"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่

เนื้อหา

บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม

บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม

ปริมประภาหมดความสุขในการเขียนคอลัมน์ตั้งแต่รู้ว่าครอบครัวของเธอติดหนี้นอกระบบหลายสิบล้าน คนที่ไม่เคยต้องดิ้นรนจึงเดือดร้อน การทำงานเพื่อสร้างความสุขและฆ่าเวลาของไฮโซสาวจึงกลายเป็นการทำงานเพื่อเงิน แม้ว่าชื่อเสียงในสังคมและฝีมือการเขียนจะยังทำให้เธอมีงานเข้ามาตลอด ทว่าเรื่องปวดหัวทำให้ความสุขในงานที่เคยมีหายไป

เธอตัดสินใจปิดโน้ตบุ๊ก ไม่คิดฝืนทนทำต่อ เพราะพานจะทำให้งานออกมาไม่มีคุณภาพจนเสียชื่อเสียง ซึ่งนั่นหมายถึงหม้อข้าวใบสุดท้ายที่จะทำให้เธออิ่มรวมไปถึงเหลือพอจ่ายดอกเบี้ยชดใช้หนี้ให้กับบิดา

ขณะที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋า โทรศัพท์มือถือก็มีสายเรียกเข้า หญิงสาวรีบควานหามันราวกับเป็นเรื่องเร่งด่วน ภาวนาขอให้เป็นสายจากชายหนุ่ม ความหวังเดียวที่จะช่วยให้ชีวิตเธอฟื้นคืนดังเดิม แต่ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็สร้างความผิดหวังให้แก่เธอ 

แต่ถึงแม้จะไม่ใช่ปราณนารายณ์ หากก็ช่วยให้เธอมีกำลังใจขึ้นมาบ้างเพราะเป็นสายจากบรรณาธิการใหญ่ และหลังจากเจรจากันอยู่พักหนึ่ง ไฮโซสาวก็ตกลงรับงานสไตลิสต์ให้กับนิตยสารฉบับหนึ่ง ซึ่งต้องเข้าไปร่วมคุยกับเจ้าของนิตยสารที่ร้านอาหารชื่อดังกลางกรุง หญิงสาวจึงรีบเก็บข้าวของ หยิบกระเป๋าหนังราคาแพงขึ้นสะพายแล้วก้าวขาเดินออกจากร้านกาแฟ 

เมื่อไปถึงสถานที่นัดหมาย เธอก็พบว่าไม่ใช่แค่การคุยงานพร้อมกับจิบน้ำชาทั่วไป แต่ภายในร้านอาหารถูกจัดให้เป็นงานเปิดตัวนิตยสาร ซึ่งเธอก็ไม่เคยรอดพ้นจากสายตาของนักข่าวหัวเห็ดทั้งหลายที่จ้องขอทำข่าว

“คุณปริม คุณปริมครับ” เสียงจากกลุ่มนักข่าวหยุดเท้าเธอไว้ก่อนจะก้าวเข้าสู่ร้านอาหาร

“ขอโทษค่ะ ฉันรีบ” เธอบอกด้วยรอยยิ้มสุภาพ

“ช่วยตอบเรื่องความสัมพันธ์ของคุณปริมกับคุณปราณให้ชัดเจนทีครับ ตอนนี้พวกคุณคบหากันถึงขั้นไหนแล้ว”

เธอพ่นลมหายใจพรู ไม่ได้หนักใจที่ต้องตอบคำถาม แต่ระอาที่พวกเขาให้ความสนใจเธอและปราณนารายณ์เพียงแค่เรื่องความสัมพันธ์รัก ๆ ใคร่ ๆ รองประธานหนุ่มจึงไม่ชอบงานแถลงข่าวหรืองานให้สัมภาษณ์กับสื่อทุกแขนง เพราะแม้แต่ให้สัมภาษณ์สื่อด้านธุรกิจการเงิน เขาก็หนีคำถามเรื่องนี้ไม่พ้น

“เรากำลังดูใจกันอยู่” เธอตอบไปแค่นั้น

“แล้วจะมีข่าวดีหรือเปล่าครับ” อีกเสียงถาม

“คอยลุ้นกันดีกว่าค่ะ ปริมกับคุณปราณอาจจะมีข่าวดีปลายปีนี้” เรียวปากอิ่มแย้มยิ้มหลังสิ้นคำพูด แล้วสะบัดตัวก้าวเท้าเข้าในร้านอาหารทันที

ในใจก็หวังให้ชายหนุ่มที่ถูกเอ่ยถึงไม่ว่าอะไรถ้าปล่อยข่าวออกไปแบบนั้นโดยไม่ปรึกษา แต่เธอจะไม่ปล่อยให้เป็นแค่ข่าวแน่นอน 

ภายในสิ้นปีนี้ เขากับเธอจะต้องได้เข้าพิธีวิวาห์!

 

หลังออกจากโรงพยาบาล เกรียงไกรพาธิดาเข้ามาอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งตั้งอยู่ใน ‘Hidden Wood’ โครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ที่แวดล้อมไปด้วยป่าจำลองตามความตั้งใจของเจ้าของโครงการ ทัศนียภาพโดยรอบทำให้เด็กสาวตื่นเต้นและประหลาดใจ เพราะไม่คาดคิดว่าจะมีใครยกป่ามาไว้ในเมืองใหญ่ได้ แต่ความตื่นเต้นนั้นยังไม่เท่ากับความประหลาดใจเมื่อได้รู้ว่าบ้านของเธอนั้นอยู่ไม่ห่างจากบ้านของคู่หมั้นกำมะลอ

‘...เราจะเจอกันบ่อยขึ้น...’

ปริศนาในคำพูดนั้นถูกไขด้วยคำบอกเล่าของบิดาตอนที่ไปรับเธอออกจากโรงพยาบาล เขาเป็นคนจัดการให้ตั้งแต่หาผู้ซื้อบ้านหลังเก่า จนถึงเสนอบ้านหลังใหม่อันแสนโอ่อ่าให้ด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยที่ดีกว่า และเขาจะได้บริการเธอได้อย่างประทับจิตประทับใจ

บ้านหลังใหม่ของเธออยู่ท้ายสุดของโครงการ ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดในหมู่บ้านอันกว้างใหญ่ไพศาลของเศรษฐีระดับต้น ๆ ของเมืองไทย แม้ธิดาจะเป็นทายาทของบริษัทก่อสร้างที่มีสายเลือดเดียวกับนักธุรกิจผู้ร่ำรวยแห่งตะวันออกผู้กลายเป็นอดีต แต่เพราะธุรกิจล้มละลายจึงทำให้วงศ์ตระกูลฤทธิ์นาคาต้องเริ่มสร้างตัวจากศูนย์

ส่วนธุรกิจของคุณปู่ล้มละลายเพราะเหตุใด เป็นคำถามที่ไม่มีการถ่ายทอดประวัติศาสตร์จากรุ่นสู่รุ่น เธอเคยอยากถามบิดาหลายครั้งแต่ก็ไม่กล้า เกรงว่าจะกลายเป็นเรื่องกวนใจบิดา คงเพราะไม่มีใครอยากพูดถึงอดีตที่ไม่สวยงาม

ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ทุกวันหลังเลิกเรียนเธอต้องไปเรียนศิลปะกับภีฆาเนตรที่คฤหาสน์ปรเมศศิวะวงศ์ ซึ่งครูหนุ่มดูไม่มีท่าทีแปลกใจเลยที่เธอย้ายมาอยู่ในบริเวณใกล้กัน และก็เป็นทุกวันเช่นกันที่รองประธานหนุ่มจะไปรับเธอจากโรงเรียนเพื่อพามาส่งให้น้องชายรับช่วงดูแลต่อ จากนั้นเขาก็หายไป แล้วกลับมาเจอเธออีกทีในช่วงตะวันจูบลาขอบฟ้าเพื่อพาเธอไปส่งบ้าน

ที่เขาบอกว่าจะต้องเจอกันบ่อยขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ที่บอกว่าอยากรู้จักกันมากขึ้นกลับไม่ได้เป็นตามคำพูด เพราะเขาแทบไม่พูดอะไรเลย เอาแต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นหินหันหน้ามองนอกหน้าต่างรถ แต่ก็บ่อยครั้งที่เธอลอบเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย จึงอดคิดไม่ได้ว่าเขาไม่ได้เต็มใจทำงานบริการตามสัญญาจริง ๆ

“ถ้าคุณปราณงานยุ่ง ไม่ต้องมารับมาส่งธิดาก็ได้นะคะ” เธอจึงบอกขึ้นระหว่างที่เขากำลังพาเธอไปส่งบ้าน

เขาแค่เอี้ยวหน้ามามอง ศอกยังชันกับขอบหน้าต่าง เท้าคางด้วยหลังมือ “ถ้าไม่ทำ พี่ชายเธอจะหาว่าฉันบกพร่องในสัญญา”

“แต่...”

“ถ้าเปลี่ยนจากฉันเป็นภีฆาเนตรล่ะ เธอจะยินดีกว่าหรือเปล่า”

เธอไม่ได้ตั้งใจให้เขาคิดแบบนั้นสักหน่อย แล้วก็ไม่ชอบใจที่เขามองด้วยแววตาคล้ายยิ้มเยาะ ถึงปากหยักสวยได้รูปจะยังเหยียดเป็นเส้นตรงก็ตาม 

“คงจะเป็นแบบนั้นค่ะ” เพราะความไม่พอใจ ลำคอของเธอจึงยืดตั้งตรง ปลายคางมนเชิดขึ้นอัตโนมัติ

มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มคล้ายขบขัน “เรียนกับภีฆาเนตรแล้วคิดว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือเปล่า” 

“ไม่ทราบค่ะ” ธิดาตอบไปแค่นั้น

“ถ้าไม่ได้”

“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ค่ะ”

“แล้วจะทำงานในโครงการของฉันได้ยังไง”

“ถ้าคุณปราณไม่สนใจว่าคนที่ทำงานให้ต้องมีวุฒิการศึกษาการันตีความรู้ความสามารถ คุณปราณจะเห็นชื่อฉันเป็นหนึ่งในทีมค่ะ” ธิดายังคงเชิดหน้าไม่ลดองศาลง

“ทำไมเวลาอยู่กับฉันถึงต้องทำคอตั้งเป็นกิ้งก่าชูคอ แต่เวลาอยู่กับภีฆาเนตร เธอกลับทำตัวอย่างกับลูกแมวเชื่อง ๆ” 

รอยยิ้มเพียงเล็กน้อยที่เกิดตรงมุมปากของรองประธานหนุ่มอาจช่วยลดทอนความเคร่งขรึมลงไปหลายระดับ แต่ในขณะเดียวกันก็มีอานุภาพก่อกวนอารมณ์เธอให้ขุ่นมัวดีนัก 

“ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นมองมากกว่าค่ะ ถ้าคุณเห็นฉันเป็นกิ้งก่า ฉันก็คือกิ้งก่า ถ้าคุณเห็นฉันเป็นลูกแมว ฉันก็คือลูกแมว”

แล้วหัวใจดวงน้อยก็แทบหยุดเต้นเมื่อร่างหนาเบียดตัวเข้ามาหากะทันหัน แล้วเอ่ยเสียงเบาในระยะใกล้จนนวลแก้มสัมผัสไออุ่นของลมหายใจเจือกลิ่นบุหรี่จาง ๆ

“ฉันกำลังเห็นเธอเป็นลูกแมว ไหนร้องเมี้ยว ๆ ให้ฟังหน่อยสิ”

เด็กสาวขบริมฝีปากกอดกระเป๋านักเรียนแน่น “คุณปราณก็ต้องเป็นผู้ใหญ่ใจดีเหมือนพี่เนตรก่อน”

“ฉันใจร้าย?”

“ค่อนไปทางนั้น” เธอตอบไม่ตรงกับใจนัก 

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มขบขัน ใบหน้ากระด้างจึงดูอ่อนโยนลงไปในทันที “ใจดีต้องทำยังไง”

นี่เขาตั้งคำถามที่แม้แต่เด็กอนุบาลก็ตอบได้อย่างนั้นหรือ แต่ธิดาก็ไม่ทันได้ระวังตัว อีกทั้งห้องโดยสารมีพื้นที่จำกัด เขาจึงใช้ท่อนแขนทั้งสองค้ำที่กระจกกักเธอไว้ให้อยู่ในพันธนาการของเขา โน้มหน้าเข้ามาใกล้เกินระยะปลอดภัยจนเธอต้องรีบเบนหน้าหนี ทั้งที่มีคนขับรถอยู่ด้านหน้า แต่ชายหนุ่มผู้นี้ทำราวกับไม่ได้สนใจสายตาสอดรู้สอดเห็นของใคร

“บอกมาสิ จะได้ทำให้ถูกใจ”

“อย่างแรกคือคุณต้องไม่แกล้งฉัน” บอกไปหัวใจก็เต้นแรงไป หวั่นไหวเหลือเกินในตอนที่เหลือบเห็นปลายจมูกโด่งชิดใกล้จนเกือบแตะแก้มร้อนผ่าวตัวร้อนรุม

“แล้วถ้าไม่แกล้งจะร้องเมี้ยว ๆ ให้ฟังหรือเปล่า” เขาถามเร่งเร้า

“แล้วถ้าร้องเมี้ยว ๆ จะไม่แกล้งหรือเปล่าล่ะคะ” เธอก็ย้อนถามกลับ

“ลองสิ”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่กระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจเด็กสาว ลมหายใจร้อนกระทบแก้มนุ่มจนร้อนผ่าว เธอกลั้นใจหลับตาปี๋ รีบขยับเรียวปากบางสีเชอร์รีเพื่อเปล่งเสียง 

“เมี้ยว...เมี้ยว...”

อายเหลือเกินกับสิ่งเพิ่งทำลงไปจึงไม่กล้าลืมตา แต่พอได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจยาวจึงปรือตามอง เห็นดวงตาสีน้ำตาลสวยหรี่ลง ปากหยักที่เม้มเข้ากันเล็กน้อยยังอ้อยอิ่งไม่ห่างจากแก้มแดงปลั่ง พลันความร้อนจากกายหนุ่มก็ค่อย ๆ หายไปเพราะเขาถอยกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิม พร้อมกับหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างตามเดิม

จากนั้นภายในรถก็เงียบสนิทคล้ายกับเขาไม่ได้นั่งรถมาด้วย ส่วนเธอก็นั่งชิดกับประตู คอยเหลือบตามองเขาคล้ายระวังภัยเป็นระยะ แต่เขาก็ไม่มีทีท่าขยับร่างกาย ยังคงนั่งนิ่งมองวิวนอกหน้าต่าง กระทั่งรถแล่นมาจอด ณ ริมทะเลสาบใหญ่ 

ชายหนุ่มเปิดประตูแล้วก้าวขาออกจากรถ ก่อนจะหันมาบอก “ลงได้แล้ว”

อะไรของเขากัน! “ลง? ลงทำไมคะ ยังไม่ถึงบ้านฉันเลย” 

“มีอะไรจะให้ดูที่ข้างล่าง”

เครื่องหมายคำถามปรากฏบนใบหน้าของเด็กสาว มองไปทางที่เขาพยักพเยิดใบหน้า ที่ข้างล่าง...ที่เขาบอกนั้นต้องไต่ลงจากเนินที่อยู่ระดับเดียวกับถนนลงไปจนสุดเนิน ตรงตีนเนินคือริมทะเลสาบที่สร้างขึ้นโดยการขุดแผ่นดินให้เป็นแอ่งขนาดยักษ์ เมื่อฝนตกจึงแปรสภาพคล้ายอ่างเก็บน้ำขนาดย่อม 

“เร็วเข้าสิ ฉันมีอะไรต้องทำอีกเยอะนะ” เขาพูดอย่างกับเธอเป็นคนขอร้องให้เขาพามาที่นี่ ธิดาลอบถอนหายใจแล้วก้าวลงจากรถ ส่วนเขาหันไปสั่งให้สารถีขับรถกลับไปก่อน จากนั้นเดินนำไปตรงริมเนินที่ลาดลงสู่ทะเลสาบกว้างใหญ่ 

“เดินระวังหน่อย แถวนี้ต้นเหงือกปลาหมอขึ้นเยอะ เดินไม่ดีจะถูกหนามเกี่ยว” เอ่ยเสียงอ่อนโยนแล้วยื่นมือให้จับ

อะไรบางอย่างในดวงตาของชายหนุ่มคล้ายร่ายมนตร์ให้เธอยื่นมือวางทาบบนมือหนา ความอุ่นวาบเกิดขึ้นที่ปลายนิ้วและลามเข้าไปถึงหัวใจเมื่อชายหนุ่มรวบมือเธอแน่น แต่แล้วร่างบางก็หลุดจากภวังค์ความคิด เหตุเพราะพื้นดินที่เปียกชื้นทำให้เธอเสียหลักเซถลาจนล้มเข้าหาหน้าอกแกร่ง 

“บอกแล้วให้ระวัง” รอยยิ้มขบขันที่ผุดพรายบนใบหน้าคมคายทำให้ใบหน้าของเธอร้อนผ่าว

ธิดารีบผละตัวออก เอ่ยถามแก้ความเขินอาย “คุณปราณรู้จักต้นไม้พวกนี้ด้วยหรือคะ” 

“พ่อฉันสอนไว้” ดวงตาของเขาเวลาที่พูดคำว่า ‘พ่อ’ ดูกระจ่างใสน่ามอง

คนในครอบครัวปรเมศศิวะวงศ์ที่เธอยังไม่มีโอกาสได้พบเห็นจะมีคุณพ่อและคุณแม่ของชายหนุ่ม เธอนึกอยากรู้จักเขามากกว่านี้ แต่ก็เกรงว่าจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเขาเกินไป

“พ่อของคุณปราณตอนนี้ท่านอยู่...”

“ท่านอยู่ทุกที่ที่ท่านต้องการ” รอยยิ้มของเขาจางลง “พ่อของฉันเป็นช่างภาพสารคดี เลยต้องเดินทางไปทั่วโลก มันเป็นงานของท่าน...เป็นฝันของท่าน”

เพราะแบบนี้ชายหนุ่มถึงต้องกระโดดขึ้นครองตำแหน่งรองประธาน เขาก้าวหน้าเร็วกว่าคนในรุ่นเดียวกัน ถ้าไม่นับเหตุผลที่เป็นทายาท น้อยคนนักที่จะบริหารงานในตำแหน่งสูงได้ในขณะที่อายุยังน้อย ปราณนารายณ์คิดตลอดเวลาว่าหากบิดาของเขาไม่ได้ออกตามล่าความฝันของตัวเอง ประธานควีนส์คอร์ปตอนนี้ก็ต้องเป็น อติภพ ปรเมศศิวะวงศ์ ส่วนคุณหญิงราณีก็คงจะได้พักผ่อนตามช่วงวัยของเธอ

“แล้วความฝันของคุณปราณล่ะคะ”

เด็กสาวเจ้าของคำถามได้ยินแค่เสียงหัวเราะเบา ๆ ลอยมากับสายลม ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับมาใช้ดวงตาสีน้ำตาลเจือสีทองคู่สวยนั้นจับจ้องใบหน้าเธอไม่กะพริบ

“บอกความฝันของเธอมาก่อนสิ”

“ฝันของฉันคือฝันของแม่ค่ะ” เด็กสาวก้มหน้าตอบแล้วขยับเท้าเดินตามรอยย่ำที่เขาเขี่ยวัชพืชหนามแหลมให้พ้นทาง 

“ฝันของแม่?” 

“ค่ะ...แม่ฝันอยากสร้างโรงเรียน...ตรงที่ที่มองเห็นเนินเขาดอกอ้อ”

ไม่มีคำพูดใดออกจากปากชายหนุ่มร่างสูงข้างหน้า เขาทำเพียงแค่จูงเธอให้เดินตามลงไปยังจุดหมาย ไม่พูดจาเหมือนกับเมื่อนาทีที่ผ่านมา แถมยังไม่เอ่ยบอกความฝันของตัวเองด้วยซ้ำราวกับว่าไม่อยากพูดถึงมัน 

“ใกล้ถึงแล้ว”

ประโยคแรกของชายหนุ่มเมื่อพาเธอเดินลงจากบนเนินมายังริมทะเลสาบเบื้องล่าง มันเต็มไปด้วยต้นอ้อขึ้นหนาแน่น เขาปล่อยมือเล็กให้เป็นอิสระ แล้วเปลี่ยนไปจับกิ่งต้นอ้อ เด็ดก้าน หักมันแล้วยื่นให้เธอ

“รับไปสิ แต่ดอกอ้อที่นี่ดอกไม่ฟูนุ่มเหมือนบนเนินเขาบ้านเกิดของเธอหรอกนะ”

ดอกอ้อของเขาพองฟูไหวเอนเบา ๆ ในสายลมอ่อนโยนที่ไร้รูป ไร้เสียง สายลมที่แม้จะมองไม่เห็นด้วยตาแต่เธอรู้ว่ามันมีตัวตน ก้านดอกอ้อที่เขายื่นให้นั้นตั้งตรงและแข็งแรง แต่มีหรือจะสู้แรงวายุได้ เหมือนเธอในตอนนี้ ทำเป็นแข็งนอกแต่ก้อนเนื้อภายในกลับอ่อนไหวง่ายดาย 

เธอกำลังขอให้สายลมที่พัดวนในหัวใจเป็นแค่ลมหมุนน้อย ๆ ขออย่าให้มันเพิ่มอานุภาพกลายเป็นพายุร้ายทำลายกันเลย

“คุณปราณพาฉันมาดูแค่ดอกอ้อพู่เล็ก ๆ เท่าต้นหญ้าเจ้าชู้หรือคะ” มือบางกำต้นอ้อไว้แน่น

“เปล่า” รอยยิ้มนั้นหุบลงจนกลายเป็นเส้นตรง ชายหนุ่มหันหลังแล้วเดินเลียบริมทะเลสาบ บอกกับเด็กสาว “ตามมาสิ”

ธิดามองตามแผ่นหลังกว้างแล้วก้าวขาเดินตามอย่างเงียบ ๆ ไม่มีมือที่จับจูงเดิน แต่ยังมีทางที่เขาย่ำนำไว้ให้เธอเดินได้โดยไร้หนามแหลมหรือสิ่งกีดขวาง 

ร่างสูงหยุดยืนนิ่งที่กำแพงต้นอ้อหนา หันมาทำสัญญาณให้เงียบเสียง ก่อนกวักมือให้เดินเข้าใกล้ ธิดาจึงพยายามเดินให้เบายิ่งกว่าแมวย่องเบาใคร่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในดงอ้อสูงท่วมหัว และเมื่อเธอเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ เขาใช้มือทั้งสองแหวกก้านยาวสีเขียวออก เปิดช่องว่างเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน

“มองเข้าไปข้างใน” เขาพูดแล้วเบี่ยงตัวออกเพื่อให้เธอได้มองลอดช่องที่เขาทำไว้ เด็กสาวร้องว้าวขึ้นในใจ ดวงตาสีนิลคู่งามเบิกกว้างเปล่งประกาย หัวใจพองโต ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้เห็น 

แสงริบหรี่ของเจ้าตัวเล็กกระจิริดที่กระพือปีกโบยบินเต็มอาณาบริเวณที่เป็นลานดินขนาดไม่กว้างมาก เจ้าแมลงตัวน้อยส่องแสงวิบวับวอมแวมไปทั่วดินแดนภายใต้การโอบล้อมของกำแพงต้นอ้อ เป็นความบังเอิญของธรรมชาติ หรือเป็นความตั้งใจของใครที่ต้องการเก็บซ่อนที่แห่งนี้ไว้เป็นความลับ

“เข้าไปสิ”

เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูเหมือนเป็นมนตร์สะกด และภาพเบื้องหน้าคล้ายมายาฝันที่ทำให้เด็กสาวก้าวช้า ๆ เข้าสู่กลางลานดิน รอบกายห้อมล้อมไปด้วยหิ่งห้อยนับพัน และเธอคงเป็นที่ต้อนรับของหิ่งห้อยเหล่านี้ บางตัวจึงบินมาเกาะและเดินตามแขน ไหล่ รวมถึงศีรษะ คล้ายเป็นเครื่องประดับเรืองรองระยิบระยับขยับเดินได้ของภูตสาว

“ชอบหรือเปล่า” ชายหนุ่มเดินเข้าไปหา จ้องมองดวงตาสีนิล

เธอพยักหน้า หัวใจเต้นแรงเมื่อเขาเข้ามาใกล้ เอ่ยบอกเสียงสั่น ดวงตาสีสวยของเขาช่างอ่อนโยนเสียจนเธออยากหยุดหายใจ 

“ชอบ...ชอบค่ะ”

“ดีกว่าดอกอ้อพู่เล็กเท่าต้นหญ้าเจ้าชู้นั่นใช่ไหม”

ทว่าเด็กสาวยังไม่มีคำตอบให้ เพราะหัวใจของเธอเต้นแรงจนเจ็บไปทั้งหน้าอก มือเล็กกำก้านดอกอ้อแน่นจนเกรงว่าก้านมันจะหักคามือ 

ใจจริงอยากบอกว่าดอกอ้อก้านนี้ที่เขามอบให้ แม้จะเล็กกว่าต้นที่เธอเคยเห็น แต่มันมีค่ามากมายนัก และที่มากไปกว่านั้น เธอดีใจที่เขาจดจำรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ที่เนินเขาได้ ตั้งแต่ดอกมะลิไปจนถึงดอกอ้อ เขาคงไม่รู้ว่าทั้งสองสิ่งนั้นมีคุณค่าทางใจกับเธอมาก เพราะมันเป็นตัวแทนความทรงจำตลอดช่วงเวลาที่มารดายังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นดอกอ้อจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหน มันก็เก็บความทรงจำให้เธอได้เท่ากัน 

“พ่อของฉันสร้างที่นี่ขึ้นมา”

เขาพูดพลางทรุดตัวลงนั่งลงบนพื้นชันเข่าทั้งสองขึ้น เด็กสาวจึงนั่งลงชันเข่าในฝั่งตรงข้าม มองผู้ชายที่กำลังสนุกกับการให้หิ่งห้อยเดินเล่นบนอุ้งมือ ก่อนที่เขาจะพูดต่อขณะมองแสงวิบวับในมือ 

“เวลาที่ท่านรู้สึกว้าวุ่นสับสน ท่านจะมาอยู่ที่นี่”

“ที่นี่คงเป็นเหมือนกำแพงปกป้องพ่อของคุณจากโลกภายนอกใช่ไหมคะ” เธอไม่ค่อยกล้าพูดอะไรมากนัก เกรงว่าจะไม่เหมาะที่ออกความเห็นเรื่องบุพการี

ดวงตาสีน้ำตาลสวยดูโศกเศร้า รอยยิ้มน่ามองค่อย ๆ เลือนหาย แรงถอนหายใจทำให้หิ่งห้อยในมือกระพือปีกบินจากไป 

“อาจจะใช่ หรืออาจจะไม่ใช่ ไม่มีใครรู้ความคิดของท่าน แต่ทุกคนต่างคิดว่าท่านกลัวที่จะต้องรับผิดชอบในหน้าที่ บ้างก็ว่ากลัวความพ่ายแพ้ ก็เลยหนีจากหน้าที่ประธานบริษัทไป”

“เป็นความกล้าหาญที่น่าชื่นชมนะคะ” เธอบอก 

ปราณนารายณ์เงยหน้าจากมือตัวเองที่ว่างเปล่ามองเด็กสาวที่ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มกับแววตาเป็นประกายสดใส “ความกล้าหาญที่น่าชื่นชม?” ทวนคำพูดตามเธอ

“ค่ะ...คุณพ่อคุณปราณ...เอ่อ คุณอติภพเป็นคนที่กล้าหาญมากในสายตาของคนที่มีโอกาสไล่ล่าฝันแต่ทิ้งมันไปเพราะความคาดหวังของคนอื่น”

โอกาสไล่ล่าฝันแต่ทิ้งมันไปเพราะความคาดหวังของคนอื่นอย่างนั้นหรือ “ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้น” 

“ไม่ใช่ความคิดของฉันหรอกค่ะ เป็นความคิดของแม่ แม่บอกว่ามนุษย์เราเกิดมาเพื่อทำภารกิจอย่างหนึ่ง เป็นภารกิจที่บางคนก็รู้ตัวว่าคืออะไร แล้วก็มีหลายคนที่เสียชีวิตไปก่อนที่จะรู้ว่าตัวเองต้องการทำอะไร แต่คนที่รู้แล้วไม่ได้ทำเพราะขาดความกล้าก็มีมาก คุณพ่อของคุณปราณเป็นกลุ่มแรก คือรู้แล้วไม่ปล่อยเวลาให้สูญไปโดยไม่ทำมัน ส่วนแม่ของฉันก็เป็นกลุ่มแรกเหมือนกัน แต่...” 

ธิดาหยุดพูดเมื่อรู้สึกว่าความคิดถึงมารดาเริ่มกำเริบ “แต่...แม่ไม่มีเวลาพอที่จะทำมัน”

“เธอก็เลยจะทำแทน” เขาพูดแล้วขยับตัวเข้าไปใกล้ อยากรู้ว่าประกายระยิบระยับยามเธอกะพริบตานั้นคือหยาดน้ำตาหรือแสงของหิ่งห้อย แล้วเขาก็รู้คำตอบเมื่อเธอใช้นิ้วกรีดมันออกให้หายไป

“ฉันจะบอกความฝันของฉันให้...” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบา จ้องมองใบหน้าเศร้าตาไม่กะพริบ

เด็กสาวจ้องมองดวงตาสีสวยกลับ หัวใจหวิวไหวเมื่อรู้สึกตัวว่าเจ้าของใบหน้าได้สัดส่วนเผยรอยยิ้มนั้นอยู่ใกล้มากเกินระยะปลอดภัย ใจหนึ่งก็อยากจะขยับตัวถอยห่าง อีกใจก็อยากอยู่ใกล้ไออุ่นบางเบาที่แผ่กระจายจากตัวเขา แล้วร่างบางก็สั่นเทิ้มเมื่อมือหนายกขึ้นเสมอแก้มนวลแล้วปัดไล่หิ่งห้อยแสนซนที่กำลังเดินเล่นตามกรอบหน้าหวาน ดูงดงามคล้ายดาวบนดิน

“ความฝันของฉันมันว่างเปล่า ไร้ชีวิต ไร้แสงสว่าง” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างนุ่มนวล ดวงตาสวยดั่งลูกแก้วสะกดใจหญิงสาวให้จับจ้อง “ฉันไม่มีความฝัน ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่อทำภารกิจอะไร”

“แต่เราจะมีชีวิตโดยไม่มีความฝันไม่ได้”

เขาคลี่ยิ้มละมุน จ้องมองแววไหวระริกในดวงตาสีนิล “ไม่มีความฝัน แต่ฉันก็อยู่มาได้...จนถึงวินาทีนี้”

แล้วหัวใจดวงน้อยก็ไหวสั่น เรี่ยวแรงทั้งหมดสูญสิ้นเมื่อปลายนิ้วแกร่งกดลงบนริมฝีปากบาง เชยคางมนขึ้นรับจุมพิตแผ่วหวาน ร่างบางสะท้านซ่านหวามไหวและกำลังหลอมละลายเพราะปากหยักร้อนที่ออดอ้อนต้อนให้เธอเผยอริมฝีปากรับสัมผัสล้ำลึกและนุ่มละมุนดั่งสายลมอุ่นในฤดูร้อนที่พัดผ่านยอดดอกอ้อให้เอนไหว

แต่ลมหายใจของเธอกำลังขาดช่วง ตัวรุมราวกับเป็นไข้ หายใจกระชั้นถี่ อยากต่อต้านเรียวปากหยักที่กำลังบดเคล้าซอกซอน แต่คล้ายได้ยินเสียงครางต่ำจากชายหนุ่ม จึงปรือตาเห็นดวงตาคู่สวยหรี่แคบจ้องมองอยู่ ก่อนจะผละเรียกปากอุ่นออกห่างแล้วยืนขึ้นหันหลังให้

“คุณปราณ...” ดวงตาสีนิลฉายแววแห่งความสับสน 

ร่างสูงนั้นไม่พูดไม่จา เดินออกจากพงดอกอ้อไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เธอเคว้งคว้างคล้ายสะเก็ดดาวที่ถูกเหวี่ยงออกจากระบบสุริยจักรวาลโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว และน้ำตาก็หลั่งรินลงมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน 

วันต่อมาคู่หมั้นเฉพาะกิจก็ไม่ได้มาเวียนวนรอบตัวเธอ แต่มีภีฆาเนตรเข้ามาแทนทุกช่วงเวลาที่เคยเป็นของเขา ธิดาบอกตัวเองว่าควรจะดีใจที่ได้ใช้เวลากับศิลปินหนุ่ม เขาอ่อนโยน สุภาพ และรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่ทำไมถึงเจ็บในอกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนก็ไม่รู้ได้ 

ดอกอ้อพู่เล็กเท่าต้นหญ้าเจ้าชู้ยังอยู่ในแจกัน แม้มันจะแห้งโรยราไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับรอยจูบละมุนครานั้นยังก่อพายุลูกใหญ่หมุนวนในหัวใจของเด็กสาว