"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
บทที่ ๘ ปาปารัซซี
ภายใต้บรรยากาศแสนอึมครึมคละคลุ้งไปด้วยควันบุหรี่เจือกลิ่นความตายล่องลอยไปทั่วห้องรับรองแขกของคฤหาสน์เสี่ยใหญ่ เสียงสนทนาแสนเคร่งเครียดเริ่มตั้งแต่อาคันตุกะจากแดนไกลย่างเท้าเข้ามาเยี่ยมเยียน แต่ดูเหมือนความเครียดทั้งหมดจากถูกอัดแน่นอยู่บนใบหน้าของเสี่ยใหญ่เจ้าบ้านเพียงผู้เดียว
“ฉันรอมานานแล้วนะเสี่ย จะให้ฉันรอไปถึงเมื่อไหร่” แม้น้ำเสียงของผู้พูดจะเรียบสนิท แต่ก็ทำให้เสี่ยองอาจต้องปาดเช็ดเหงื่อที่ไหลย้อยเป็นทาง
“ฉันก็ส่งดอกให้คุณพนาทุกเดือนนะ มีจ่ายช้าบ้างแต่ก็จ่ายทุกเดือนไม่เคยขาด” น้ำเสียงแสดงความยำเกรงเด่นชัด
“เสี่ย ฉันไม่ใช่ธนาคารที่จะทำธุรกิจด้วยดอกเบี้ยเงินกู้ ฉันก็เหมือนเสี่ยนั่นแหละ จะลงทุนจะทำอะไรก็ต้องใช้เงิน คนอย่างพวกเราถ้าไม่มีเงินของตัวเอง ไปกู้กับพวกบนดินเขามันก็ลำบาก”
“ฉันรู้” เสี่ยใหญ่รีบเห็นด้วย “ฉันก็กำลังหาเงินคืนให้อยู่”
“แล้วเมื่อไหร่แผนของเสี่ยจะสำเร็จเสียที หรือว่าลูกสาวเสี่ยไม่เด็ดพอที่จะมัดใจเจ้าหนุ่มหลานชายคุณหญิงนั่นได้”
เสี่ยองอาจเม้มริมฝีปากแน่น เสียงหัวเราะขบขันของพวกลิ่วล้อโจรป่าทำให้รู้สึกเสียศักดิ์ศรี แม้ผู้ถูกเอ่ยจะไม่ใช่ตัวเอง แต่ก็เป็นลูกสาวที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ
“ลูกสาวฉันทำสำเร็จแน่นอน แต่มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”
คนฟังแสยะยิ้ม พ่นควันสีเทาลอยคลุ้งครั้งสุดท้ายก่อนขยี้ปลายมวนบุหรี่ในแก้วดับไฟสีแดงให้มอดในความเย็น ชำเลืองมองลูกหนี้ด้วยแววตาที่ไม่อาจคาดเดาความคิด
“คนของฉันบอกว่าลูกสาวของเสี่ยไม่ได้ไปมาหาสู่กับไอ้หนุ่มนั่นสักเท่าไหร่ เกรงว่าแผนที่เสี่ยวาดไว้คงไม่ทันสัญญางวดนี้” เอ่ยเสียงเย็นแล้วเปลี่ยนจากท่านั่งพิงพนักโซฟาเป็นโน้มตัวมาข้างหน้า มองเสี่ยองอาจด้วยแววตากร้าวขึ้น “ฉันเองก็ไม่ได้อยากเสียลูกหนี้ไป แต่ถ้าใครผิดสัญญาฉันก็ต้องจัดการตามเงื่อนไข มิเช่นนั้นแล้ว...”
แม้คำพูดหยุดไว้แค่นั้น เสี่ยองอาจก็รู้ดีว่าเขาหมายถึงอะไร “นายพนา...จะให้ฉันทำยังไง”
เสียงหัวเราะของนายพนาไม่น่าอภิรมย์สำหรับลูกหนี้ โจรใหญ่ในชุดสูทแบบสากลขยับตัวจากการนั่งเอนหลังสบายเป็นนั่งตัวตรง กวักมือเรียกหนึ่งในผู้รับใช้ให้เข้ามาหาพร้อมกับกระเป๋าเอกสารแบบใส่รหัสในมือ
“ฉันอยากจะให้เสี่ยช่วยปล่อยของให้ฉันสักหน่อย” พูดแล้วหมุนวงล้อโลหะปั๊มตัวเลขสามจุด กระทั่งได้ยินเสียงคลิก จึงเปิดฝากระเป๋าแล้วหันออกให้ฝ่ายตรงข้ามดู
“นายพนาค้าอาวุธเถื่อนด้วยหรือ” เจ้าของบ้านมองสิ่งที่อยู่ในนั้นแค่ปราดเดียว
“ธุรกิจใหม่ของฉัน เพิ่งทำได้ไม่นานหรอก แต่ได้รับความนิยมเกินคาด เสี่ยก็รู้ว่าช่วงนี้ไม้เถื่อนขายไม่ได้ ทางการเข้มงวดเหลือเกิน ไอ้เส้นสายที่เคยใช้ก็ถูกตัดขาดจนหมด เจ้าสารวัตรอัชวินนั่นมันไล่กัดไปทั่ว ถ้าฉันไม่เปลี่ยนทางเดิน มันก็จะตามกลิ่นจนเจอ ฉันไม่อยากให้งานใหญ่ที่ฉันทำอยู่พลาด”
“ฉันต้องทำยังไงบ้าง” เสี่ยถาม
“คอยส่งของตามที่ฉันบอก”
“แล้วฉันต้องทำงานนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“ก็จนกว่าฉันจะได้หนี้ทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์คืน”
ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว เสี่ยองอาจก้มหน้ารับทำงานตามที่นายพนาต้องการ ถ้ามันจะช่วยยืดเวลาออกไปได้ ชะลอเงื่อนไขสัญญาที่ระบุไว้ไม่ให้ถูกดำเนินการ
“แต่ถ้าฉันคืนเงินนายพนาครบแล้ว ฉันคงต้องบอกลาธุรกิจระหว่างเรา ฉันไม่อยากให้ครอบครัวต้องมาลำบากเพราะหนี้ที่ฉันก่อ”
โจรใหญ่แสยะยิ้ม “นั่นขึ้นอยู่กับว่าเสี่ยจะทำงานนี้ให้ฉันได้ดีแค่ไหน”
ไม่มีสัจจะในหมู่โจร นั่นคือความจริงที่ทำให้เสี่ยองอาจเจ็บแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองกระเป๋าบรรจุอาวุธเถื่อนปั๊มลายด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ
นายพนากลับไปนานแล้ว แต่ยังทิ้งความกังวลเป็นของฝากไว้ให้ลูกหนี้ที่หาทางออกไม่เจอจนต้องพึ่งสุรา เสี่ยองอาจรินเหล้าใส่แก้ว ยกดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าอยากจะให้น้ำเมาช่วยลบเลือนความทุกข์นี้ลงไปบ้าง ธุรกิจล้มเหลว หน้าตาในสังคมก็หดหาย ไปไหนก็มีแต่คนหมางเมิน
“เพราะมันคนเดียว!”
พาลลงความแค้นไปที่รองประธานของควีนส์คอร์ป ถ้าหากไม่มีมัน ไม่มีปราณนารายณ์ คุณหญิงราณีคงเห็นใจยอมให้เงินทุนแก่เขาบ้าง ก็มีแต่มันนี่แหละที่เป็นความหวังของการปลดหนี้
แต่น่าแปลกตรงที่ลูกสาวของเขานั้นก็สวยงามมีชายหนุ่มห้อมล้อมไม่ขาด แต่ต้องมีเหตุอะไรที่ทำให้ปริมประภายังไม่ได้คว้าตำแหน่งหลานสะใภ้ของคุณหญิง
หรือว่างานนี้เขาจะให้ปริมประภาลงมือด้วยตัวเองไม่ได้อีกต่อไป!
การประชุมใหญ่กับบริษัทในเครือจบลงในที่สุด รองประธานหนุ่มสรุปมติและสั่งงานกับฝ่ายบริหารเรียบร้อยแล้วจึงขอตัวออกจากที่ประชุมเพื่อไปปฏิบัติภารกิจอื่นที่รออยู่
แต่ถ้าไม่ได้คิดไปเอง เขารู้สึกว่าตลอดทางจากห้องประชุมจนถึงลิฟต์นั้นมีสายตาของพนักงานควีนส์คอร์ปจับจ้องมองมามากกว่าทุกวัน ถึงจะแสดงความเป็นกันเองด้วยการยิ้มเอ่ยคำทักทายกลับ แต่ก็รู้สึกแปลกกับสายตาและรอยยิ้มที่ส่งคืนมา แม้กระทั่งเลขานุการส่วนตัวที่พอหันไปมองก็ทำเป็นหลบเลี่ยงไม่สบตา
“วันนี้หน้าของผมแปลกไปจากเดิมหรือครับ” จึงเอ่ยถามเลขานุการขอความชัดเจน
“อุ๊ย ไม่นี่คะ คุณปราณยังหล่อเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว”
รอยยิ้มที่กว้างจนเห็นฟันเกือบทุกซี่ของเลขานุการสาวไม่อาจทำให้เขาเชื่อได้นอกจากความขบขันในใจ แล้วละทิ้งความอยากรู้ไป
เมื่อลิฟต์ตัวพิเศษพาเขามาถึงชั้นบนสุด รองประธานหนุ่มก็เดินตรงไปผลักประตูเข้าห้องส่วนตัวอย่างปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือเก้าอี้ประจำตำแหน่งถูกครอบครองโดยคนที่เพิ่งอยู่ในความคิดเมื่อสักครู่
“คุณย่าไม่ได้เข้าร่วมประชุม ผมก็เลยคิดว่าคุณย่าไม่มาเสียอีก” เจ้าของห้องเอ่ยพลางก้าวเข้าไปหา เห็นใบหน้าของคุณหญิงเคร่งเครียดกว่าทุกวันจึงถามด้วยความห่วงใย “คุณย่าไม่สบายหรือเปล่าครับ”
“ใช่ ฉันไม่สบาย และไม่สบายมากด้วย” ตอบเสียงลอดไรฟัน
“ให้ผมเรียกรถพยาบาลไหมครับ” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปซ่อนความระอาใจไม่อยู่
“เรียกมาสองคัน หนึ่งคันสำหรับแก อีกคันสำหรับฉัน” พูดจบคุณหญิงก็ฟาดหนังสือซุบซิบในวงสังคมชนชั้นสูงและวงการบันเทิงลงบนโต๊ะ “แล้วอย่าลืมตามนักข่าวมาทำข่าวด้วยล่ะว่า คุณหญิงราณี ปรเมศศิวะวงศ์อกแตกตายเพราะรับหลานสะใภ้คนโตไม่ได้!”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองตัวอักษรพาดหัวตัวโตเหนือรูปถ่ายหญิงสาวที่ตนกำลังคบหา ในรูปถ่ายข้างกายเธอมีเขาเคียงข้างอยู่
“ปริมประภามั่นใจว่าจะสละโสด เตรียมลั่นระฆังวิวาห์กับปราณนารายณ์ ว่าที่ท่านประธานแห่งควีนส์คอร์ป” พาดหัวข่าวถูกอ่านชัดถ้อยชัดคำด้วยน้ำเสียงเดียดฉันท์ “นี่แกไปตกลงปลงใจกับเขาโดยไม่ให้ฉันรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ชายหนุ่มยังไม่ตอบคำถาม แต่จับจ้องรูปถ่ายของปริมประภาในคอลัมน์ซึ่งกระตุ้นความทรงจำเรื่องที่เธอบอกไว้ก่อนจากไป
“ที่ผ่านมาแกคงไม่รู้ว่าฉันพยายามตามเก็บข่าวแกกับแม่ปริมนี่ ต้องใช้เงินมหาศาลซื้อข่าวไม่ให้เผยแพร่ความสัมพันธ์ของแกเพื่อที่จะได้ไม่ไปเข้าหูเข้าตาพวกฤทธิ์นาคา แต่ดูสิ แม่นี่ก็ยังกระเสือกกระสนสร้างข่าวเสียหายจนได้ แกบอกฉันหน่อยสิว่าต้องทำยังไงถึงจะไม่ให้กระเทือนสิ่งที่ฉันต้องการ!”
“ก็ไม่เห็นต้องทำยังไงนี่ครับ” ดวงตาคมชำเลืองมองใบหน้าแดงก่ำของผู้เป็นย่า
“นี่อย่าบอกนะว่าแกจะแต่งงานกับปริมประภา”
“ผมจะแต่งงานกับปริมประภาหรือใคร มันก็เป็นสิทธิ์ของผมไม่ใช่หรือครับคุณย่า”
“ใช่ แกจะแต่งกับใครมันเป็นสิทธิ์ของแก แต่แกหมั้นกับธิดาสี่ปี ลืมแล้วหรือไง!”
“ผมไม่ได้ลืม แต่สี่ปีที่หมั้นมันเป็นสี่ปีที่รู้กันแค่เรากับเขา แล้วจุดประสงค์ก็แค่เพื่อจองที่ดิน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตส่วนตัวทั้งของผมหรือแม้แต่ของธิดา”
“หมายความว่าแกจะแต่งงานกับปริมประภาปีหน้าจริงอย่างนั้นรึ” คุณหญิงยกมือทาบอกเมื่อหัวใจของเธอเต้นรุนแรง “ทำไมแกไม่นึกถึงจิตใจธิดาเขาบ้าง ถึงจะหมั้นเพราะจองที่ดิน แต่ธิดาก็อยู่ในฐานะคู่หมั้น”
“ผมไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับปริมประภาปีหน้า เอาเข้าจริงแล้วผมอาจจะจริงจังกับปริมประภาถึงขั้นแต่งงาน แต่ยังไม่ใช่ปีหน้า”
คุณหญิงราณีสูดลมหายใจ พยายามระงับสติอารมณ์เข้าไว้ โทสะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แต่อาจเป็นการกระตุ้นให้หลานชายยิ่งพยศหนักเหมือนครั้งที่เธอพลาดกับอติภพ
“จะทำอะไรก็ตามใจ แต่อย่าให้กระทบต่อสิทธิ์การซื้อที่ดินของฉัน”
ปราณนารายณ์แค่นหัวเราะ บอกกับคนเป็นย่าให้ไร้กังวล “ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณย่า ยังไงเสียผมก็จะประคับประคองความสัมพันธ์กำมะลอของผมและธิดาให้รอดตลอดสี่ปี”
“ส่วนแกก็จะคบกับแม่ปริมประภาต่อไป ให้ธิดาเขารู้สึกเป็นหอกข้างแคร่ความรักของแก” อีกฝ่ายประชดประชันกลับ
“หรือจะให้ผมอุ้มเธอขึ้นนอนแคร่เดียวกันกับผมแล้วก็ปริมล่ะครับ”
ดวงตาของผู้เป็นย่าลุกวาวด้วยความโกรธ “ฉันอยากพิสูจน์นักว่าไอ้สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างแกกับปริมประภามันจะจีรังแค่ไหน คนเราถ้ารักกันจริงต่อให้นานแค่ไหนก็ต้องรอได้ งานหมั้นหลอก ๆ ของแกกับธิดาจะมีขึ้นในอีกสองอาทิตย์”
“ทำไมต้องเร็วขนาดนั้น” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันที
“ต้องเร็วสิ เพราะขืนช้าแกก็ยิ่งทำตัวไม่สมกับเป็นคู่หมั้นในสัญญาของเขา ก็รู้อยู่ว่านายก้องปฐพีหาเรื่องบีบให้แกยกเลิกสัญญาอยู่ทุกวัน”
“ผมก็พยายามให้บริการพวกเขาอยู่ทุกวัน กระทั่งถูกใช้ให้โบกปูนผมก็ทำ!”
“แต่มันก็ยังไม่ทำให้ฉันเข้าถึงสิทธิ์ในที่ดิน แล้วดูเหมือนจะยิ่งห่างออกไปทุกที ขืนรอต่อไปความหวังในการซื้อที่ดินก็คงมีแต่จะริบหรี่ลง”
ปราณนารายณ์ขบกรามแน่นจนสันกรามขึ้นนูนชัดเจน “ผมอยากรู้ว่าที่ดินผืนนั้นมันสำคัญมากหรือครับ นี่ถ้าเขาสั่งให้ผมไปตาย คุณย่าคงไม่คัดค้าน!”
“แต่ก่อนที่เขาจะสั่งให้แกไปตาย ฉันอยากรู้ว่าทำไมแกไม่คิดว่าจะทำยังไงให้แม่หนูธิดามาติดแกแทนที่จะเป็นยายไฮโซฉาวนั่น”
“คุณย่า!” เกิดความร้าวลึกฉาบทั่วดวงตาสีน้ำตาลคู่สวย
ดวงหน้าโรยวัยซีดสลด เธอสะบัดหน้าหนีไม่อยากจ้องมองใบหน้าหลานชาย รู้ดีว่าเขาปวดใจแค่ไหน แต่หัวใจของเธอก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เรื่องใดในโลกที่ว่ายากถ้ามีเงินก็สามารถจัดการได้ แต่การถือครองที่ดินผืนนั้นยากเหมือนปลุกวิญญาณคนในอดีตให้ฟื้นคืนชีพจากโลกแห่งความตาย
“ที่ฉันพูดก็เพียงแค่อยากให้ได้ที่ดินผืนนั้นมาครอง ถ้าแกยังมัวแต่รั้งรอ ฉันจะบีบพวกฤทธิ์นาคาด้วยวิธีของฉันเอง”
ผู้เป็นหลานแค่นยิ้ม “โครงการก่อสร้างโรงแรมอยู่ในความรับผิดชอบของผม ผู้อนุมัติก็คือผมคนเดียว”
แต่เพราะอาบน้ำร้อนมาก่อน ประโยคถัดมาของคุณหญิงจึงทำให้ชายหนุ่มหน้าซีดสลด “แกลืมไปแล้วสินะว่าฉันคือรักษาการประธานบริษัท ไหนลองพูดมาสิว่ารองประธานจะมาถืออำนาจอะไรเหนือกว่า”
เขาถึงกับถอนหายใจอย่างอ่อนล้า “บอกผมทีว่าผมต้องทำอะไร”
“แกต้องบอกเรื่องหมั้นกับปริมประภา ให้แม่นั่นรู้ตัวว่าต้องอยู่ในสถานะไหน แล้วอย่าให้เจ้าหล่อนเที่ยวไปแถลงการณ์ประกาศความสัมพันธ์ระหว่างแกกับหล่อนอีก”
“ผมขอถามคุณย่าสักคำถาม ถ้ากิจการของเสี่ยองอาจไม่ขาดทุนย่อยยับจนผมสั่งห้ามไม่ให้เพิ่มทุน คุณย่าจะเห็นปริมประภาเป็นผู้หญิงดี ๆ ในสายตาบ้างไหม” เขาเอ่ยคำถามที่ค้างคาในใจมานานและได้โอกาสก็ในวันนี้
“ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของเสี่ยองอาจ ฉันยอมรับว่าปริมประภาเป็นคนดี ทำงานเก่ง มีความสามารถ แต่ความดีไม่ได้ทำให้คนเรารักกัน แต่แกไม่อยากลองพิสูจน์ใจของเขาหรือว่าจะจริงจังกับแกแค่ไหน เขาจะรอแกได้ถึงสี่ปีหรือเปล่า”
คำกล่าวของคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนทำให้ชายหนุ่มเงียบไป ใบหน้าหม่นเศร้าลงอย่าเห็นได้ชัดของเขา การเลี้ยงปราณนารายณ์มาตั้งแต่เล็กทำให้เธอรู้ว่าเขาเติบโตมาพร้อมกับความเหงาและโหยหาสิ่งที่เรียกว่ารักมาเติมเต็ม จึงไม่แปลกที่จะแยกแยะสองความรู้สึกที่ทับซ้อนกันไม่ออก
“ธิดาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว ฉันบอกข่าวนี้เผื่อว่าแกจะสนใจไปเสนอหน้าแสดงความยินดีกับเขาบ้าง” คุณหญิงบอกกับหลานชายโดยไม่มองหน้า แล้ววางกระดาษแผ่นเล็กลงบนโต๊ะ
“นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ของธิดา หวังว่าคงไม่ต้องบีบบังคับให้บันทึกเลขหมายนี้” แล้วสาวเท้าเดินออกจากห้องไป ทิ้งชายหนุ่มให้อยู่กับความรู้สึกหนักอึ้งในอก
ดวงตาสีน้ำตาลทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง มองแสงแดงฉานของดวงอาทิตย์ยามเย็นฉายเป็นทาง แต่ความสว่างกำลังค่อย ๆ เลือนลับหายไปแล้วแทนที่ด้วยดวงดาวรอนแสงกะพริบวิบวับ
กี่วันแล้วที่เขาปล่อยให้ภีฆาเนตรได้ใกล้ชิดเธอตามต้องการ และกี่วันแล้วที่เขาไม่ได้เห็นใบหน้าเด็กดื้อรั้น แววตาอวดดีที่เก็บอยู่ในห้วงคำนึงลึกสุดหัวใจ
ความหวานล้ำดั่งน้ำผึ้งของเรียวปากบางนั้นยังคงชัดราวกับเพิ่งสัมผัส เป็นเพราะความเผลอไผลในอารมณ์หรือเพราะอะไรกันที่ทำให้เขาหลงใหลเจ้าของดวงตาสีนิลจนสูญเสียความยับยั้งชั่งใจ ถ้าถ้อยคำของภีฆาเนตรไม่ลอยเข้ามาหยุดทุกความปรารถนาเอาไว้
‘กูขอ...’
ปราณนารายณ์สะบัดความคิดหวามไหว ผ่อนลมหายใจยาวแล้วกดหมายเลขต่อสายหาคู่หมั้นสาว แต่ผ่านไปร่วมนาทีก็ยังไม่มีการตอบรับ กดวางและลองโทรออกอีกครั้ง แต่ได้ยินเสียงตอบรับเป็นข้อความอัตโนมัติที่เธอบันทึกเอาไว้
‘ธิดาไม่สามารถรับสายตอนนี้ได้ กรุณาติดต่อมาใหม่อีกครั้งค่ะ’
หากข้อความตอบรับอัตโนมัตินี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งหรือสองครั้งคงไม่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจและคิดไปว่ากำลังถูกเธอปฏิเสธการสนทนา
“ผมว่าเราควรจะยกเลิกสัญญาบ้า ๆ นั่นได้แล้ว!”
ก้องปฐพีเอ่ยกับบิดาในวันหนึ่งขณะที่เกรียงไกร ธิดา และเขากำลังสะสางงานในช่วงหัวค่ำที่บริษัท
“พ่อก็คิดอยู่ว่าจะโทรศัพท์หาคุณหญิงขอนัดวันยกเลิกสัญญา” เกรียงไกรพูดแล้วคว้าโทรศัพท์ส่งเสียงถามลูกสาว “ว่าไงธิดา หนูจะนัดวันไหน”
“เอ่อ...คือ...” เธอยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยก็ถูกพี่ชายชิงพูดเสียก่อน
“ไปถอนสัญญากันพรุ่งนี้เลยไหมธิดา อยากจะเห็นไอ้ปราณหน้าหงายนัก” แต่แทนที่จะมีคำตอบเห็นด้วย ผู้เป็นพี่กลับเห็นแววตาของน้องสาวแปลกไป “ว่าไงธิดา ไม่ดีใจหรือ ข่าวออกมาขนาดนั้น เราสามารถยกเลิกงานหมั้นแล้วก็ยกเลิกสัญญาได้เลยทีเดียว”
เธอควรจะดีใจอย่างที่พี่ชายบอก แต่แปลกใจที่กลับไม่รู้สึกแบบนั้น “คุณหญิงเขายังไม่ติดต่ออะไรมาหรือคะ”
“คุณหญิงติดต่อมาแค่เรื่องงานหมั้น ทำอย่างกับไม่รู้เรื่องข่าว” เกรียงไกรบอกแล้วหันไปสบตาก้องปฐพี ซึ่งก็เห็นความสงสัยบนใบหน้าของบุตรชาย
“ธิดาพร้อมเมื่อไหร่” แล้วหันมาทางบุตรสาว
“ถ้าหนูพร้อมหนูจะบอกนะคะ” เธอพูดโดยไม่สบตาใคร หยิบกระเป๋าสะพายแล้วลุกขึ้นยืน “แต่ตอนนี้หนูขอกลับบ้านก่อน รู้สึกเหนื่อย ๆ”
จากนั้นพาตัวเองออกมาให้พ้นจากสายตาของทั้งสอง ก่อนเดินมาหยุดผ่อนลมหายใจระบายความรู้สึกหนักอึ้ง ตั้งแต่คืนนั้นที่ดงหิ่งห้อย เขาก็หายไป แล้วก็มีภีฆาเนตรเข้ามาแทนที่ โดยเธอได้เห็นใบหน้าของเขาตามสื่อต่าง ๆ ที่ประโคมเสนอข่าวดังในวงสังคมเสิร์ฟสู่สายตาของเธอแทบทุกวัน
คนรักของเขาจะรู้เรื่องคู่หมั้นจอมปลอมคนนี้ไหม ผู้หญิงคนนั้นจะเศร้าแค่ไหนถ้าความรักที่กำลังสุกงอมมีหนอนคอยชอนไช คิดแล้วก็ปวดหนึบที่หัวใจ ยกมือขยี้เรียวปากตัวเองแรง ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่อาจลบตราประทับที่ฝังแน่นให้เลือนหายเหมือนน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
เธอหลับตาสูดลมหายใจแล้วก้าวขาผลักประตูที่เชื่อมสู่อาคารจอดรถ ฉับพลันหน้าอกก็สั่นสะท้านเมื่อพบว่าคนที่กำลังสร้างความปั่นป่วนแก่จิตใจยืนอยู่ตรงหน้า
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ”
ธิดาจึงเบนสายตาไปทางอื่น ไม่อยากให้เขาเห็นคราบความอ่อนแอ “ฉันกำลังจะกลับ เอาไว้คุยกันวันหลังนะคะ”
“หนีฉันอยู่หรือไง”
“เปล่าค่ะ” หญิงสาวพยายามสะกดเส้นเสียงให้นิ่งที่สุด แต่ก็รู้ตัวว่าทำได้ไม่ดีนัก
“แล้วทำไมไม่รับสายฉัน”
เธอเม้มปากเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนให้เหตุผล “ฉันไม่ทราบเบอร์โทรศัพท์ของคุณปราณ กลัวว่ารับสายแปลก ๆ แล้วจะเป็นพวกโรคจิตที่ชอบหลอกลวงชาวบ้าน”
เขาแค่นหัวเราะ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมากดหมายเลขแล้วยกขึ้นแนบหู ไม่กี่อึดใจต่อจากนั้น เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือเธอก็ดังจากในกระเป๋า หญิงสาวจึงหันสายตาไปมอง เขาเองก็สบตากลับไม่ยอมแพ้เช่นกัน แล้วทั้งคู่ก็ปล่อยให้เสียงนั้นดังเนิ่นนาน กระทั่งเงียบไปพร้อมกับการเก็บโทรศัพท์เข้าสู่กระเป๋ากางเกงดังเดิมของชายหนุ่ม
“เบอร์ของฉัน บันทึกไว้ซะ ครั้งต่อไปจะได้ไม่มีข้ออ้างนี้อีก”
มือบางที่จับสายกระเป๋าแน่นสั่นจนเกือบควบคุมไม่อยู่ ดวงตาสีนิลจ้องมองเขาราวกับอยากใช้มันเป็นอาวุธเข้าโจมตี “คุณทำแบบนี้ทำไม”
“ฉันทำอะไร”
“คุณมีคนรักอยู่แล้ว คุณกำลังจะแต่งงาน!” แม้พยายามอดกลั้นอารมณ์ไว้แต่ก็ไม่สำเร็จ น้ำเสียงที่พูดไปจึงฟังดูคล้ายตัดพ้อ ซึ่งเธอไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะแสดงความรู้สึกแบบนั้นได้
แต่อีกฝ่ายกลับยืนใช้สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพูดด้วยท่าทีเรียบเฉย “ไม่ยักรู้ว่าเธอก็สนใจข่าวพวกนั้นด้วย”
“ฉันจะสนหรือไม่มันไม่สำคัญหรอกค่ะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว แต่ที่คุณทำมันเหมือนเป็นการหลอกลวง!”
“หลอกลวง? ฉันน่ะหรือหลอกลวง” เจ้าของปากหยักพูดพลางพิศคิ้วบางที่ขมวดเป็นปม
“คุณปราณเซ็นสัญญาหมั้นกับฉันสี่ปี แต่ตัวคุณปราณเองกลับกำลังจะแต่งงานปลายปีนี้!”
“แล้ว...เรื่องที่ฉันกำลังจะแต่งงาน มันทำให้เธอไม่พอใจจนอยากยกเลิกสัญญาหรือเปล่า” ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองสำรวจท่าทีของอีกฝ่าย พึงใจประหลาดที่เห็นปากสีเชอร์รีขบเม้มแน่น นวลแก้มปลั่งมีสีเลือดฝาดที่เกิดจากความโกรธนั้นก็กระตุ้นให้เขาอยากยั่วโมโหให้มากขึ้นไปอีกเท่าตัว
“ถามใจคุณปราณเองเถอะค่ะ ไม่สิ...ฉันว่าน่าจะถามความรู้สึกของคุณปริมประภาว่าที่ภรรยาของคุณปราณจะดีกว่า”
มุมปากหยักยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาหาช้า ๆ “คู่สัญญาของฉันคือธิดา ฤทธิ์นาคา ไม่ใช่ปริมประภา”
“คุณนี่มัน...” สมองสั่งให้หยุดคำพูดฉับพลัน
“ฉันทำไม” เขายังส่งสายตายั่วโทสะไม่เลิก
เธอเริ่มหมดความอดทน “ถ้าคุณปราณมีธุระแค่นี้ ฉันขอตัว”
โดยไม่รอคำตอบ หญิงสาวเดินเลยผ่านไหล่คนตัวสูง ไม่มองหน้า ไม่สบตา แค่ขอให้หนีจากเขาไปให้ไกลที่สุด มันถูกแล้วที่เขากล่าวว่าเธอกำลังหนี
“ยินดีด้วยที่สอบเข้ามัณฑนศิลป์ได้!”
แต่เสียงตะโกนไล่หลังกระทบใจหญิงสาวจนต้องหยุดเท้า แล้วตอบกลับคำยินดีนั้นด้วยการผงกหัวโดยไม่หันกลับไปเอง เพราะกลัวว่าเขาจะเห็นหยาดน้ำตาที่เพิ่งไหลริน แล้วเร่งฝีเท้าจนถึงรถยนต์ของพี่ชาย ปลดล็อก เปิดประตู โยนกระเป๋าเข้าไปแล้วกำลังจะก้าวขาขึ้น
ทว่า ณ วินาทีนั้น มีแสงบางอย่างสว่างวาบจากมุมมืดของลานจอดรถ เพราะอารามตกใจกับแสงประหลาดที่เกิดขึ้น จึงยืนนิ่งชะงักงันทำอะไรไม่ถูก จนรองประธานหนุ่มเข้ามาดึงต้นแขนเธอให้หลบอยู่ด้านหลังร่างสูงใหญ่ของตัวเอง
“นั่น...นั่นอะไรคะ”
“ถ้าให้เดา มันเป็นพวกปาปารัซซี” บอกแล้วถอดเสื้อสูทคลุมหัวเธอจนมิด ก่อนอ้อมแขนแกร่งจะโอบเอวบางพาไปหลบหลังเสาให้ห่างจากรถของเธอมากที่สุด
“โทรหาก้องปฐพี บอกให้เปิดระบบไฟฉุกเฉินลานจอดรถทุกดวง ตั้งให้สปริงเกอร์ปล่อยน้ำดับเพลิงออกมา” ชายหนุ่มกระซิบผ่านสูทตัวหนา อีกมือหนึ่งก็ใช้กดศีรษะของเธอให้แนบกับแผงอก
แค่แสงวาบนั่นก็ทำให้หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะแล้ว แต่อ้อมแขนที่เขาใช้กดหัวเธอให้แนบสนิทกับอกแกร่งภายใต้ชุดสูทกลิ่นกายชายหนุ่มยิ่งทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นแรงโลด
“คะ...คือ โทรศัพท์ของฉันอยู่ในกระเป๋าค่ะ”
เธอได้ยินเสียงพ่นลมหายใจแรง จากนั้นเขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาแล้วยื่นให้ “รีบโทร”
ธิดารีบรับโทรศัพท์มาไว้แล้วมองหน้าจอสัมผัสที่สว่างภายใต้ความมืดของเสื้อสูท มันยังปรากฏหน้าของสายโทรออกล่าสุด และทุกสายที่เรียงลำดับจากปัจจุบันไปหาอดีตนั้นก็คือสายที่เขาบันทึกไว้ในชื่อ ‘คู่หมั้น’
ไม่มีเวลาให้เธอได้คิดอะไรทั้งสิ้น ธิดารีบกดเลขหมายของพี่ชาย จนเมื่อได้ยินเสียงปลายทางรับสายก็ถ่ายทอดสิ่งที่ชายหนุ่มสั่งทันที
“พี่ก้องคะ เปิดระบบไฟฉุกเฉินลานจอดรถทุกดวง แล้วให้สปริงเกอร์ปล่อยน้ำดับเพลิงตอนนี้ค่ะ ธิดาไม่มีเวลาอธิบาย ช่วยทำเดี๋ยวนี้เลย!”
ไม่กี่วินาทีต่อมา สิ่งที่เธอร้องขอก็แสดงผล ไฟฉุกเฉินทุกดวงของลานจอดรถถูกบังคับเปิดจนสว่างไสว พร้อมกับละอองน้ำฟุ้งกระจายของสปริงเกอร์ดับไฟจากเพดานทุกจุด ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงสบถด่าของใครอีกคนดังลั่น
“พอฉันพูดว่าไป ให้รีบวิ่งกลับเข้าไปในบริษัท” ปราณนารายณ์รีบสั่งหญิงสาว
“ค่ะ” เธอรับคำ
“ไป!”
สิ้นเสียงของชายหนุ่ม ธิดารีบเร่งฝีเท้าวิ่งฝ่าสายน้ำโปรยปรายจากหลังเสาที่ยืนอยู่ตรงไปผลักประตู เมื่อร่างบางข้ามพ้นเขตกรอบกระจกจึงหันหาชายหนุ่มที่ควรจะวิ่งตามมา แต่เขากลับวิ่งแยกกับเธอไปอีกทางแล้วหายไปในซอกของรถยนต์
ชายหนุ่มวิ่งลงบันไดหนีไฟตามไปจนถึงนอกอาคาร แต่ก็ไม่เห็นแม้เงาตากล้องปริศนา ฉุนจนยกขาเตะอากาศแบบไร้จุดหมายเพื่อระบายความโกรธ นับเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเกลียดพวกนักล่าภาพเข้ากระดูกดำ ภาวนาขอให้กล้องถ่ายภาพของมันเสียหายจากการเปียกน้ำ แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือสวัสดิภาพการดำรงชีวิตของคู่หมั้นสาวต่อจากนี้
มือหนาควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง แต่ก็พ่นลมหายใจทิ้งเพราะนึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์อยู่กับธิดา จึงวิ่งย้อนกลับไปยังจุดเกิดเหตุ ใช้สายตาคมตรวจหาบางสิ่งไล่ไปตามเสา คาน เพดาน แล้วในที่สุดก็พบ
“เจ๋งเหมือนกันนี่หว่าไอ้ก้อง” รองประธานหนุ่มคลี่ยิ้มอย่างสมใจ กล่าวชมก้องปฐพีที่รอบคอบพอ แม้จะเป็นอาคารเก่าแต่สถาปนิกหนุ่มก็ปรับปรุงระบบความปลอดภัยทุกอย่างใหม่หมด
ปราณนารายณ์เดินมุ่งตรงไปผลักประตูกระจกของสำนักงานที่เชื่อมกับอาคารจอดรถ เพื่อขอดูภาพจากกล้องวงจรปิด แต่พอก้าวเข้าไปในส่วนออฟฟิศก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันใหญ่โต จึงหยุดขาไว้ก่อนที่เข้าไปขัดจังหวะ
“เห็นหรือยังว่าพวกนั้นทำให้เราเดือดร้อนแค่ไหน!”
“ธิดาก็ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำไมพี่ก้องต้องโกรธขนาดนี้ด้วย”
“จะให้พูดอีกกี่ครั้งว่าจะรอให้เป็นอะไรก่อนหรือไงถึงจะรู้สึกกัน”
“แต่เขาก็ช่วยปกป้องธิดานะคะ”
“นี่คิดว่ามันปกป้องธิดาอย่างนั้นหรือ มันปกป้องตัวเองน่ะสิไม่ว่า!” ผู้เป็นพี่หัวเราะเยาะเสียงดัง เอ่ยกับน้องสาวด้วยคำพูดที่แม้แต่คนฟังก็สะอึก “เขามีข่าวจะแต่งงานกัน ขืนมีภาพผู้หญิงคนอื่นในซีนด้วย มันก็กลัวจะกลายเป็นข่าวฉาวโฉ่เสียชื่อเสียงยังไงล่ะ แต่ถ้าเราอยากเป็นมือที่สามให้ไอ้พวกปาปารัซซีนั่นตามตอแยละก็...เชิญ!”
คำพูดเหล่านั้นคงแรงเกินไป น้ำใส ๆ ร่วงเผาะเป็นสายจากดวงตาของหญิงสาว เธอก้มหน้าซุกกับเสื้อสูท ปิดบังใบหน้าเหยเก ส่งเสียงสะอื้นออกมาจนลมหายใจขาดห้วง
“ธิดา...” ก้องปฐพีหลับตา พยายามสงบสติอารมณ์ที่เพิ่งปะทุจนเกินควรออกไป “พี่ถามจริงเถอะ...ธิดารู้สึกยังไงกับมัน”
ถ้ามีเครื่องจับเสียงของความเคลื่อนไหวแบบละเอียดยิบ เสียงที่จับได้ก็คือจังหวะการเต้นถี่ขึ้นของหัวใจสองดวง ดวงหนึ่งคือหญิงสาวที่ยืนซุกหน้ากับเสื้อสูท อีกดวงคือชายหนุ่มที่ยืนแอบฟังอยู่ด้านนอก
ผ่านไปหลายวินาทีก็ไม่มีคำตอบเล็ดลอดจากริมฝีปากบางออกมา นอกจากเสียงร้องไห้ของหญิงสาวและเสียงลมหายใจบางเบาของชายหนุ่มหลังกำแพง หากก้องปฐพีถามคำถามเดียวกันกับเขา เขาจะตอบว่าอย่างไร หัวใจที่เต้นแรงตอนนี้มันใช่คำตอบหรือไม่
ปราณนารายณ์ยกมือแตะหน้าอกของตน ในตอนนี้มันเปียกปอนเพราะสายน้ำ แต่เขารู้ว่ามันเปียกก่อนหน้านั้นแล้ว มันเปียกเพราะน้ำตาของเธอ ในตอนที่กดศีรษะไว้กับหน้าอกตัวเอง เขาสัมผัสความชื้นที่ซึมลงในเส้นใย มันจึงทำให้หัวใจเขาร้อนรนจนอยากกอดรัดร่างบางไว้ให้แน่นแนบกับตัวเอง
เขาตัดสินใจเดินออกจากตรงนั้นมาด้วยความรู้สึกค้างคา เสียงร้องไห้ของธิดายังก้องอยู่ในหู ภาพแววตาโกรธขึ้งของเธอยังปรากฏในความคิด ความชื้นที่สัมผัสได้ตรงหน้าอกก็ยังไม่เลือนหาย จังหวะหัวใจเต้นถี่ยังเกิดซ้ำ ความรู้สึกของการมีเธอในอ้อมกอดก็ยังจำได้ดี
หากแต่ความรู้สึกแบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลยสำหรับหญิงสาวอีกคนที่เขายังมีเธออยู่ข้างกาย ปริมประภาจะคิดอย่างไรถ้าได้รู้ว่าผู้ชายคนที่เธอหวนคืนกลับมาหานั้นติดพันธสัญญากะทันหัน ปริมประภาจะคิดอย่างไร ถ้าเขาขอร้องให้เธอหยุดให้ข่าวความสัมพันธ์และการแต่งงานที่ห้ามเอ่ยถึง