"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3 โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่,ลมห่วงรัก-บทที่ ๙ ความหวังเดียว,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 1/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 2/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๔ ไฟ

เนื้อหา

บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3

 

บทที่ ๑๓ เจ้าดอกมะลิกลิ่นกำจร

ร่างกายที่แน่นิ่งมานานสะดุ้งไหวเมื่อมีสัมผัสอุ่นแตะที่ใบหน้าเบา ๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกะพริบถี่ เห็นเงาใบหน้ารางเลือนที่เคลื่อนเข้ามาสู่สายตา

“คุณภพ ลูกฟื้นแล้ว” น้ำเสียงแสนอ่อนโยนสั่นเครือ

เขาขยับแขนยกมืออันแสนหนักอึ้งขึ้นจับกุมมือที่กำลังซับใบหน้าให้ “แม่...” แล้วหันหาอีกหนึ่งใบหน้าที่ก้มมองเขา ก่อนจะเปิดรอยยิ้มกว้าง “พ่อ...”

“ไงลูกชาย ปล่อยวิญญาณไปเที่ยวที่ไหนมาเสียตั้งนานถึงยังไม่ยอมเข้าร่างเสียที”

คำทักทายของผู้เป็นพ่อทำให้โจเอลกล่าวตำหนิ “คุณภพชอบพูดเล่นเรื่อยเชียว”

“เขาจะได้รู้ว่าพวกเราเป็นพ่อแม่ในชาตินี้ ไม่ได้ไปโผล่ในมิติอื่น”

“คุณออกไปตามหมอเถอะค่ะ” โจเอลถอนหายใจ สะบัดมือไล่สามีแล้วหันมาถามอาการลูกชาย พลางใช้ผ้าจุ่มน้ำในอ่างใบเล็กบิดหมาดแล้วซับใบหน้าให้อย่างอ่อนโยน “เจ็บหรือปวดตรงไหนหรือเปล่า”

ปราณนารายณ์ส่ายศีรษะเบา ๆ แล้วหลับตาลงให้มารดาซับใบหน้าด้วยผ้าขนหนูอุ่น เอ่ยถามถึงหญิงสาว “ธิดาล่ะครับแม่ ธิดาเป็นยังไงบ้าง”

โจเอลคลี่ยิ้มอ่อน “ธิดาเขาดูดีกว่าลูกเยอะ” จากนั้นจึงหันไปวางผ้าขนหนูในอ่าง ก่อนยกไปวางบนโต๊ะที่ห่างออกไป แล้วกลับมาพร้อมคำพูดว่า “ธิดาออกจากโรงพยาบาลไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

เสียงถอนหายใจยาวของคนบนเตียงบอกให้โจเอลรู้ว่าเขาโล่งใจแค่ไหน จึงยกมือลูบศีรษะลูกชายคล้ายกับเขายังเป็นเด็กตัวเล็ก “ห่วงคนอื่นน่ะห่วงได้ แต่ห่วงตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้อีกสักนิดจะได้ไหม เราน่ะยังมีปัญหารอให้รับมืออีกมาก”

“แล้วพวกคนร้าย...”

“เห็นว่าตำรวจกำลังควบคุมตัว อยู่ระหว่างการรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกแห่ง รอให้ฟื้นตัวดีแล้วถึงจะได้สอบสวน” โจเอลเล่าความพลางวางมือแนบกับหน้าอกชายหนุ่ม “เราน่ะ พักฟื้นร่างกายให้หายดีเสียก่อนเถอะ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”

“แม่กลับมาครั้งนี้เลยต้องลำบากมาดูแลผม” แววตาสีน้ำตาลโศกเติมเต็มความหมายว่าเสียใจ

“อย่าพูดแบบนี้กับคนเป็นแม่” คนเป็นแม่กล่าวด้วยแววตาอ่อนใจ พยุงตัวบุตรชายให้นั่งหนุนหมอนไว้ที่หลัง “แต่ใคร ๆ เขาก็เป็นห่วงเราทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณย่าของเรา นั่งเฝ้าหน้าห้องผ่าตัดตั้งแต่เข็นลูกเข้าไป นี่ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเราแหย่ให้โมโห ก็คงอยู่เฝ้าจนลูกฟื้น”

“คุณย่า...เป็นห่วงผมขนาดนั้นเลยหรือฮะ” มีรอยยิ้มจางระบายบนใบหน้าซีดเซียว

“ก็ขนาดที่พ่อภพของเราแหย่ว่าร้องไห้ยิ่งกว่าตอนปู่เราตายอีก ถึงได้โกรธจนหน้าแดงกลับไป” โจเอลว่าพลางส่ายหน้า

“ผมอยากรู้มานานแล้วว่าพ่อมีปัญหาอะไรกับคุณย่า”

โจเอลเม้มปากสนิท ทำหน้าเหมือนถูกตั้งโจทย์สมการซับซ้อน แต่เธอก็ต้องเป่าปากหายใจโล่งเมื่อมีคนมาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ

ปริมประภาเปิดประตูเข้ามา เห็นชายหนุ่มลุกนั่งได้แล้วก็ดีใจ เธอรีบเข้ามาหาเขาที่ข้างเตียง ยกมือไหว้และกล่าวสวัสดีโจเอล ก่อนหันไปทางชายหนุ่มและพูดด้วยน้ำเสียงยินดี

“ดีใจจัง ในที่สุดคุณก็ฟื้นเสียที”

“เมื่อวานปริมเขามาอยู่เฝ้าดูอาการลูกทั้งวัน” โจเอลบอกกับลูกชาย

“ขอบคุณครับปริม” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างซึ้งใจ

ปริมประภาคลี่ยิ้มกว้าง “ขอบคุณทำไมล่ะคะ คุณก็รู้ว่าเราสองคนเป็น...” เหลือบมองมารดาของชายหนุ่ม เห็นโจเอลหลบสายตาหันหน้าไปทางอื่น เธอจึงพูดต่อไปว่า “...เพื่อนสนิทกัน”

“เอ่อ...แม่ขอไปดูพ่อเขาหน่อย ไปตามหมอยังไงทำไมยังไม่เห็นมา ป้าฝากลูกชายด้วยนะจ๊ะ”

ปริมประภาพยักหน้า ยิ้มสดใส “ได้ค่ะ คุณป้า”

เมื่อโจเอลลับออกจากประตูไปแล้ว ปริมประภาจึงได้มีโอกาสอยู่กับชายหนุ่มสองคนโดยไม่รู้สึกเกร็ง เธอมองใบหน้าอิดโรยและแววตาหม่นของคนที่เพิ่งผ่านการต่อสู้กับความตายมาก็รู้สึกสะท้อนใจ วางมือลงบนหลังมือหนา เอ่ยพูดน้ำเสียงแฝงความเศร้า

“พอรู้ว่าคุณบาดเจ็บ ฉันก็อยู่ไม่เป็นสุข” แววตาเศร้าช้อนมองใบหน้าคนบนเตียง “ถ้าคุณเป็นอะไรไป ฉันคงเสียใจจนไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตต่อไป”

ชายหนุ่มคลี่ยิ้มที่ยังดูอิดโรย “ปริม คุณเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผมเคยรู้จัก ถึงผมจะเป็นอะไรไปจริง ผมรู้ว่าคุณจะเดินต่อไปด้วยเท้าของตัวเองได้เหมือนอย่างที่คุณเป็น”

แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนที่ผ่านมา เธอรู้อยู่แก่ใจ และเขาเป็นคนเดียวที่เธอต้องการ “ฉันเคยบอกแล้วนี่คะว่า ฉันจริงจังกับคุณ”

คำพูดที่เธอเคยบอกยังนำกลับมาพูดใหม่ซ้ำ ๆ ย้ำเตือนชายหนุ่มอีกครั้ง และเธอจะพูดมันอีกหลายครั้งจนกว่าความหวังของเธอจะสัมฤทธิผล

“คุณดีกับผมขนาดนี้ แต่ผมกลับทำให้คุณเสียใจ”

ปริมประภาบีบมือชายหนุ่มแน่น “คุณไม่เคยทำให้ฉันเสียใจค่ะปราณ เป็นฉันต่างหากที่ทำตัวเอง”

ดวงตาสีน้ำตาลมองเธออย่างไม่เข้าใจ ทว่าหญิงสาวไม่อาจเอ่ยอธิบายสิ่งใดได้ หากแต่คำพูดที่บอกไปนั้นมาจากหัวใจที่แท้จริง

“คุณเพิ่งฟื้น อย่าไปคิดเรื่องที่ทำให้เครียดดีกว่า” บอกแล้วหันหลังให้เตียง เดินไปทางโต๊ะที่วางของเยี่ยมมากมาย “กินผลไม้หน่อยนะคะ ฉันจะปอกให้คุณ”

จากนั้นปริมประภาก็เล่าเรื่องงานแฟชั่นวีกให้เขาฟังด้วยใบหน้าที่พยายามปั้นแต่งให้ดูมีความสุข แต่ดวงตาที่ไหวระริกของหญิงสาวนั้นกลายเป็นตราบาปในหัวใจเขา คล้ายกับเธอปิดบังบางอย่างไว้ บางอย่างที่หนักอึ้งจนทำให้ความสดใสของหญิงสาวลดเลือน

หลังจากปริมประภากลับไปแล้ว ด้วยความสงสัยใคร่รู้ก็ทำให้ผู้ป่วยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาต่อสายหาเลขานุการผู้ซื่อสัตย์ทันที

“ผมขอตัวเลขงบดุลย้อนหลังตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทองอาจพาณิชกิจทั้งหมด”

ยังผลให้มารดาลุกจากโซฟาแล้วฉวยโทรศัพท์ไปไว้ในมือ “เพลา ๆ เรื่องงานซะบ้างเถอะ ลืมไปแล้วหรือว่าเพิ่งรอดตายมา”

“ก็เพราะรอดตายมาได้ จึงอยากทำสิ่งที่ต้องทำทันทีก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำไงครับ แล้วจะให้ผมนอนเป็นปลาบนแผงหายใจพะงาบ ๆ อย่างเดียว ผมก็สังเวชตัวเองแย่”

คนเป็นมารดาได้แต่ส่ายหน้าระอา “ทำงานน่ะทำได้ แต่หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วอย่าเพิ่งเข้าบริษัทนะ ลูกต้องพักฟื้นที่บ้านจนกว่าจะหายดี ถือเสียว่าลาพักร้อน”

“โธ่ แม่ครับ” ชายหนุ่มมองด้วยแววตาโอดครวญ

“แม่กลับมาครั้งนี้เพื่อมาแสดงความยินดีในการหมั้น ไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อเห็นลูกตัวเองอาการปางตายเหมือนวันก่อน ถือเสียว่าเป็นคำขอร้องของแม่ ให้แม่ใจชื้นก่อนขึ้นเครื่องกลับฝรั่งเศสคืนพรุ่งนี้”

น้ำเสียงและแววตาจริงจังของมารดาทำให้ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ แต่ก็ไม่อยากทำให้ท่านเป็นห่วงกังวล จึงรับคำให้ผู้เป็นมารดาสบายใจขึ้น

“ครับแม่”

แค่นี้แหละที่โจเอลต้องการ ถึงจะคอยอยู่เช็กว่าลูกชายทำตามคำพูดหรือไม่ไม่ได้ แต่เธอก็มีผู้ช่วยที่น่าจะไว้ใจให้เป็นหูเป็นตาแทนเธอได้

“ระหว่างที่เราพักฟื้นอยู่บ้าน ก็ดูแลหนูธิดาด้วย เรื่องร่างกายน่ะมันฟื้นฟูตามอาการ รักษาด้วยยาก็หาย แต่เรื่องจิตใจมันหายกันยาก”

“ผมว่าธิดามีคนที่อยากให้ดูแลแล้วละครับ” ชายหนุ่มเบนสายตามามองมือตัวเองที่ประสานอยู่เหนือตัก

ไม่ถึงกับต้องเอ่ยชื่อ โจเอลก็รู้ว่าคนคนนั้นที่ลูกชายพูดถึงคือใคร ภีฆาเนตรเสนอตัวเป็นผู้เฝ้าอาการธิดาแทนเกรียงไกรและก้องปฐพีในช่วงกลางวัน การแสดงออกของหลานชายที่มีต่อธิดานั้น แม้แต่คนที่ไม่รู้อะไรมาก่อนอย่างเธอยังพอเดาออกได้ แต่ท่าทีตอบสนองของหญิงสาวนั้นถูกสงวนไว้ให้อยู่ขอบเขตของประเพณี

“ใครจะอยากไม่อยากยังไงแม่ไม่รู้หรอกนะ แต่ธิดาเป็นคู่หมั้นของใคร คนคนนั้นก็ต้องเป็นคนดูแล”

ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ แรงสะเทือนของดวงตาสีนิลคู่โศกตอนสวมแหวนหมั้นในงานหมั้นที่ถูกจัดฉากขึ้นยังสร้างความปวดร้าวให้เขาอยู่มิรู้ลืม จึงไม่รู้ว่าเธออยากให้เขาดูแลใกล้ชิดหรือไม่

แต่ในเมื่อเขามีพันธะพันผูกกับเธอแล้ว ก็ขอใช้ช่วงเวลานับจากนี้ดูแลคู่หมั้นชั่วคราวต่อไปจนครบสี่ปี ทว่าตอนนี้ในหัวใจของเขากลับรู้สึกว่าเวลาที่มีให้นั้นสั้นเกินไป และในทางกลับกัน มันคงยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของเธอ