"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๑๕ ปิดปาก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่,ลมห่วงรัก-บทที่ ๙ ความหวังเดียว,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 1/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 2/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๔ ไฟ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๕ ปิดปาก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๖ แมลงปอปีกหัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๗ ห่วง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๘ ยื้อ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๙ แถลงไขสัญญาหมั้น,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๐ วายุ ปรเมศศิวะวงศ์,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๑ ผู้ชายขี้แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๒ สายสืบสายสูบ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๓ ขัดดอก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๔ ชิงนาง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๖ ตามหา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๗ ร่างปริศนา

เนื้อหา

บทที่ ๑๕ ปิดปาก

ตอนที่ ๑๕ ปิดปาก

 

“ผมต้องเสียใจด้วยครับคุณผู้หญิง ผมไม่สามารถบอกข้อมูลของนายตำรวจคนนั้นได้”

เป็นคำตอบที่ทำให้ปริมประภาถอนหายใจเมื่อได้ฟังคำตอบจากสารวัตรของสถานีตำรวจที่เธอมาเสียค่าปรับในวันก่อน

“ช่วยบอกสักนิดไม่ได้เลยหรือคะ ฉันมีเรื่องอยากจะขอบคุณเขาเท่านั้นเองค่ะ”

“ขอบคุณที่เขียนใบสั่งให้น่ะหรือครับ แหม ผมยังไม่เคยเห็นประชนชนพลเมืองไทยคนไหนเขายินดีเหมือนคุณเลย แต่ยังไงก็ตาม ผมให้ข้อมูลคุณไม่ได้จริง ๆ”

เธอไม่รู้จะเว้าวอนอย่างไรต่อ จึงทำได้แค่ยิ้มแห้ง ๆ และติดใจสงสัยว่าเหตุใดข้อมูลของนายตำรวจคนนั้นถึงได้เป็นความลับนักแม้กระทั่งชื่อ สารวัตรก็บ่ายเบี่ยงโดยไม่ให้เหตุผลอะไรชัดเจน ปริมประภาจึงเดินออกจากสถานีตำรวจด้วยความผิดหวัง

การตามหาใครคนหนึ่งที่เธอกำลังทำอยู่นั้นเกิดขึ้นจากการใช้ความทรงจำมาปะติดปะต่อทั้งสิ้น และเพราะเกรงว่าหน่วยบันทึกความจำของเธอจะเลือนราง จึงใช้ความสามารถเท่าที่มีวาดใบหน้า ทรงผม และรูปร่างของบุคคลปริศนาในแต่ละช่วงเวลาขึ้นมา

ที่น่าสงสัยคือทุกช่วงเวลา ชายผู้นั้นก็ปรากฏกายในรูปลักษณ์แตกต่างกันจนไม่คิดว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน คนแรกคือนายหัวฟู เด็กเสิร์ฟผู้มีไฝเม็ดเป้ง และคนที่สองคือตำรวจจราจรที่มาพร้อมกับรอยยิ้มโชว์เขี้ยวสดใสผู้ให้ฉายาเธอว่า โดเรมี่

แต่สิ่งหนึ่งที่ฉุดรั้งความเชื่อมั่นให้ยังอยู่คือรอยยิ้มกว้างโชว์เขี้ยวแหลมที่เป็นพิมพ์เดียวกันทุกครั้ง และถ้าหากบุคคลทั้งสองเป็นคน ๆ เดียวกันแล้ว นั่นหมายความว่าเธอกำลังถูกสะกดรอยตาม จะด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับบิดาหรือไม่หญิงสาวก็สุดจะคาดเดา

และราวกับกระแสจิตตรงกัน ในตอนที่ปริมประภากำลังจะเหยียบคันเร่งเคลื่อนรถออกจากสถานีตำรวจนั้น ก็มีสายจากบิดาเข้ามาพอดี

“ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน”

ไม่ทันได้เอ่ยคำทักทายอะไร เสียงของปลายสายก็ชิงพูดเสียก่อน แต่เธอไม่จำเป็นต้องรายงานความจริงทุกอย่าง “ปริมออกมาทำงานค่ะ คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นจะโทรมาถาม”

“เสร็จงานแล้วแกต้องรีบกลับเข้าบ้านทันที ห้ามออกไปไหน”

“ทำไมคะ ทำไมวันนี้ปริมต้องกลับบ้านเร็วด้วย”

“เออน่า ไม่ต้องถามมาก”

“ปริมยังไม่แน่ใจว่าจะกลับกี่โมงค่ะ วันนี้มีนัดคุยงานตอนเย็น น่าจะกลับดึก คงกลับเร็วตามที่คุณพ่อสั่งไม่ได้”

“ฉันสั่งแกก็ต้องทำ ต่อไปนี้แกต้องทำตามที่ฉันบอก ฉันไม่รอไอ้แผนบ้า ๆ ของแกสำเร็จอีกแล้ว”

เธอเริ่มฉุนขึ้นมาบ้างแล้ว ที่ทำทุกอย่างในทุกวันไม่ใช่เพราะต้องการช่วยเขาหรือ นอกจากจะไม่เห็นค่าแล้ว ยังทำในสิ่งที่มันเกินเลยจนกลายเป็นห่วงมัดคอตัวเอง

“ถ้าคุณพ่อไม่ใจร้อน เรื่องมันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่เป็นอยู่!”

ปริมประภาตัดสายทันที น้ำตาที่อดกลั้นมานานก็ถึงคราวร่วงเผาะ หญิงสาวซบหน้ากับพวงมาลัยร้องไห้ออกมาราวกับต้องการระบายความทุกข์โศกออกให้หมด แต่รู้แก่ใจดีว่าสิ่งที่กำลังเผชิญไม่มีทางล้างออกได้ด้วยหยาดน้ำตาและรังแต่จะเพิ่มพูนความอ่อนแอให้หัวใจ

และเธอตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ทางเลือกที่ทำให้รอดมีสองทาง หนึ่งคือหาเงินมาปลดหนี้ให้เร็วที่สุด และสองคือหาทางปลดปล่อยครอบครัวจากนายพนา

 

ความเงียบยังเป็นสิ่งเดียวที่ครอบครองความคิดของผู้กองหนุ่ม ดวงตาเรียวจดจ่อไปยังปลายมีดคมที่ยังมีสะเก็ดเลือดแห้งของผู้บาดเจ็บติดเกรอะกรัง ตัวมีดทำจากเหล็กเนื้อดี ลักษณะใบกว้างสันหนา ปลายคมตีจนบางเฉียบเท่าแผ่นกระดาษ ความพิเศษอีกอย่างคือรูปร่างใบมีดนั้นอ่อนช้อยคล้ายจะงอยปากนก ส่วนตัวด้ามเป็นไม้ขัดมันรูปทรงจับถนัดมือ

“การตีมีดแบบนี้มีรูปแบบมาจากฝั่งตะวันตก เพื่อนบ้านเราครับผู้กอง” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งในทีมสืบคดีเอ่ยให้ข้อมูล “นิยมใช้ฟันไผ่ ฟันไม้เวลาที่ชาวบ้านเข้าป่าหาของป่ากัน”

“เรื่องมันตรงกันกับที่ผู้ร้ายก็เป็นชาวต่างด้าวที่มาจากถิ่นนั้นแต่ก็ต้องรอพิสูจน์อีกครั้ง เพราะพวกคนร้ายไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้ขออนุญาตเข้าประเทศแบบถูกกฎหมาย” ผู้กองหนุ่มทำท่าครุ่นคิดเคาะนิ้วมือกับโต๊ะเป็นจังหวะซึ่งเป็นกิริยาที่เขาทำจนติดเป็นนิสัยเวลาที่กำลังใช้ความคิด

“เย็นนี้สารวัตรจะไปสอบปากคำคนร้ายถึงโรงพยาบาลหลังจากเสร็จการประชุมสรุปความคืบหน้าของคดีต่าง ๆ กับกรมฯ ผู้กองจะเดินทางไปพร้อมกับเราไหมครับ”

ผู้กองอาวุธส่ายหน้า “ไม่ดีกว่าผมขอแยกตัวไปสืบข้อมูลอะไรเพิ่มอีกสักหน่อย แต่ถ้ามีอะไรก็เรียกตัวผมได้ทุกเวลา”

อาวุธลุกขึ้นยืนสวมเสื้อกั๊กวินมอเตอร์ไซค์ โพกหัวด้วยผ้าลายแล้วคว้าแว่นตากันแดดสีดำออกจากลิ้นชัก แล้วย้อนรำลึกถึงตอนที่ลอบตามไฮโซสาวไปจนถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ของเสี่ยองอาจ ซึ่งนั่นเป็นข่าวใหญ่ที่สุดสำหรับสารวัตร อัชวิน

“เมื่อวันก่อนนายพนาปรากฏตัวในเมืองอีกครั้ง ผมมีลางสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ให้สายของเรากระจายตัวให้ทั่ว คอยเฝ้าระวังเหตุไว้ก็ดี” ทิ้งคำสั่งไว้กับผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วกำลังจะก้าวเดินออกจากห้องทำงาน

“อ้อ ขออภัยครับผู้กอง ผมลืมบอกไป สารวัตรให้เราลองค้นหารอยสลักที่อยู่บนมีดกับสืบที่มาของไม้ที่องอาจพาณิชกิจได้มาด้วยครับ”

“รอยสลักงั้นหรือ? แต่เราก็พลิกดูทุกด้านแล้วไม่เห็นอะไร” อาวุธย่นคิ้วเดินกลับมามองหลักฐานบนโต๊ะ

“นั่นสิครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้น้อยถอนหายใจ “แต่คดีชิงทรัพย์ข่มขืนยังมีไอ้มีดนี่ไว้ลูบคลำทางบ้าง ไม่เหมือนคดีผู้หญิงหายสาบสูญที่มีขึ้นทุกวัน นี่ก็ยังตามร่องรอยอะไรไม่เจอสักอย่าง เหมือนกับเหยื่อพวกนั้นล่องหนหายไปเฉย ๆ”

“ล่องหน...” เกิดความคิดไหลผ่านเข้าหัวของผู้กองหนุ่มสายสืบมือฉกาจของกรมสืบสวน เขาหยิบถุงใสที่ใส่หลักฐานชิ้นสำคัญขึ้นเพ่งมองตั้งแต่ปลายคมจรดปลายด้าม

อาวุธกดน้ำหนักมือลงบนบ่าผู้ใต้บังคับบัญชา “คุณส่งหลักฐานชิ้นนี้กลับคืนให้ฝ่ายนิติเวช บอกเขาว่าผมต้องการให้เขาหาร่องรอยจากมีดเล่มนี้อีกครั้ง”

“แต่เขาก็น่าจะหาข้อมูลมาให้เราหมดแล้วนะครับ” จ่าว่าพลางมองใบหน้าผู้กองอย่างฉงน

“แล้วเขาได้ลองหาอะไรที่เห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าหรือยัง”

 

ขณะนี้เวลาสิบเก้านาฬิกาเศษ

นาฬิกาข้อมือของสารวัตรใหญ่บอกเวลาได้เที่ยงตรงทุกครั้ง ฉะนั้นสารวัตรอัชวินมีเวลาเดินทางจากกรมฯ ไปโรงพยาบาลแค่สามสิบนาทีเพื่อใช้เวลาสอบปากคำคนร้ายโดยไม่สนใจว่าอาการช้ำในสมองจะดีขึ้นจนสามารถตอบคำถามเขาได้หรือไม่

“พวกเอ็งรักษาการไว้ให้ดี ข้ากำลังจะไปถึง”

สารวัตรแจ้งกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำหน้าที่เฝ้าคนร้ายหน้าห้องพักฟื้นก่อนติดต่อไปทางจราจรพื้นที่ให้ส่งเจ้าหน้าที่ออกมาเคลียร์ถนนให้โล่ง ส่วนหูก็ฟังรายงานต่าง ๆ ผ่านทางวิทยุสื่อสารของกรมฯ ซึ่งทุกรายงานนั้นเป็นข่าวอาชญากรรมซึ่งไม่น่าประหลาดใจแต่ที่ทำให้ต้องสนใจฟังรายงานเหล่านั้นมากขึ้น คือทุกเหตุนั้นเกิดในหลายจุดซึ่งมีระยะเวลาการเกิดห่างกันเพียงไม่กี่นาที

“วันนี้มันวันอะไรวะเนี่ย” อัชวินเอ่ยอย่างเข่นเขี้ยว

“วันนี้ก็วันขึ้นสิบห้าค่ำไงครับ” ผู้ติดตามที่ทำหน้าที่เป็นพลขับให้เอ่ยจากหลังพวงมาลัย

“แล้วมันเกี่ยวอะไรวะ”

“ก็บ้านผมเขาเชื่อว่าวันขึ้นสิบห้าค่ำจะเป็นวันที่ยมโลกเขาปล่อยผีหรือให้เดรัจฉานออกเที่ยวมารับส่วนบุญ”

“ชิชะ” สารวัตรใหญ่เหยียดปาก “เอ็งจะบอกว่าไอ้สัตว์นรกพวกนั้นก็เลยเข้าสิงสู่คนให้มีใจชั่วทำบาปกับชาวบ้านมากกว่าจะมารับบุญงั้นสิ ฟังแต่ละข่าวในรายงานแล้ว ข้าก็ของขึ้น”

“แหม สารวัตรครับ เรื่องแบบนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ แล้วไอ้พวกที่เล่น...”

“เงียบ” สารวัตรสั่ง แล้วโน้มตัวไปที่แผงคอนโซล หมุนปุ่มเร่งเสียงวิทยุสื่อสารให้ดังฟังชัดมากขึ้น

‘ต้องการกำลังเสริม ต้องการกำลังเสริม มีเหตุรถบรรทุกวิ่งด้วยความเร็วฝ่าไฟแดงและขับส่ายไปมาบนถนนเส้นพระรามเก้า ตอนนี้มีรถที่ได้รับความเสียหายประมาณตัวเลขมากกว่าสิบคัน กำลังตรวจสอบผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต’

“นั่นมันถนนที่ตั้งโรงพยาบาลที่เรากำลังจะไปนี่ครับสารวัตร”

อัชวินกัดฟันกรอด รีบต่อสายหาหลานชายเพื่อให้รีบรุดไปที่โรงพยาบาล แต่ปลายสายกลับปล่อยให้สัญญาณดังทิ้งไม่มีวี่แววว่าจะรับ

“ติดต่ออาวุธให้ข้าที บอกให้ไปเจอที่โรงพยาบาล” สารวัตรใหญ่สั่งการแล้วรีบลงจากรถแล้ววิ่งไปตามถนนที่มีแต่รถราหยุดสนิทเต็มพื้นที่คล้ายถนนสายนี้เป็นอัมพาต สายตาแหลมคมของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่มองหาสถานีจอดยานพาหนะฉุกเฉินที่ใกล้สุดด้วยความว่องไวจนเห็นที่หมายอยู่ข้างหน้าไม่ไกล

“ไอ้หนุ่ม ข้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ ขอยืมมอเตอร์ไซค์หน่อย!” ตะโกนบอกชายในเพิงริมถนน ชูป้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่รอให้เจ้าของเอ่ยแสดงคำยินยอม บิดเร่งความเร็วเครื่องยนต์ออกไปด้วยความเร็วสุดแรง

 

“มีเข้ามาอีกรายแล้ว หน่วยปฐมพยาบาลมาต่อที่ผู้บาดเจ็บตรงนี้ด้วย! ”

คืนแห่งความวุ่นวายมาเยือน ณ สถานพยาบาล เสียงคำตะโกนสั่งให้ดูคนทางนั้น มาช่วยดูคนทางนี้ดังกันให้วุ่น ความโกลาหลแบบไม่ได้เตรียมตัวรับวันที่มีแต่ผู้บาดเจ็บร้องขอความช่วยเหลืออย่างทรมาน

“รายนี้ถูกรถบรรทุกชนท้าย มีอาการบาดเจ็บบริเวณหน้าอกรุนแรง ส่วนรายนั้นสัญจรบนทางเท้าถูกลูกหลงชนกระเด็น มีบาดแผลใหญ่ที่ศีรษะ กับกระดูกแขนและขาหัก”

เสียงหน่วยกู้ภัยรายงานอาการของผู้บาดเจ็บจากรถบรรทุกคันใหญ่ต่างถูกนำส่งมาที่นี่ สถานที่ให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ที่ใกล้ที่สุด ทีมแพทย์ฉุกเฉินและหน่วยกู้ภัยไม่มีคนไหนมือว่าง ทุกคนต่างทำงานกันอย่างแข็งขัน ทั้งนางพยาบาลและบุรุษพยาบาลที่พอจะว่างต่างก็มารวมกันเพื่อบรรเทาความเจ็บของเหยื่อรถบรรทุกมหาภัย

ทว่าในมุมมืดไม่ไกลจากความชุลมุน มีชายผู้หนึ่งสวมแว่นตากรอบหนาทรงประหลาด คาดหน้ากากสวม ชุดสีเขียวยาวคลุมทั้งตัวแบบเดียวกับเจ้าหน้าที่สถานพยาบาล ยืนมองตัวเลขจากนาฬิกาจับเวลาในมือที่เลขกำลังเริ่มนับถอยหลัง

กระทั่งถึงเลขหมายที่ต้องการจึงก้าวขาออกจากซอกหลืบ เดินผ่านผู้คนและหน่วยกู้ภัยที่กำลังเดินกันขวักไขว่เพื่อปฏิบัติหน้าที่ สายตานั้นมุ่งตรงไปยังลิฟต์ที่กำลังเปิดออก ก้าวขาเดินต่อไปโดยมีชายอีกสองคนที่แต่งตัวคล้ายกันเดินมาสมทบเข้าสู่ตัวลิฟต์ สวนทางกับเหล่าเจ้าหน้าที่ในชุดขาวที่กรูกันออกมา

โครม! !!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวภายนอกทำให้ทุกคนในโรงพยาบาลหยุดเงี่ยหูฟัง เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และหน่วยกู้ภัยมองหน้ากันไปมาชั่วครู่แล้วละความสนใจที่มีต่อเสียงนั้นกลับสู่หน้าที่ช่วยผู้บาดเจ็บที่กำลังร้องโอดโอย พยายามระงับสติไม่ตื่นตระหนกไปกับเสียงไซเรนที่กำลังดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย

วืด! วืด!

แต่ดวงไฟภายในโรงพยาบาลเกิดอาการติด ๆ ดับ ๆ ทำให้หัวใจของคนทั้งหลายในที่นั้นหวาด ๆ หวั่น ๆ

“รถบรรทุกชนเสาไฟฟ้าล้ม!”

เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยรายหนึ่งรายงานข้อมูลที่ได้มา “ไฟฟ้าเริ่มไล่ดับขยายเป็นวงกว้างแล้วครับ!”

“ไม่ต้องกังวล เรามีไฟฟ้าสำรอง” เสียงตะโกนของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งดังท่ามกลางความผวา “ทำหน้าที่ต่อไป มืออย่าหยุด!”

วืบ!

แต่เมื่อสิ้นคำพูด ความดำมืดก็คืบเข้าปกคลุมทันที ส่วนความสว่างจากไฟสำรองนั้นก็ไม่มีปรากฏให้เห็น เสียงร้องไห้ของผู้บาดเจ็บดังระงม ประตูที่เปิดปิดอัตโนมัติถูกปิดตายไม่ทำงาน ทุกชีวิตในโรงพยาบาลถูกขัง ไม่มีใครได้ออกหรือคนภายนอกก็ไม่มีใครได้เข้ามาเช่นกัน

เมื่อความมืดมิดเข้าครอบงำทั้งตึก พอดีกับลิฟต์ตัวหนึ่งที่เปิดประตูอ้าค้างบนชั้นเป้าหมาย ชายทั้งสามที่โดยสารมาภายในก้าวขาออกมา ความมืดไม่ใช่ปัญหาเมื่อแว่นที่สวมใส่นั้นพัฒนามาเพื่อทำงานในความมืดมิด อาวุธที่ถูกเก็บซ่อนภายใต้เสื้อคลุมถูกหยิบออกมาใช้ ผิวปากดังสองสามทีในความมืดจนได้ยินเสียงตอบรับจากเจ้าหน้าที่สถานพยาบาลที่กำลังตกใจและรอความช่วยเหลือ ทว่าเมื่อลูกกระสุนจากปืนเก็บเสียงถูกปล่อยไป เสียงที่ตามมาก็คือเสียงร่างมนุษย์ล้มลงกับพื้น

เมื่อผ่านด่านแรกเข้าไปได้ ผู้ที่ถูกขนาบข้างตรงกลางใช้มือที่สวมถุงมือผ้าหยิบขวดแก้วขวดเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อกาวน์ สายตาจ้องมองไปยังลำแสงเล็กสีแดงที่ทำหน้าที่เป็นตัวนำทาง เสียงของบางสิ่งดังคล้ายเสียงลมด้านซ้าย ตามด้วยเสียงร่างของใครบางคนล้มลงกับพื้น มืออีกข้างหนึ่งควักเอาเข็มฉีดยาออกมา เปิดปลอกแล้วเสียบปลายแหลมให้ตรงตำแหน่งกับด้านบนของขวดแก้วขวดเล็ก

เสียงผิวปากดังอีกครั้งที่ด้านขวาและปลายจุดสีแดงจุดนั้นมีก็ร่างมนุษย์ล้มลงกองกับพื้นพอดีกับเวลาที่ของเหลวใสในขวดถูกสูบขึ้นเต็มไซริง เมื่ออุปสรรคหน้าประตูถูกกำจัด ทางเข้าสู่ตัวเป้าหมายที่ต้องการจึงสะดวก ประตูถูกผลักเพียงแผ่วเบา เสียงเตือนการทำงานผิดปกติของเครื่องจับสัญญาณชีพดังต่อเนื่อง กระทั่งค่อย ๆ ห่างขึ้นและเงียบหายไปเมื่อของเหลวซีซีสุดท้ายถูกฉีดเข้าสู่สายน้ำเกลือ ปลิดชีพที่เหลือของสองผู้ร้ายอันเป็นพยานปากเอกในค่ำคืนปล่อยผีอันแสนดุ

 

“ไอ้ผีป่าซาตานระยำ! ”

เก้าอี้ที่วางอยู่ดี ๆ ก็ถูกเตะล้มระเนระนาด ไม่หนำใจนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เก้าอี้ที่นอนแอ้งแม้งอยู่แล้วยังถูกตามไปเตะซ้ำจนผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวนเกรงกลัวความโกรธของเจ้านายยิ่งกว่าโดนคนร้ายเตะที่ชายโครง

“กูจะลากคอมึงเข้าตะรางให้ได้!”

อัชวินเตะระบายอารมณ์กับเก้าอี้อีกครั้งก่อนหยุดยืนหายใจหอบเพราะความโกรธ เพราะทันทีที่ได้ยินรายงานข่าว เขาก็บึ่งมอเตอร์ไซค์ไปให้ถึงโรงพยาบาลด้วยความเร็ว แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าประตูอัตโนมัติไม่ทำงานและปิดขวางทางเข้าสู่ภายในโรงพยาบาล

ด้วยโทสะ จึงทำให้สารวัตรใหญ่คำรามลั่นที่หน้าโรงพยาบาลกระทั่งต้องกลับมาระงับสติอารมณ์ให้เย็นลงที่กรมฯ ทว่าก็เย็นได้ไม่นานนักเมื่อรู้ข่าวต่อมาว่าไอ้สองคนร้ายที่กำลังจะไปสอบปากคำเสียชีวิตลง ไม่เพียงเท่านั้น เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลและตำรวจผู้รักษาการหน้าห้องพักก็ถูกลอบยิงถึงแก่ความตาย

หากแต่ก็ไม่ได้มีเรื่องร้ายเสมอ เพราะข้อความทางโทรศัพท์ที่เพิ่งถูกส่งมาจากหลานชายรายงานผลพิสูจน์หาหลักฐานที่ค้นพบจากมีดปรากฏบนหน้าจอว่า

‘WEST WOOD’

อัชวินเหยียดยิ้ม เอ่ยเสียงเข้ม “คราวนี้มึงไม่พ้นตะรางแน่ ไอ้พนา!”