"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๑๑ เดือด 1/3 โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่,ลมห่วงรัก-บทที่ ๙ ความหวังเดียว,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 1/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 2/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๔ ไฟ

เนื้อหา

บทที่ ๑๑ เดือด 1/3

 

บทที่ ๑๑ เดือด 1/3

ฟ้าคำรามกับแสงแปลบปลาบภายนอกกระจกหน้าต่าง ส่งผลให้บรรยากาศในห้องทำงานใหญ่ชั้นบนสุดของตึกควีนส์คอร์ปมีแต่สีทึมเทา และในความมืดสลัวของห้องนั้นมีเพียงความสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่กลางห้อง แสงของมันส่องกระทบใบหน้านิ่งขรึมของผู้เป็นเจ้าของชัดเจน

แววตาสีน้ำตาลเข้มคล้ายจับจ้องตัวอักษรและตัวเลขบนหน้าจอ แต่จิตใจนั้นเลื่อนลอยไปไกล มือหนึ่งยกขึ้นเท้าคาง มือหนึ่งก็ปล่อยเจ้าลูกพลาสติกกลมใสที่บรรจุแหวนวงจิ๋วไว้ภายในตกกระทบกับกระจกโต๊ะแล้วรวบมันขึ้นไว้ในมือ ก่อนที่จะปล่อยมันตกลงบนกระจกโต๊ะอีกครั้ง

‘ในเมื่อคุณหมั้นโดยไม่มีความรักมาเกี่ยวแล้วคุณจะกลัวอะไร!’ คำพูดของปริมประภาเป็นเหมือนค้อนทุบหัวใจจนเปลือกบาง ๆ ที่ห่อหุ้มความรู้สึกภายในกระจัดกระจายออกมา

‘แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง’

เป็นคำพูดเสียดหูตอนที่เขาตามหาตัวคู่หมั้นสาวเพื่อขอเป็นคนพาเธอเข้าพิธี จนไปพบว่าเธออยู่กับน้องชาย เขาจึงหันหลังเดินจากมา ไม่อยากเอานรกเข้าไปเฉียดกราย

ทั้งความเย็นชาที่สัมผัสได้กับแววตาไร้ความรู้สึกของเธอตอนสวมแหวนเพชรเข้ากับนิ้วนางนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองได้สลายกลายเป็นเพียงอากาศ และรอยยิ้มจางของเธอนั้นไม่มีทางมอบแก่เขา แต่เป็นของน้องชายที่เคียงข้างไม่ห่างกายเธอตลอดงาน ส่วนเขาเป็นเหมือนความว่างเปล่าในดวงตาของเธอ

ชายหนุ่มฝังตัวเองในห้วงภวังค์ความคิดแสนซับซ้อน กระทั่งเสียงพลาสติกกระทบกระจกที่ดังซ้ำไปซ้ำมาแปลกไป ครั้งสุดท้ายที่เขาปล่อยมันตกกระทบกระจกทำให้ปราการใสแตกออกจากกัน จนแหวนพลาสติกรูปดาววงน้อยกระเด็นออกมา

เขารีบคว้าขึ้นดูสำรวจความเสียหาย พบเปลือกพลาสติกใสมีรอยร้าวไม่อาจประกอบเข้าได้ดังเดิม แต่ก็หายใจออกอย่างโล่งอกเมื่อแหวนวงน้อยนั้นยังปลอดภัยดี

“ขออภัยค่ะคุณปราณ ได้เวลาประชุมกับบริษัทองอาจพาณิชกิจแล้ว” เลขานุการส่งเสียงเตือนเจ้านายหนุ่มผ่านอินเตอร์คอม

“ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

“เอ่อ...คุณปราณคะ เสี่ยองอาจแจ้งมาว่าสุขภาพไม่ดี ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ แต่ส่งกรรมการผู้จัดการฝ่ายบัญชีมาเข้าร่วมแทนค่ะ”

ปราณนารายณ์ลอบถอนหายใจ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าเสี่ยใหญ่คงไม่มา แต่แม้ว่าอีกฝ่ายจะส่งตัวแทนที่เป็นผู้บริหารคนสำคัญก็ไม่มีความหมายมากพอที่จะทำให้เขาเชื่อมั่นว่าองอาจพาณิชกิจจะคงดำเนินกิจการต่อไปโดยไม่มีกำไรได้ คงถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเพิ่มแรงกดดันให้เสี่ยองอาจ เขาสั่งผ่านเลขานุการด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

“ฝากบอกตัวแทนขององอาจพาณิชกิจว่า หากเสี่ยองอาจไม่มารายงานผลประกอบการด้วยตัวเอง ควีนส์คอร์ปจำเป็นต้องถอนหุ้นคืนในปีหน้า!”

 

หญิงสาวปิดสมุดบันทึกลงแล้วแนบหน้ากับหน้าปกสีแดง คิดไปเองว่าหน้าปกบันทึกเล่มนี้เป็นตัวแทนหน้าตักอุ่น ๆ ของมารดา คิดถึงมือนุ่มที่เคยลูบผม คิดถึงแขนนิ่มที่เคยคลอเคลียสูดกลิ่นหอม โหยหาอยากได้ความรู้สึกนั้นกลับมาอีกครั้ง

เธอหยิบกระดาษภาพวาดโครงการโรงเรียนในฝันที่เพิ่งลงสีสุดท้ายเสร็จลงบนโต๊ะ จานผสมสีมีคราบสีน้ำแห้งเกรอะกรัง น้ำในแก้วใสที่ใส่พู่กันกลายเป็นสีดำหม่นไม่สะอาดเหมือนครั้งแรกที่เติม คล้ายกับจิตใจของเธอตอนนี้ที่ถูกละเลงด้วยสีหลากอารมณ์จนกลายเป็นสีทึมเทาไร้ชีวิตชีวา ไม่ส่องประกายเหมือนเพชรเม็ดงามบนนิ้วนางของเธอ

เสียงสายเรียกเข้าทำลายความคิด ธิดาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมองชื่อคนโทรเข้ามา อมยิ้มน้อย ๆ แล้วสัมผัสหน้าจอเพื่อรับสาย ไม่ปล่อยให้คนที่ต้องการพูดคุยกับเธอรอนานนัก

“สวัสดีค่ะพี่เนตร”

“กลับถึงบ้านแล้วใช่ไหมครับ ธิดากินข้าวเย็นหรือยัง พี่อยากชวนมากินกับพี่ที่บ้าน พี่มีเรื่องจะบอกธิดาด้วย” ปลายสายทักทายกลับแล้วถามไถ่

“จะหลอกให้ธิดาไปทำขนมให้กินใช่ไหมคะ ขอกันดี ๆ ธิดาก็ทำให้ค่ะ”

“เปล่า...พี่มีเรื่องจะพูดด้วยจริง ๆ”

ชายหนุ่มไม่ได้หยอกล้อกลับอย่างเคย แถมน้ำเสียงยังเคร่งขรึมผิดวิสัยผู้ชายขี้เล่นอย่างเขา เธอจึงจับจักรยานแล้วถีบไปตามถนนของ Hidden Wood

ยามเย็นวันนี้ลมพัดแรงจนเส้นผมดำเงางามปลิวสยาย ก้อนเมฆฝนขยายตัวปกคลุมแผ่นฟ้าส่งผลให้บรรยากาศสีเทาหม่นปลุกปั่นความเหงาลึกตีวนในหัวใจ

เธอควรมุ่งตรงไปหาชายหนุ่มตามนัด แต่ความรู้สึกโหยหามารดาหลังอ่านไดอารียังแทรกซึมไม่สร่างซา มือบางจึงหักแฮนด์เลี้ยวรถมาหยุดที่ริมทะเลสาบ

ดวงตาสีนิลทอดมองหงส์คู่คลอเคลียกันอยู่กลางน้ำ ปลายขนฟูนุ่มไหวลู่เอน คิดถึงเจ้าแมลงเรืองแสงตัวเล็กที่ซ่อนเร้นอยู่ในดงดอกอ้อ ป่านนี้พวกมันคงนอนหลับหลังกำแพงดอกอ้อที่เอนไหวเพราะสายลมโบกโหมจนก้านกระทบกันเสียงดัง ค่ำคืนนี้พระพิรุณอาจสั่งให้สายฝนโปรยปราย

เมื่อถึงคฤหาสน์ปรเมศศิวะวงศ์ เธอเปิดประตูเล็กเข้าไปอย่างคุ้นเคยแล้วจูงจักรยานบนถนนโรยกรวด ได้ยินเสียงบทเพลงเปียโนหวานแว่วลอยมา จึงย่างเท้าเสียงเบาเข้าสู่ห้องเปียโน หยุดยืนมองแผ่นหลังกว้างกับแขนทั้งสองขยับบังคับมือให้พรมนิ้วเรียวพลิ้วไหวสร้างสรรค์บทเพลงหวานกังวานเสนาะหู

นิ้วเรียวหยุดลงที่โน้ตตัวสุดท้าย ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหันหลังมาส่งยิ้มละไมให้คนที่แอบฟังการแสดงเปียโนอย่างเงียบเชียบ

“พี่แต่งเพลงนี้ให้เพื่องานหมั้นของธิดา”

“พี่เนตรก็รู้ว่ามันไม่ใช่งานของธิดา” แต่พอคิดว่าไม่อยากให้ความเศร้ามาบั่นทอนช่วงเวลานี้ จึงถามถึงเรื่องที่เขาต้องการคุย “พี่เนตรมีเรื่องอะไรหรือคะ หรือว่าแค่อยากเรียกธิดามากินข้าวเป็นเพื่อนแก้เหงา”

ดวงตาของเขาอ่อนแสงลง “พี่มีโครงการวิจัยที่ต้องไปฝรั่งเศสกับคุณป้าโจเอลสักพัก”

“สักพัก...” หญิงสาวรู้สึกโหวงในอก “สักพักนี่นานแค่ไหนคะ”

“บอกไม่ได้”

ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่นจนเปลี่ยนจากแดงเชอร์รีเป็นแดงก่ำ ดวงตาสีนิลมีน้ำใสเอ่อคลอ

“อาหารเย็นมื้อนี้อาจเป็นมื้อสุดท้ายที่เราจะได้กินด้วยกันก่อนเดินทาง”

โต๊ะอาหารจึงมีเพียงแค่เขาและเธอ ภีฆาเนตรพูดหยอกสลับเอาอกเอาใจหญิงสาวเหมือนอย่างที่เป็นมา ในใจนั้นก็ยังคิดถึงวันแรกที่ได้พบเจอเธอ

‘เธอชื่อธิดา ฤทธิ์นาคา’

ครั้งแรกที่รู้จักเธอคือการเอ่ยไหว้วานจากปราณนารายณ์ น้ำเสียงของพี่ชายยามขานนามของเด็กสาวผมหางม้าในภาพไม่กังวานก้องอย่างเวลาที่เขาแสดงบทบาทของรองประธานในที่ประชุม แต่อ่อนล้าไร้แรงคล้ายคนแพ้หมดทางสู้

‘คุณย่าจะเอาที่ดินของเธอมาครองโดยใช้แผนให้งานชลธารคอนสตรักชัน มันเป็นงานใหญ่โครงการก่อสร้างโรงแรมริมแม่น้ำที่ต้องใช้ทีมงานมืออาชีพ ฉะนั้นถ้าพวกเขาทำไม่ได้ เราก็แค่เสียเงินบางส่วน แต่พวกเขาอาจล้มละลายถ้าเราฟ้อง และถ้าพวกเขาถูกฟ้อง คุณย่าก็อาจบีบให้พวกเขาขายที่ดิน’

เขาเงยหน้าจากภาพใบหน้าสวยใสน่ามอง เห็นความกดดันฉาบทั่วดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

‘ถ้าคุณยายอยากได้อะไรก็ต้องได้ มึงก็รู้’

‘กูเลยอยากเบี่ยงแผนคุณย่าบ้าง กูจะเอาที่ดินของเธอมาไว้เองแล้วค่อยคืนเธอ...ภายหลัง’

‘มึงจะให้กูทำอะไร’

‘สอนวิชาให้เธอ เอาความรู้ทั้งหมดที่มึงมีสอนให้เธอเก่งพอที่จะช่วยพ่อกับพี่ชายทำโครงการให้สำเร็จ’

“กับข้าวไม่ถูกปากหรือคะ” เสียงหวานของธิดาดึงเขาออกจากภวังค์ความคิด

“อร่อยสิครับ แม่ครัวใหญ่ทำอะไรก็อร่อยทั้งนั้น” เขาปรับเปลี่ยนอารมณ์ เก็บซ่อนความหลังเอาไว้ภายใต้รอยยิ้ม “แล้วงานก่อสร้างโรงแรมไปถึงไหนแล้ว ได้เอาวิชาที่พี่ถ่ายทอดให้ไปใช้หรือเปล่า”

“คืบหน้าไปเยอะแล้วค่ะพี่เนตร แต่ก็มีแก้ไขเปลี่ยนแปลงเยอะเหมือนกัน” คิ้วของหญิงสาวมุ่นเล็กน้อย “ธิดาก็เพิ่งรู้ว่าทำงานใหญ่มีเรื่องจุกจิกมากกว่าที่คิด”

“เจ้าของงานคงอยากให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด” ภีฆาเนตรออกความเห็น

“ก็หวังว่าจะไม่มาขอให้แก้ตอนส่งมอบงานครั้งสุดท้าย” เรียวปากบางเบ้เล็กน้อย ยกแขนเท้าคางพูดด้วยน้ำเสียงแฝงอารมณ์ขุ่นมัว “นี่ธิดาได้รับความไว้วางใจให้ออกแบบส่วนรีเซปชันด้วย วิชาที่พี่เนตรสั่งสอนมาไม่สูญเปล่าแน่นอน แต่ธิดาไม่รู้ว่าจะถูกใจเจ้าของงานหรือเปล่า กลัวเหลือเกินว่าจะถูก...”

“ถ้าเจ้าของงานที่หนูพูดถึงคือฉัน ฉันก็ต้องขอโทษด้วยที่ออกจะเรื่องมากไปบ้าง” เสียงที่ดังมาจากทางเข้าห้องอาหารทำให้ธิดาตัวชาวาบ หยุดคำพูดค้างไว้ที่ริมฝีปาก

“ขอโทษค่ะคุณหญิง หนูไม่ได้ตั้งใจเอ่ยถึงท่าน” หญิงสาวรีบอธิบาย

หญิงสูงวัยคลี่ยิ้มเล็กน้อย เยื้องย่างเข้ามาหย่อนตัวนั่งลง เหลือบตามองหลานชายคนรองชั่วขณะหนึ่งแล้วหันมาทางใบหน้าที่เต็มไปด้วยอาการหวั่นหวาดของหญิงสาว

“จะเอ่ยถึงหรือไม่ก็ตาม ฉันก็เป็นคนของควีนส์คอร์ป แม้จะไม่ใช่เจ้าของงานโดยตรง แต่ก็มีสิทธิ์ลงเสียงออกความเห็นแก้ไข หากคิดว่ามีอะไรที่บกพร่องไม่เป็นไปตามต้องการ”

“แต่งานก็เสร็จช้า ไม่ทันตามกำหนด ซึ่งทางชลธารฯ กับควีนส์คอร์ปก็ทำข้อตกลงก่อนสร้างไปแล้ว”

คุณหญิงราณีแย้มยิ้ม เอื้อมมือไปจับมือข้างซ้ายของหญิงสาว พิศดูประกายเจิดจรัสของเพชรน้ำงาม “ข้อตกลงที่เห็นตรงกันเป็นสิ่งดี แต่หากเวลาผ่านไปแล้วเกิดมีเรื่องที่เห็นไม่ตรงกัน เธอจะทำอย่างไร จะปล่อยให้มันผ่านเลยไป หรือจะขอแก้ไขให้สองฝักสองฝ่ายเข้าใจกันและกันมากขึ้น”

ธิดาถอนมือกลับอย่างนุ่มนวล “ถ้าการขอแก้ไขนั้นมันยุติธรรมพอ ก็ย่อมดีกว่าการปล่อยให้ผ่านเลยไปค่ะ”

“ฉลาดมาก”

คำชมของสตรีสูงศักดิ์ไม่ได้ทำให้เธอปลาบปลื้ม ในทางกลับกัน ธิดาวิตกกับประกายตาที่มองมา ถึงจะไม่บ่อยนักที่เธอได้มีโอกาสพบคุณหญิง หากเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยงด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะความแตกต่างทางฐานะ หรืออาจเป็นเพราะท่าทางไว้ตัวของคุณหญิง แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร หญิงสาวก็มักรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งยามเข้าใกล้หรือสนทนา

“ดึกแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ” แม้จะอยากคุยกับครูหนุ่มต่อแค่ไหน แต่หญิงสาวก็หาข้ออ้างปลีกตัว

ภีฆาเนตรรีบลุกตาม แล้วเดินไปส่งหญิงสาวตรงที่เธอจอดรถจักรยาน ชายหนุ่มอาสาจะไปส่ง แต่หญิงสาวบอกปัดด้วยเหตุผลว่าไม่อยากให้ครูเห็นน้ำตานักเรียน

“ธิดาต้องคิดถึงพี่เนตรทุกวันแน่” แต่ไม่แคล้วอำลาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ชายหนุ่มยิ้มอิ่มเอม มือหนึ่งกอบกุมมือบางไว้ มือหนึ่งยกขึ้นโอบแก้มนวล “คิดถึงพี่...ฝันถึงพี่บ้าง ให้พี่ได้เป็นผู้ชายในฝันของธิดาทุกคืน...นะครับ”

“พี่เนตร...”

สัมผัสแข็งของแหวนเพชรที่นิ้วนางข้างซ้ายภายใต้การเกาะกุมของชายหนุ่มไม่มีผลอะไร เขาอยากถ่ายทอดความรู้สึกในใจให้เธอรู้มากกว่าการบอกด้วยแววตา ใจปรารถนาสั่งให้เขาโน้มศีรษะมนลงมาหา แล้วเคลื่อนใบหน้าตัวเองเข้าไปใกล้ หรี่ตามองเรียวปากบางสั่นไหว

“พี่เนตร...”

เสียงนั้นคล้ายทัดทาน แต่เขาห้ามใจไม่อยู่แล้ว

เพล้ง!

“ตาเถร!” เสียงอุทานดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระเบื้องตกกระทบพื้นจนแตก

“คุณป้า” หญิงสาวก็ตกอกตกใจ รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้าไปช่วยแม่ครัวใหญ่เก็บเศษกระเบื้องกับชิ้นขนมที่อยู่ภายในซึ่งกระจายเกลื่อนพื้น

“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ถามด้วยความเป็นห่วง มือก็ช่วยเก็บเศษเล็กเศษน้อยไปด้วย

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร” แม่ครัวใหญ่บอกด้วยอาการลนลานพลางช้อนตาขึ้น พลันสบกับสายตาของเจ้านายหนุ่ม หลานชายคนรองของคุณหญิงจึงรีบหลบตาวูบก้มเก็บเศษกระเบื้อง “ป้าเก็บเองค่ะ คุณธิดาวางมือเถอะเดี๋ยวมันจะบาดเอา ป้าซุ่มซ่ามเอง ดูซิเนี่ยโหลขนมที่คุณธิดาทำให้แตกหมด”

“ช่วยกันแหละค่ะจะได้เร็วขึ้น แต่ค่ำแล้วคุณหญิงยังเรียกรับขนมอยู่หรือคะ” หญิงสาวถามเมื่อเก็บชิ้นขนมที่เธอทำไว้ให้เมื่อครั้งมาคฤหาสน์หลังนี้

“ปะ...เปล่าค่ะ...” พูดอึกอัก “คือว่า...คุณปราณเธอจะกลับมาค้างที่นี่คืนนี้ ป้าก็เลยจะให้เธอลองกินดูบ้าง โฆษณาไว้เยอะว่าอร่อยแต่ป้าจำชื่อขนมไม่ได้ พอดีเห็นจักรยานของคุณธิดาจอดอยู่ ก็เลยจะถือโหลขนมมาถามว่ามันชื่ออะไร”

หญิงสาวคลี่ยิ้มบาง “เมอแรงค์คิสค่ะ ขนมชื่อเมอแรงค์คิสลาเวนเดอร์”

“ค่ะ ๆ ป้าจำได้แล้ว เมอแรงค์คิสลาเวนเดอร์”

แม่ครัวใหญ่ย้ำชื่อขนมแล้วรีบลุกขึ้นจับชายเสื้อกันเปื้อนที่ใช้เป็นกระบุงเก็บเศษกระเบื้องและขนมหวาน พยายามไม่สบตากับดวงตาของภีฆาเนตร หมุนตัวเดินออกไป

หญิงสาวจึงกลับมาที่โต๊ะอาหาร ความรู้สึกขัดเขินในนาทีก่อนหน้าจึงเกิดขึ้นตอนที่สบตา แต่เป็นฝ่ายชายหนุ่มที่เอ่ยทำลายสถานการณ์น่าอึดอัด

“ฟ้ามืดแล้ว ให้พี่ไปส่งธิดาที่บ้านเถอะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ธิดาเริ่มคุ้นเคยที่นี่แล้ว ปั่นจักรยานแป๊บเดียวก็ถึง” ธิดาลุกขึ้นจากเก้าอี้ปฏิเสธด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ “ขืนให้พี่เนตรไปส่ง ตอนพี่เนตรกลับ ธิดาต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแน่”

ภีฆาเนตรขยี้ผมหญิงสาว มองเธอด้วยแววตาเอ็นดู “เป็นเด็กขี้แยตั้งแต่เมื่อไหร่ พอพระอาทิตย์ตกดิน Hidden Wood สภาพไม่ต่างกับป่าดงดิบ ธิดามั่นใจหรือว่ากลับคนเดียวได้”

“มั่นใจค่ะ” เธอพยักหน้าเอ่ยเสียงหนักแน่น “ธิดาไปแล้วนะคะ”

เธอเอ่ยคำลาแล้วก้าวขาเดินออกจากห้อง แต่จู่ ๆ เท้าเล็กก็หยุดนิ่ง แล้วหันหลังขวับเดินกึ่งวิ่งกลับไปหาชายหนุ่มพร้อมอ้าแขนกว้างโอบกอดร่างสูงไว้แน่น เอ่ยบอกเสียงเบา

“รีบกลับมาเร็ว ๆ นะคะพี่เนตร” แขนเรียวเล็กรัดแน่นอีกครั้งแล้วผละจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มยืนยิ้มเหมือนคนบ้าในห้องอาหารคนเดียว