"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา
เสียงเม็ดฝนกระหน่ำกระทบหน้าต่างกระจกห้องปลุกหญิงสาวที่ฝังตัวเองกับเตียงข้ามวันให้ลืมตาขึ้น ใบหน้านั้นซีดเซียวไร้สีสัน เส้นผมสลวยสยายเต็มหมอน กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งออกจากตัว
ปวดหัวแทบระเบิด...ความรู้สึกแรกหลังจากสติฟื้นคืนมา อยากเมาจนลืมทุกอย่าง แม้จะรู้ว่าตัวเองปวกเปียกเละเทะแค่ไหนยามน้ำเมาเข้าปาก หากมันช่วยให้ลืมความเจ็บช้ำได้ก็ขอซดให้หมดทุกขวดที่หามาได้ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างใจต้องการ เพราะยิ่งดื่มหนักเท่าไรก็ยิ่งตอกย้ำให้จดจำความน่าละอายของตัวเอง
งานหมั้นที่เธอตั้งใจไปเหยียบเพื่อประกาศศักดาของคนมาก่อนให้ยายเด็กคนนั้นได้รับรู้ ทั้งคุณหญิงราณีและแม่ผู้หญิงที่ชื่อธิดาอะไรนั่นจะต้องรู้ว่า ปริมประภา รังสิตานนท์ ไม่ใช่ผู้หญิงบ้าน ๆ ที่จะให้ใครมาเหยียบหัวข่มกันได้ง่าย ๆ และยายเด็กคู่หมั้นก็ได้เห็นตำตาแล้วว่าใครกันที่มีสิทธิ์เหนือตัวปราณนารายณ์
‘ผมต้องเข้าพิธี’
เขาตบหน้าเธอด้วยคำพูดและแววตารวดร้าวหลังจากภีฆาเนตรพาแม่เด็กนั่นออกจากห้องไป และน้ำตาหลั่งทันใดนั้นเป็นเพราะอับอายเหลือแสนหรือเพราะความคับแค้นที่ไม่อาจผูกใยสวาทในหัวใจของเขาได้
‘ตอนคุณสวมแหวนหมั้นให้เธอ ก็ให้คิดถึงหัวใจของฉันด้วยแล้วกัน’ จึงฝากเหล็กในให้ทิ่มแทงหัวใจชายหนุ่มให้ร้าวระบม แต่สิ่งที่เขาตอบกลับคือความเงียบงัน แววตาไร้ความรู้สึก ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
เธอหลีกลี้ความเจ็บปวด ไม่อยากเห็นภาพการสวมแหวนหมั้น และความชอกช้ำก็พัดพาเธอไปดำดิ่งบนภัตตาคารรูฟท็อป ที่แห่งความหลัง ความเสียอกเสียใจและเสียดายย้อนกลับมาทุกครั้งที่รู้สึกว่าอาจสูญเสียชายหนุ่มไปจริง ๆ ทั้งเหล้าทั้งไวน์จึงถูกเติมไม่ยั้งตามการชี้นำของตัวเอง
แต่หนี้รักหนนี้ ปราณนารายณ์จะชดใช้คืนเธอได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน เธอก็ต้องหาเงินมาใช้หนี้นายพนาให้ได้ แต่ลำพังแค่เขียนคอลัมน์คงไม่พอจ่ายหนี้ก้อนโตให้เจ้าหนี้มหาโหด
หญิงสาวรู้สึกอ่อนแออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกข์ใจจนคิดอยากปลดแอกจากทุกสิ่ง อยากหนีความจริงที่แสนตรอมตรม หรือฟ้าที่ส่งสายฝนกระหน่ำเทลงมาคงต้องการให้หัวใจของเธอเปียกปอน ดวงตาแดงช้ำเหลือบมองไปทางโต๊ะข้างเตียง ลุกขึ้นเดินตัวลอยไปเปิดลิ้นชักแล้วหยิบขวดยาออกมา กลั้นใจแล้วเทใส่มือจนหมด
หากไม่มีเขาแล้ว นี่อาจเป็นทางออกของชีวิตหมองหม่น
หญิงสาวหลับตา ยกมือขึ้นเพื่อกรอกยาในอุ้งมือเข้าปาก แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงลมกระโชกแรงซัดสาดสายฝนเข้ามา จึงหันไปทางหน้าต่างที่เปิดกว้าง แปลกใจที่ก่อนหน้านั้นมันปิดสนิทดี
พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ดัง ปริมประภาจึงรีบไปหยิบขึ้นจากพื้น หากแต่คนในสายไม่ใช่คนที่เธอเฝ้ารอ กระนั้นก็ยังเป็นสายจากคนที่เธอไม่คิดว่าเขาจะโทรมา จึงสไลด์หน้าจอเพื่อสนทนาจะได้รู้ว่าเขาผู้นี้ต้องการอะไร
“ปริมประภาพูดค่ะ” กรอกเสียงแล้วครู่หนึ่งคิ้วเรียวบางก็ย่นเข้าหากัน “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
ตอบกลับด้วยหัวใจเต้นแรง นี่เป็นข่าวร้ายที่น่าตกใจที่สุดในชีวิต แต่พลันคิดถึงเรื่องที่เธอกำลังจะทำกับตัวเอง เธอมองกองยานอนหลับที่อยู่ในมือ กำแน่นแล้วเดินไปทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ จากนั้นโปรยมันลงไปยังเบื้องล่างให้สายฝนชะล้างความคิดชั่ววูบที่ส่งมาจากมัจจุราชที่ฝากมากับน้ำเมา
แต่ในเสี้ยวความคิดนั้นทำให้ปริมประภาฉุกคิด เธอมานอนบนเตียงนี้ได้อย่างไรในสภาพเมามาย ภาพความทรงจำยามไร้สติก็แสนรางเลือน มันเหมือนกับว่าใครบางคนหอบร่างอ่อนเปลี้ยของเธอออกจากบาร์เหล้า
ใครบางคนที่...
หญิงสาวพยายามเค้นสมองย้อนภาพ แต่ก็ไม่อาจรื้อความทรงจำได้ จึงสะบัดความคิดในหัวออกแล้วพาตัวเองอาบน้ำล้างคราบนางเมรี จากนั้นก็สตาร์ตเครื่องยนต์ขับรถออกจากลานจอด สวนทางกับขบวนรถเก๋งสีดำของเสี่ยใหญ่ที่ขับเข้าสู่บริเวณบ้านมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล
ภาพชายหนุ่มผู้บาดเจ็บที่นอนนิ่งบนเตียงพักฟื้น ทำเอาปริมประภาอกสั่นใจสั่นเดินตรงเข้าไปหา น้ำตาเอ่อรื้นตามขอบตา จับมือของเขาขึ้นบีบแน่น
“ปราณ” เอ่ยเรียกชายหนุ่มเสียงเบา แต่เขาไม่ขยับแม้แต่น้อย ยังคงหลับใหลโดยมีมารดาคอยดูแลอย่างชิดใกล้ ซึ่งก็ดูอิดโรยอย่างคนอดนอนมาทั้งคืน
“ปริมขออาสาดูแลปราณให้ค่ะคุณป้า ถ้าคุณป้าล้มป่วยไป เขาคงไม่สบายใจ”
โจเอลผ่อนลมหายใจ มองลูกชายด้วยแววตาห่วงใย ฝากฝังลูกชายไว้กับหญิงสาวก่อนเดินออกจากห้องไป “ถ้าอย่างนั้นป้าขอกลับไปพักผ่อนก่อน ฝากหนูด้วยนะจ๊ะ”
ปริมประภารับคำเป็นมั่นเหมาะแล้วนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียง พิศใบหน้าของคนบนเตียงที่นอนหลับใหล เขาซีดเซียวไม่สดใส เปลือกตาคล้ายจะลืมแต่ก็คงเป็นเพียงอาการของกล้ามเนื้อกระตุก
“ปราณ คุณได้ยินเสียงฉันไหม” เธอเอ่ยถามเบา ๆ ข้างใบหู แต่ไม่มีการตอบสนองกลับต่อเสียงเรียก หญิงสาวจึงถอนหายใจด้วยความวิตก
“ปกติมันไม่ได้เป็นคนขี้เซา” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นหลังเสียงปิดประตูห้องผู้ป่วย
“ขอบใจที่โทรบอกข่าวเรื่องปราณ” เพราะรู้ว่าจะพบกับสายตาแบบไหนจากผู้มาใหม่ หญิงสาวจึงไม่ได้หันไปมอง แต่อีกฝ่ายก็ยังเดินอ้อมไปอีกฝั่งของเตียงผู้ป่วย
“ก็คิดว่าคนรักกันก็น่าจะได้มาดูแลกัน...จริงไหม” แม้ใบหน้าชายหนุ่มจะดูเรียบเฉย แต่น้ำเสียงที่ถามก็คล้ายกับประชดในที
ปริมประภาตัดสินใจลุกขึ้นยืนแล้วสะพายกระเป๋า “ฉันต้องกลับแล้ว ตอนนี้คุณป้าโจเอลกลับไปพักผ่อน หวังว่านายคงดูแลปราณได้”
“ทำไมรีบกลับล่ะปริม ไม่อยู่รอให้มันตื่นมาเห็นหน้าก่อนเหรอ เดี๋ยวมันจะไม่รู้ว่าเธอมาเยี่ยมเป็นคนแรก”
เธอส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วงแทนฉันหรอกนะเนตร ฉันจะมาเยี่ยมเขาทุกวันแน่นอน ก็อย่างที่เธอบอก คนรักกันก็ต้องดูแลกัน”
“ฉันก็หวังให้เป็นอย่างนั้น”
ปริมประภารีบรุดออกจากห้อง แต่ยังหยุดยืนทอดอาลัยที่หน้าประตู อยากจะอยู่เฝ้าเขาให้นานกว่านี้แต่ไม่อยากถูกจับจ้องพฤติกรรม เพราะคำพูดสุดท้ายของภีฆาเนตรสร้างกระแสความกดดันหนักอึ้ง คล้ายว่าถูกเขาจ้องจับผิด
เธอคิดเรื่องในหัวจนกระทั่งมาหยุดอยู่หน้าห้องพักฟื้นผู้ป่วยรายหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างกัน มองป้ายชื่อหน้าห้องระบุว่า ธิดา ฤทธิ์นาคา คือผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้นอยู่ภายในห้องนี้
‘ทางตำรวจสงสัยว่าพวกคนร้ายต้องการชิงทรัพย์แล้วพยายามฆ่าข่มขืน’
เป็นคำบอกกล่าวของภีฆาเนตรในตอนที่เขาโทรศัพท์มาบอกว่าปราณนารายณ์ช่วยชีวิตคู่หมั้นจากคนร้ายจนตัวเองต้องมาบาดเจ็บสาหัส ซึ่งหญิงสาวจะมีสภาพยับเยินแค่ไหน เธอก็ไม่จำเป็นต้องอยากรู้ หรือไม่ก็เดินผ่านเลยไปด้วยความรู้สึกสมน้ำหน้า แต่ปริมประภากลับยืนนิ่งหน้าห้องครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเอื้อมมือไปแตะที่ประตูเพื่อจะผลักเข้าไป
“ขออภัยครับคุณผู้หญิง หมดเวลาเยี่ยมแล้วครับ” เสียงเตือนของบุรุษพยาบาลที่ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากอนามัยโผล่ให้เห็นเพียงแค่ดวงตาหยุดมือเธอไว้
“เวลานี้ยังให้ญาติเยี่ยมได้อยู่ไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวไม่สนใจ แล้วทำท่าจะผลักประตูเข้าไป แต่เขากลับคว้าข้อมือเธอไว้แน่น
“ผู้ป่วยห้องนี้ยังถูกจำกัดการเยี่ยม และในรายละเอียดของผู้ป่วย ระบุว่าเธอมีญาติเป็นผู้ชายเพียงแค่สองคน...” บุรุษพยาบาลจ้องหญิงสาวไม่วางตา เอ่ยบอกเงื่อนไขของการเยี่ยม “ไม่มีผู้หญิง”
ปริมประภาพยายามชักมือกลับ แต่เขายังไม่ยอมปล่อย เธอจึงแสดงออกทางสีหน้าบอกให้รู้ว่าไม่พอใจชัดเจน
“ฉันคงจำห้องผิด” จนต้องบอกปัดเพื่อยุติเรื่อง เขาจึงยอมคลายมือออก หากดวงตาเรียวมองจ้องเธอแน่วนิ่งไม่เกรงกลัว