"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
แต่ห่างออกไปในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น ยังมีคนสองคนที่เฝ้ามองภาพชายหนุ่มและหญิงสาวด้วยภาวะจิตใจต่างกัน คนหนึ่งคือแม่ครัวเก่าแก่ที่กำลังสะเทือนอารมณ์กับภาพที่เห็น และอีกคนคือชายหนุ่มร่างสูงนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ทอดสายตาหม่นมองไปทางห้องอาหาร
“คุณปราณ...” แม่ครัวเอ่ยเรียกชายหนุ่ม
เจ้าของชื่อหันมายิ้มให้ “ไหนล่ะครับ ขนมที่บอกจะให้ผมชิม”
เป็นรอยยิ้มที่ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนรู้ว่ายิ้มของเจ้านายน้อยนั้นเป็นยิ้มที่ฝืนเต็มทน
“ป้าทำโหลแตก ขนมตกพื้นหมดเลยค่ะคุณปราณ มันเปื้อนหมดแล้วอย่ากินเลยนะคะ เดี๋ยวจะป่วยเอา” แม่ครัวใหญ่ก้มมองขนมที่เก็บกองรวมกับเศษกระเบื้องในผ้ากันเปื้อน
“ไม่เป็นไรครับ” เขาเดินเข้าหาแม่ครัวผู้อารี หยิบชิ้นขนมสีม่วงอ่อนที่กองรวมกับเศษกระเบื้องในชุดกันเปื้อนขึ้น ใช้ปากเป่าเบา ๆ จากนั้นกินขนมทั้งชิ้นเคี้ยวแล้วกลืนลงคอ
“อร่อยจัง มันเรียกว่าอะไรครับ”
“เมอแรงค์คิสลาเวนเดอร์ค่ะ”
แม่ครัวใหญ่มีใบหน้าเศร้า เอ่ยชื่อขนมที่เธอเคยเฝ้ามองหญิงสาวคนทำอย่างชื่นชม วัตถุดิบไร้แป้งสาลีใช้เพียงไข่ขาวและน้ำตาล ตีให้ขึ้นฟูอย่างตั้งใจ จากนั้นหยอดกลิ่นดอกไม้สีม่วงหอมจรุง แล้วบรรจงบีบขึ้นรูปเป็นเกลียวม้วนสวยงาม ก่อนนำเข้าตู้อบแล้วเฝ้าจ้องมองจนขนมสุกกรอบนอกนุ่มละลายในปาก
‘คนที่แพ้แป้งสาลี กินได้แน่นอนค่ะ’
คำพูดพร้อมใบหน้าอิ่มเอิบของหญิงสาวที่โชว์ขนมอบใหม่หอมกรุ่นจากเตายังติดตาตรึงใจแม่ครัวใหญ่ผู้นี้
“ชื่อเพราะดีนะครับ สมกับความหอมอร่อยของมัน” ชายหนุ่มบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ป้าช่วยปัดฝุ่นแล้วเก็บไว้ให้ผมด้วย อร่อยขนาดนี้ถึงมันเปรอะเปื้อนแค่ไหน ให้ป่วยผมก็ยอม”
ผู้รับใช้ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ และทำตามคำสั่งของชายหนุ่มที่กำลังเดินห่างออกไป
ธิดาปั่นจักรยานบนถนนที่มีแสงสว่างเพียงน้อยนิด ฟังเสียงหรีดหริ่งเรไรร้องระงมสลับกับเสียงฟ้าร้องเป็นระยะ สายลมเย็นพัดพาความชื้นมาแตะผิวกายเตือนให้หญิงสาวเร่งความเร็วให้ถึงที่หมายโดยไว
เธอจอดจักรยานเลียบริมถนน เปิดระบบไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือส่องนำทาง แล้วก้าวเดินอย่างระวัง แต่ก็ไม่พ้นถูกหนามและกิ่งไม้แห้งขูดขีดผิวบริเวณขา นึกบ่นตัวเองในใจว่าน่าจะเปลี่ยนจากระโปรงนักศึกษาเป็นกางเกงขายาวก่อนไปพบภีฆาเนตร
พอถึงดงดอกอ้อก็เด็ดมาหนึ่งก้าน อยากเอาไปใส่แจกันแทนอันเดิมที่โรยรา แต่เมื่อมีแมลงส่องแสงตัวน้อยบินวนรอบกาย คิดทึกทักไปว่ามันคงส่งตัวแทนมาเชื้อเชิญเธอ สองขาจึงก้าวเดินย่ำดินเปียกชื้นลึกเข้าไปในพงดอกอ้อ แหวกก้านของมันออกเป็นทาง
สวบ!
มีบางสิ่งขยับเคลื่อนไหว หญิงสาวหันไปส่องไฟตรงบริเวณที่คิดว่าเป็นต้นเสียง แต่ก็ไม่พบอะไร นอกจากแสงแวววาวของดวงตาหงส์ที่สะท้อนแสงไฟตรงริมน้ำ จึงหย่อนตัวนั่งลงบนพื้น แล้วเชยชมดวงไฟของเจ้าแมลงตัวน้อยที่บินเวียนวนรอบกาย
“ถ้าฉันเป็นหิ่งห้อยอย่างพวกแกก็คงจะดี จะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัว”
ไม่รู้ว่าเจ้าหิ่งห้อยฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องหรือเปล่า มันจึงบินลงมาเกาะและไต่ตามร่างกายเธอ จากสองสามตัวก็ทยอยบินมาเกาะเพิ่มเป็นสี่ตัวห้าตัวคล้ายกับเรียกพวกมาช่วยปลอบใจ ช่วยให้เธออบอุ่นใจได้อย่างประหลาด
“ฉันต้องไปแล้วละ” แม้อยากจะอยู่ให้นานเท่าที่ทำได้ แต่ได้เวลาที่ต้องบอกลา
ธิดาลุกขึ้นยืนแล้วก้าวขาเพื่อจะเดินออกจากที่แห่งความลับ แต่กลับต้องหยุดนิ่ง หัวใจเต้นถี่รัว เมื่อมีร่างทะมึนสูงใหญ่ของชายสองคนยืนขวางทางออก
สัญญาณเตือนแจ้งเหตุร้ายของหญิงสาวก็เพิ่งเริ่มทำงาน อาจเป็นเพราะจิตใจอ่อนแอ หรือต้องมนตร์ความวิบวับพราวพรายของหิ่งห้อยก็ไม่อาจรู้ได้ ทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเฉียบพลันเพราะไม่ระวังภัยรอบตัว
“ขอทางให้ฉันออกด้วย” เธอยังทำใจดีสู้เสือ
แต่ไม่มีเสียงตอบกลับใด ๆ นอกจากเสียงลมหายใจแรงจากคนทั้งสอง ธิดาก้าวถอยหลังเมื่อหนึ่งในนั้นย่างเท้าเข้ามา นึกขัดใจที่กำแพงดอกอ้อสูงและหนาเกินไปจนไม่ให้แสงใดเล็ดลอดส่องถึง หากเกิดอะไรขึ้นแล้วเธอร้องขอความช่วยเหลือ จะมีใครได้ยินเสียงเธอบ้างหรือไม่
มือบางล้วงกระเป๋ากระโปรง กำโทรศัพท์แน่น คิดหาวิธีว่าเธอจะหยิบมันขึ้นมาติดต่อให้ใครมาช่วยได้อย่างไร นึกโทษตัวเองที่ไม่รู้จักศึกษาการใช้ให้มากกว่านี้ นอกจากใช้สื่อสารแล้ว ธิดาก็แทบไม่ได้ใช้ประโยชน์อื่น ๆ ที่มันมีเลย
“ถ้าเข้ามาใกล้อีก ฉันจะร้องตะโกน!” บอกพวกมันเสียงขึงขัง
สายลมเย็นเยือกพัดแตะผิวบาง ฟ้าแลบสว่างวาบตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องก้องไปทั่วบริเวณ หงส์อยู่ในรังไม่ห่างร้องกระพือปีก หิ่งห้อยที่เกาะพราวร่างขยับโบยบินจากไป ดวงตาสีนิลมองใบหน้าของแขกที่ไม่อยากให้มาเยือนชัดขึ้นเมื่อเกิดมีลำแสงสว่าง
ทั้งสองเผยรอยยิ้มเย็นเยือกพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอชวนขนลุก ก่อนที่พวกมันจะเดินแยกออกเป็นสองทาง คนหนึ่งทางซ้าย อีกคนหนึ่งทางขวา สร้างความกดดันจากสองทางให้หญิงสาวยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง
ธิดากำโทรศัพท์ในกระเป๋าแน่น ถึงใช้สื่อสารไม่ได้ก็ขอใช้มันทำให้เธอรอดพ้นจากที่นี่ให้ได้ มือบางรีบดึงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วพูดขู่พวกมันไปว่า
“ฉันมีเบอร์ฉุกเฉินของตำรวจ กดแค่ปุ่มเดียวสัญญาณก็จะส่งตรงไปยังเจ้าหน้าที่ ฉันขอเตือนด้วยความหวังดี ถ้าพวกนายคิดจะทำอะไรไม่ดีละก็ ให้รีบเปลี่ยนใจซะ”
เหมือนกับพวกมันไม่รู้ภาษา ยังคงก้าวช้า ๆ เข้ามาใกล้ ธิดาขบกรามแน่น ไม่ละสายตาจากการเคลื่อนไหว แต่กลิ่นความหวาดกลัวของเหยื่อมักโชยเข้าจมูกผู้ล่า เมื่อเธอเหลือบตาระวังมองทางหนึ่ง ชายฉกรรจ์อีกทางก็สาวเท้าเข้าประชิดตัวอย่างว่องไว
แขนเรียวเล็กถูกยื้อยุดฉุดอย่างแรง แต่เด็กที่โตในแคมป์ก่อสร้างอย่างเธอห้าวหาญพอที่จะฮึดสู้เมื่อถูกรุกราน ความไวและทักษะการป้องกันตัวพื้นฐานจึงถูกนำมาใช้งานในทันที
ธิดาม้วนพลิกแขนให้เลื่อนหลุด ขณะเดียวกันก็ใช้ปลายนิ้วขยับเลื่อนปลดล็อกหน้าจอ แต่ไม่ทันได้สัมผัสปุ่มโทรออกฉุกเฉิน คนร้ายอีกคนก็กระโจนเข้าใส่ แต่หญิงสาวไวกว่า เธอเอี้ยวหลบแล้วใช้สันมือสับเข้าที่ต้นคอคนร้ายอย่างแรงจนสร้างความเจ็บปวดให้มัน
ชายร่างใหญ่คำรามลั่นพร้อมกับพูดอะไรที่เธอฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าในดวงตาถมึงทึงที่ส่องแสงในความมืดสลัวนั้นโกรธจัดเพียงใด
“เราไม่รู้จักกัน และฉันมั่นใจว่าไม่เคยทำร้ายใคร ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไปจะดีกว่า หากพวกแกยอมไปโดยดี ฉันจะไม่แจ้งความเอาเรื่อง”
หญิงสาวพูดเตือน แต่รู้ว่าพวกมันไม่เข้าใจที่เธอพูดแน่ หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำ เมื่อลำแสงจากท้องฟ้าสว่างวาบเปลี่ยนความสลัวให้สว่างพอที่จะเห็นปลายมีดคมปรากฏในมือ
หลังฟ้าคำรามไม่กี่วินาที ฝนก็เทกระหน่ำส่งหยาดฝนเม็ดโตซัดสาดชโลมใบหน้า แม้จะหวาดกลัวเพียงใดแต่ธิดายังตั้งสติมั่น คอยระวังและหาโอกาสวิ่งหนีออกจากที่นี่ ทว่ามันไม่ให้โอกาสเธอง่าย ๆ และดูท่าทางจะเกรี้ยวกราดมากขึ้นเมื่อมันจู่โจมแล้วถูกเธอยกเท้าถีบสวนกลับไป
แต่มือมีดก้าวรุกฉับไว ส่งปลายมีดคมแหลมยื่นเข้าหาเฉียดใบหน้าหญิงสาว โชคดีที่เฉือนขาดแค่ปลายเส้นผม ทว่าปลายมีดนั้นยังฉวัดเฉวียนไม่หยุด ธิดาก็ก้าวขาหลบเฉียดฉิวจนไม่มีเวลาพัก นึกรำคาญใจที่เคลื่อนไหวไม่คล่องตัวเมื่ออยู่ในชุดนักศึกษา ซ้ำร้ายพื้นดินชื้นแฉะทำให้หญิงสาวเซเสียหลัก จนเปิดทางให้มือมีดจากโลกมืดวาดปลายคมกริบฟันเข้าที่สีข้างของเธอ
เลือดแดงฉานไหลทะลักราวกับห่าฝน เธอไม่รู้ว่าบาดแผลนั้นลึกมากแค่ไหน แต่มันคงไม่น้อยเพราะทำให้เสื้อสีขาวชุ่มไปด้วยเลือดสด ๆ จนต้องใช้มือกดปิดปากแผลเอาไว้ เจ็บปวดจนแทบทรงตัวไม่อยู่
และหญิงสาวก็ต้องพบกับความเจ็บปวดอีกระลอก เธอพลาดที่หันหลังให้พวกมันอีกคนหนึ่ง แผ่นหลังบางจึงถูกฟาดอย่างแรง และก่อนที่ท่อนไม้หนานั้นกำลังจะกระหน่ำซ้ำ ธิดาก็รีบเบี่ยงตัวหลบได้ทันถึงจะเจ็บอยู่ก็ตาม
เมื่อเข้าตาจนเพราะถูกรุมแบบนี้ โอกาสหนีคงไม่มี เธอจึงตัดสินใจใช้เสียงให้เป็นประโยชน์ ขอให้มีคนผ่านมาแล้วได้ยินเสียงเธอด้วยเถอะ
“ช่วย...!”
แต่มือหยาบของอีกคนเอื้อมเข้ายึดลำคอด้วยความไว ปิดสกัดกั้นกล่องเสียงของธิดาเอาไว้ จนเธอต้องดิ้นรนรีบแกะมือหนารอบลำคอออก ส่งผลให้ต้องปล่อยเครื่องมือสื่อสารตกพื้น ก่อนที่มันจะถูกเก็บแล้วขว้างทิ้งออกไปไกล ได้ยินเสียงคล้ายตกลงในน้ำ
ลำคอเด็กสาวเริ่มถูกบีบหนัก เธออึดอัดดิ้นรน จะร้องตะโกนก็ไร้เสียง แค่หายใจทางปากยังทรมาน อยากจะอ้อนวอนขอความกรุณา แต่ไอ้พวกนรกส่งมาเกิดพวกนี้คงไม่รู้จักคำนี้ มันจึงส่งหมัดหนักกระแทกเข้าท้องน้อย หมัดเดียวแต่แรงจนเจ็บร้าวไปถึงบาดแผล ส่งผลให้มีเลือดอาบหลั่งรินไหล จุกจนพูดไม่ออก ขาอ่อนแรงจนทรุดกายลงกับพื้นดิน