"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
บทที่ ๙ ความหวังเดียว
“กูคิดไว้ไม่มีผิด!”
ดวงตาดุดันจ้องเขม็งไปที่รูปถ่ายหญิงสาว ที่แม้ใบหน้าของหญิงสาวจากระยะซูมของเลนส์ในมุมอับแสงจะไม่ชัดเจนมาก แต่สิ่งที่ชัดเจนจากการบอกเล่าของสมุน คือการพยายามปิดบังใบหน้าหญิงสาวไม่ให้คนของเขาจับภาพได้ของปราณนารายณ์ และสายน้ำจากสปริงเกอร์ดับไฟคงไม่มีทางทำงานได้เพราะความบังเอิญ
ปราณนารายณ์จงใจปกป้องผู้หญิงคนนี้ไว้เป็นความลับ แค่นี้ก็แน่ใจแล้วว่าไอ้หนุ่มที่ทำเป็นเงียบ ๆ หงิม ๆ แอบคบชู้ลับหลังลูกสาวเขา!
“เสี่ยครับ นายพนามาพบครับ”
ชื่อที่ถูกเอ่ยหยุดอารมณ์เดือดลงได้ในทันที เสี่ยองอาจกลืนน้ำลาย รีบลุกขึ้นต้อนรับการมาของชายวัยกลางคนเจ้าของแววตาไร้ความปรานี
“สวัสดีเสี่ย พอดีผมผ่านมาแถวนี้เลยแวะมาเยี่ยมเยียนตามประสาคนรู้จัก เห็นคนของผมบอกว่าเสี่ยปล่อยของได้เยอะ” เสียงเย็นเฉียบดังขึ้นจากชายผู้น่าสะพรึงกลัว
“ก็พอได้ครับนายพนา ผมใช้พวกแรงงานกรรมกรส่งต่ออีกทอด ค่าจ้างมันถูก เวลามีปัญหาก็ซัดทอดมันได้”
“ระวังหน่อยนะเสี่ย ไอ้พวกนี้บางทีมันก็ไม่มีหัวคิด จะใช้ใครทำงานก็ดูให้ดี อย่าให้เดือดร้อนถึงผม”
“ผมรู้เรื่องนั้นดี นายพนาอย่าห่วง อ้อ...นี่ เงินค่าปล่อยของงวดนี้” เสี่ยองอาจยื่นปึกธนบัตรให้
“ผมจะไม่นับก็แล้วกันเสี่ย ถือว่าเราไว้ใจกัน” นายพนารับเงินปึกเงินนั้นส่งต่อให้ผู้ติดตาม “ส่วนของครั้งนี้ ผมฝากด้วยนะ มันไม่ได้เป็นอาวุธเถื่อนเหมือนเดิม แต่สำคัญยิ่งกว่า” สั่งแล้วส่งสายตาให้สมุนก่อนก้าวเท้าเดิน
“เดี๋ยว ๆ นายพนา” เสี่ยใหญ่หยุดแขกจากแดนไกลไว้ “แล้ว...ส่วนของผมจากการปล่อยของล่ะ”
“ส่วนของเสี่ย?” โจรใหญ่แยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นพร้อม ๆ กับเหล่าผู้ติดตาม “เสี่ยเป็นลูกหนี้ผมนะอย่าลืม เราไม่ได้ทำธุรกิจร่วมกัน เสี่ยจ่ายหนี้ให้ผมไม่ได้ ผมจึงให้เสี่ยทำงานชดใช้แทนดอก นี่ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมปรานี ไม่แลกชีวิตของเสี่ยล้างหนี้ไปเมื่อวันก่อน”
“คือ...” คนที่ตกเป็นทาสรับใช้จำต้องสะกดความโกรธไว้ เพราะไม่อยากสะกิดอารมณ์อีกฝ่ายจนทำให้ชายฉายาโจรป่าใจโฉดผู้นี้ขุ่นเคือง แม้เพียงนิดชีวิตก็อาจดับสูญ นายพนาฆ่าคนได้ทันทีโดยไม่ฟังคำวิงวอน
“ขอโทษที ผมเข้าใจผิดไป” จึงก้มหน้าพูด
“ไม่เป็นไร”
นายพนาตบมือลงบนบ่าเสี่ยใหญ่สองสามที แล้วหมุนตัวพาพรรคพวกออกจากคฤหาสน์ สวนทางกับหญิงสาวที่เพิ่งกลับเข้ามา และชั่ววินาทีที่นายพนาชำเลืองมองก็สร้างความหนาวเหน็บไปทั่วร่างกายของปริมประภา ทำอย่างไรเธอถึงจะหนีจากผู้กุมชะตาความเป็นความตายนี้พ้น สิ่งของในกระเป๋าเหล่านั้นไม่พ้นของผิดกฎหมาย นานวันบิดาของเธอก้าวขาถลำลึกไปอีก ทั้งที่เธอพยายามจะคว้าแขนท่านออกมา
เธอรีบย่างเท้ากลับเข้าห้อง ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างท้อแท้ และอยากทิ้งความหวังไปด้วยในทันที แล้วตอนนี้เหลือเวลาอีกสักกี่วันให้เธอหาเงินทันก่อนกำหนดคืนหนี้งวดถัดไป ถ้าหากหลับตาแล้วตื่นขึ้นมาในวันที่สามารถแก้ไขอะไรได้ก็คงดี แต่ไม่มีปาฏิหาริย์อะไรแบบนั้นในโลกหม่นสีเทาใบนี้
ก่อนที่เธอจะจมหายไปกับความเศร้า พลันเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หน้าจอที่สว่างวาบของมันช่วยให้ห้องอันมืดมิดสว่างขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นก็ส่องแสงสว่างในใจเธอไปพร้อมกัน
“ปราณ ในที่สุดคุณก็โทรมา” ความปรีดาส่งผ่านน้ำเสียงอย่างไม่ปิดบัง “ค่ะ...ดินเนอร์เย็นพรุ่งนี้หรือ ได้ค่ะ แล้วพบกันค่ะ”
ความหวังของเธออยู่ใกล้แค่เอื้อม และคืนพรุ่งนี้จะเป็นคืนที่เธอต้องคว้ามันให้อยู่มือ ปริมประภาใช้สองมือตบหน้าตัวเองเรียกแรงใจ เดินเข้าโกดังเสื้อผ้าที่ใช้ห้องว่างปรับเปลี่ยนจนเป็นวอล์กอินคลอเซ็ตขนาดใหญ่ ใช้ปลายนิ้วเรียวเล็บฉาบสีพลัมกรีดไปตามเนื้อผ้า ดวงตาคมงามพิจารณาเลือกหาชุดสำหรับนัดสำคัญ หญิงสาวหันซ้ายแลขวามองหาชุดสวยสีครามเข้มที่จะดึงดวงตาสีน้ำตาลสวยคู่นั้นให้จมอยู่กับเธอ
“ปราณ คุณคือความหวังเดียวของฉัน” น้ำเสียงเอ่ยอย่างมีความหวัง กอดเดรสตัวบางแน่น
ขบวนรถตู้สีดำทะมึนของโจรป่าเคลื่อนผ่านประตูรั้วสูงออกจากคฤหาสน์ของเสี่ยใหญ่สู่ถนนส่วนบุคคลที่ตัดตรงจากถนนสายใหญ่ เมื่อไฟท้ายสีแดงเหล่านั้นกลายเป็นจุดเล็กและเลือนหายไปในม่านอากาศยามราตรี มีอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่เริ่มขยับออกจากที่ซ่อนตัว
ร่างสูงปราดเปรียวในชุดพรางกายสีดำสนิทตั้งแต่ศีรษะจนถึงเท้าคืบออกจากใต้เงาไม้ ทุกย่างก้าวเหยียบลงบนผืนดินอย่างระแวดระวัง นุ่มนวล สายตาคมจับจ้องเฝ้ามองโดยรอบให้มั่นใจว่าการบุกเข้าเคหสถานของผู้อื่นยามวิกาลจะไม่ถูกจับได้ มิเช่นนั้นแล้ว ข้อมูลใหม่ที่ทำให้เลือดในกายพลุ่งพล่านนี้อาจส่งไม่ถึงสารวัตรอัชวิน
นายพนา โจรป่าแห่งตะวันตก บุคคลอันตรายที่เชื่อว่าหายสาบสูญไปแล้วปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ข่าวนี้ต้องสร้างความตื่นตระหนกให้กรมที่เขาสังกัดไม่น้อย และสารวัตรอัชวินจะต้องเนื้อเต้น เร่งรัดงาน และขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วน ข่าวดีวันนี้เป็นของเขา แต่...
ชายหนุ่มหยุดขาที่กำลังจะกระโดดไต่กำแพง เมื่อชั่วแวบของความคำนึงมีใบหน้าอมทุกข์ของใครบางคนบนตึก หากไม่บังเกิดความสงสัยในธุรกิจค้าไม้ของเสี่ยจนต้องลองสะกดรอยตามหญิงสาว ก็คงไม่มีทางได้รู้ว่าเบื้องหลังเครื่องสำอางหลากสีสันที่ฉาบผิวหน้านวลเอาไว้ เธอก็คือผู้หญิงธรรมดาที่ร้องไห้เป็นคนหนึ่ง
จู่ ๆ ขาก็ไม่อยากทำงานตามหน้าที่ขึ้นมา มันทั้งคู่จึงพาเขาย่องเบากลับไปยังตึกใหญ่ ใช้วิชาตัวเบาที่ฝึกปรือมาป่ายปีนขึ้นไปตามส่วนยื่นของโครงสร้างอาคารสมัยเก่า ขึ้นไปสู่ชั้นสอง ย่องอย่างเงียบเชียบเลียบไปตามกำแพง หวังว่าจะโชคดีได้เข้าใกล้หน้าต่างห้องที่หญิงสาวอยู่
แล้วเขาก็สมใจเมื่อหน้าต่างบานใกล้นั้นมีเสียงฮัมเพลงแสนไพเราะล่องลอยออกมาชัดเจนขึ้นทุกขณะที่ก้าวย่าง สายสืบหนุ่มจึงทำตัวให้แนบผนังมากที่สุด ความกว้างของทางเดินมีเพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ หากก้าวพลาดก้าวเดียว เขาอาจร่วงหล่นลงไปด้านล่าง เมื่อใกล้ห้องอันเป็นที่มาของเสียงหวาน อาวุธย่อตัวต่ำ เกาะยึดขอบคิ้วปูนกรอบหน้าต่างไว้ แล้วค่อยโผล่หัวขึ้นมองภายในห้องนั้นอย่างระวัง
แต่สิ่งที่ได้เห็นทำให้สายสืบหนุ่มมือไม้อ่อน หมดแรงยึดเกาะที่มั่นกะทันหัน ร่างสูงร่วงตกลงมาจากชั้นสองดัง เดชะบุญที่พุ่มไม้รองรับ ไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นพวกถ้ำมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เขารีบก้มตัวต่ำ เก็บเสียงร้องของความเจ็บปวดไว้ แล้วรีบเข้าไปหลบซ่อนในดงไม้ทึบหนา
เมื่อได้ยินเสียงบางสิ่งที่ใหญ่มากตกกระแทกพื้นในระยะใกล้ หญิงสาวในห้องตกใจรีบคว้าชุดเดรสสีครามขึ้นคลุมร่างที่เหลือเพียงแค่ชุดชั้นในลูกไม้ตัวบาง หันขวับไปทางหน้าต่าง มองไม่เห็นเงาความเคลื่อนไหว จึงรีบหยิบชุดอาบน้ำมาสวมแล้วก้าวช้า ๆ ไปที่หน้าต่าง มองหาต้นตอของเสียง นอกจากกิ่งของพุ่มไม้ไหวแล้วก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ
“หรือว่าจะเป็นแมว”
เธอไหวไหล่เมื่อไม่เห็นความผิดปกติ รูดม่านปิดให้สนิท แล้วหมุนตัวเดินฮัมเพลงต่อจากท่อนที่ค้างไว้ ย่างเท้าเข้าห้องอาบน้ำด้วยหัวใจเป็นสุข คืนนี้จะขัดสีฉวีวรรณทั่วร่างกาย เพื่อต้อนรับดินเนอร์แสนหวานกับปราณนารายณ์ ชายหนุ่มผู้ที่เป็นความหวังหนึ่งเดียว
ปราณนารายณ์ถอนหายใจยาวหลังนำรถยนต์เอสยูวีเข้าจอดที่ลานจอดรถของโรงแรม ยังมีเวลาเหลือเฟือก่อนจะถึงเวลานัดกับปริมประภา อยากใช้เวลานี้ให้คุ้มค่ามากกว่าการปล่อยลมหายใจทิ้ง จึงตัดสินใจฆ่าเวลาด้วยการเดินชมงานเทศกาลที่รวมร้านรวงต่าง ๆ มากมายในลานกว้างที่มีแสงไฟประดับประดาระยิบระยับสว่างไสว แว่วเสียงเพลงจากไวโอลินบรรเลงขับกล่อมทั่วงาน
ใกล้ ๆ นั้นเขาได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องกระจองอแง พอหันไปมองก็เห็นเด็กหญิงผมแกละกำลังกอดตู้หยอดของเล่นร้องไห้ขอเศษสตางค์จากมารดา แต่น่าสงสารที่เด็กหญิงไม่สมใจถูกอุ้มจากไปทั้งน้ำตา
ความอาลัยอาวรณ์ของเด็กหญิงทำให้เขาเกิดความใคร่รู้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปมองเจ้าตู้ที่ดึงดูดเด็กน้อยคนนั้นใกล้ ๆ เห็นลูกกลมใสใบจิ๋วบรรจุของเล่นพลาสติกชิ้นเล็กมากมาย แต่มีอยู่หนึ่งใบที่ดลใจให้มือหนาควานหาเศษสตางค์จากกระเป๋าแล้วหยอดลงไปในช่องใส่เหรียญ
แกนโลหะถูกหมุนเพื่อเปิดทางให้ของล่อตาล่อใจตกลงมาตามช่อง และเมื่อได้ยินเสียงสิ่งของตกกระทบในช่องสี่เหลี่ยมด้านล่าง เขาก้มลงหยิบสิ่งที่ตกลงมาด้วยหัวใจเต้นแรง ลูกกลมลูกเล็กถูกกำในมือมิดก่อนรอการค้นพบ และเมื่อมือหนานั้นแบออก รอยยิ้มกว้างก็เกิดขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม
เขาเก็บสิ่งนั้นใส่กระเป๋าแล้วเดินกลับเพื่อไปยังร้านอาหารที่นัดหมายด้วยความรู้สึกเหมือนตัวลอยได้ หญิงสาวคู่นัดยืนขึ้นและส่งยิ้มให้เขาจากโต๊ะ ทัศนียภาพเบื้องหลังเธอคือแสงไฟระยิบระยับของป่าเมืองหลวง ส่งให้ปริมประภาดูสวยจนต้องหยุดสายตา ใบหน้านวลแต่งแต้มเครื่องสำอางบางเบาแต่น่ามอง แสงเทียนเรืองรองกระทบผิวขาวเนียน ความอวบอิ่มของสตรีถูกปิดซ่อนไว้ใต้เดรสสายเล็กสีครามเข้ม
“ผมมาช้ากว่าคุณ” เขาเอ่ยพร้อมก้าวเข้าไปหา ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องใบหน้าของหญิงสาว
“ฉันมาเร็วเองค่ะ กลัวว่ารถจะติดแล้วทำให้คุณรอ เราสั่งอาหารกันเลยนะคะ” ปริมประภาแย้มยิ้มแล้วสั่นกระดิ่งเรียกพนักงาน
เมื่อพนักงานบริการมาถึง ปริมประภาสั่งเมนูโปรดของเธอก่อนแล้วสั่งเมนูให้ชายหนุ่มอย่างรู้ใจ “ฉันขอเป็นซุปกุ้งล็อบสเตอร์ ของคุณปราณเป็นซุปหัวหอมแบบฝรั่งเศส หมายเหตุด้วยว่าคนกินแพ้แป้งสาลี ส่วนเมนูหลักฉันขอเป็นทูน่าย่างกับสลัดร็อกเก็ต แล้วก็ของคุณปราณ...เอาเป็น...”
“ผมรับแค่ซุปก็พอ ผมยังไม่หิว” อันที่จริงเขากินอะไรไม่ลงเลยด้วยซ้ำ
ปริมประภาจึงคืนเมนูให้พนักงานพร้อมกับสั่งเครื่องดื่มของคืนนี้ “ฉันขอ House wine ของที่นี่มาลองจิบด้วย”
เมื่อพนักงานร้านก้มหัวให้แขกสาวแล้วเดินจากไป จึงเป็นโอกาสให้ชายหนุ่มได้เริ่มต้นพูดสิ่งที่อยู่ในใจ “ปริมครับ คือ...ผมมีเรื่องที่ต้องบอกคุณ”
“ฉันก็มีเรื่องต้องบอกคุณเหมือนกัน”
เธอใช้มือเท้าคาง มองเขาด้วยรอยยิ้มกับดวงตาที่แสนสดใส ทำเอาชายหนุ่มหยุดชะงักคำพูดไว้ “ถ้าอย่างนั้น...คุณบอกเรื่องของคุณมาก่อน”
หญิงสาวกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกขัดโดยพนักงานที่นำของเหลวสีแดงก่ำมาเทลงในแก้วให้ แก้วแรกถูกวางตรงหน้าหญิงสาว แก้วต่อมาวางตรงหน้าชายหนุ่ม
“ชนแก้วกันก่อนนะคะ”
ปราณนารายณ์ลอบถอนหายใจ จะพูดอย่างไรได้หากอีกฝ่ายมีใบหน้าเปี่ยมสุขขนาดนี้
“แด่ความรักของเรา”
แล้วเธอก็เอ่ยคำพูดเสียดแทงหัวใจเขาด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข ตรงข้ามกับความรู้สึกทุกข์ใจของชายหนุ่ม แก้วไวน์ที่เขากำลังยกขึ้นหนักราวกับทั่ง และไม่อาจเอ่ยพูดประโยคเดียวกันออกไป จึงทำเพียงยิ้มแล้วยื่นแก้วไปชนกับของเธอ
ปริมประภาเปล่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นสุข มองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความรู้สึกใหม่ เธอวางแก้วไวน์ลงแล้วสูดหายใจเรียกความกล้า ดวงตาสวยซึ้งจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม
“ปราณคะ...” เรียวปากสีชมพูนู้ดขยับบอกความในใจ “เรา...แต่งงานกันนะคะ”
อยู่ ๆ อากาศรอบกายบางเบาลงจนหายใจลำบาก “คือ...ผม...”
หญิงสาวเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเขา จึงได้รู้ว่าตัวของเขายังอุ่นดีอยู่ “เราแต่งงานกันนะคะปราณ ภายในปีหน้า แต่ถ้าให้ดีแต่งกันสิ้นปีนี้เลย ฉันรู้ว่ามันน่าอายที่เป็นฝ่ายขอแต่งงานก่อน แต่ฉันคิดว่าเราน่าจะลงเอยกันได้แล้ว”
ปราณนารายณ์ยังไม่ชักมือตัวเองออกจากการกุมของหญิงสาว ความรู้สึกผิดมหันต์เกิดขึ้นทันทีและละอายที่จะจ้องมองใบหน้าแย้มยิ้ม เธอขอเขาแต่งงานทั้งที่เขากำลังจะสารภาพเรื่องพันธสัญญาหมั้นสี่ปี
เขากลืนก้อนขมลงคอ แล้วเปล่งวาจาพร้อมกับจับจ้องความรู้สึกบนใบหน้าหญิงสาว “ถ้าไม่ใช่ปีนี้หรือปีหน้า คุณจะรอผมได้ไหม”
“รอ...” คิ้วเรียวงามเลิกขึ้น ถามกลับเสียงตะกุกตะกัก “ระ...รออะไรคะ แล้ว ระ...รอไปถึงเมื่อไหร่”
“สี่ปีเป็นอย่างเร็ว”
“ทำ...ทำไมต้องสี่ปีคะ” คนฟังยังไม่เข้าใจ โหวงในอกแปลก ๆ
ชายหนุ่มเม้มปากสูดหายใจลึก “เรื่องที่ผมจะบอกคุณวันนี้คือ...” มองใบหน้าหญิงสาวผู้ฟัง แล้วปล่อยคำพูดออกมาช้า ๆ “ผม...หมั้นแล้ว หมั้นกับคนคนหนึ่งแล้ว เป็นเวลาสี่ปี”
“หมั้น?” ปริมประภายังจับประเด็นไม่ถูก “หมั้นสี่ปี?”
ปราณนารายณ์พยักหน้าและตอบเสียงชัดเจน “ครับ ผมหมั้นแล้ว...สี่ปี”
เธอทวนอีกครั้งว่าเขาพูดว่า “หมั้น?”
ชายหนุ่มก็พยักหน้า
“หมั้น!”
“คุณ...หมั้น...แล้ว”
“ครับ”
คล้ายหยุดหายใจไปชั่วขณะ “แต่เราคบกันอยู่ คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง แล้วคุณหมั้นกับใคร ทำไมฉันไม่รู้ ทำไมทีเรื่องแบบนี้ไอ้พวกปาปารัซซีถึงไม่ทำข่าว!”
“เรื่องที่ผมหมั้นมันมีเหตุจำเป็น คู่หมั้นของผมเธอเป็นคนสำคัญของคุณย่า เป็นเจ้าของที่ดินที่คุณย่าต้องการซื้อ แต่มันมีเงื่อนไขของพินัยกรรมฝั่งนั้นที่คุณย่าไม่สามารถซื้อได้ตอนนี้” เขากำลังจะเล่าเหตุผล
“มีอะไรที่เงินของคุณหญิงราณีซื้อหาไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกหรือ” แต่เธอขัดไว้ก่อนด้วยแรงโมโห “ทำไมคุณหญิงไม่เสนอราคาเป็นสองเท่าหรือสามเท่าให้เขาไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่คุณต้องไปหมั้นกับฝ่ายนั้นด้วย”
“ผมหมั้นเพื่อจองสิทธิ์การซื้อที่ดิน”
“นี่มันเกิดบ้าอะไรกัน แค่ซื้อที่ดินทำไมต้องให้คุณไปหมั้นไปหมายกับเขา แบบนี้มีที่ไหนในโลก ที่ยกฝ่ายชายให้ฝ่ายหญิงเพราะอยากได้ของ!”
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจเบา ๆ เธอคงลืมไปว่าเพิ่งเป็นฝ่ายขอเขาแต่งงาน “แล้วคุณรอผมได้ไหม”
“สี่ปีนะคะปราณ ไม่ใช่สี่นาที!”
แล้วน้ำตาของหญิงสาวก็ไหลเป็นสายอาบแก้มชมพูที่แต่งแต้มมาอย่างประณีต แพขนตาหนาสีดำสนิทเปียกชื้นเพราะน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา เสียงสะอื้นไห้ของเธอทำให้ชายหนุ่มร่วมโต๊ะสะเทือนใจ
“ผมขอโทษ แต่ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้”
ปริมประภาแค่นหัวเราะ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรทั้งนั้น” พูดแล้วก็สั่นกระดิ่งเรียกพนักงาน แต่ไม่ทันใจเท่าตะโกนบอกเอง “เธอคนนั้นน่ะ มารินไวน์ให้ฉันอีก เดี๋ยวนี้!”
พนักงานบริการผู้ถูกเรียกกุลีกุจอวิ่งขึ้นบันไดพร้อมกับขวดไวน์ แล้วบรรจงรินลงแก้วให้ลูกค้าสาว แต่หญิงสาวคว้าแก้วแล้วกระดกกลืนลงคอรวดเร็วราวกับน้ำเปล่า ชายหนุ่มปรามเท่าไรก็ไม่ฟัง รินจนหมดขวดแรกแล้ว เธอยังร้องขออีกขวดจากพนักงานบริการ เขาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบคว้าแก้วไวน์เปล่ามาถือไว้ ยกมือโบกให้พนักงานออกไป
“ปริมพอเถอะ คุณไม่ใช่คนดื่มหนัก” บอกหญิงสาวเมื่อใบหน้าของเธอแดงก่ำยิ่งกว่าไวน์
“อย่าขัดช้านสิคะ ช้านอยากดื่มฉลองให้คุณ พ่อหลานชายยอดเยี่ยมแห่งปี น่ายินดีที่สุด ห้ามลืมเรียกปริมประภาไปเป็นเพื่อน ‘สนิท’ ฝ่ายชายน้า” แม้จะพูดอ้อแอ้ แต่คำว่า ‘สนิท’ ช่างชัดเจน
“คุณเมาแล้วนะ” เขาพูดเสียงเข้ม ใช้สายตาตำหนิอีกฝ่าย
“ส่วนคุณ...ก็หมั้นแล้ว”
เธอหัวเราะคิกคักขำคำพูดของตัวเอง จากอารมณ์โศกาก่อนน้ำเมาเข้าปากก็กลายเป็นเฮฮาไปได้ ปราณนารายณ์ไม่ได้อยากสนุกไปด้วย และปริมประภาก็ทำให้เขาปวดหัวอีก เมื่อเธอลุกขึ้นเดินเซไปเกาะขอบระเบียง มองไปชั้นล่างแล้วตะโกนสั่งเบียร์
“น้อง ๆ คนหัวฟูที่ยืนหัวโด่ตรงน้าน ช้านขอเบียร์สดสองแก้ว เอาแก้วหย่าย ๆ ให้ช้านกับคุณปราณน้า เรากำลังฉลองข่าวดี!”
พนักงานหัวฟูไม่รอช้า คว้าเบียร์สดแก้วใหญ่สองแก้วจากถาดของพนักงานร้านคนที่บังเอิญเดินผ่านมาพอดี แล้วขึ้นบันไดมาส่งตรงถึงมือหญิงสาว
“ขอบจาย” ปริมประภาเอ่ยกับพนักงานร้านที่บริการฉับไว สายตาสไตลิสต์สาวก็ไวปานกัน “เอ๊ ช้านว่าเธอนี่หน่วยก้านดีนะ รูปร่างสูงหย่ายแบบนี้ น่าจาปายเป็นนายแบบ ถ้าอยากเข้าวงการบอกช้านน้า ช้านดันห้ายเอง แต่ไปตัดฝายเหนือปากนั่นออกก็ดี เวลายิ้มเขี้ยวจาได้เด่น หล่อขึ้นอีกโข”
“ปริม พอเถอะ”
“แน่ะ ๆ พี่ชายคนนี้ขาวหึงช้าน เห็นมั้ย แย่หน่อยนะพ่อเขี้ยวแหลม เราคงต้องจากกันแค่เนี้ย”
หญิงสาวพูดหยอกเย้าพนักงานหนุ่มเพราะความเมามาย จนปราณนารายณ์ส่ายหน้าอย่างระอา หากปล่อยให้เธออยู่ที่นี่ในสภาพนี้ต่อไป มีหวังไม่พ้นเป็นข่าวดังหน้าหนึ่ง แม้จะเป็นเรื่องจริง แต่ก็อาจถูกใส่ไข่ปรุงรสแบบไม่สนใจหรือให้เกียรติคนในข่าว
“ที่นี่มีทางออกด้านหลังไหม” ปราณนารายณ์ถามพนักงานหนุ่มคนนั้นซึ่งควรจะลงไปได้แล้ว แต่ในเมื่อเขายังอยู่จึงเป็นการดีที่จะหาทางออกจากที่นี่โดยไม่ผ่านสายตาคนมากมาย
“มีครับ คุณตามผมมาได้เลย”
พนักงานคนนั้นพูดแล้วเดินนำทางลงบันได ปราณนารายณ์จึงเขียนเช็คใส่จำนวนเงินที่น่าจะเกินราคาค่าอาหารและเครื่องดื่มมื้อนี้ทิ้งไว้บนโต๊ะ จากนั้นประคองร่างของหญิงสาวไม่ได้สติทำเหมือนเดินโอบเอวกัน เดินลงบันไดตามหลังพนักงานบริการที่ใช้ร่างสูงของตนคอยบังหญิงสาวจากสายตาของแขกคนอื่น
“นี่ราวจาปายหนายกานคะ ช้าน...ยางม่ายด้าย...ชิมซุปกุ้ง...ล็อบสเตอร์...ของที่...นี่เลย...” เธอพูดเสียงยานคางขาดห้วงแล้วพยายามดื้อดึงจะกลับเข้าร้าน
“ขืนคุณอยู่ต่อ พรุ่งนี้คุณได้ขึ้นหน้าหนึ่งอีกครั้งแน่ปริม”
เส้นทางลัดเป็นเส้นทางที่ใช้เฉพาะพนักงานโรงแรม ลิฟต์ที่พนักงานบริการนำทางมาจึงเป็นลิฟต์สำหรับใช้ส่งของ โชคดีที่พนักงานเกือบทั้งหมดเข้างานกันเรียบร้อยแล้ว ทางจึงสะดวกรอดพ้นสายตาจับจ้อง
“คุณส่งผมแค่นี้พอ ขอบคุณมากครับ” ชายหนุ่มบอกกับพนักงาน ล้วงธนบัตรใบสีม่วงให้อย่างทุลักทุเล เพราะหญิงสาวไม่อยู่นิ่ง พยายามดันตัวเองออกจากการพยุง
“ไม่เป็นไรครับ ผมบริการด้วยใจ”
ชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังยื่นเงินค่าตอบแทนให้ ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่าย จะให้พูดตรง ๆ ว่านี่เป็นค่าปิดปากคงจะเป็นการทำลายน้ำใจชายคนนี้มากพอดู แต่เขาไม่ต้องการให้ข่าวนี้แพร่งพรายออกไป และดูเหมือนพนักงานบริการนายนี้จะมีความสามารถในการอ่านใจคน
“ผมเก็บความลับอยู่ คุณไม่ต้องห่วง”
เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากแบบนั้น ปราณนารายณ์จึงพยักหน้ารับทราบ เก็บเงินใส่กระเป๋าตามเดิม แล้วประคองปริมประภาไปยังรถของตัวเอง อุ้มเธอขึ้นนั่งในตำแหน่งข้างคนขับ รัดเข็มขัด แล้วรีบเดินอ้อมรถไปยังตำแหน่งคนขับ กำลังจะเสียบกุญแจเพื่อสตาร์ตเครื่อง แต่สาวเจ้าก็เหลือร้าย เมาแล้วยังรั้นมากมาย ปลดล็อกเข็มขัดนิรภัยออกเพื่อลงจากรถ แต่ความเมาทำให้เซถลาจนล้มกระแทกพื้นเต็มแรง
“ปริม!” ชายหนุ่มรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปหาหญิงสาวทันที
แต่มีคนมาถึงตัวเธอก่อน พนักงานบริการคนเดิมคนนั้นช้อนร่างของหญิงสาวที่กำลังพูดงัวเงียไม่ได้ศัพท์ มือบางป่ายปัดผลักไสใบหน้าของผู้หวังดี
“แค่ก้นกระแทก แต่หัวเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”
แน่นอนว่าเขายินดีที่ปริมประภาไม่ได้รับบาดเจ็บ หากก็ไม่ยินดีนักที่พนักงานบริการคนนี้มีท่าทางผิดปกติไปจากอาชีพที่ควรจะเป็น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเกิดความสงสัย ยังมีอีกหนึ่งอย่างดูแปลกไปในตัวพนักงานคนนี้จากครั้งแรกที่พบบนร้านอาหารชั้นรูฟท็อป ปราณนารายณ์เก็บความสงสัยไว้ แล้วขอเป็นคนอุ้มหญิงสาวไว้เอง
“ให้ผมขับรถไปส่งเถอะ ส่วนคุณนั่งดูเธออยู่ที่ด้านหลัง ขับรถไปกับผู้หญิงเมาเสี่ยงตายยิ่งกว่าขับรถแข่ง” พนักงานคนนั้นเสนอความช่วยเหลือ
ตามปกติเขาไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ โดยเฉพาะกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก แต่เหตุผลของพนักงานคนนี้ก็น่าเชื่อถือ “คงต้องรบกวนคุณด้วย”
รถคันหรูสมรรถนะเยี่ยมเคลื่อนตัวออกจากตัวโรงแรมลงสู่ท้องถนนอันแออัด โดยพลขับไม่ใช่ชายหนุ่มเจ้าของรถ ซึ่งเมื่อไม่ต้องขับเอง ปราณนารายณ์จึงได้เฝ้ามองผู้อาสาหัวฟูฟ่องจากด้านหลังอย่างพิจารณา
ชั่วแวบหนึ่ง เขาสังเกตด้วยหางตาว่าถูกจับจ้องโดยสายตาของชายหัวฟู เมื่อสบตาตรง ๆ ดวงตาคู่นั้นก็หลบวูบ พอดีกับเสียงละเมอของหญิงสาวที่หลับคอพับพิงต้นแขนดังขึ้น มือหนายกลูบไล้ศีรษะเธอ มองเธอด้วยแววตาเสียใจ วันนี้ไม่ใช่วันที่ดีของเขา และก็คงไม่ใช่วันที่ดีของเธอ
“ใกล้จะถึงบ้านของเธอแล้ว พอผมพาเธอเข้าไปส่งข้างในเรียบร้อยแล้ว ผมจะขับไปส่งคุณที่โรงแรม” ปราณนารายณ์บอกกับพนักงานบริการ
“ไม่เป็นไรครับ ได้เวลาผมเลิกงานพอดี ผมหาทางกลับเองได้”
เมื่อเป็นเช่นนั้นปราณนารายณ์จึงไม่พูดต่อ รถของชายหนุ่มขับผ่านประตูเหล็กเข้าสู่อาณาเขตคฤหาสน์หลังใหญ่ การพาปริมประภามาส่งถึงที่เป็นการเสี่ยงต่อชีวิตไม่ต่างกับแข่งรถอย่างที่พนักงานโรงแรมบอก ปราณนารายณ์อุ้มหญิงสาวที่หลับเป็นตายลงจากรถเมื่อรถจอดสนิท แต่ก่อนลงชายหนุ่มเอ่ยกับบริกรหนุ่มผู้ใจดีว่า
“ขอบคุณอีกครั้ง แล้วผมจะบอกปริมประภาว่าพนักงานหัวฟูคนนั้นไม่ต้องไปตัดไฝแล้ว เพราะมันหลุดติดมือเธอมาแล้ว” บอกพร้อมกับชูเม็ดกลมเม็ดเล็กสีดำ
สีหน้าของพนักงานหนุ่มเปลี่ยนอย่างสังเกตเห็นได้ แต่ไม่ใช่เวลาที่เขาต้องสอบสวนผู้ต้องสงสัย ชายหนุ่มอุ้มหญิงสาวลงจากรถแล้วเดินเข้าสู่ตัวคฤหาสน์ท่ามกลางสายตาของคนรับใช้ของบ้านนี้มากมาย
“นั่นมึงทำอะไรลูกกู!”
เสียงของผู้เป็นใหญ่ในคฤหาสน์ดังลั่นทันทีที่เห็นบุตรสาวถูกชายหนุ่มที่แสนเกลียดชังอุ้มมา
“เราแค่ไปกินข้าวกันครับ แล้วปริมดื่มหนัก ผลเลยเป็นแบบนี้” ปราณนารายณ์ตอบกลับด้วยวาจาสุภาพ
“ปริมคอไม่แข็ง มึงก็น่าจะรู้!”
ชายหนุ่มวางหญิงสาวลงเบา ๆ บนโซฟารับแขก “ครับ ผมทราบ”
“ทราบ! ทราบแล้วทำไมมึงปล่อยให้ลูกกูเมาหยำเปขนาดนี้!”
พบกับเสี่ยองอาจนอกเขตควีนส์คอร์ปคราใด วาจาไพเราะที่เคยใช้ในระหว่างประชุมจะเปลี่ยนระดับชั้นทันที แต่ชายหนุ่มไม่ถือสา ด้วยรู้แก่ใจว่าถูกจงเกลียดจงชังแค่ไหน จึงไม่จำเป็นต้องเอาคำพูดและกิริยาของอีกฝ่ายมาใส่ใจ
“ผมว่าเสี่ยให้คนของเสี่ยพาเธอไปนอนพักบนห้องจะดีกว่ามายืนว่ากล่าวผมอยู่อย่างนี้ หมดหน้าที่ของผมแล้ว ผมขอลา” ประนมมือขึ้นไหว้ตามมารยาท ไม่หวังให้อีกฝ่ายไหว้กลับ
“อวดดี”
คำพูดนั้นแม้จะเหมือนเปรยกับตัวเอง แต่จงใจให้เขาได้ยิน เท้าที่กำลังหันทิศไปทางประตูทางออกจึงหันมาหาผู้พูด
“ครับเสี่ย ผมมีดีจึงต้องอวดดี และผมหวังว่าการประชุมรายงานผลประกอบการไตรมาสนี้ขององอาจพาณิชกิจจะมีดีให้ผมเห็นเช่นกัน แล้วเจอกันวันประชุมนะครับ”
พูดจบก็หมุนตัวเดินจากมา ไม่สนใจเสียงคำรามลั่นของชายสูงวัย ปราณนารายณ์เดินกลับมาที่รถ กวาดตามองโดยรอบ ไม่เห็นพนักงานหัวฟูคนนั้นแล้ว จึงขึ้นนั่งในรถตำแหน่งคนขับ และหันไปทางคฤหาสน์
“ผมขอโทษนะปริม”
ไม่มีคำพูดที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ได้แต่ขอให้ปริมประภาเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องแบกรับ และคำขอแต่งงานของเธอคงจะไม่มีทางเกิดขึ้นภายในปีนี้หรือปีหน้า