"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๖ แพ้ โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่

เนื้อหา

บทที่ ๖ แพ้

บทที่ ๖ แพ้

“มึงอยากได้ลูกปืนคืนน่ะ กูคืนให้ได้ แต่มันต้องมีข้อแลกเปลี่ยนสักอย่างสิวะถึงจะคุ้มค่าเสี่ยง”

คำพูดนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยัน เพราะรู้ว่าตนมีสิ่งที่เหนือกว่าจนเอามาใช้เป็นข้อต่อรองสำคัญกับอีกฝ่ายผู้ไม่เคยยอมใคร

“มึงจะให้กูทำอะไรให้อีก”

แล้วสารวัตรใหญ่ก็ไม่ผิดหวังเมื่อได้ยินคำพูดปลายสาย เขาวางกระสุนอย่างดีที่ผลิตจากประเทศที่เคยเป็นมหาอำนาจสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น จากนั้นก็เริ่มบทสนทนาต่อแบบมีชั้นเชิง

“มันก็...ไม่มีอะไรมากหรอก เป็นงานที่คนอย่างมึงถนัดอยู่แล้ว”

“อย่าพล่ามมากนัก เสียเวลาทำมาหากินของกู”

อีกฝ่ายคำรามใส่ แต่อัชวินยังเล่นตามบทคนถือไพ่เหนือกว่า “กูอยากรู้ความเคลื่อนไหวตอนนี้ของคนในโลกมืดทั้งหมด”

“ทั้งหมดของมึงหมายรวมถึงกลุ่มของกูด้วยอย่างนั้นเหรอ” อีกฝ่ายถามเสียงขุ่น

“นั่นกูเรียกของแถม แต่ที่กูต้องการรู้คือกลุ่มที่มีเอี่ยวกับขบวนการค้ามนุษย์”

สารวัตรอัชวินนิ่งฟังคำตอบชั่วหนึ่งอึดใจ แล้วก็ยิ้มได้เมื่อคำตอบของคำถามคือ

“มึงรอฟังข่าวจากกู แล้วต้องคืนกระสุนลูกนั้นให้กูทันทีที่ได้ข่าวแล้ว ถ้ามึงเบี้ยว งานสืบของมึงทุกอย่างจะกลายเป็นคดีสาบสูญทันที”

เมื่อสิ้นคำของมาเฟียหนุ่มใหญ่ มือหนาก็กดตัดสายทิ้งทันที แล้วหันมาทางชายหนุ่มผู้นั่งฟังอยู่นานด้วยสีหน้ากังวล เตชินจึงเปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมเป็นยิ้มแย้ม เอ่ยบอกหลานชายเพื่อให้คิ้วเข้มที่ขมวดคลายลงสักนิดก็ยังดี

“อย่าห่วงไป งานง่าย ๆ แค่สืบข่าว คนของอาทำได้สบาย มันไม่ส่งผลต่อกาสิโนใต้ดินของอาแน่”

“ผมขอโทษด้วยที่ทำให้คุณอาต้องเดือดร้อนไปด้วย” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด ดับบุหรี่ที่สูบจนเกือบหมดมวนในภาชนะกระเบื้องที่ใช้สะสมขี้เถ้า

“อารู้ว่ามันเป็นเหตุจำเป็น” เตชินพูดปลอบใจ “แกก็ทำดีที่สุดแล้วในสถานการณ์แบบนั้น เพราะแม่สาวน้อยอาจสาหัสกว่านี้ แต่ถ้าเป็นไปได้ อย่าชักปืนในที่สาธารณะอีก”

“ต่อไปผมจะระวังครับ แล้วตอนนี้ทางกรมเขากำลังจับคดีสำคัญอะไรหรือครับ ถึงขนาดที่สารวัตรยอมเสี่ยงแลกของกลางกับข่าวจากคุณอา” เขาเลี่ยงไปคุยเรื่องคดีแทน

“พวกค้ามนุษย์น่ะ อาก็ได้ยินจากคนของอาอยู่เหมือนกันว่าช่วงนี้มีต่างด้าวเข้ามาในประเทศเยอะมาก แต่มันจะเกี่ยวกับข่าวคนหายตัวไปในช่วงนี้หรือเปล่านี่น่าคิด ไม่งั้นสารวัตรคงไม่อยากรู้ข้อมูลพวกกลุ่มลักลอบขนแรงงานพม่าหรือกัมพูชา”

“คนหายตัวไปหรือครับ” ปราณนารายณ์ถามย้ำ

“ใช่ และเหยื่อทุกคนก็เป็นผู้หญิงหน้าตาดีทั้งสิ้น”

รองประธานหนุ่มพลาดข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ไปหลายข่าว เพราะข่าวที่เขาสนใจนั้นมีเพียงแค่เรื่องของวงการการลงทุนและวงการหมุนเวียนเปลี่ยนเงินเป็นกำไรแบบยั่งยืน

ข่าวคนหายก็เป็นหนึ่งในข่าวที่ไม่เคยผ่านหูผ่านตา และในขณะที่ใช้ความคิดเรื่องการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของหญิงสาวทั้งหลายที่ผู้เป็นอาเขยตามสืบสวนอยู่นั้น ก็มีข้อความส่งเข้ามาในโทรศัพท์มือถือของเขา

‘คุณผิดนัด’

ปราณนารายณ์สบถในใจหลังจากอ่านข้อความจากหญิงสาว รีบยกข้อมือดูเวลาแล้วก็ต้องทิ้งแผ่นหลังลงกับพนักโซฟาเมื่อรู้ตัวว่าเลยเวลานัดมาหลายชั่วโมงแล้ว หากจะโทรศัพท์ไปขอโทษตอนนี้ สาวเจ้าคงยังไม่รับฟังคำอธิบาย

“จะไม่ไปดูเขาหน่อยหรือ” เตชินถาม

“ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอกครับ ผมเดาได้ว่าจะถูกปริมต่อว่าอะไรบ้าง” เขาตอบ

“อาไม่ได้หมายถึงแม่สาวไฮโซสุดสะบึม อาหมายถึงเจ้าของที่ดินที่คุณหญิงจ้องจะซื้อต่างหาก”

 

ดวงตากลมโตเปิดรับแสงแรกยามรุ่งอรุณ เด็กสาวรู้สึกหลับเต็มอิ่มมากกว่าที่เคย คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่คุณหมอใช้รักษา ส่งผลให้เธอตกอยู่ในห้วงนิทราจนไม่อยากตื่น 

ธิดาขยับตัวลุกขึ้นยืดตัวบิดขี้เกียจ แต่พอรู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าขาก็นึกขึ้นได้ว่าเพิ่งมีบาดแผลใหญ่เกิดใหม่บนร่างกาย และยังไม่ได้เวลาที่พยาบาลพิเศษจะเข้ามาเช็ดตัวให้ แต่เธออยากเดินเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว จึงหย่อนเท้าเปล่าทั้งสองสัมผัสพื้นเย็นเฉียบของห้องพักฟื้น ทิ้งน้ำหนักตัวช้า ๆ แล้วขยับลงยืนโดยการยันมือไว้กับขอบเตียง

จากนั้นจึงก้าวขาข้างที่ไม่เจ็บก่อน แล้วก็ตามด้วยข้างที่บาดเจ็บ แต่เดินกะเผลก ๆ ไปได้แค่สองก้าวก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู

“คุณเนตร!” ธิดาอุทานเรียกชื่อชายหนุ่มที่มองเธอด้วยแววตาตกตะลึง

เขารีบวางสัมภาระลงบนโซฟาแล้วตรงรี่มาพยุงแขน “บอกให้เรียกพี่ ถ้าไม่เรียกพี่จะไม่ถ่ายทอดวิชาให้ แล้วไหนบอกว่าผู้ป่วยห้องนี้ได้รับการดูแลระดับเฟิสต์คลาสไงล่ะ ทำไมปล่อยให้ผู้ป่วยเดินเล่นเพ่นพ่านเหมือนโรงพยาบาลอนาถาแบบนี้”

เธอยิ้มเจื่อน “ธิดาไม่ได้เดินเล่นเพ่นพ่านสักหน่อย แค่อยากเข้าห้องน้ำเท่านั้นค่ะ...พี่เนตร” 

“ก็เรียกใช้บริการพยาบาลสิครับคุณหนู ถ้าล้มไปนี่จะทำให้คุณพยาบาลเขานั่งร้อนก้นเอานะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

“แค่เดินไปห้องน้ำเองค่ะ ธิดาก็ยังเดินได้อยู่นี่ไง แผลใหญ่กว่าหกล้มหน่อยเดียวเองไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขาหักก็เคยมาแล้ว” เด็กสาวยังไม่ยอมจำนน อธิบายเหตุผลของตัวเอง 

“โอเค ๆ พี่แค่ห่วงว่าถ้าเป็นอะไรไปมากกว่านี้จะมีผลต่อการติวสุดพิเศษของพี่” ชายหนุ่มจำต้องเป็นฝ่ายยอมลงให้ พาเธอไปส่งหน้าห้องน้ำแล้วยืนคอยเพื่อช่วงพยุงร่างบางกลับมาที่เตียงตามเดิม

“พี่เอาขนมร้านที่เราเจอกันมาฝาก มีมองต์บลังค์ที่ธิดาชอบกินด้วย” ชายหนุ่มบอกเธอพร้อมโชว์ถุงขนมเป็นหลักฐาน

“ว้า น่าเสียดายจังค่ะ” เธอมองถุงขนมแล้วเอ่ยครวญ “ธิดายังไม่รู้สึกหิวเลยค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มต้นบทเรียนคลาสพิเศษแบบเบาะ ๆ กันก่อนดีไหม” เขาบอกแล้วก็ลุกขึ้นไปหยิบกระดาษแผ่นใหญ่ที่หนีบไว้กับกระดานไม้และดินสอชาร์โคลจากกระเป๋าใบขนาดเดียวกับกระดาษ แล้วกลับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิม

“วันนี้จะสอนพื้นฐานให้ ธิดาจะได้หัดช่วงที่ยังอยู่โรงพยาบาล” จากนั้นยกดินสอขึ้นในแนวตั้งและแนวนอน หรี่ตาลงหนึ่งข้างเพื่อกำหนดขนาดโครงร่างของแบบที่กำลังจะวาดลงบนกระดาษเปล่า

“ธิดาคงไม่อยู่นานขนาดนั้นหรอกค่ะ แผลแค่นี้เดี๋ยวก็ดีขึ้น ถ้าขาดเรียนหลายวันจะตามเพื่อนไม่ทัน” เธอพูดด้วยความกังวล

แต่ชายหนุ่มไม่ตอบโต้ เพราะเมื่อเขาเริ่มต้นร่างเส้นแรก ลายเส้นต่อมาก็ถูกเสกอย่างไหลลื่น เป็นเส้นผม คิ้วเรียว รอยหยักมุมปาก และแววตา จนในที่สุดเขาก็พลิกภาพที่สเก็ตช์เสร็จสมบูรณ์มาให้นางแบบชม

ไม่รู้จะหาคำพูดใดมาสรรเสริญฝีมือของชายหนุ่ม แสงเงามีทั้งอ่อนนุ่มและเข้มแข็งระบายไปตามเรือนร่าง รูปทรง ส่วนมืดและส่วนสว่างให้ความรู้สึกหม่นหมองและสดใสในบางมุม เส้นผมดูพลิ้วนุ่มจนเด็กสาวเผลอยกนิ้วไปแตะ และดวงตากลมโตคู่ที่อยู่ในภาพวาดนี้เป็นประกายราวกับเป็นคนจริง ๆ

“เป็นภาพธิดาที่ดูดีเกินตัวจริงไปมากทีเดียว” ยิ้มและเอ่ยชื่นชม

“การวาดที่ดีคือวาดจากสิ่งที่เราเห็นด้วยหัวใจ ไม่ใช่มองมันด้วยตา”

เด็กสาวยิ้มละไม เข้าใจแล้วว่าการวาดด้วยความรู้สึกมันสร้างสิ่งอัศจรรย์ใจได้แบบนี้เอง เขาทำให้เธอเห็น ไม่ใช่แค่เพียงคำพูด

“ขอบคุณค่ะครู” คำพูดตอบแทนจากใจ “ธิดาจะตั้งใจเรียนให้เต็มที่เลย”

แต่คำพูดของเธอทำให้เขาแน่นหน้าอก และไม่อยากให้ดวงตากลมสวยนั้นมองเขาด้วยความยกย่อง ก็เพราะทุกอย่างมันถูกวางไว้แบบนั้นตามแผนของปราณนารายณ์ที่ต้องก้มหน้าทำตามความต้องการของคุณย่า การยื่นงานให้ชลธารคอนสตรักชันก็คล้ายกับการบีบให้เด็กสาวยอมจำนนเซ็นสัญญาหมั้น 

กระนั้นปราณนารายณ์ก็ไม่ได้วางหมากเตรียมรุกฆาตเต็มกระดาน หากแต่หักขาตัวหนึ่งออกไปเพื่อเด็กสาวผู้นี้ เขาจึงถูกส่งตัวไปพบเธอ เสี้ยมสอนวิชาเพื่อให้เธอเก่งพอที่จะช่วยเหลือพ่อและพี่ชาย แต่บทบาทของครูที่ต้องเล่นนั้นกลายเป็นกำแพงขวางกั้นความรู้สึกที่เขามีต่อธิดา 

ครูหนุ่มอบรมสั่งสอนวิชาให้นักเรียนสาวจนถึงเย็นแล้วลาจากไป ห้องพักฟื้นจึงกลับสู่ความเงียบเหงาอีกครั้ง เธอมองท้องฟ้าแต้มไปด้วยสีส้มทองสลับม่วง จึงได้รู้ว่ากำลังจะผ่านไปอีกวัน อยากจะออกจากที่นี่เต็มแก่แล้ว เอาแต่นอนอย่างเดียวไม่มีอะไรสนุกเลย และป่านนี้บิดากับพี่ชายก็ยังไม่มา คงเพราะกำลังทำงานกันอยู่

แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีการบ้านที่ครูสั่งไว้เพียบ ถึงจะเป็นการฆ่าเวลาที่แสนหนักหนาก็ตามที เด็กสาวเดินกะเผลกไปที่กระเป๋านักเรียนแล้วเปิดออก หยิบสมุดการบ้านแต่ละวิชาออกมาดู

“เลขเหรอ ข้ามไปก่อนเลย อืม...ภาษาอังกฤษเดี๋ยวค่อยทำ...นี่ไง...ภาษาไทยง่ายที่สุด ทำอันนี้ก็แล้วกัน”

ธิดาเลือกหยิบสมุดแต่ละวิชาจากกระเป๋านักเรียน จนได้วิชาที่ไม่ทำให้ปวดหัวเกินไปเหมาะสำหรับทำก่อนนอน

“เธอไม่ชอบคณิตศาสตร์”

“กรี๊ดดด!” ตกใจร้องสุดเสียงจนสมุดการบ้านหล่นจากมือ “คุณปราณ!” แล้วหันไปหาคู่หมั้นเฉพาะกิจ ต้นเหตุของอาการผวา

“เธอไม่ใช่ไม่ชอบคณิตศาสตร์ จริง ๆ แล้วเธอแค่กลัวมัน” เขาไม่สนใจอาการตกใจของเธอเลยสักนิด แต่ต้องการคำยืนยันข้อสันนิษฐานของตน

“ไม่ชอบน่ะถูกค่ะ แต่ไม่ได้กลัว” คิ้วบางขมวดเป็นปม เลี่ยงการสบตากับอีกฝ่ายที่มองเธอด้วยแววตาขบขัน

“ไม่กลัวแล้วทำไมไม่ทำมันก่อนล่ะ” พูดแล้วก้มลงหยิบสมุดที่ตกส่งคืนให้

“ยาก” เธอตอบสั้น ๆ

“ไม่ชอบที่ยากหรือกลัวว่ามันยาก” ยังถามต่อ

“เรื่องยาก ๆ น่ะชอบค่ะ เพราะว่ามันท้าทายดี แต่...” เด็กสาวพ่นลมหายใจเมื่อเห็นดวงตาคมมองอย่างรู้ทัน “โอเค ฉันกลัวคณิตศาสตร์ กลัวความยากของมัน พอใจคำตอบหรือยังคะ”

“ไปขึ้นเตียง ฉันจะสอนให้” เขาสั่ง

เขาเก่งคณิตศาสตร์แน่ ๆ ข้อนั้นเธอรู้ดีจากหน้าที่การงานของเขา แต่ถ้าเป็นภาษาไทย เขาใช้มันได้ห้วนเกินไป ไร้ความสละสลวย ไม่มีประธาน กริยา กรรม หรือคำวิเศษณ์ที่ช่วยขยายความไม่ให้คนฟังเข้าใจความหมายผิดเพี้ยน

เช่นเขาพูดว่า ไปขึ้นเตียง ฉันจะสอนให้ เขาควรจะพูดว่า กลับไปนั่งที่เตียง ฉันจะสอนคณิตศาสตร์ให้ แบบนี้ความหมายมันถึงจะครบ!

แต่ก็ทำได้แค่บ่นในใจแล้วเดินกะเผลกกลับไปที่เตียง แต่หัวใจก็วูบวาบเมื่อมีมือหนาช้อนท้องแขนทั้งสองจากด้านหลัง ประคองเธอเดินจนถึงที่หมายและยกขาของเธอวางบนเตียงอย่างนุ่มนวล

“ขอบคุณค่ะ” ธิดาเอ่ยเสียงเบา

“เขยิบ”

“คะ?"

“เขยิบไปสิ ให้ฉันนั่งบ้าง” เขาชี้นิ้วไปตรงที่ว่าง

เจ้าของเตียงลังเล แต่ครู่หนึ่งก็ขยับจนชิดริม เว้นที่ว่างขนาดที่คิดว่าน่าจะเพียงพอกับร่างกายชายหนุ่มที่วางสมุดการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ลงบนโต๊ะล้อเลื่อนอาหารสำหรับผู้ป่วยพร้อมปากกา ธิดาจึงเตรียมใจรับการถูกสั่งสอนจากอาจารย์กิตติมศักดิ์

“ทำสิ รออะไรอยู่” 

“อ้าว ก็คุณบอกว่า...จะสอน” ดวงตาสีนิลมองอย่างฉงน

“เธอต้องทำเองก่อนสิ จะได้รู้ว่าเธอไม่เข้าใจตรงไหน” 

ธิดาพ่นลมหายใจ เปิดสมุดอ่านโจทย์แล้วก็พ่นลมหายใจอีกครั้งซึ่งแรงกว่าครั้งแรก ก่อนเริ่มลงมือแก้ไขปัญหาที่นักคณิตศาสตร์คิดค้นขึ้นมาให้มนุษย์อย่างเธอปวดหัว

เด็กสาวทำจากข้อแรกไล่ไปทีละข้อ บางข้อแก้โจทย์ได้เร็ว บางข้อก็ใช้เวลานาน จนเกรงว่าผู้ชายที่นั่งข้าง ๆ จะรำคาญกับการรอคอย แต่เธอไม่ได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายหรือใบหน้าหงุดหงิดจากเขาแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่ง รอคอยกระทั่งโจทย์ข้อสุดท้าย ซึ่งเธอหาคำตอบได้ด้วยตัวเธอเอง

“ผิดทุกข้อ”

คำพูดที่ออกจากปากเขาหลังจากตัวเลขคำตอบข้อสุดท้ายถูกเติมในช่องว่าง ทำให้เด็กสาวงุนงง

“อะ...อะไรนะคะ” สงสัยว่าตัวเองคงฟังผิดจึงทวนถามอีกครั้ง

“เธอไม่เข้าใจมันเลยสักนิด วิธีการคิดก็สับสน ดูจากการทดเลขในกระดาษก็รู้แล้วว่าเธอไม่รู้หลักการแก้ไขโจทย์แต่ละข้อ” ดวงตาสีสวยมองเธอด้วยความขุ่นมัว เอ่ยน้ำเสียงเข้มงวดยิ่งกว่าคุณครูในโรงเรียน

“นี่แหละค่ะที่ทำให้ฉันกลัววิชานี้ ฉันทำไม่ได้ ไม่เข้าใจ แค่เห็นโจทย์ก็กลัวแล้ว”

“เห็นทีโครงการก่อสร้างโรงแรมที่เธอต้องเข้าไปมีส่วนร่วมคงเหลว เพราะแค่โจทย์ง่าย ๆ เธอยังกลัว”

เจอกันกี่ครั้งเขาก็ยังพูดอวดอ้างว่ารู้ความคิดของเธอดีเสียยิ่งกว่าเธอ แต่น่าเจ็บใจตรงที่เขามองได้ทะลุปรุโปร่ง แม้ตัวเธอเองจะต่อต้านความคิดนั้นอยู่ในใจก็ตาม เด็กสาวจึงทำปากยื่นไม่รู้ตัว

“แล้วคุณปราณจะทำให้ฉันหายกลัวได้หรือยังคะ”

ชายหนุ่มยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจเด็กสาวเต้นตึ้กตั้ก ภาพลักษณ์ของชายผู้จริงจังคนนี้มีบางอย่างลึกลับที่สร้างความพิศวงให้เธอ เขาเหมือนโจทย์คณิตศาสตร์ที่ทำให้เธอสับสนและกลัวไปพร้อม ๆ กัน

“ทลายกำแพงความกลัวของเธอ ทำใจให้ว่าง แล้วฟังที่ฉันพูดเท่านั้น”

แล้วชายหนุ่มเริ่มกำจัดความกลัวให้เด็กสาวอย่างช้า ๆ ไม่รีบเร่งการรับรู้ของอีกฝ่าย ความกลัวข้อแรกผ่านไป ต่อด้วยข้อสอง ข้อสาม จนในที่สุดธิดาก็รู้สึกประหลาดใจว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิดไว้ ขอเพียงแค่ไม่ตั้งกำแพงหลอกตัวเอง

“ขอบคุณมากค่ะคุณปราณ” 

เธอพูดด้วยความตื่นเต้นหลังค้นพบสิ่งใหม่ ประกายตาสีนิลจึงสดใสวาววับกว่าทุกครั้ง และมันส่งกระแสความสุขให้เขารู้สึกปีติในใจ เด็กสาวคนนี้เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่าทำหน้าตึงเครียดแบบที่เธอแสดงในวันก่อน แต่เจ้าของดวงตาประกายงามคู่นี้จะยังคงความสดใสอยู่ไหม ถ้าหากวันหนึ่งเธอจะต้องพบกับปัญหาที่ยากกว่าการแก้โจทย์ในบทเรียน

“เก็บคำขอบคุณของเธอไว้ ฉันจะทวงหนี้ค่าสอนเธอทีหลัง”

“ฉันขอจ่ายตอนนี้ดีกว่า” พูดแล้วก็ลงจากเตียงเดินกะเผลก ๆ ไปที่ตู้เย็น

“ขนมกล่องนี้เป็นขนมที่คุณภีฆาเนตรซื้อมาฝาก ฉันขอใช้มันแทนค่าสอนการบ้าน” เด็กสาวบอกแล้วเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ไม่ห่างจากเตียงตัวที่วางคู่กับโต๊ะกลมสำหรับวางของ ซึ่งโรงพยาบาลจัดไว้ให้กับผู้ป่วยและญาติได้ใช้งาน

“คุณปราณเลือกสิคะว่าจะกินชิ้นไหน” เธอเงยหน้าถาม

“ฉันกินของพวกนี้ไม่ได้หรอก”

“ขนมร้านนี้เขาทำด้วยความประณีต สะอาด ถูกสุขอนามัยแน่นอนค่ะ ฉันรับประกัน”

“ฉันรู้” เขาตอบสั้น ๆ

“แล้วคุณจะไม่ลองชิมสักนิดหรือคะ งั้นฉันเลือกให้เลยก็แล้วกัน ชิ้นนี้ค่ะ ชื่อว่ามองต์บลังค์ ฉันชอบมาก แต่วันนี้ยกให้คุณปราณ”

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจขณะมองขนมชิ้นโปรดของเด็กสาวที่ตั้งใจยกให้เขา แต่...“เธอกินเถอะ ฉันไม่อยากแย่งอะไรที่เธอชอบ ฉันกินไม่ได้จริง ๆ”

“ทำไมคุณปราณถึงไม่ลองชิมดูล่ะคะ แค่คำเดียวก็ได้” เด็กสาวคะยั้นคะยอ

“แพ้” เขาตอบ

“แพ้?” เธอทวนคำ มองด้วยแววตาประหลาดใจ

“ฉันแพ้แป้งสาลี แพ้มาตั้งแต่เกิด ก็เลยกินอะไรผิดแปลกไม่ได้” พอเธอรู้ความจริงสีหน้าก็เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดจนชายหนุ่มลอบยิ้มในใจ ก่อนพูดอย่างหยั่งเชิง “ถ้าเธอแอบเอาแป้งสาลีมาใส่ในอาหาร แล้วพอฉันกินเข้าไป ฉันอาจช็อกตายได้ เธอก็จะเป็นอิสระจากสัญญา”

“แล้วให้คุณกลายเป็นวิญญาณไปหลอกหลอนฉันน่ะหรือ คงไม่ดีกว่าค่ะ” ปากเล็ก ๆ เชิดขึ้น “แต่ถ้าคุณกินไม่ได้แค่แป้งสาลี” 

มือบางหยิบช้อนพลาสติกคันเล็กที่ทางร้านจัดมาให้ค่อย ๆ ปาดเอาเฉพาะบริเวณส่วนบนของขนมที่เป็นครีมสีคาราเมล ประดับยอดด้วยเม็ดเกาลัดสีน้ำตาลเงา มีประกายของแผ่นทองคำ

“คุณกินครีมเกาลัดได้แน่นอน” พูดแล้วยื่นช้อนที่ติดครีมตรงปลายขึ้นให้เขาดู

และไม่ทันได้ตั้งตัว มือน้อย ๆ ของเธอก็สั่น หัวใจสะเทือนเมื่อเขาโน้มใบหน้าลงมาชิมครีมเกาลัดจากปลายช้อนคันจิ๋วที่เธอถืออยู่

“อร่อย”

คำพูดสั้น ๆ ของเขาไม่ได้ให้ความหมายอะไรมากไปกว่าชมรสชาติของขนมชิ้นโปรดของเด็กสาวที่หัวใจสั่นไหว

“ฉันชิมแค่นี้ก็พอ เธอกินเถอะ ถ้าเนตรรู้ว่าแย่งของเธอ ฉันจะถูกมันว่าเอา”

“ค่ะ” คือคำตอบของเธอ เพราะในหัวตอนนี้มันแสนสับสนกับความรู้สึกที่เกิดในชั่วขณะหนึ่ง

“ทำไมถึงชอบมองต์บลังค์” 

ธิดาวางช้อนลง ยังไม่กล้ามองหน้าผู้ถาม หันไปทางอื่นที่ไม่มีจุดหมายของสายตาแน่ชัด “ธิดาว่ามันเป็นขนมที่นำเอาวัตถุดิบไม่กี่อย่างมาทำแล้วเกิดเป็นขนมที่อร่อย และชื่อของมันก็มีความหมายดีมาก”

“เทือกเขาสีขาว...ขนมมองต์บลังค์ชื่อเดียวกับเทือกเขามองต์บลังค์ เธอคงจะรู้อยู่แล้ว แต่ขนมของเธอไม่ได้มีสีขาวสักนิด” เขาว่าต่อ

“แล้วทำไมเราต้องเลียนแบบให้เหมือนทั้งหมดล่ะคะ” คราวนี้เธอหันมามองเขาตรง ๆ “แค่ความรู้สึกเท่านั้นก็เพียงพอที่ทำให้เราสัมผัสได้ ขนมมองต์บลังค์ไม่ได้มีสีขาวเหมือนหิมะปกคลุมเทือกเขา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ตรงกันและน้อยคนนักจะรู้”

“อะไร” ชายหนุ่มถาม สนใจใบหน้าจริงจังของอีกฝ่าย

“ความสูงของยอดเขามองต์บลังค์วัดจากระดับน้ำทะเล ส่วนขนมมองต์บลังค์ที่คุณปราณชิมไปเมื่อสักครู่ ยอดจะสูงแค่ไหนวัดได้จากความตั้งใจของผู้ทำ การบีบครีมให้เป็นเส้นสายสวยงามไล่จากส่วนฐานไปจนถึงยอดอย่างมีระดับชั้นเชิง ไม่มากไป ไม่น้อยไป เป็นสิ่งที่คนทำมองต์บลังค์ต้องใส่ใจมากที่สุด เพราะมันคือไคลแมกซ์ของขนมที่ต้องใช้ความพยายามสูงมาก เหมือนกับเวลาที่นักไต่เขาปีนขึ้นสู่ยอดสูงสุดของเทือกเขา”

รอยยิ้มบางที่ผุดขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่มหลังจากฟังคำตอบนั้นทำให้เด็กสาวรู้สึกร้อนรนในใจ เธอแสดงให้เขารู้ว่าเธอไม่พอใจ ในทางตรงข้ามเขากลับเยือกเย็นฟังเธอพูดจนจบ

“คุณปราณคงไม่ได้ตั้งใจมาหาฉันเพียงแค่มาสอนการบ้านหรอกใช่ไหมคะ” เธอเปลี่ยนประเด็นไปทางเขาบ้าง

เขายกมือขึ้นลูบผมอย่างไม่มีความหมาย ก่อนเปรยออกมาว่า “ก็ต้องมาเยี่ยม เดี๋ยวจะคิดว่าฉันบกพร่องไม่บริการคู่หมั้นตามสัญญา”

เด็กสาวแค่นยิ้ม “กราบขอบคุณที่เป็นห่วงเป็นใยตามสัญญา”

ปากหยักได้รูปเม้มเข้าหาหัน ก่อนเอ่ยพลางยกมือลูบผม “ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว ขอบใจสำหรับครีมเกาลัด แล้วฉันคงไม่ได้มาเยี่ยมอีกจนกว่าเธอจะออกจากโรงพยาบาล”

เธอพยักหน้าเอ่ยตอบว่ารับทราบ “ค่ะ ถ้าคุณปราณไม่มีอะไรแล้ว...ฉันขอพักผ่อนนะคะ”

ธิดาพูดจบก็ลุกขึ้นเดินกะเผลกกลับไปที่เตียง แล้วพยายามยันตัวขึ้นนั่งอย่างที่เคยทำเวลาอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียว 

เจ้าของลำแขนแกร่งช้อนตัวเด็กสาวอุ้มขึ้นจากด้านหลังโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว แล้ววางลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล ก่อนจะพูดใกล้จนเธอสัมผัสลมหายใจอุ่นเจือกลิ่นบุหรี่จาง ๆ จากลมหายใจของเขา

“แต่หลังจากนั้นเราจะเจอกันบ่อยขึ้น จะได้รู้จักกันมากกว่านี้ แม่เด็กรั้น”

ประโยคสุดท้ายที่ฝากไว้นั้นทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นถี่รัว เธอไม่ตอบกลับด้วยถ้อยคำใด ๆ ได้แต่เงียบราวกับเป็นใบ้ และรอจนกว่าจะได้ยินเสียงปิดประตูเพื่อให้เสียงที่ดังที่สุดเป็นหัวใจเต้นโครมครามเหมือนกลองรัว