"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่,ลมห่วงรัก-บทที่ ๙ ความหวังเดียว,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 1/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 2/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๔ ไฟ

เนื้อหา

บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน

บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน

เสียงเปียโนบรรเลงขับกล่อมดังทั่วสวนที่จัดแบบอิงลิชการ์เด้น ดอกไม้สดสีสวยถูกจัดวางประดับประดาเต็มพื้นที่ โต๊ะและเก้าอี้ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวคาดด้วยโบสีม่วงลาเวนเดอร์หวาน เหล่าคนรับใช้ของบ้านใหญ่ยกพุ่มดอกไฮเดรนเยียสีฟ้าครามมาวางไว้ทั่วอาณาบริเวณ ชุดกระเบื้องเคลือบสำหรับเสิร์ฟน้ำชาถูกเรียกหามาเตรียมวางไว้ แม่ครัวใหญ่สั่งงานให้วุ่น และเดินตรวจงานให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์พร้อมสำหรับพิธีสำคัญ

ข้างนอกนั้นกำลังเตรียมทุกอย่างให้พร้อม แต่ในห้องที่ใช้เป็นห้องแต่งตัวของหญิงสาววุ่นวายยิ่งกว่า เมื่อสาวเจ้านั้นไม่ยอมให้ความร่วมมือใด ๆ

“โธ่ ธิดา หนูให้อาทาลิปสติกสักนิดไม่ได้หรือจ๊ะ” ระตีครวญ “ขืนปล่อยให้ธิดาออกไปแบบนี้ มีหวังอาถูกคุณแม่โกรธควันออกหูแน่ ๆ”

“คุณหญิงไม่น่าจะโกรธนี่คะ แล้วก็ไม่น่าจัดงานหมั้นด้วยซ้ำไป เพราะธิดากับเขาไม่ได้เป็นคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะแต่งงานกันจริง ในงานนี้ก็มีแต่คนของบ้านธิดากับบ้านปรเมศศิวะวงศ์”

ระตีกลืนน้ำลายเอื๊อก “คือ...” ยิ้มแห้ง ๆ แล้วเม้มปาก ก่อนจะบอกไปว่า “อาร่อนจดหมายเชิญแขกให้มาร่วมงานไปหลายใบเลยจ้ะ”

“อะไรนะคะ!” ธิดาทำตาโต “ก็...ไหนบอกว่าจะแบบกันเอง!”

“มันก็...กันเองนั่นแหละ...” ตอบด้วยความยากลำบาก “กันเองแบบเฉพาะควีนส์คอร์ปกับบริษัทผู้ร่วมทุนน่ะจ้ะ”

ธิดาร้องครวญทันที “อะไรนะคะ!” 

ความตั้งใจที่จะใส่เสื้อยืดกางเกงยีนในวันหมั้นลวงของเธอเพื่อหักหน้าคุณหญิงราณีต้องเป็นหมันแล้วหรือ และถ้ามีแขกระดับผู้ร่วมทุนของควีนส์คอร์ป ก็ไม่ใช่แค่คุณหญิงราณีเท่านั้นที่ขายหน้า แต่นั่นรวมถึงพ่อของเธอด้วย

 

เสียงเบรกของรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อคันหรูของรองประธานหนุ่มดังสนั่นทางเข้าคฤหาสน์หลังโต แม้จะพยายามยับยั้งอารมณ์ควบคุมแรงเหยียบคันเร่งไม่ให้ความเร็วรถเสี่ยงต่อการถูกจับ กระนั้นชุดสูทสุดประณีตที่แขวนไว้บนมือจับเหนือประตูก็แกว่งตามแรงเหวี่ยงของรถ แสนฉุนหลังจากอาสาวโทรศัพท์มาฟ้องว่ายายเด็กรั้นไม่อยากเข้าพิธีกับเขามากขนาดไม่สนใจสวมใส่ชุดให้ถูกกาลเทศะ

“ปราณ ใกล้จะได้เวลาแขกมาแล้ว เราจะทำยังไงกันดี” ระตีวิ่งเข้าหาหลานชายทันทีที่เขาก้าวขาเข้ามาภายในคฤหาสน์

“แขก?” เมื่อได้ยินคนเป็นอาพูด ขายาวก็หยุดชะงัก

ใบหน้าตกตะลึงของชายหนุ่มทำให้ระตีเกิดอาการลนลาน ฉุกคิดได้ทันทีว่าหลานชายก็คงไม่รู้เรื่องแขกเหรื่อ นึกขุ่นเคืองมารดาของตนในใจที่ให้ส่งบัตรเชิญงานหมั้นโดยไม่บอกหนุ่มสาวเจ้าของงาน แต่ไม่มีเวลาอธิบายเพราะมีเรื่องต้องจัดการโดยด่วน

“เรื่องนั้นเราค่อยคุยกัน แต่เราจะทำยังไงดีกับธิดา”

ปราณนารายณ์พ่นลมหายใจแรง ก้าวขาเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องที่หญิงสาวอยู่ ได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมา

“เราก็บอกพวกเขาว่าธิดาป่วย ไม่สบาย เป็นโรคร้ายแรง ออกไปต้อนรับแขกไม่ได้สิคะ”

“ทำอย่างนั้นได้ยังไงธิดา แขกแต่ละคนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งนั้น” เสียงคุณอาฤดีดังตามมา

“แต่ก็ยังดีกว่าให้ธิดาทำทุกคนขายหน้านะคะ”

พอสิ้นเสียงแม่ตัวดี ชายหนุ่มก็เคาะประตูห้องและเปิดเข้าไป จึงเห็นว่ายายว่าที่คู่หมั้นของเขายังอยู่ในชุดที่เธอสวมใส่เป็นประจำในวันธรรมดา แต่นี่มันไม่ใช่วันธรรมดา

“แล้วขอถามหน่อยว่าเธอเคยคิดถึงหน้าคนอื่นบ้างไหม”

ชายหนุ่มพูดแล้วก้าวเข้าห้องด้วยใบหน้าบึ้งตึง เห็นคุณอาฤดีกำลังใช้นิ้วนวดขมับ ซึ่งต้นเหตุคือยายเด็กไม่รู้จักโตที่นั่งทำหน้าบึ้งใส่เขาคนนี้ไง 

“ลุกขึ้นแล้วไปหาชุดใส่ซะ!” เขาสั่งเสียงเข้ม

แต่เธอไม่ทำตามแถมยังเชิดหน้าคอตั้งเหมือนกิ้งก่า ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้ สร้างความหมั่นไส้ให้ชายหนุ่มยิ่งนัก จนนึกอยากบีบคอเจ้าของใบหน้ายุ่งที่สะท้อนในกระจกเงา 

“ลุกเดี๋ยวนี้” เขาสั่งเสียงแข็งขึ้นอีกเท่าตัว

แต่เจ้าหล่อนทำแค่ปรายตามองแล้วเบ้ปากใส่ สงสัยต้องเพิ่มระดับแรงกระตุ้น จึงเดินเข้าไปประชิดตัวทางด้านหลังแล้วอ้าแขนกว้าง

“ถ้าไม่ลุกจะอุ้ม!” 

คนกลัวถูกอุ้มดีดผึงขึ้นทันที “ถ้าจะให้หาชุดหมั้นตอนนี้คงไม่ทันแล้วละค่ะ ทางร้านเขาไม่รับแก้ไซซ์แล้ว” แล้วกอดอก เชิดหน้าพูดอย่างมีชัยเหนือกว่า

ชายหนุ่มยกยิ้ม ชักอยากบิดปากยื่นเชิดนั่นให้บวมเจ่อ “ก็ไม่ต้องไปที่ร้าน ตามฉันมา” ว่าแล้วหันหลังเดิน แต่เธอยังไม่ขยับ “มาเร็วสิ หรืออยากให้อุ้มใช่มั้ย”

หญิงสาวจึงต้องก้าวตามร่างสูงออกไป ปล่อยให้ฤดีทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยใจ ภาวนาว่าอย่าให้งานนี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นมากไปกว่านี้อีกเลย

ชายหนุ่มเดินนำหญิงสาวเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง เขาเดินตรงไปที่ประตูไม้บานใหญ่ เลื่อนเปิดออกจนสุด แล้วหันมาทางหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยท่าทางไม่สนใจ

“เลือกมาหนึ่งชุด” แล้ววางอำนาจสั่งการทางสายตา

“ฉันใส่ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าไม่ไซซ์เล็กจริง ๆ ใส่ไปก็หลวมโพรก” เธอว่า หันไปมองทางอื่น

“ลองหรือยัง” ถามเสียงเข้ม

“ไม่อยากลองค่ะ เจ้าของชุดเขาคงไม่อนุญาต”

“พวกนี้เป็นชุดของแม่ฉัน ฉันอนุญาต” พูดแล้วก็หันเข้าหาราวเสื้อผ้า กวาดตามองตั้งแต่ซ้ายไปขวา ใช้สายตากะเกณฑ์ แล้วเดินไปหยิบชุดเดรสเนื้อผ้าพลิ้วสีน้ำตาลทองออกมายื่นให้หญิงสาว “ใส่ตัวนี้”

ทำไมเขาถึงเป็นคนช่างสั่ง บังคับ เผด็จการแบบนี้ คิดหรือว่าจะสั่งเธอได้อีก 

“ไม่ใส่ ยังไงคำสั่งของคุณปราณก็ไม่มีทางชนะฉันได้ ฉันไม่ใส่” แล้วก็ยืนกอดอกสู้สายตาคมของชายหนุ่ม

ชายหนุ่มคำรามเสียงลอดไรฟัน มองใบหน้าเชิด ปากยื่นของคนแสนดื้อ อยากดื้อนักก็ต้องเล่นกลับให้หนัก เขาโยนชุดเดรสไปบนเตียงแล้วเดินไปล็อกประตูห้อง จากนั้นก็หันมามองคนแสนดื้อที่เริ่มมีความผวาปรากฏบนใบหน้า

“ล็อก...ล็อกประตูทำไมคะ” เสียงนั้นหวั่น ๆ

“ก็...คุณคู่หมั้นไม่ยอมใส่เสื้อดี ๆ ก็เลยต้องจับใส่ให้สิครับ ขืนเปิดประตูอ้าซ่า ใครผ่านไปผ่านจะหาว่าผมไม่ดี ปล่อยให้คู่หมั้นตัวเองโป๊เปลือยต่อสายตาคนอื่น” พูดแล้วก้าวไปหาช้า ๆ ส่งสายตาน่าขนลุกขนพอง

“นี่คุณปราณ บ้าไปแล้วหรือคะ อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันร้องจริง ๆ” เธอก้าวถอยหลัง เผยความหวาดกลัวออกมาให้อีกฝ่ายรู้

“ก็ดีสิ เราจะได้ข้ามจากคู่หมั้นไปเป็นอีกขั้นหนึ่งเลย”

พูดแล้วขยับเข้ามาใกล้ขึ้น แต่ยังไม่ทันถึงตัวเธอดี หญิงสาวก็รีบเบี่ยงตัวหนีได้ทัน “ขี้โกงนี่คะ ใช้กำลังกับผู้หญิงแบบนี้เป็นผู้ชายหรือเปล่า”

ปราณนารายณ์หัวเราะขบขัน “แล้วคุณผู้หญิงจะยอมใส่ชุดดี ๆ หรือเปล่า”

หญิงสาวพ่นลมหายใจ ถอยเท้าออกห่างคนที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาสีนิลจ้องเขม็งดุดัน แต่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลับแฝงความเจ้าเล่ห์คล้ายแววตาจิ้งจอกไว้ภายในดวงตาคู่งาม

“เรามาสู้กัน ถ้าฉันทำให้หลังของคุณปราณแตะพื้นก่อน ถือว่าฉันชนะ แล้วไม่ต้องใส่ชุดนั้น” 

ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก หยุดเท้าที่กำลังก้าวเข้าไปหา ผายมือทั้งสองข้างออก แล้วโค้งคำนับให้อีกฝ่าย 

“รับคำท้า”

จังหวะที่เขาโค้งแล้วเงยหน้าขึ้นนั้น หญิงสาวยังไม่ทันได้ตั้งรับดี เขาก้าวขายาวเข้าประชิดตัวเธอก่อนยกฝ่ามือขึ้นเตรียมฟันอีกฝ่ายให้หน้าหงาย แต่ธิดาหลบหลีกฝ่ามือของเขาได้เร็วไว ชายหนุ่มลอบยิ้ม กวาดขาแยกออกข้างยกแขนตั้งท่าเตรียมพร้อม 

ครั้งนี้ธิดาเป็นฝ่ายจู่โจมบ้าง แล้วเขาไม่สู้กลับ ใช้การเอียงตัวหลบหลีกการจู่โจมของเธอได้สบาย ๆ จนหญิงสาวรู้สึกหน้าเสียและหงุดหงิดกับรอยยิ้มของคู่ต่อสู้ ไม่คิดว่านักธุรกิจหนุ่มที่ทำงานแต่ในห้องแอร์จะมีทักษะการป้องกันตัวดีเยี่ยม 

เธอพยายามไล่ต้อนเขา ทั้งเตะ ทั้งฟาดมือ แต่เขาก็หลบได้อย่างสบาย จนเธอเริ่มหายใจหอบ แต่เขาก็ยักคิ้วแหย่เธอทุกครั้งที่เธอลงมือพลาด

“อย่ามัวแต่หนีสิคะ คุณสู้ไม่เป็นหรือไง”

ปราณนารายณ์ยิ้มที่มุมปาก ตอบกลับเชิงยั่วยุ “เอ๊ เมื่อกี้ใครกันนะที่บอกว่าฉันใช้กำลังกับผู้หญิง”

หญิงสาวคำรามในใจแล้วก้าวเท้าเข้ารุกชายหนุ่ม งัดทุกท่วงท่าที่ก้องปฐพีสอน แต่ดูเหมือนว่าทุกหมัด ทุกศอก ทุกเตะที่เธอทำจะกลายเป็นสู้กับความว่างเปล่าในอากาศ เพราะเขาเคลื่อนไหวได้ไวปานลิงลม จนในที่สุดดวงตาสีนิลเห็นเขาเปิดช่องว่างลดแขนทั้งสองข้างลง แต่เธอเปลี่ยนแผนในใจ ในเมื่อเล็งเป้าที่ลำตัวไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีอื่น คำท้าคือใครหลังแตะพื้นก่อนเป็นฝ่ายแพ้

เมื่อหญิงสาวสาวเท้าเข้าหา ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องความเคลื่อนไหว ไม่ใช่มือหรือปลายเท้าของเธอที่เขามอง แต่เป็นดวงตาของหญิงสาวต่างหากที่ถูกจับจ้อง ปราณนารายณ์ยิ้มร้าย มองแผนในใจของผู้หญิงหัวดื้อออก และเฝ้ารอวินาทีเป็นเกมการพนันนี้

ร่างบางหมุนตัวยกปลายเท้าขึ้นเตะกลับหลัง แน่ละ เธอรู้แล้วว่าเขาต้องหลบทัน เมื่อหมุนตัวกลับมาอีกครั้งหญิงสาวก็ย่อตัวต่ำลงแล้วสะบัดขาจงใจขัดเข้าที่หลังข้อเท้าคู่ต่อสู้ให้เสียหลักล้มลง แต่เธอไม่คาดคิดว่าเขาจะจับการเคลื่อนไหวทัน ชายหนุ่มหมุนโยกตัวหลบไปด้านหลัง 

เมื่อคู่ต่อสู้กลับตัวไม่ทัน มือหนาจึงรีบจับบ่าร่างบางแล้วกดเธอให้หงายล้ม เสียงหวีดร้องดังลั่นด้วยความตกใจ และก่อนที่ศีรษะของหญิงสาวจะกระแทกพื้น มืออีกข้างก็รองรับไว้ได้อย่างทันท่วงที

หญิงสาวผู้พ่ายแพ้ได้แต่นอนหงายอย่างรู้ชะตาชีวิต หัวใจเธอยังเต้นแรงด้วยความตกใจ เลือดสูบฉีดจนแก้มนวลนั้นแดงก่ำ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเพราะหายใจเหนื่อยหอบ

“เธอแพ้แล้ว”

เป็นคำพูดจากริมฝีปากหยักของผู้ชนะที่มองผู้แพ้จากมุมกลับด้านบน เขาถอนมือข้างที่รองรับศีรษะมนอย่างช้า ๆ ในขณะที่มืออีกข้างยังกดบ่าตรึงร่างบางให้แนบพื้นยืนยันคำพูด ความเงียบงันเกิดขึ้นระหว่างที่สายตาสองคู่ประสานกัน ไม่มีใครขยับเคลื่อนไหว มีเพียงมวลพายุความรู้สึกหลายอย่างที่หมุนวนปั่นป่วนในใจของทั้งคู่ เธอเห็นเงาของตัวเองสะท้อนในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น และเขาก็เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาสีนิลฉ่ำชื้นเช่นกัน

“รีบใส่ชุดซะ แล้วลงไปหาคุณอาระตี” 

ชายหนุ่มเป็นฝ่ายหลบตาวูบก่อน เขาจบเกมนี้ด้วยคำสั่งที่เอาชนะเธอได้เหมือนเดิม แต่น้ำเสียงอ่อนลงไปมาก ชายหนุ่มยื่นมือให้เธอจับเพื่อลุกขึ้น แต่หญิงสาวไม่สนใจมือที่ยืนมา เธอลุกขึ้นเองโดยไม่อยากรับความช่วยเหลือ ใบหน้าโกรธขึ้ง มีน้ำคลอเอ่อที่เบ้าตา คว้าชุดเดรสบนเตียงขึ้นมาแล้วยืนสู้สายตาชายหนุ่ม 

“คุณปราณก็ออกไปสิคะ ฉันจะได้เปลี่ยนชุด”

ปราณนารายณ์ลอบถอนหายใจ หันหลังเดินออกไป ทิ้งหญิงสาวที่กำลังใช้มือปาดน้ำตาไว้เบื้องหลัง ถ้าเธอยอมเขาดี ๆ แต่แรกก็ไม่ต้องเสียน้ำตาในวันหมั้น เธอคิดหรือว่าเขาชอบบังคับจิตใจคนอื่นนักหนา แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกแย่แบบนี้ 

ชายหนุ่มไปพักสงบอารมณ์ที่ห้องเปียโน มองแขกเหรื่อที่ทยอยเข้ามาถึงงานผ่านหน้าต่างกระจกบานสูงถึงเพดาน นึกฉุนในใจที่ไม่มีใครบอกเขาว่างานนี้เชิญคนนอกครอบครัวมาด้วย งานหมั้นลวงมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร การที่คุณย่าเชิญแขกระดับผู้ใหญ่ไม่เท่ากับประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการไปแล้วหรือ

ถ้าคุณย่าต้องการแบบนั้นจริงคนที่ลำบากใจจะเป็นยายหัวดื้อ เพราะเพื่อรักษาหน้าของครอบครัว เธอต้องทนหมั้นหมายกับเขาโดยไม่กล้ายกเลิกเป็นเวลาสี่ปี แต่เมื่อครบสัญญาก็จะไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นจริง และมันจะทำให้ฝ่ายหญิงเสื่อมเสียมากกว่าฝ่ายชาย เขาจึงเริ่มเข้าใจเหตุผลของธิดาแล้วว่าทำไมถึงไม่อยากพบเจอใคร ๆ ในงาน 

คิดแล้วก็รู้สึกหน่วงในอก นึกอยากหาสิ่งผ่อนคลายจึงควานหาบุหรี่จากกระเป๋า แต่ไปสัมผัสเข้ากับบางอย่างที่เขาสอดเก็บไว้ในกระเป๋าสูท จึงล้วงสิ่งนั้นออกมาแกะเปลือกพลาสติกย้อมสีออก แล้วพิศมองแหวนพลาสติกรูปดาวสีชมพูที่เก็บรักษาไว้ภายใน 

หากจะขอใช้แหวนพลาสติกรูปดาววงจิ๋วเป็นแหวนหมั้นสวมเข้ากับนิ้วเล็ก ๆ ของเธอแทนแหวนเพชรหลายกะรัตที่คุณหญิงราณีจัดให้เธอจะคิดอย่างไร 

“เบียร์มั้ยฮะ”

ตฤณเดินเข้ามาพร้อมกับขวดเบียร์เย็นจัดที่ยื่นส่งมาให้ ปราณนารายณ์จึงรีบเก็บสิ่งของใส่ในกระเป๋าเสื้อสูทตามเดิม แล้วยื่นมือรับขวดเบียร์เย็นเป็นไอมากระดกของเหลวแสนเย็นรสชาติขมเข้มแต่สดชื่น 

“คุณอาเตชินรู้ตัวไอ้บ้านั่นหรือยัง” เขาถามถึงความคืบหน้าเรื่องปาปารัซซีปริศนา

“ยังดำมืดอยู่เลยครับ”

ชายหนุ่มคนฟังสบถออกมาเมื่อไม่ได้เบาะแสตัววายร้าย แล้วก็พลันนึกถึงพนักงานของร้านอาหารในวันนั้น ไอ้หนุ่มหัวฟูกับไฝเม็ดงามถอดได้นั่นก็อีกคน ทำไมรอบกายเขาถึงมีแต่เรื่องน่าสงสัยเต็มไปหมด 

ปริมประภาก็ไม่ติดต่อมาเลยตั้งแต่วันนั้น เธออาจถูกบิดาสั่งห้ามไม่ให้ติดต่อเขาอีก ชายหนุ่มถอนหายใจ ซึ่งนับครั้งไม่ได้แล้วว่าเป็นการถอนหายใจครั้งที่เท่าไร แต่การยกขวดเบียร์ขึ้นดื่มครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สอง อยากให้น้ำสีเหลืองช่วยทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงบ้าง

“พี่ปราณ พี่ปริมก็มางานหมั้นพี่ด้วยนะครับ”

เบียร์ยังไม่ทันไหลลงคอหมดก็ถูกพ่นพรวดออกมาพร้อมกับการไอโขลกเพราะสำลักเบียร์ครั้งใหญ่ของปราณนารายณ์ เดือดร้อนน้องชายต้องรีบไปหาน้ำเปล่ามาล้างความแสบคอ 

หลังดื่มน้ำที่น้องชายรีบวิ่งไปเอามาให้ เขาก็ขอเดินไปดูให้เห็นกับตาตัวเองว่าปริมประภามาร่วมงานนี้จริง ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาพ่นลมหายใจแรงขึ้นคือชายร่างท้วมที่ยืนข้างหญิงสาว บิดาของเธอก็ยังมาร่วมงานด้วยทั้งที่เพิ่งปะทะอารมณ์กับเขาอย่างหนักไปเมื่อวันก่อน

หญิงสาวส่งยิ้มกว้างที่ริมฝีปากระบายด้วยลิปสติกสีแดงเลือดนกทั้งยังโบกมือให้ ไม่เหลือคราบความฟูมฟายอย่างในคืนนั้นให้เห็น ชายหนุ่มจึงก้าวขายาวมุ่งตรงไปหา แต่ถูกรวบตัวไว้จากด้านหลังด้วยแขนเรียว พลันหัวใจของเขาก็เต้นแรงเมื่อได้กลิ่นหอมหวานละมุนที่คุ้นเคยมาตั้งแต่วัยเยาว์ 

“แม่...” เปรยออกมาแล้วรีบหมุนตัวไปจับแขนเรียวทั้งสองไว้ 

เจ้าของกลิ่นหอมใบหน้ายิ้มแย้มปรีดา “เซอร์ไพรส์!” 

เซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าการมาร่วมงานของปริมประภามากมายนัก นั่นคือมารดาของเขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าในตอนนี้

“ผมว่าคนที่พูดคำนั้นต้องเป็นมันนะโจเอล” ผู้ชายตัวโตที่อยู่ด้านหลังกอดอกพูดด้วยแววตาเชิงว่ากล่าว “เป็นลูกประสาอะไร จะหมั้นหมายทั้งทีไม่คิดจะเชิญพ่อแม่มางาน”

ผู้ถูกตำหนิทำหน้าไม่ถูก ไม่ใช่ว่าไม่อยากบอกให้รู้ แต่จริง ๆ แล้วงานนี้ไม่ควรจะถูกจัดขึ้นต่างหาก 

“คือมันฉุกละหุก...ผมเลยไม่มีเวลาอธิบาย”

“เฮ้ย ๆ หมั้นสายฟ้าแลบแบบนี้อย่าบอกนะว่าแกทำเขาท้อง” 

“เปล่าครับพ่อ” รีบพูดแย้งข้อกล่าวหา

“แหม คุณก็...ถ้าลูกเราทำผู้หญิงท้องจริง งานนี้ก็ต้องเป็นงานแต่งแล้วสิ ไม่ใช่แค่งานหมั้นหรอก” 

ขอบคุณมารดาที่ช่วยบอกเหตุผลแทน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาดูดีขึ้นมาสักเท่าไร “ถ้าพ่อกับแม่ไม่รีบไปไหน ผมจะเรียบเรียงให้ฟังครับ”

“เรามีเวลาฟังลูกแน่นอนจ้ะ กลับมาครั้งนี้แม่จะมาเคลียร์เอกสารกับทางสถานทูตด้วย ก็คงต้องอยู่เมืองไทยสักพัก” โจเอลเอ่ยด้วยแววตาอาทรที่มีต่อลูกชายคนเดียว แล้วเอี้ยวตัวหันซ้ายหันขวา “คนไหนล่ะ คู่หมั้นสายฟ้าแลบของลูกชายแม่”

ปราณนารายณ์ไม่แน่ใจว่ายายเด็กดื้อแต่งตัวเรียบร้อยหรือยัง หรือว่ายังแผลงฤทธิ์กับคุณอาระตี “เดี๋ยวสักพัก เธอคงลงมาครับ”

“แล้วแม่หนูคู่หมั้นของลูกเธอชื่ออะไรหรือจ๊ะ” โจเอลถามอย่างใคร่รู้ มีความตื่นเต้นในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย

“สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า หนูปริมประภา คุณลุงคุณป้าจำหนูได้ไหมคะ”

ก่อนที่จะได้รู้จักชื่อคู่หมั้นของลูกชายก็มีหญิงสาวรูปร่างหน้าตางดงามเดินเข้ามาประนมมือไหว้ทำความเคารพด้วยกิริยาท่าทางสุภาพ ส่งยิ้มหวานให้กับผู้คนในวงสนทนาโดยเฉพาะกับบุพการีของชายหนุ่ม 

“จำได้สิจ๊ะ หนูปริม เพื่อนของลูกชายป้าตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย” โจเอลยิ้มตอบ 

“ค่ะ ยังเป็นเพื่อน ‘สนิท’ กันตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัยนะคะ” พูดแล้วใช้แขนเรียวโอบเอวชายหนุ่ม เอียงศีรษะแนบบ่าแกร่ง “และทุกวันนี้ก็ยังคบหากันฉันเพื่อน ‘สนิท’ กันอยู่”

คนที่ถูกอ้างถึงในบทสนทนายืนตัวแข็งกลืนน้ำลายไม่ลงเลยทีเดียว ได้แต่จ้องเขม็งไปยังตฤณที่กลั้นหัวเราะจนหน้าเบี้ยว ส่วนอติภพและโจเอลหันหน้ามองกันอย่างไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อวงสนทนาหาจุดจบคำพูดไม่ได้นอกจากการยืนมองหญิงสาวเอียงคอซบบ่าชายหนุ่มผู้กำลังจะเข้าสู่พิธีหมั้น

ตฤณจึงต้องหาทางช่วยดึงตัวพี่ชายออกจากสถานการณ์แสนอิหลักอิเหลื่อด้วยการตะโกนเรียกช่างภาพประจำงานมาเก็บบันทึกช่วงเวลาแห่งความทรงจำ

“พี่ปริมถ่ายรูปคู่กับพี่ปราณหน่อยไหมฮะ”

          “จริงด้วย ขอบใจนะที่เตือน” ร่างอิ่มในชุดเดรสรัดรูปสีแดงอิฐสั้นเหนือเข่าจึงเบียดเข้าหาเขามากขึ้นไปอีก ก่อนจะกระซิบข้างใบหูชายหนุ่ม “ไม่ว่าคุณจะหมั้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันไม่สน เพราะคุณยังเป็นปราณนารายณ์ของฉัน” 

ตากล้องรีบวิ่งมายกกล้องขึ้นมองภาพผ่านเลนส์ หมุนหาจุดโฟกัสแล้วกดชัตเตอร์ทันที “เรียบร้อยครับ”

“ผมอยากได้รูปครอบครัวของว่าที่เจ้าบ่าวสักสองสามภาพครับคุณตากล้อง” ตฤณพูดแล้วก็จัดแจงดึงแขนคุณป้ากับคุณลุงเข้ามาแทนที่ให้พี่ชายอยู่ตรงกลางระหว่างบุพการี

แม้ว่าปริมประภาจะถูกจับดึงออกมานอกเฟรม สายตาร้อนของหญิงสาวก็ขอส่งกระแสถึงตัวชายหนุ่มให้เขาร้อนวูบ ร่างงามสะบัดตัวเดินออกจากตรงนั้น สร้างความรู้สึกหนักใจให้กับคนที่กำลังจะเข้าสู่พิธีมงคล

“ดูท่าเราจะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟังเดี๋ยวนี้” เสียงโจเอลกระซิบด้านขวาขณะโพสท่ายิ้ม

“เริ่มจากเหตุผลการหมั้นสายฟ้าแลบนี่ก่อนเป็นไง” เสียงอติภพกระซิบที่ด้านซ้าย

ส่วนคนตรงกลางก็บอกเสียงเบา “ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะสาธยายให้ฟังเป็นเรื่อง ๆ ไป”

จากนั้นสามคนพ่อแม่ลูกก็ได้คุยกันอย่างเปิดอกในห้องที่เคยเป็นห้องทำงานของอติภพ ปราณนารายณ์เล่าเรื่องตั้งแต่ที่คุณหญิงราณีต้องการซื้อที่ดิน แผนการจองสิทธิ์การซื้อโดยทำสัญญาหมั้น เงื่อนไขที่เขาต้องรับผิดชอบตามหน้าที่ จนถึงความสัมพันธ์ที่ค้าง ๆ คา ๆ กับปริมประภา ทั้งคู่ฟังทุกอย่างจบแล้วก็ถอนหายใจยาวพร้อมกัน 

โจเอลทำท่าครุ่นคิดแล้วเอ่ยกับอติภพ “และคุณแม่ท่านก็ยังอยากได้ที่ดินตรงนั้นอยู่จริง ๆ ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังไม่ละทิ้งความตั้งใจ”

ชายหนุ่มเห็นว่าทั้งสองน่าจะรู้ที่มาของความต้องการซื้อที่ผืนนั้นของคุณย่า จึงเอ่ยถาม “คุณบรรพตเขาเป็นใครหรือครับ แล้วเขามีความสัมพันธ์อะไรกับคุณย่า”

เสียงพ่นลมหายใจแรงออกจากผู้เป็นบิดา “เรื่องนี้ให้ย่าของแกเป็นคนตอบเถอะ”

คำตอบที่ได้ยินทำให้เขากลับมาสู่ความกังขาเหมือนเดิม ปราณนารายณ์ก้มมองมือที่ประสานกันบนหน้าตัก หากเขาจะได้รู้สักนิดถึงเหตุในใจที่แท้จริง มันมีอะไรที่สำคัญซ่อนอยู่ในความต้องการซื้อที่ดินของคุณย่าจนต้องให้เขาหมั้นหมายกับธิดา

“มาอยู่กันตรงนี้เอง” ผู้มาใหม่ในชุดผ้าไหมดูมีสง่าราศี 

นางใช้หางตามองบุตรชายที่ทำให้เจ็บช้ำ ทิ้งหน้าที่การงานไปเพื่อตามหาฝันเติมเต็มความสุขของตน “ขอบใจที่มาตามบัตรเชิญ ฉันนึกว่าแกคงเห็นพวกสิงสาราสัตว์สำคัญกว่างานของลูกชายแก”

“ก็มันเป็นงานสำคัญของลูกผม ต่อให้หลงทางอยู่ในป่าอะเมซอน ผมก็ต้องพยายามหาทางออกมาร่วมงานให้ได้” 

แม่ลูกคู่นี้เจอกันทีไรเป็นต้องปะทะฝีปากกันทุกครั้ง เป็นหน้าที่ของสะใภ้คนโตที่ต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง 

“คุณแม่คะ ไหนล่ะคะคู่หมั้นของปราณ อยากเห็นหน้าแล้วละค่ะ ตั้งแต่มาถึงงานก็ยังไม่มีใครพามาแนะนำเลย”

พอถูกถามถึงหญิงสาว สีหน้าของคุณหญิงก็ดีขึ้นทันตา “หนูธิดาเพิ่งแต่งตัวเสร็จจ้ะ คือว่าเราจัดงานกันฉุกละหุก อะไร ๆ มันก็เลยวุ่นวายไปนิด” อธิบายเหตุผลแล้วส่งสายตาดุให้กับหลานชายที่กำลังยกนิ้วสีจมูกกลบเกลื่อนความขบขัน

“นี่หนู หนูไปตามคุณธิดามาพบฉันที่ห้องนี้หน่อย” คุณหญิงราณีหันไปตะโกนบอกเด็กสาวรับใช้ที่กำลังยกถาดอาหารดูวุ่นวาย

“ผมไปตามเองครับ” ชายหนุ่มขันอาสาแล้วรีบเดินออกจากห้อง ทว่าเดินหาทั่วงานแล้วก็ไม่พบตัวคู่หมั้นเฉพาะกิจ 

“หรือว่าจะแอบหนีออกจากงานไปแล้ว ถ้าจะหักหน้ากันขนาดนี้ละก็ จะสั่งสอนให้หนัก” เขารำพึงอย่างฉุนเฉียว แล้วใช้ความคิดว่าแม่คู่หมั้นสาวจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนได้ในคฤหาสน์หลังนี้ 

 

หญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้ชีฟองกรุยกรายเดินย่องเสียงเบา มือข้างหนึ่งถือรองเท้าส้นสูงปรี๊ดที่ถูกคุณอาระตียัดเยียดให้ใส่ ดวงตาสีนิลมองซ้ายมองขวาแล้วรีบหลบเข้าห้องเปียโน แต่ตอนนี้เปียโนหลังใหญ่นั้นได้ถูกย้ายไปวางกลางสวนเพื่อให้ศิลปินหนุ่มบรรเลงเพลงกล่อมแขกในงาน

ก่อนที่เธอจะปิดประตูไม้บานใหญ่ลง เจ้าเหมียวสีขาวขนฟูก็วิ่งเข้ามาคลอเคลีย ธิดาจึงอุ้มขึ้นมากอดแล้วเดินยกชายกระโปรงยาวระพื้นที่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้ใส่ แต่เขาช่างเลือกได้เหมาะเจาะพอดีกับรูปร่างบอบบางของเธอ เว้นเสียแต่ความยาวของมันที่ถูกตัดขึ้นตามความสูงของเจ้าของชุดตัวจริง คุณอาระตีจึงยื่นรองเท้าส้นสูงคู่นี้ให้ แต่เธอยังใจไม่กล้าพอที่จะยืนทรงตัวบนความสูงสี่นิ้ว 

หญิงสาวเดินบนพรมด้วยเท้าเปล่าเปลือยจนถึงริมหน้าต่าง มือบางแย้มผ้าม่านออกดูภาพภายนอกผ่านหน้าต่างกระจกใส มองภีฆาเนตรที่กำลังบรรเลงเปียโนบทเพลงแสนไพเราะบนเวทีสีขาวกลางความร่มรื่นของพุ่มไม้ดอกสีม่วงดูงดงามราวกับภาพเทพบุตรในสวนสวรรค์

ในเต็นท์ใกล้กัน เห็นบิดาและพี่ชายกำลังช่วยคุณหญิงต้อนรับแขก ส่วนคุณป้าแม่บ้านก็กำลังรินน้ำชาใส่ถ้วยหลายสิบใบบนโต๊ะอาหาร คุณอาระตีกับคุณอาฤดีกำลังคุยกับสามีของพวกเธอ 

และเขาผู้นั้น คู่หมั้นเฉพาะกิจของเธอกำลังยืนถ่ายรูปโดยมีหญิงสาวยืนซบไหล่

ก็เพราะปริมประภา คนรักตัวจริงของเขาก็มาร่วมงานนี้ด้วย ตัวปลอมอย่างเธอจึงสมควรพาตัวเองมาหลบตรงนี้ อย่าได้ไปเสนอหน้าชูคอเคียงข้างเขาเด็ดขาด

เจ้าเหมียวดิ้นขอลง เธอจึงปล่อยให้มันเป็นอิสระแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดง นั่งขนานกับโซฟาแล้วชันเข่าขึ้นเพื่อซุกหน้ากับเข่าฟังเสียงบรรเลงเปียโนของภีฆาเนตรที่แว่วลอยมา บทเพลงหวานไพเราะจนหญิงสาวเคลิ้ม จินตนาการถึงปลายนิ้วเรียวกำลังพรมลงบนคีย์เปียโนอย่างพลิ้วไหว

เขาช่างบรรเลงได้ไพเราะ แต่ทำไมเศร้าจับใจ หรือเธออาจเสียดายที่ไม่ใช่บทเพลงของเธอ แต่เป็นของคู่รักตัวจริงด้านนอก ทุกตัวโน้ตจึงตอกย้ำความรู้สึกในใจกดให้มันจมลงลึกในก้นบึ้ง หญิงสาวหลับตาก้มหน้าซุกเข่าอย่างอ่อนล้าหัวใจ อยากให้เวลาหมุนผ่านไปไว ๆ เพื่อที่จะกลับไปนอนแล้วตื่นขึ้นมาในวันที่ปกติธรรมดา

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ จึงรีบลุกขึ้นแล้วหาที่ซ่อน มองไปมองมาก็ไม่พ้นหลังโซฟา จึงก้มตัวหลบรวบชายกระโปรงยาวไม่ให้ถูกค้นพบ แล้วรอจนประตูไม้บานใหญ่ถูกเปิดและปิดลง ยกนิ้วจุปากให้แมวน้อยที่เหลียวไปมาอย่างกับอยากบอกให้มันปิดเป็นความลับ แต่เจ้าขนฟูไม่สนใจหญิงสาว มันวิ่งแจ้นไปหาผู้มาใหม่ เสียงกระพรวนดังกรุ๋งกริ๋งไปตลอดทาง

แล้วหัวใจของเธอแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่เป็นเป้าหมายของเจ้าเหมียวคือคู่หมั้นกำมะลอ เขาช่างโดดเด่นในชุดสูทสีเทาเงิน ผมถูกจัดทรงเปิดหน้าผากเผยใบหน้าหล่อเหลาดึงดูดสายตา หากแต่ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมีประกายขุ่นมัว หญิงสาวจึงรีบกระถดลึกเข้าไปนั่งคุดคู้ตัวสั่น เกรงว่าเขาพบตัวแล้วจะสาดคำต่อว่าต่าง ๆ นานาใส่

เขาอ้าแขนรับเจ้าขนฟูขี้อ้อนขึ้นอุ้ม สันจมูกโด่งแตะกับจมูกแมวน้อยแล้วเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนโยน จนคนที่แอบอยู่หลังโซฟาย่นจมูก เกิดความรู้สึกคล้ายกับอิจฉาแมว

“แกเห็นคู่หมั้นแสนรั้นของฉันบ้างไหม”

แต่มีเสียงประตูเปิดอีกครั้ง แล้วตามด้วยเสียงหวานหยดของหญิงสาวนางหนึ่ง

“ปราณขา”

หัวใจดวงน้อยของผู้หลบซ่อนเต้นผิดจังหวะเมื่อมีเสียงหวานออดอ้อนแทรกเข้ามา จึงก้มตัวมองลอดใต้โซฟา เห็นส้นสูงกระแทกลงบนผืนพรมเดินเซไปมาจนถึงปลายรองเท้าคัตชูสีน้ำตาลเข้มขัดมัน ส่วนเจ้าเหมียวนั้นตกใจกระโดดหนี

“ปริม ทำไมคุณต้องดื่มหนักขนาดนี้” เขาตำหนิเสียงขุ่น

“ฉันต้องบอกเหตุผลให้ทำร้ายหัวใจตัวเองทำไม คุณก็รู้ดีอยู่แก่ใจ” น้ำเสียงเมามายตัดพ้อ

“ผมรู้ว่าผมผิดต่อคุณ แต่...” ไม่ทันที่เขาได้พูดจบ หญิงสาวผู้กำลังเมาสุราโผเข้าหาชายหนุ่มและพากันล้มลงไปบนพรม 

“แต่...” เสียงนั้นเป็นของหญิงสาวที่ล้มตัวทาบทับชายหนุ่ม “ฉันไม่สนการหมั้นจองที่ดินบ้า ๆ และฉันก็รู้ว่าคุณไม่สนเหมือนกัน” แล้วโน้มหน้าแนบเรียวปากอิ่มฉาบสีแดงครอบครองเรียวปากหยักอย่างใคร่หลง 

น้ำร้อน ๆ หลั่งไหลจากดวงตาสีนิลรินรดแก้มนวล เกิดความรู้สึกรวดร้าวในอกราวกับเป็นโรคหัวใจ ภาพของคู่รักประกบปากกันอยู่ตรงหน้ามันบาดตาไปถึงหัวใจ เธอรีบผุดลุกนั่งยกมือปิดปาก อุดเสียงสะอื้นที่อาจเล็ดลอดออกไป แต่อีกใจก็อยากอุดหูไม่อยากรับไม่อยากรู้เสียงที่ได้ยิน

“ถึงคุณจะหมั้นกับเขา แต่เราก็ยังคบกันต่อได้ใช่ไหมคะปราณ”

“หยุดเถอะปริม” แต่อีกฝ่ายมีเสียงเข้มชัดเจน

“ฉันจะไม่หยุดจนกว่าคุณจะบอกว่าคุณรักฉัน” แล้วแนบเรียวปากเคล้นคลึงปากหยักอีกครั้ง

“ปริม!” เขาใช้แรงพลิกร่างหญิงสาวกดเธอให้กลับไปอยู่ใต้ร่างแทนที่ “อย่าทำแบบนี้!”

“ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ในเมื่อฉันก็มีสิทธิ์ในตัวคุณ!” 

ปริมประภาดิ้นแรง ทุบตีหน้าอกเขาร้องไห้ฟูมฟาย ชายหนุ่มได้แต่กล้ำกลืน ข้อมือเล็กทั้งสองตรึงกับพื้น

“ถ้าคุณรักผม แล้วผมขอให้คุณรอผมสี่ปี คุณทำได้ใช่ไหม”

“แล้วถ้าฉันขอให้คุณคบกับฉันต่อไปโดยที่ไม่ให้กระเทือนถึงยายคู่หมั้นนั่นล่ะ คุณจะทำได้ไหม!”

“ผม...”

ปริมประภาแค่นหัวเราะ “ทำไมคะปราณ ก็ในเมื่อคุณหมั้นโดยไม่มีความรักมาเกี่ยวแล้วคุณจะกลัวอะไร!”

“แล้วเธอกลัวอะไรล่ะปริมประภา ถ้าจะรอให้หมดระยะสัญญาสี่ปี เธอกลัวอะไร!” 

เสียงของผู้มาใหม่เป็นเสียงของภีฆาเนตร ครูที่รักและเคารพของเธอ แต่พอเสียงฝีเท้าหนักนิ่งและสงบเดินมาใกล้ ธิดายิ่งอยากกลั้นเสียงกลั้นหายใจมากขึ้นเป็นทวีคูณ ราวกับว่าเขามาหยุดยืนที่ด้านหลังโซฟา

“ธิดา...”

แล้วเสียงเรียกชื่อของภีฆาเนตรก็จุดระเบิดประตูน้ำตาให้ไหลรินราวสายธารน้ำตกจากผาสูง ต้องโทษรองเท้าส้นสูงที่เธอสะเพร่าวางทิ้งไว้หน้าโซฟา จนทำให้ศิลปินหนุ่มเห็นความผิดแปลกในห้องเปียโนของตน 

หญิงสาวแหงนหน้าที่ดวงตากลมสีนิลฉ่ำชื้นพร่ามัวมองชายหนุ่มในชุดสูทสีขาว ประคองตัวเองให้ลุกขึ้นยืนจากที่ซ่อน หลุบตามองพื้นไม่กล้าสบตากับใคร ไม่ว่าจะเป็นภีฆาเนตร หรือคู่หมั้นลวงกับคนรักของเขา

“ธิดา...”

คู่หมั้นลวงเรียกชื่อเธอ แต่ธิดาไม่คิดอยากได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจใด ๆ ที่พ่นออกจากปากผู้ชายคนนี้ มือบางขยุ้มกระโปรงแน่น เค้นเสียงพูดฝืนไม่ให้สั่น 

“ถูกของคุณปริมแล้วละค่ะ คุณปราณหมั้นกับฉันเพื่อสิทธิ์จองที่ดินเท่านั้น ไม่ได้หมั้นเพราะ...รัก”

แล้วก้าวขาวิ่งออกจากห้อง แต่ดันพลั้งพลาดเหยียบชายกระโปรง ร่างบางจึงล้มลงกระแทกพื้นเต็มแรง ทำตัวเองขายหน้า แต่ไม่ขอแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น เธอยันมือกับพื้นเพื่อหยัดยืน แต่มีลำแขนของชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวสอดเข้าที่เอวแล้วประคองขึ้นยืนอย่างนุ่มนวล

“เราไปจากที่นี่กันเถอะ”

ภีฆาเนตรพาหญิงสาวออกจากบรรยากาศแสนอึดอัดของห้องเปียโนไปหลบพักความรู้สึกในสตูโอศิลปะ แม้น้ำตาจะเหือดแห้งไปแล้ว แต่รอยช้ำของดวงตายังเป็นหลักฐานสำคัญ เขาปล่อยให้เธอสงบจิตใจและรอจนกว่าจะถึงฤกษ์สวมแหวนหมั้น ชายหนุ่มจึงวาดใบหน้าของหญิงสาวแสนเศร้าลงบนกระดาษขาว ระบายแสงสีและเงาสะท้อนของคราบน้ำตา

“ได้เวลาเข้าพิธีแล้วธิดา” และเมื่อเวลานั้นมาถึง เขาวางพู่กันลง เดินไปหาหญิงสาวตัวแบบสีเทาหม่น

ดวงตาของเธอเลื่อนลอย หันใบหน้าเปรอะเปื้อนมาสคารามามองช้า ๆ “ธิดาไม่อยากสวมแหวนที่ไม่ใช่ของธิดา”

“ธิดา” ภีฆาเนตรครวญเสียงอ่อน สะท้อนใจเหลือเกินที่เห็นแววความปวดร้าวในดวงตาของเธอ จึงรวบหญิงสาวเข้ามากอดแนบอก ลูบศีรษะทุยอ่อนโยน เอ่ยเสียงเบา

“อีกไม่นานหรอกธิดา อีกไม่นาน”

ลำแขนเรียวทั้งสองยกโอบแผ่นหลังกว้าง ใบหน้าเปื้อนน้ำตาซุกหาความอบอุ่น สองมือขยุ้มเนื้อผ้าสูทเรียบลื่น เอ่ยเสียงสะอื้น หยุดน้ำตาไม่ได้อีกครั้ง 

“แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...”