"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
ตอนที่ ๑๖ แมลงปอปีกหัก
ข่าวการตายของสองคนร้ายทำให้ธิดาโบกมือความปกติสุขแล้วต้อนรับความรู้สึกหวาดระแวงที่เข้ามาเคาะประตู แค่ได้โผล่หัวออกจากบ้านมาเรียนหนังสือก็ดีเยี่ยมพอ ไม่ต้องนึกถึงการไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้นเลย
ดังเช่นวันนี้ที่เมื่ออาจารย์ผู้สอนเดินออกจากห้องเลกเชอร์ไป ธิดาก็รีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าผ้าใบขึ้นสะพายแล้วเดินออกจากตึกคณะพร้อมเพื่อนในกลุ่มเพื่อไปรอชายหนุ่มที่เดิมตามที่นัดหมายไว้ แต่ดวงตาสีนิลถูกเรียกความสนใจจากป้ายประกาศรับสมัครสมาชิกชมรมอาสาพัฒนาชนบทได้อีกครั้ง
จนเพื่อนของเธอคนหนึ่งสะกิดแขน หญิงสาวจึงละสายตาจากป้ายโปสเตอร์มองออกไปนอกตึกคณะ เห็นชายหนุ่มร่างสูงสวมแว่นตากันแดดสีดำสนิทในชุดสูทสีดำแสนสมาร์ทยืนเด่นสง่า เป็นเป้าสายตาท่ามกลางนิสิตที่เดินกันขวักไขว่แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบทำตัวเด่นอย่างธิดาจึงออกอาการอึดอัด ได้แต่ลอบถอนหายใจโบกมือลาเพื่อนสาวทั้งหลายที่ยืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เบียดกันไปเบียดกันมา
“เป็นอะไร ทำหน้าอย่างกับไม่สบาย” เสียงเคร่งขรึมถามเมื่อเธอและเขาอยู่ด้วยในรถ
“เปล่าค่ะ” เธอตอบโดยไม่มองหน้าเพราะเกรงว่าเขาจะเดาความคิดได้จากแววตา
“ดูเหมือนเธอกำลังเบื่อ”
หรือว่าเธอแสดงละครไม่เนียนเขาถึงรู้ความคิดในหัว แต่ธิดาเลือกไม่พูดอะไรปล่อยให้ความเงียบเยียวยาความรู้สึกในใจจนถึงบ้านดีกว่าสาธยายให้เขารู้ถึงความอึดอัดที่กำลังขยายตัวคับจนเจียนจะระเบิด
แต่พอภาพตึกรามที่เคลื่อนผ่านนอกหน้าต่างชะลอความเร็วจนหยุดสนิท ธิดาจึงรีบหันไปทางผู้คุมพวงมาลัยแล้วเห็นดวงตาสีน้ำตาลสวยจับจ้องมอง
“หรือว่าเบื่อที่ฉันมารับมาส่ง”
เป็นคำถามที่เธอหาคำตอบเหมาะสมไม่ได้ในตอนนี้ “จะเบื่อหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ น่าจะมีความรู้สึกคล้ายกับนกที่อยู่ในกรงมากกว่า”
“แล้วนกตัวนี้อยากบินไปไหน”
หลายครั้งที่เขาตั้งคำถามคือหลายครั้งที่เธอไม่อาจคาดเดาความคิดของชายหนุ่ม จนธิดาอยากสำรวจเสาะหาว่าภายใต้ใบหน้าเรียบขรึมนั้นซ่อนอะไรไว้บ้าง
“อยากบินไปเกาะบนยอดดอกอ้อ”
เธอไม่ได้ต้องการท้าทายหรือลองดีอะไรทั้งนั้น ดงดอกอ้อที่ถูกเผาทำลายมีต้นเหตุมาจากตัวเธอ และยามเมื่อผ่านความว่างเปล่าไร้ปุยนุ่มพลิ้วไหวทำให้เธอเศร้าใจแทนหิ่งห้อยเหล่านั้น ราวกับเป็นบ้านของเธอเองที่ถูกไฟเผาจนวอดวาย
“งั้นก็ยึดซี่กรงไว้ดี ๆ จะพาไปเกาะที่ดงดอกอ้อเดี๋ยวนี้”
ไม่ใช่การโต้ตอบที่เธอต้องการสักนิด แววตาส่องประกายกับมุมปากที่ยกเป็นรอยยิ้มร้ายก็ทำให้หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคอ
“พาฉันกลับบ้านดีกว่าค่ะ” จึงรีบแจ้งความจำนง
“ก็ฉันกำลังจะพาเธอไปบ้านอยู่ตอนนี้ไง”
แต่ทางที่เขาพายานพาหนะคันนี้ไปไม่ใช่ทางที่จะนำไปสู่ Hidden Wood ทว่าก็ไม่ใช่ทางที่แปลกตาสำหรับธิดา แต่เป็นทางที่ทำให้แปลกใจ ด้วยป้ายสีเขียวขนาดใหญ่เหนือเส้นทางที่นำสู่ตะวันออกบอกว่าอีกไม่เกินหนึ่งร้อยกิโลเมตรข้างหน้าคือบ้านของเธอ
คลื่นหญ้าอ่อนไหวลู่บนเนินหญ้า ฝูงแมลงปอขยับปีกล้อสายลมเจือกลิ่นมะลิหอมจาง ดวงตาสีนิลประกายแหงนมองปุยเมฆบนท้องฟ้า มีก้านดอกอ้อก้านยาวในมือและใช้มันวาดไปมาตามรูปร่างของปุยสีขาวที่ผันแปรเปลี่ยนรูปร่าง ทุกอย่างของที่นี่กำลังเติมเต็มหัวใจอ่อนล้าให้อิ่มเอิบ
หญิงสาวมองดอกอ้อในมือ ปุยนุ่มของมันใหญ่พอที่จะข่มดอกที่เขาเด็ดให้ได้ แต่เธอรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของความใหญ่ และถ้าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไป เธอก็ควรกล่าวคำขอบคุณที่เขามีน้ำใจพานกน้อยมาเกาะดอกอ้อบนผืนแผ่นดินบ้านเกิด
ธิดาตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปหาชายหนุ่มที่ยังนั่งสงบอยู่บนยอดเนิน แต่เมื่อเข้าไปใกล้ก็เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอดมองไปยังห้วงทะเลอย่างไร้จุดหมายคล้ายนักเดินเรือหลงทางที่ไม่รู้ว่าจะหันหัวเรือไปทิศใด
“ขอบคุณนะคะ” เธอเอ่ยเรียกความสนใจจากสายตาคู่นั้น
แต่เขายังไม่มีท่าทีรับรู้ ยังคงนิ่งเงียบสงบราวกับถูกท้องมหานทีดูดกลืน จึงเดินไปหย่อนตัวนั่งห่างจากเขาเพียงแค่ระยะก้านดอกอ้อ โบกพู่สีขาวไปมาหยอกล้อกับแมลงปอที่กำลังบินโฉบผ่านหน้าแล้วอมยิ้มเมื่อมีลูกแมลงปอบินมาเกาะปลายดอกอ้อ การละเล่นจึงเปลี่ยนเป็นสาวก้านสีเขียวเข้ามาใกล้ตัวช้า ๆ จากนั้นก็ใช้สองมือตะครุบจับแมลงปีกบางไว้
ปุยดอกอ้อร่วงหล่นสู่พื้น ส่วนที่มาแทนที่ในมือคือแมลงโชคร้ายที่ถูกหญิงสาวแสนซนจับขังเอาไว้ในอุ้งมือ
“ตัวเองยังไม่ชอบให้ถูกขัง ทำไมถึงไปจับมันไว้ล่ะ”
เสียงทุ้มถามดังจากชายหนุ่ม เขาอยู่ในท่าชันศอกเอามือเท้าคางมองเธอด้วยแววตาขบขัน แม้ใบหน้าเรียบเฉยจะไม่ปรากฏรอยยิ้ม
“แค่แหย่มันเล่น เดี๋ยวก็ปล่อยมันบินแล้วค่ะ”
“มันอาจกำลังกระพือปีกหาทางออกอย่างทุรนทุรายในมือของเธอจนปีกหัก”
“ฉันจะปล่อยเดี๋ยวนี้แหละ” รู้สึกเหมือนถูกว่ากล่าว แม้จะมั่นใจว่าเจ้าตัวเล็กที่ขยับปีกในอุ้งมือจะไม่เป็นไร แต่เมื่อแบมือออก ดวงตาสีนิลก็ซีดสลดเมื่อเห็นปีกเล็ก ๆ ข้างหนึ่งหลุดออกติดที่มือ ซึ่งทำให้เจ้าตัวน้อยโผบินสู่อิสรภาพอย่างกระท่อนกระแท่น ไม่สง่างามเหมือนพี่น้องตัวอื่น
“ฉันไม่คิดว่าปีกมันจะอ่อนแอขนาดนั้น” รู้สึกผิดจนอยากร้องไห้
“ไม่แปลกที่เธอจะคิดแบบนั้น...”
หญิงสาวหันไปทางชายหนุ่ม ได้สบตาเขาเพียงชั่วครู่ก่อนสายตาคู่นั้นหันหน้าไปยังฝูงแมลงปอที่กำลังบินล้อคลื่นลม เอ่ยพูดน้ำเสียงเรียบแต่น่าฟัง
“ธรรมชาติออกแบบปีกของมันให้เหมาะกับโลกกว้าง ไม่ใช่ห้องขังแคบ ๆ ที่กระพือปีกไปไหนก็ไปชนกับกำแพงขวางกั้น”
จากนั้นเก็บก้านดอกอ้อที่หล่นบนผืนหญ้าขึ้นแล้วโบกไปมาเหมือนกับที่เธอทำ ก่อนส่งคืนให้ “ก็เหมือนก้านดอกอ้อ ต่อให้ลมพายุพัดแรงแค่ไหน มันก็แค่เอนไหวลู่ไปตามสายลม ไม่มีวันหักโค่นลง แต่ถ้าเธอไปขืนบังคับปลิดก้านมัน เธอก็ได้ก้านดอกอ้อหักในมือ”
จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สองมือล้วงกระเป๋า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเดินลงเนินไปพร้อมกับเอ่ยคำ “ได้เวลากลับแล้ว"
หญิงสาวรับก้านดอกอ้อคืนส่งตามองร่างสูงที่ก้าวขายาวห่างออกไป บอกความรู้สึกของตนตอนนี้ไม่ถูกพอ ๆ กับไม่เข้าใจตัวชายหนุ่ม เขาเหมือนโจทย์เลขที่ไม่เข้าใจแต่ก็ไม่คิดตั้งใจไขปริศนา เขาสอนเรื่องอิสรภาพผ่านแมลงปอกับ ดอกอ้อ
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนคุมกุญแจอิสรภาพของเธอ ธิดารีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งตามชายหนุ่มไปจนหยุดยืนขวางหน้าเขา
“ฉันไม่อยากเป็นอย่างแมลงปอตัวเมื่อกี้!”
ใบหน้านั้นดูประหลาดใจกับคำพูดของเธอ แต่เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยว ริมฝีปากหยักก็ยิ้มกระด้าง ก้าวขายาวเข้าประชิดตัว จับจ้องเธอด้วยแววตาฉายแววประหลาด
“แต่ฉันไม่ใช่เธอ..ธิดา”
ธิดาถอยเท้าออกห่าง หัวใจเต้นสั่นรัว เกิดความกลัวไม่ต่างจากวันแรกที่พบชายหนุ่ม และเมื่อเขาเอ่ยประโยคถัดมา
“เพราะอะไรที่ฉันได้มาอยู่ในมือ ฉันจะไม่มีทางปล่อยให้หลุดลอยไปเด็ดขาด”
หัวใจของเธอก็เจ็บปวดคล้ายถูกมือคู่นั้นบีบรัดแม้เขาจะยืนนิ่งเป็นรูปปั้น “แล้วที่คุณพูดเมื่อกี้ล่ะคะ”
รอยยิ้มร้ายระบายบนใบหน้าหล่อเหลา “ฉันพูดในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ได้เป็นหมอสอนศาสนาที่คอยพร่ำอบรมปรัชญาชีวิตให้ใคร”
“แล้วที่คุณอยากได้ที่ดินของฉันมากขนาดบีบให้ฉันหมั้นโดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้หญิงที่คุณรักได้ มันเป็นเท็จหรือจริง”
เขาแค่นหัวเราะ “ที่ฉันอยากได้ที่ดินของเธอมากเป็นจริง ส่วนเรื่องไม่สนใจความรู้สึกของผู้หญิงที่รักเป็นเท็จ” ตอบแล้วก้าวเดินผ่านหญิงสาวไป ไม่สนใจแวววูบไหวในดวงตาสีนิล
หญิงสาวเม้มริมฝีปากแน่น หมุนตัวกลับไปแล้วเปล่งคำถามในใจ “จูบวันนั้น!”
ร่างสูงหยุดขาชะงัก แต่ยังไม่หันหน้ากลับมา
“จูบวันนั้นของคุณมันเป็นจริงหรือเท็จ!”
สายลมพัดผ่านชายเสื้อเชิ้ตที่ปล่อยรุ่ยพลิ้วไหว แผ่นหลังกว้างผึ่งผายของเขายังนิ่งขึง ขายาวยังตรึงหยัดยืน ไม่ไหวขยับ แต่หน้าอกของเธอกำลังสะท้อนขึ้นลงเพราะหัวใจเต้นถี่
“เท็จ”
เสียงคำตอบฝากลอยมากับสายลมโดยไม่หันหน้ากลับมา แทบทำให้เธออยากล้างความรู้สึกซ่อนเร้นออกไปจากหัวใจ
“ถ้ามันเป็นเท็จ...” ปากบางสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ เอ่ยเสียงถามหาความจริงที่อยากรู้ “แล้วคุณทำแบบนั้นทำไม”
แต่เขายืนนิ่งสนิทไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ธิดาจึงตีความหมายเท่ากับความว่างเปล่า ทว่าภายในดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายในดงดอกอ้อคืนนั้น มีอะไรกักเก็บไว้มากมายชวนให้เสาะหา และถ้าความละมุนของเรียวปากหยักนั้นเป็นเท็จ ทุกสิ่งที่เขาทำรวมถึงยอมเจ็บตัวเพื่อช่วยเหลือเธอก็คงไม่ได้เกิดจากความต้องการแท้จริง
“คุณไม่ตอบ” เธอเอ่ยพยายามกดเสียงไม่ให้สั่น
“สนใจเรื่องเธอต้องพรีเซนต์งานออกแบบโรงแรมให้ฉันในอีกไม่กี่วันข้างหน้าดีกว่าธิดา ว่าที่เธอโพนทะนาใส่ฉันในวันแรกที่เจอกันมันจริงหรือเท็จ และถ้ามันเป็นเท็จ ก็ขอให้บอกลาที่ดินผืนนี้เสียแต่วันนี้เพราะควีนส์คอร์ปจะฟ้องเรียกค่าเสียหายมากกว่ามูลค่าธุรกิจของชลธารฯ” ใช้น้ำเสียงแข็งดั่งท่อนเหล็กฟาดใส่ความคิดของหญิงสาว หมุนตัวเดินห่างไปโดยไม่เหลียวมองน้ำตาที่หลั่งไหลเป็นสาย
ปราณนารายณ์นำเธอส่งถึงบ้านสักพักใหญ่ แต่ก็ยังไม่บังคับให้ล้อหมุนออกจากรั้วของบ้านหญิงสาว เขาเอนศีรษะพิงพนักรถแล้วหลับตาคิดถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเธอบนเนินเขา มีทั้งความสุขและความทุกข์ปนกันเป็นหนึ่งจนไม่รู้ว่าสัดส่วนไหนมีมากกว่ากัน บางครั้งหน้าอกก็พองโตยามเห็นรอยยิ้มหวานเป็นสุข บางครั้งก็หัวใจกระตุกเจ็บแสบเพราะ แววตาเศร้าหมองของเธอ
เสียงสายเรียกเข้าดังแทรกความคิดคำนึง และปลายสายที่ต้องการสนทนากับเขายามนี้คือปริมประภา ผู้ดูแลเขาในตอนที่พักฟื้นอยู่โรงพยาบาลจนวันสุดท้าย ความดีของเธอทำให้เขารู้สึกผิด แต่พอเขากลับไปพักฟื้นที่บ้าน ไฮโซสาวก็ ไม่กล้าย่างกรายเข้าไปหา เหตุผลเดียวคือมีคุณหญิงราณีเป็นปราการ
ทว่ามารดาของเขาก็ตระเตรียมพยาบาลเฝ้าไข้ไว้ให้แล้วเป็นอย่างดี ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากจะเป็นแม่คู่หมั้นสาวของเขานั่นเอง ก็ไม่รู้ว่าเธอไม่ได้ทำให้เพราะความเต็มใจ แต่พอพิศมองกิริยาท่าทางการปรนนิบัติของเธอแล้วช่างเพลินตาเพลินใจจนทำให้ลืมรสชาติขมของยาจีนและอยากแสร้งทำเป็นคนเจ็บไปตลอดชีวิต
“ว่าไงครับปริม” ชายหนุ่มสไลด์หน้าจอรับสายกรอกเสียงทักทายลงไป
“ฉันอยากเจอคุณ... ตอนนี้”
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” เพราะน้ำเสียงของเธอฟังดูไม่ดีเลยจึงถามด้วยความเป็นห่วง
“มีคุณเท่านั้นที่ช่วยฉันได้... มาหาฉันคืนนี้ได้ไหมคะ ฉันจะรอที่คอนโดของคุณ”
ไม่ทันให้เขาตอบรับ ปลายสายก็ตัดสัญญาณไป ปราณนารายณ์จึงหันทิศรถเหยียบคันเร่งออกจากบ้านของคู่หมั้นสาว และคล้ายกับเห็นม่านห้องนั้นขยับทางกระจกมองหลัง อาจเป็นแรงลมฝนที่กำลังโบกพัดเพราะเธอคงไม่มีทางส่งเขาด้วยสายตา
ชายหนุ่มขับพายานพาหนะห่างไกลออกมาวิ่งไปตามถนนที่เริ่มมีฝนโปรยปรายจนถึงที่หมายเป็นคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบร่างหญิงสาวกำลังนั่งเหม่อมองสายฝนนอกหน้าต่างบนโซฟา
“ปริม”
ไม่ทันได้ก้าวขาเดินเข้าไปหา ร่างนุ่มก็โผเข้ากอดซุกหน้าแนบกับแผงอก ร้องไห้กระซิกฟูมฟายออกมา มีกลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคลุ้งเตะจมูกชายหนุ่ม
“ปราณ... ฉันมีคุณคนเดียว ฉันต้องการคุณคนเดียว”
“นี่คุณดื่มเหล้าอีกแล้วหรือ” ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ ประคองร่างปวกเปียกกลับไปที่โซฟา แต่ถูกหญิงสาวเกาะคอแน่น แล้วฉุดรั้งตัวเขาให้ล้มลงไปพร้อมกับเธอ
“ฉันต้องการคุณคนเดียว...” เสียงครวญปนเปื้อนมากับเสียงน้ำตา “แค่คุณคนเดียว”
เขาผละตัวเองออกช้า ๆ จ้องมองดวงตาช้ำฉ่ำน้ำตาแล้วรู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่สามารถหาคำใดมาพูดปลอบใจหรือหากพูดไปแล้วไม่ทำให้เธอหายเศร้า สู้ไม่พูดเลยจะดีกว่า
“ผมจะไปเอาน้ำอุ่นมาให้คุณดื่ม” ชายหนุ่มชันตัวลุก แต่เธอไม่ยอมให้เขาห่างกายรวบเอวเขาไว้จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์ชัดเจนจากเดรสตัวสั้นที่เธอสวมใส่
“อยู่กับฉัน อย่าไปไหน” ปริมประภาอ้อนวอนขอร้อง “ฉันเข้าใจว่าคุณต้องทำตามสัญญา แต่ฉันขอแค่คืนนี้ ขอให้คุณอยู่กับฉัน”
เขากลืนก้อนขมลงคอ สูดลมหายใจลึก รู้ในความหมายว่าเธอต้องการมากกว่าแค่คำพูด แต่เขาไม่อยากเป็นผู้ชายมักมากที่คิดเอาเปรียบเพศหญิงอยู่ฝ่ายเดียว ถึงพันธะผูกพันกับหญิงสาวอีกคนจะเริ่มในทางกฎหมาย แต่เขารู้ว่าความรู้สึกต่อเธอคนนั้นกำลังเบ่งบานช้า ๆ ในใจ
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าคุณจะสร่างเมาแล้วจะพาคุณไปส่งบ้าน” ชายหนุ่มถอนตัวเองขึ้นจากแขนบางที่โอบรัดรอบเอว เอ่ยบอกกับหญิงสาวด้วยแววตาจริงจัง
ปริมประภาแค่นหัวเราะขื่นขม ลุกขึ้นนั่งคว้าขวดวิสกี้เทลงแก้วเปล่าจนล้นไม่เหลือเหล้าสักหยดติดก้นขวดแล้วยื่นส่งให้ชายหนุ่ม
“อยู่เป็นเพื่อนดื่มให้ฉันจนหมดเหล้าแก้วนี้ดีกว่าค่ะ”
ชายหนุ่มมองแก้วเหล้าก่อนรับมาไว้ในมือ แล้วเอ่ยพูดด้วยแววตาจริงจัง “ถ้าผมดื่มหมดแก้วนี้แล้วคุณจะไม่แตะเหล้าอีก สัญญากับผมได้ไหม”
ปริมประภาเงียบไปอึดใจ ดวงตาฉ่ำน้ำเหือดแห้งไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คราบความเศร้าจางหาย เธอพยักหน้ารับปากแทนเสียงพูด เขาจึงกลืนความขมร้อนคอจนหมดจากนั้นวางแก้วลงบนโต๊ะ แต่ไม่กี่อึดใจถัดมาก็คล้ายหายใจติดขัด เหมือนมีบางอย่างติดแน่นในหน้าอก
การมองเริ่มพร่าเลือน เห็นรอยยิ้มจางจากปากสีแดงฉ่ำ ใบหน้าของเธอก็เหลือแค่เงาเลือนราง แต่รู้สึกถึงความอวบอิ่มของเรือนร่างเคลื่อนเข้ามาแนบกาย พร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วข้างใบหู
“คุณจะอยู่กับฉันจนถึงเช้า เราจะอยู่ด้วยกันแค่คืนนี้... คืนเดียว”