง

จะเอื้อมมือไปปิดตาบอกว่าหลับให้สบายก็ไม่ใช่เวลา ธิดากลัวจนตัวสั่นเทิ้ม แต่สายตาก็พยายามหาลู่ทางหลบหนี และใจชื้นขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงไซเรนดังใกล้เข้ามา

แต่ถ้าไม่พาตัวเองออกจากที่นี่มันอาจรุนแรงกว่านี้หลายเท่า ธิดากลั้นใจฮึดสู้กับการนองเลือดอันแสนโกลาหล ลุกขึ้นวิ่งอย่างรวดเร็วตรงไปยังประตู

“กรี๊ด!” เธอเผลอกรีดร้องเสียงดังลั่น

ร่างบางล้มลงเพราะถูกกระแทก แค่นั้นยังไม่พอ เธอยังถูกร่างอ้วนของหนึ่งในนักเลงล้มทับระหว่างการต่อสู้แลกหมัดอันชุลมุน ธิดาตะเกียกตะกายพาตัวเองออกจากการถูกทับ แล้วพยายามคลานต่อไปยังประตู ยิ่งใกล้ทางออกมากเท่าไร หัวใจยิ่งเต้นเร็วและแรงขึ้นเท่านั้น บอกตัวเองว่าต้องคลานต่อไปอย่าหยุด

“หยุด ยกมือขึ้น!”

เสียงเจ้าหน้าที่ตำรวจประกาศใส่โทรโข่งสั่งการเหล่าผู้ก่อความวุ่นวายบนรถโดยสารให้หยุดการกระทำทุกอย่าง ทว่าธิดากลับต้องหยุดและยกมือทั้งสองข้างขึ้นด้วย เพราะร่างของเธอดันถูกคว้าไปเป็นตัวประกันโดยใครคนหนึ่งเข้า!

น้ำตาเด็กสาวไหลรินด้วยความกลัว เมื่อต้นคอถูกปลายคมเย็นเฉียบของมีดพกเล่มเล็กกดแนบลงมา

“อย่าวู่วาม เราตกลงกันได้!” ตำรวจนายหนึ่งบอกผ่านโทรโข่ง

“กูไม่เชื่อ!”

“ปล่อยฉันเถอะ ถ้าเธอปล่อยฉันแล้วยอมทำตามตำรวจ อย่างมากก็โดนแค่ข้อหาทะเลาะวิวาทนะ” เธอพยายามพูดกล่อมเช่นกัน อยากให้เขาเชื่อ เธอจะได้ไม่ถูกเชือด

“มึงอย่ามาหลอกกู มึงเห็นอยู่ว่ากูฟันไอ้นั่นตาย!”

พูดจบก็กดปลายมีดที่คอของตัวประกันหนักขึ้นสร้างความสั่นสะท้านไปทั่วร่างบอบบาง ในกรณีแบบนี้พี่ชายของเธอเคยบอกว่าให้สู้กลับอย่างไรนะ ทำไมนึกวิธีไม่ออก มาด่าตัวเองว่าไม่สนใจเรียนเทควันโดกับก้องปฐพีตอนนี้ก็คงสายไป นี่เธอจะต้องมาจบชีวิตแบบนี้น่ะหรือ

ไม่นะ ไม่ ไม่ ไม่! เธอตะโกนก้องในใจ

ธิดาตั้งสติมั่นรวบรวมพลังทั้งหมดที่มี ใช้สองมือสอดเข้าใต้แขนของคนที่บังอาจรัดคอเธอ แล้วดันออกจนสุดแรงเพื่อหมุนตัวเองให้หลุดจากพันธนาการ จากนั้นใช้ความไวบิดแขนของผู้บังอาจทำลายความสงบให้หมุนผิดธรรมชาติ สร้างความเจ็บปวดจนชายที่จับตัวเธอต้องย่อตัวลงตามแรงบิด

เธอชนะ

ความคิดนั้นวิ่งเข้าหัวแค่แวบเดียว เพราะมีอีกความคิดเบียดแซงหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เพื่อบอกเธอว่าเจ้าคนที่เธอชนะน่ะเป็นแค่หนึ่งในนักเรียนนักเลงหลายสิบคนที่อยู่บนรถเมล์สายนรกนี้!

ธิดาเม้มปากแน่นเมื่ออันธพาลคนใหม่ไม่ได้ใช้อาวุธปลายแหลมอีกต่อไป หากแต่เป็นลูกกระสุนที่ถูกปล่อยออกจากปลายปืนปากกา ซึ่งมันมาพร้อมกับระเบิดควันลูกใหญ่ที่ถูกโยนเข้ามา ควันสีขาวคละคลุ้งไปทั่วคันรถ และแผ่ออกไปทั่วบริเวณเป็นวงกว้างทางประตูและหน้าต่าง

ปัง!

เลือดกระเส็นกระสาย ร่างบางล้มลงนอนหงายกับพื้น มึนงงจนไม่อาจรับรู้อะไรได้ มีเพียงเสียงผู้คนบางเบาส่งผ่านเข้าโสตประสาทการได้ยินแล้วก็เงียบหายไป เช่นเดียวกับสติของเธอที่หลุดลอย ไม่รับรู้ความวุ่นวายหลังจากนั้นอีกต่อไป

 

ท่ามกลางแฟ้มข้อมูลลับเฉพาะที่ถูกกองสุมกันจนเต็มโต๊ะกว้าง ไล่ลงไปจนถึงพื้นห้องทำงานของนายตำรวจหนุ่มยศผู้กองที่กำลังสูดเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสจัดจ้านถึงใจ แม้ยามเอร็ดอร่อยก็ไม่ขาดวินัยในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยสืบคดีพิเศษ

“ผู้กองอาวุธครับ เราได้รับแจ้งเหตุคนหายอีกรายแล้วครับ!”

ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้ามารายงานสถานการณ์ล่าสุดทันทีที่ได้รับข้อมูล ไม่ได้สังเกตว่าผู้มียศสูงกว่ากำลังอยู่ระหว่างกินอาหารกลางวัน จึงหยุดชะงักให้หัวหน้าสูดเส้นที่ค้างตรงปาก กลืนลงท้องก่อนพูดต่อ

ผู้กองหนุ่มวางถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและตะเกียบไม้ลง รื้อหาปากกาจากกองเอกสารที่สุมกันจนเจอ แล้วจึงจดข้อมูลใหม่ลงในเศษกระดาษแผ่นเล็ก

“อายุล่ะ” เขาถามหาข้อมูลเพิ่ม

“ยี่สิบห้า” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบพลางมองหัวหน้าของตนลุกขึ้นจากเก้าอี้ นำกระดาษแผ่นนั้นไปวางบนกระดานแล้วปักด้วยหมุดที่โยงแต่ละหมุดเข้าด้วยกัน

“ผู้เคราะห์ร้ายที่ได้รับแจ้งทุกคนเป็นเพศหญิง” อาวุธกล่าวพลางมองกระดานที่เขาปักหมุดรูปถ่ายผู้สูญหาย แล้วหันมาทางลูกน้อง “การลักพาตัวโดยไม่มีการติดต่อเรียกค่าไถ่ คงจะมีอยู่แค่เหตุผลเดียวคือ...”

“ค้ามนุษย์”

คนที่ต่อประโยคไม่ใช่คนที่อยู่ในห้องก่อนหน้า หากแต่เป็นสารวัตรอัชวิน ขุนพลคนเก่งที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ในกรมให้ทำคดีการหายตัวอย่างไร้ร่องรอยของประชาชน

“ผมก็คิดเหมือนคุณอา” อาวุธเห็นด้วยทันที และสละเก้าอี้ตัวเองให้ผู้มียศสูงกว่าทั้งยังเป็นญาติผู้ใหญ่ ส่วนตัวเองนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างฝั่งตรงข้าม

“แต่แปลกตรงที่เราแจ้งข่าวไปยังหน่วยทหารตามตะเข็บชายแดนแล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหว รวมถึงสายในประเทศเพื่อนบ้านก็เหมือนกัน ไม่มีหน่วยไหนพบคนตามรูปพรรณสัณฐานที่เราบอกเลยนี่สิครับ”

“มันอาจยังไม่ขยับตัว หรือไม่ก็เก็บซ่อนเหยื่อไว้ที่ไหนสักแห่ง” สารวัตรอัชวินครุ่นคิดสักครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยกับหลานชายและผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคน “ฉันจะลองสืบจากทางอื่น”

“ทางอื่น? ทางไหนหรือครับ”

ผู้กองหนุ่มถามด้วยความอยากรู้แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากผู้เป็นอา หากก็ไม่ถามเซ้าซี้ต่อ เพราะรู้ดีว่าบางครั้งเมื่อเจอทางตัน คุณอาของเขาจะมีวิธีการสืบคดีแบบลับเฉพาะ และเป็นวิธีที่ได้ข้อมูลมากขึ้นทุกครั้งเสียด้วย ครั้งนี้ก็คงเช่นกัน

“ผมเองก็ต้องออกไปสืบอะไรบ้าง”

พูดจบผู้กองคนเก่งแห่งกองสืบคดีพิเศษก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย จากเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไปเป็นชุดประจำชาติของนักสืบหนุ่ม

เสื้อกั๊กสีเหลืองระบุหมายเลขด้านหลังถูกสวมทับเสื้อยืดคอกลมไม่มีลายสีขาว กางเกงยีนตัวเก่งและเก่าถูกหยิบมาสวมใส่ โพกหัวทับเส้นผมตัดสั้นมีสไตล์ด้วยผ้าผืนใหญ่ลายสกอตสีแดง ปิดท้ายด้วยแว่นตากันแดดฉาบปรอทกรอบใหญ่ปกปิดดวงตาเรียว เพียงเท่านี้ก็ครบเครื่องเรื่องการแปลงกาย

เขาก้าวขายาว ๆ ตรงดิ่งไปยังรถมอเตอร์ไซค์ประจำตำแหน่งที่จอดเตรียมไว้ใช้ยามออกภาคสนาม มือหนาสวมใส่ถุงมือหนังสำหรับนักบิด ปรับกระจกมองหลังให้เห็นเพื่อนร่วมทางทั้งซ้ายและขวา และสุดท้ายคือตรวจสอบความเรียบร้อยในการแปลงกาย เขายิ้มเห็นเขี้ยวแหลมให้กำลังใจตัวเองในกระจกมองหลัง ก่อนสตาร์ตแล้วบิดคันเร่งเคลื่อนรถออกจากลานจอดรถภายในกรมตำรวจ หวังว่าจะได้เบาะแสอะไรบ้างในวันนี้