"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
ตอนที่ ๑๔ ไฟ
อุปกรณ์และวัตถุดิบทำขนมมากมายถูกจัดเรียงใส่ถุงผ้ายื่นส่งให้นิสิตสาวใบหน้าหวาน เธอยิ้มรับแล้วจ่ายเงินตามจำนวนราคาของทั้งหมดให้กับพนักงานเก็บเงินแผนกซูเปอร์มาร์เกตแล้วขึ้นลิฟต์เพื่อไปซื้อสิ่งจำเป็นสำหรับใช้ในการเรียน
และระหว่างที่กำลังเดินกลับไปยังรถที่จอดคนละชั้น ดวงตาสีนิลพลันเหลือบไปเห็นหนังสือที่วางเด่นบนชั้นขายดีประจำสัปดาห์
“การแก้ปีชง” เสียงใสอ่านชื่อหนังสือก่อนหยิบจากชั้นแล้วพลิกหน้าอ่านด้านใน
“สนใจเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เสียงคำถามเรียกหญิงสาวให้เงยตาจากกระดาษ พอเห็นหน้าคนทักถามก็ยิ้มกว้าง “กลาง! ไม่ได้เจอกันนานเลย เป็นยังไงบ้าง”
“ก็สบายดีมีสุข” เขาอมยิ้มตอบ
“พี่ก้องบ่นถึงเธอด้วย”
ระพีพัฒน์ทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เขาคงคิดถึงเงินค่าเบียร์ที่ฉันค้างเขา”
“ถ้าอย่างนั้นไปจ่ายเขาวันนี้เลยมั้ย ฉันกำลังจะกลับบ้านพอดี” พูดแล้วคืนหนังสือใส่ชั้นตามเดิมแล้วยกข้าวของที่ซื้อมาจนแขนเกร็ง
“ฉันขอช่วยถือของไปส่งเธอที่รถ แล้วบอกพี่ก้องให้หักกับหนี้ไปเลย”
“เบียร์คงไม่กี่กระป๋อง ฉันจะบอกพี่ก้องให้ยกหนี้ให้เลยแล้วกัน”
“แม่พระ” ระพีพัฒน์ยิ้มแล้วรับของจากหญิงสาวมาถือให้ แต่เพราะความหนักของมันจึงทำให้ชายหนุ่มยกขึ้นดูสิ่งของภายใน “เอาน้ำมันสนกับทินเนอร์ไปทำอะไร”
“อุปกรณ์สามัญประจำการเรียนของฉันน่ะ” ธิดาอธิบายแล้วเดินนำเพื่อนชายไปยังรถซึ่งจอดไว้ที่ชั้นสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะตามคำสั่งของก้องปฐพี
“ไม่เปลี่ยนใจไปเยี่ยมพี่ชายฉันแน่นะ” หญิงสาวถามย้ำอีกครั้ง
“ไม่ล่ะ ฝากสวัสดีพี่ก้องด้วย”
เธอยิ้มพยักหน้า แล้วควานหากุญแจรถในกระเป๋าพลางชวนเพื่อนชายเสวนา “นี่ฉันโชคดีนะเนี่ยที่เจอเธอ ตั้งแต่เรียนจบมัธยมก็ไม่ค่อยได้เจอเพื่อนเลย”
แต่แล้วก็ยกมือทาบอก “ตายแล้ว! ไม่แน่ใจว่าโชคดีแล้วล่ะ เพราะวันนั้นที่เราเจอกันบนรถเมล์ ฉันเกือบไม่รอด หวังว่าเจอกันครั้งนี้คงไม่มีอะไรเกิดนะ”
จากนั้นก็หัวเราะขำเมื่อชายหนุ่มหรี่ตามองแล้วรับของจากชายหนุ่มจัดวางให้ แต่ฉับพลันในขณะที่ก้มหัวลงนั้นเธอสัมผัสบางสิ่งที่ปลายหางม้าคล้ายอะไรสักอย่างพุ่งมาชนด้วยความเร็ว ในวินาทีถัดมาขณะที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ระพีพัฒน์รีบกระโจนเข้าหาแล้วกดตัวเธอให้นั่งลง
“สงสัยเธอจะโชคร้ายที่เจอฉัน” ระพีพัฒน์ว่าพลางก้มตัวมองลอดใต้ท้องรถแล้วเห็นขาของใครคนหนึ่งกำลังเดินมาทางที่พวกเขาหลบอยู่จึงทำสัญญาณมือบอกให้เธอเงียบ แล้วดึงแขนเธอให้ย้ายไปซ่อนตัวหลังรถคันอื่น รอเสียงของเจ้าของฝีเท้าดังขึ้นแล้วเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ
“ดูเหมือนว่าเธอจะมีคู่กรณีนะ” เขาหันมากระซิบบอก “แต่ขนาดใช้ปืนเก็บเสียงยิงเธอนี่มันไม่ธรรมดาแล้ว”
“แต่ฉันไม่เคยไปท้าตีท้าต่อยกับใครนะ” ใบหน้าของเธอมีความหวาดหวั่นเต็มพิกัด
ระพีพัฒน์ยกนิ้วชี้ชูที่ปากเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ ใช้สายตากวาดมองรอบลานจอดรถ ทางหนีจากที่นี่มี สองทางคือทางลิฟต์ที่อยู่ห่างไปไม่กี่เมตร กับสะพานเชื่อมตัวห้างด้านหลังแต่ไร้สิ่งกำบัง ฉะนั้นถ้าหากมันเล็งเป้าก็เท่ากับวิ่งไปหาที่ตาย
“เราจะออกจากที่นี่ยังไงดี” ธิดาจับชายเสื้อเพื่อนหนุ่มแน่น
“ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”
หญิงสาวถอนหายใจหนัก แล้วแหงนตามองเพดานเหนือศีรษะเห็นสปริงเกอร์ดับเพลิงที่ทำให้ความทรงจำย้อนกลับมา “มีคนเคยใช้สปริงเกอร์พาฉันหนีจากใครก็ไม่รู้ที่อยากได้ภาพถ่ายฉันในลานจอดรถ”
“นี่เธอแน่ใจนะว่าไม่ได้ไปเผลอเหยียบขาใครเข้า เขาถึงตามมาเหยียบคืน” เพื่อนหนุ่มย่นคิ้วกระซิบเสียงประชด
หญิงสาวทำหน้ามุ่ยใส่ “เราพอจะใช้มันหนีได้ไหม ใช้สปริงเกอร์ปล่อยน้ำลงมาไล่ให้ไอ้คนนั้นหนีไป”
“ถ้ามันเป็นโรคหมาบ้ากลัวน้ำล่ะก็น่าจะได้” คิ้วเข้มขมวดมุ่นแหงนมองเพดาน แล้วนิ่งอยู่อย่างนั้นจนเอ่ยประโยคต่อมา “แต่มันไม่ใช่หมาบ้า เราจะต้องใช้อย่างอื่นที่ตรงกันข้ามกับน้ำ”
ธิดาไม่เข้าใจความหมาย แต่พอเขาขยับตัวก็รีบยึดชายเสื้อไว้ มองเขาด้วยแววตากังวล
“เธอรออยู่ตรงนี้ หมอบให้ต่ำที่สุด เดี๋ยวฉันมา” ระพีพัฒน์ตบหลังมือหญิงสาวเบา ๆ
“แล้วเธอจะไปไหน”
“ก็หาทางกลับบ้านไง” ชายหนุ่มสาดสายตามองราวกับหาอะไรสักอย่างแล้วหันมาบอกเธอ “คืนนี้มีบอล”
ยังความกังวลให้ธิดาหนักเข้าไปอีก หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ ยังจะมีใจอยากดูบอลอยู่อีกหรือ หากแต่ยอมคลายมือออกแล้วนั่งคุดคู้ด้วยหัวใจเต้นรัว
ระพีพัฒน์เคลื่อนย้ายตำแหน่งให้เบาเสียงที่สุด กวาดตามองหาปุ่มสัญญาณฉุกเฉินที่ติดตั้งตามจุดต่าง ๆ แล้วรอจังหวะที่มือปืนเดินห่างออกไปจนสุดทาง จากนั้นวิ่งข้ามไปอีกฝั่ง กดปุ่มสัญญาณฉุกเฉินให้ดังเรียกมือปืนให้หันขวับมาเหนี่ยวไกยิง แต่กระสุนเม็ดนั้นไม่กระทบสิ่งใดนอกจากอากาศ กอปรกับเสียงสัญญาณฉุกเฉินที่ดังลั่นทำให้มือปืนปริศนาโกรธเคืองด่ากราดไปทั่ว
ชายหนุ่มเหยียดยิ้มเยาะฟังเสียงเท้าที่วิ่งเข้ามาจนได้ระยะที่ต้องการ อยู่หลังรถคันที่ซ่อนกาย แล้วถีบตัววิ่งเลียบไปตามช่องว่างของแถวรถ จนได้กดปุ่มสัญญาณอีกฝั่งในตำแหน่งที่สวนทางกัน จากนั้นอาศัยจังหวะที่มือปืนผู้นั้นลังเลทิศทาง วิ่งตรงไปกดปุ่มลิฟต์ก่อนจะสไลด์ตัวลาดกับพื้นกลับมายังรถของธิดา
เสียงสบถลั่นของมือปืนดังอีกครั้ง ในขณะที่ชายหนุ่มรื้อของบางอย่างจากถุงสัมภาระของเพื่อนสาว หยิบน้ำมันสนและทินเนอร์ออกมาแล้วรีบกลับไปตำแหน่งที่ธิดาซ่อนตัวอยู่
“อย่าคิดว่าจะหนีกูพ้น!”
เสียงมันคำรามดังจนธิดารู้สึกขนลุกซู่ แต่ก็ใคร่อยากรู้ว่าเพื่อนของเธอกำลังทำอะไร เขาถือวิสาสะเปิดฝาน้ำมันสนกับทินเนอร์แล้วเทของเหลวภายในทิ้งอย่างละครึ่งก่อนที่จะผสมครึ่งที่เหลือเข้าด้วยกันในขวดน้ำมันสน จากนั้นบอกกับเธอหลังจากปิดฝาขวดจนสนิท
ธิดาสะกดเสียงลมหายใจให้เงียบที่สุดเมื่อเสียงฝีเท้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนระพีพัฒน์ก้มตัวดูความเคลื่อนไหวจากใต้ท้องรถ พอเห็นขาของมือปืนปริศนากำลังเดินผ่านเลยไปอย่างเชื่องช้าของมือปืนปริศนาก็เริ่มสะกิดธิดาให้ย้ายตำแหน่งไปซ่อนข้างรถคันที่จอดตรงข้ามลิฟต์
“เตรียมตัววิ่ง”
เธอไม่เข้าใจอะไรนักแต่ถ้าเขาขยับขาเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคือเวลาที่เธอต้องติดไฟใส่เท้า เฝ้ามองตัวเลขบนแผงปุ่มบอกชั้นที่กำลังเคลื่อนลงมายังชั้นที่พวกเธออยู่ ในมือของระพีพัฒน์ยังมีขวดของเหลวไว้ และอีกมือหนึ่งล้วงหยิบไฟแช็กขึ้นมา
และทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดอ้า ชายหนุ่มก็ทำให้ธิดาตกตะลึงตาค้าง เพราะจู่ ๆ เขาก็พรวดลุกขึ้นแล้วตะโกนโหวกเหวกเสียงดังว่า
“ไฟไหม้!”
มือปืนหันขวับมาทางเสียงตะโกน ระพีพัฒน์ก็รีบขว้างขวดน้ำมันสนออกไปจากที่ซ่อน ไฟสลัวไม่เป็นปัญหาสำหรับมือปืนระดับพระกาฬ เพราะเสียงเคลื่อนไหวนั้นดังพอสำหรับเขาที่จะเล็งเหนี่ยวไกใส่
และเมื่อลูกกระสุนแหวกอากาศพุ่งเข้ากระทบขวดแก้ว ของเหลวภายในจึงแตกกระจาย ไฟแช็กที่จุดรอไว้จึงถูกโยนออกไปเกิดเป็นเปลวไฟขนาดใหญ่ลุกท่วมทันที
เขาฉุดธิดายืนขึ้นแล้วลากเธอวิ่งผ่านหลังเปลวเพลิงร้อนแรง
“วิ่งให้เร็วอีก!”
แต่หญิงสาวที่เพิ่งผ่านอาการบอบช้ำทางร่างกาย แม้จะเดินได้แต่ก็ยังไม่หายดี แต่ทุกก้าวที่ขยับก็สร้างความเจ็บแปลบปลาบ จนเมื่อทั้งคู่เข้าใกล้ลิฟต์ ร่างบางก็ถูกเหวี่ยงหวือเข้าไปก่อน ส่วนตัวชายหนุ่มก็กระโจนพุ่งตามไป
“ยืนชิดกำแพง!”
เขาตะโกนสั่งพร้อมกับเอาตัวเองยืนแนบสนิทกับกำแพงลิฟต์ในฝั่งตรงข้าม หลบวิถีลูกตะกั่วที่พุ่งเข้ามาแหวกผ่านอากาศตรงกลางระหว่างทั้งสอง
“บัดซบ!” ประตูลิฟต์ปิดลงพร้อมเสียงไซเรนที่ดังแว่วมาและเสียงคำรามด่าของมือปืนนิรนาม
ธิดาทรุดลงกับพื้นนั่งตัวสั่นน้ำตาคลอ ส่วนเขาเองก็ได้แต่จ้องเพื่อนสาวด้วยความสงสัย ที่คิดว่าจะไม่ไปเยี่ยมเยียนพี่ชายของเธอก็ทำให้ระพีพัฒน์ตัดสินใจไปส่งเพื่อนสาวถึงบริษัทชลธารคอนสตรักชั่น
คำบอกเล่าเหตุการณ์จากปากธิดาสร้างความหวั่นวิตกปนความเดือดดาลให้ทั้งเกรียงไกรและก้องปฐพี แต่ก็ต้องขอบใจระพีพัฒน์ที่ช่วยเหลือธิดาให้รอดมาได้ กระนั้นก้องปฐพีก็ยังไม่คลายความร้อนใจ เขาออกจากบริษัทโดยขอร้อง ระพีพัฒน์ให้ร่วมเดินทางไปบอกเล่าเรื่องราวกับปราณนารายณ์และเตชินอีกครั้งหลังจากส่งธิดาถึงบ้าน
“ว่าแต่น้องสาวพี่ก้องไปตีรันฟันแทงกับใครเขามาหรือครับ เขาถึงได้ตามมาเอาคืนกันขนาดนี้” ระพีพัฒน์เอ่ยถามในที่สุดเมื่อเขามาอยู่ในเคหสถานหลังใหญ่ และนอกจากก้องปฐพีแล้ว ภายในห้องนี้มีบุคคลอื่นที่เขาไม่รู้จักถึงสามคน คนแรกคือหนุ่มใหญ่ผิวขาวดวงตาเรียวในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกางเกงดำ ส่วนอีกหนึ่งอ่อนวัยกว่าแต่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกัน กับอีกคนที่เขาคุ้นตาว่าเคยเห็นจากในหน้านิตยสารแวดวงธุรกิจการเงิน
“พวกเราคิดว่าธิดากำลังถูกลอบวางแผนทำร้ายจากใครคนหนึ่งและครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สอง” ก้องปฐพีไขความสงสัยให้ “ยังไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไรและมันเป็นใคร ซึ่งตอนนี้ทางตำรวจก็กำลังหาข้อมูลจากเบาะแสกับหลักฐานที่เก็บได้”
“เบาะแสกับหลักฐานที่ว่านั่นมันคืออะไรครับ” ไม่ใช่ว่าระพีพัฒน์เป็นพวกชอบสอดรู้ แต่คิดว่าเขาควรมีข้อมูลไว้บ้างเพราะได้เอาขาเข้าไปแกว่งและถูกเสี้ยนตำมาแล้วหนึ่งข้าง
ครั้งนี้เตชินเป็นคนเล่า “สงสัยกันว่าคนที่วางแผนลอบทำร้ายธิดาอาจเกี่ยวข้องกับการค้าแรงงานเถื่อน เพราะ ครั้งแรกนั้นธิดาโดนทำร้ายเป็นคนต่างด้าว แต่ตอนนี้กำลังพักฟื้นตัวในโรงพยาบาลและรอจนกว่าหมอจะตัดสินว่าอยู่ในสภาวะที่สื่อสารได้ หลักฐานก็มีแค่มีดเล่มหนึ่งที่พวกมันใช้ทำร้ายธิดา”
จากนั้นเจ้าพ่อกาสิโนก็วางเอกสารปึกหนึ่งไว้บนโต๊ะ “นี่เป็นรายชื่อบริษัทที่ใช้แรงงานเถื่อนพร้อมกับรูปถ่ายแรงงานเถื่อนทั้งหมด ฉันรวบรวมไว้เพื่อส่งให้กับทางตำรวจ”
“ผมขอดูได้ไหมครับ”
เตชินเลื่อนเอกสารไปทางชายหนุ่มแล้วพูดต่อ “แล้วเราก็สันนิษฐานว่าบริษัทองอาจพาณิชกิจอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง”
“ทำไมถึงคิดว่าองอาจพาณิชกิจถึงมีความเกี่ยวข้องกับรายชื่อในนี้ล่ะครับ”
แต่ตฤณพูดทักท้วงไว้ “เขายังเป็นคนนอกอยู่ ให้รู้เรื่องนี้เยอะเกินไปจะดีหรือครับพ่อ”
“อย่างน้อยถ้าจะมีใครทำร้ายเรา เราก็น่าจะรู้ว่ามันมีพวกไหนบ้าง จะได้เตรียมตัวไว้แต่เนิ่น ๆ เพราะหน้าของผมคงไปปรากฏบนประกาศจับของพวกมันแล้วล่ะ” ระพีพัฒน์เอ่ยผ่านคนเป็นพ่อแล้วหยิบเอกสารขึ้นดูโดยไม่สนใจผู้ถาม
“เป็นแค่ข้อสงสัยของทางตำรวจน่ะ” ผู้เล่าเรื่องคนต่อมาคือชายหนุ่มดวงตาสีน้ำตาลเข้ม และดูเหมือนเขาทำ สีหน้าลำบากใจ “ข้อสงสัยข้อแรกคือผลประโยชน์ทางธุรกิจ เพราะจากรายงานผลประกอบการขององอาจพาณิชกิจมีข้อผิดสังเกต ธุรกิจขาดทุนหลายปีจนควีนส์คอร์ปตัดท่อน้ำเลี้ยง ดังนั้นถ้าไม่มีคนใจบุญบริจาคให้ก็ต้องหาเงินมาจากแหล่งอื่น”
“ซึ่งคุณคิดว่ารายได้ของเขาอาจมาจากการค้าแรงงานเถื่อน” ระพีพัฒน์ถามกลับ
“อาจเป็นไปได้” ผู้ถูกถามทำหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่มีข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับองอาจพาณิชกิจหรือครับ เช่น เขามีคู่ค้าธุรกิจกับใครอะไร และที่ไหนบ้าง” ระพีพัฒน์ถามข้อมูลเพิ่มเติมขณะมองรายชื่อซ้ำอีกรอบ
“เรารู้แค่องอาจพาณิชกิจทำธุรกิจค้าไม้” เตชินให้ข้อมูลเพิ่มและนึกสนุกที่เด็กหนุ่มคนนี้สนใจ
“คุณก็กำลังสืบไปทางที่มาของไม้” ระพีพัฒน์เอ่ยข้อคิดเห็น “แล้วหลักฐานอย่างอื่นเช่น มีดเล่มนั้นไม่มีร่องรอยหรือเบาะแสอะไรเลยหรือครับ”
เตชินถอนลมหายใจ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “มีดเล่มนั้นไม่ปรากฏร่องรอยอะไรนอกจากคราบเลือดของเหยื่อ ตอนนี้ทางตำรวจก็กำลังหัวหมุน ทางเดียวที่จะพาไปหาคำตอบก็คงเป็นการสอบปากคำผู้ต้องหา”
“แล้วข้อสงสัยข้อต่อมาล่ะครับ” ระพีพัฒน์ถามต่อ
แต่ใบหน้าของชายหนุ่มดวงตาสีน้ำตาลแสดงให้เห็นว่าไม่อยากเอ่ยถึง กระนั้นคำตอบที่ได้ก็คือ “ชู้สาว... ลูกสาวของเสี่ยองอาจคบกันอยู่กับฉันที่...”
“ที่หมั้นกับน้องสาวของฉัน” คนเติมเต็มข้อมูลคือก้องปฐพี ทั้งน้ำเสียงและแววตาขณะพูดก็เคร่งขรึมคล้ายส่งกระแสความกดดันบางอย่างให้อีกฝ่าย
ภาคีสมาชิกถกปริศนากันหลายชั่วโมงจนได้เวลาแยกย้าย เตชินให้ตฤณขับรถไปส่งระพีพัฒน์ ก้องปฐพีขอตัวกลับ คงเหลือแค่ปราณนารายณ์ที่ยังนั่งจมจ่อมกับความคิด แต่เพราะปริศนายากเกินจะแก้ไข ที่ทำได้ก็รอให้ทางสารวัตรอัชวินแจ้งความคืบหน้าของการสอบสวนผู้ต้องหาสองรายนั้นให้ได้
แล้วความทรงจำโหดร้ายก็ทำให้เขาพาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าลานกว้างที่อดีตเคยเป็นดงดอกอ้อหนาทึบมีคลื่นขาวกระเพื่อมยามลมพัดไหว ซึ่งบัดนี้กลายสภาพเป็นทุ่งหญ้าแห้งที่ถูกเผาจนโล่งเตียนเพื่อทำลายมุมอับลับสายตา
ดวงตาสีน้ำตาลเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทอดสายตามอบความอาลัยแด่บ้านของเจ้าหิ่งห้อยตัวน้อยหลายพัน อาวรณ์ถึงดินแดนที่เก็บบันทึกความรู้สึกยามหัวใจไหวสั่น เมื่อได้สบประสานสายตากับดวงตาคู่งามจนหักห้ามแรงปรารถนาไม่อยู่
‘กูจูบธิดา’ คำสารภาพต่อหน้าภีฆาเนตรในคืนสุดท้ายก่อนน้องชายลาลับไปสู่ฝรั่งเศส
เขาหวังได้ยินคำด่า หวังว่าจะถูกซัดหน้าด้วยกำปั้น แต่ภีฆาเนตรเลือกตอบโต้ด้วยคำพูดว่า
‘กูไม่สนว่ามึงจะคิดหรือปฏิบัติต่อธิดายังไง ที่กูต้องสนคือความรู้สึกในใจของธิดา คือความคิดของที่ธิดามีต่อมึง’
ก็คงจะเป็นนรกที่เธอรู้สึกกับเขา ก็ใครกันล่ะอยากอยู่ใกล้คนที่ไม่รัก ต่อให้ฝืนอย่างไรมันก็ร้อนรุ่มใจไม่ต่างกับถูกแผดเผาด้วยไฟ
รถสปอร์ตคันหรูขับเข้าสู่ลานจอดรถในคฤหาสน์เสี่ยใหญ่ ปริมประภาก้าวลงจากรถแล้วผินมองล้อที่เคยถูกล็อกโดยนายตำรวจวันก่อน จากนั้นหมุนตัวเดินกลับเข้าสู่คฤหาสน์ แต่เมื่อใกล้ถึงทางเข้าตึกใหญ่ ก็พบรถตู้แบบอเนกประสงค์สีดำมันวาวจอดอยู่กับชายฉกรรจ์หลายคนยืนส่งเสียงพูดคุยสูบบุหรี่ควันคละคลุ้งที่ประตูทางเข้า
หญิงสาวเก็บสีหน้าไม่พอใจไว้มิดชิด ยืดตัวตรงเดินเชิดเข้าสู่สถานที่ที่เธอเป็นเจ้าของ แม้จะได้ยินเสียงผิวปาก กับคำพูดระรานทางเพศ เธอก็ทำเป็นเสมือนเสียงผีสางขอส่วนบุญ ร่างงามก้าวเดินเข้าไปช้า ๆ ด้วยรู้ว่านายใหญ่ของพวกมันอยู่ด้านใน หลีกเลี่ยงการต้องพบเจอกับดวงตาของโจรป่าเลือดเย็น
“เสี่ยมีอะไรจะให้ฉันช่วยหรือถึงขอให้ฉันมาหาถึงที่ ถ้าเรื่องผ่อนผันหนี้ล่ะก็ เสี่ยคิดดูให้ดีนะ ฉันไม่เคยใจดีกับลูกหนี้ที่ผิดสัญญา” เสียงแหบเอ่ยดังจากห้องโถงใหญ่
“ฉันต้องขออภัยที่ติดต่อนายพนาให้เข้าเมืองมาหา ฉันไม่ได้จะขอผ่อนผันเรื่องหนี้ แต่ฉันกำลังทำตามวิธีที่ได้เงินมาคืนเสี่ยเร็ว ๆ แต่ดันมีปัญหา”
ปริมประภามองซ้ายมองขวา แล้วเงี่ยหูฟังอย่างเงียบเชียบ
“ทำไมฉันต้องฟังด้วย เสี่ยจะหาเงินมายังไงก็เป็นเรื่องของเสี่ย แต่เงินที่ได้มาต้องเป็นของฉัน หรือว่าแผนของ ลูกสาวเสี่ยเริ่มจะไม่ได้ผล”
“เพราะอย่างนั้น... ฉันเลยอยากขอให้นายพนาช่วยน่ะสิ” เสี่ยองอาจบอก แล้วพ่นหายใจขยับตัวโน้มเข้าใกล้เจ้าหนี้ “คือว่ามันมีอิฐก้อนใหญ่ขวางทางสำเร็จอยู่”
นายพนามองใบหน้าเสี่ยองอาจด้วยดวงตาข้างเดียวที่เหลืออยู่ รอฟังคำพูดต่อไปด้วยท่าทีนิ่งเฉยไร้ความรู้สึกร่วม
“อีคุณหญิงมันดันจับหลานชายมันหมั้นกับผู้หญิงคนอื่นเสียก่อน นี่ไงล่ะที่ทำให้ฉันต้องเรียกนายพนามาฟังคำขอร้อง”
“เสี่ยจะให้ฉันทำอะไร อย่าอ้อมค้อม”
“ฉันส่งคนไปจัดการอีนางคู่หมั้นคนนั้น แต่พลาด...” เสี่ยแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้ง “แถมไอ้พวกโง่ที่ฉันจ้างมาดันถูกตีเสียยับ ตอนนี้มันนอนรอตำรวจสอบปากคำที่โรงพยาบาล”
“อ้อ...” นายพนาควานซองบุหรี่ออกจากกระเป๋าเชิ้ตสีดำ จุดสูบพ่นควันมองเสี่ยใหญ่ อ่านดวงตาของคนเดือดร้อนออกว่าต้องการอะไร “เสี่ยเลยจะขอยืมมือฉันปิดปากพยาน”
เสี่ยองอาจหยุดหายใจชั่วครู่แล้วพ่นออกมาด้วยความรู้สึกยำเกรง ไม่ต้องพูดอะไรให้เยอะความ โจรป่าผู้นี้ก็รู้ว่าเขาต้องการสื่ออะไร
“ฉันช่วยเสี่ยแล้วฉันจะได้อะไร ดูท่าจะเสี่ยงแกว่งเท้าหาเสี้ยนให้ถูกสาวถึงตัวเสียมากกว่า ฉันยังไม่อยากให้ธุรกิจใหญ่ของฉันสูญ” เสียงเย็นเอ่ยถาม แววตายะเยือกต้องการคำตอบ
เสี่ยองอาจกลืนน้ำลาย ก็เพราะว่ามีเหตุเกิดและอาจทำให้นายพนาถูกสาวถึงตัวนี่สิ มีดที่เขายื่นให้ไอ้พวกสองคนนั้นคือหนึ่งในสินค้าของนายพนา ซึ่งคิดได้อย่างเดียวว่าหลักฐานที่ใช้ก่อเหตุอยู่ในมือสารวัตรอัชวินแล้วแน่นอน และหากนายพนารู้ล่ะก็ ไม่รอให้ถูกต้องฆ่าล้างหนี้กันเลย เขาคงถูกเป่าทิ้งตรงนี้แน่
“ถ้าจะจ่ายค่าเสี่ยงให้นายพนาเป็นเงิน นายพนาก็คงรู้ว่าฉันไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น แต่ถ้าจะจ่ายเป็นอย่างอื่นแทน”
รูปถ่ายถูกหยิบออกจากซองเอกสารที่เตรียมไว้แล้วเลื่อนไปที่หน้าโจรป่า “ฉันรู้มาว่างานที่พนากำลังปิดทางการอยู่คืออะไร”
แววความไม่พอใจของนายพนาฉายออกมาจนองอาจหายใจลำบาก รีบพูดต่อให้อีกฝ่ายเข้าใจ “ฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ถ้านายพนากำลังต้องการวัตถุดิบดี ๆ นางเด็กคนนี้ก็น่าจะเข้าข่ายอยู่บ้าง โชคดีที่ลูกน้องของฉันเพิ่งรายงานมาว่าแผนครั้งที่สองของฉันพลาดตามเคย”
ผู้ถูกเสนอวัตถุดิบหยิบรูปถ่ายขึ้นแล้วจับจ้องมองหญิงสาวในรูปแน่วนิ่ง ก่อนขยับปากหนาแยกเป็นรอยยิ้ม น่าเกรงขาม
“ฉันอยากได้เธอคนนี้ในสภาพมีชีวิต เสี่ยต้องเฝ้าไว้จนถึงวันที่ฉันส่งคนมารับตัว” พูดแล้ววางรูปถ่ายบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน ทิ้งบุหรี่ลงผืนพรมก่อนใช้เท้าขยี้จนไฟปลายมวนมอด
“ส่วนเรื่องปิดปากพยาน... ฉันจะจัดการให้ รับรองสมน้ำสมเนื้อกับความลับที่มันจะต้องเก็บไว้ไปจนวันตาย”
หญิงสาวที่ลอบแอบฟังอย่างใจจดจ่อนั้นใจเต้นไม่เป็นส่ำ อารามตกอยู่ในภวังค์ทำให้ปริมประภาไม่ทันไหวตัวเมื่อประตูห้องถูกเปิดอ้า ชายใบหน้าเหี้ยมกับรอยยิ้มแสนเยือกเย็นก็ปรากฏใกล้สายตา
“สวัสดี คุณหนู”
หัวใจเธอหล่นหายคล้ายหนูตัวเล็กกำลังหมอบอยู่เบื้องหน้าราชสีห์ “สะ... สวัสดี”
“ขออภัยที่มาเป็นแขกยามวิกาล” นายพนาก้าวเดินเข้าใกล้ คล้ายจงใจใช้ร่างตัวเองปะทะกับผู้หญิงร่างบางจนเธอต้องเป็นฝ่ายผงะก้าวถอยหลัง เบนสายตาไม่อยากสบตากับคนที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าชายร่างกำยำน่าเกรงขามผู้นี้กำลังมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เธอสวย...” เขาเอ่ยชม “แต่... ไร้เสน่ห์” ต่อจากนั้นก็ตำหนิเธอ
ปริมประภาเก็บความไม่พอใจไว้ให้มิดภายใต้ใบหน้าเรียบสนิท เธอไม่จำเป็นต้องฟังคำพูดที่พ่นออกจากปาก คนที่ไร้ความเมตตา “ขอบคุณที่วิจารณ์หน้าตาของฉัน แต่ฉันคงไม่จำเป็นต้องเชื่อ”
เสียงหัวเราะแหบห้าวไม่น่าฟัง แววตาหยันก็ไม่ชวนมอง “แน่นอน เราไม่จำเป็นต้องเชื่อคำพูดของใคร... แม้จะเป็นคำพูดของคนที่รักกันมากแค่ไหนก็ตาม คำพูดมันก็เป็นเพียงแค่ลมที่ไร้ตัวตน ไร้กาลเวลา”
“ฉันเชื่อตัวเอง” เธอกล่าวพลางกำมือแน่นจนเหงื่อไหล
“ดี” นายพนาเอ่ยเสียงเย็น “อย่างน้อยเธอไม่โง่เหมือนกับผู้หญิงที่สวยแค่หน้าตา”
โจรป่าตบเท้าเดินออกไป ตามติดด้วยเหล่าชายฉกรรจ์ในชุดดำสีเดียวกัน แสงไฟของรถอเนกประสงค์ออกจากเขตสถานที่พักอาศัยหายไปในความมืด แต่หัวใจของหญิงสาวไฮโซนั้นรุ่มร้อนดั่งมีเพลิงเผาไหม้อยู่ภายใน เอ่ยเสียงพูดรอดไรฟันกลั่นออกจากความคิดทั้งมวล
“แล้วฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครจะมาดูถูกสมองกันง่าย ๆ!”