"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๑๘ ยื้อ โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่,ลมห่วงรัก-บทที่ ๙ ความหวังเดียว,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 1/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 2/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๔ ไฟ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๕ ปิดปาก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๖ แมลงปอปีกหัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๗ ห่วง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๘ ยื้อ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๙ แถลงไขสัญญาหมั้น,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๐ วายุ ปรเมศศิวะวงศ์,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๑ ผู้ชายขี้แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๒ สายสืบสายสูบ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๓ ขัดดอก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๔ ชิงนาง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๖ ตามหา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๗ ร่างปริศนา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๘ บุก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๙ เลือก,ลมห่วงรัก-บทที่ 30 สงบแต่ไม่สุข,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๑ แผนสองของคุณหญิง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๒ ถอนหมั้น,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๓ จดหมายจากอดีต,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๔ แม้ไม่ได้ครอบครอง

เนื้อหา

บทที่ ๑๘ ยื้อ

ตอนที่ ๑๘ ยื้อ

 

“คุณหญิงจะเอายังไงครับ ลูกสาวผมทั้งคน ผมไม่ยอมนะครับ!”

เสียงโวยลั่นทั่วห้องโถงกว้าง ชายร่างท้วมยืนขึงขังทำตัวดั่งเป็นเจ้าของสถานที่ ดวงตากร้าวเพ่งมองแต่คุณหญิงที่ยังคงนั่งนิ่งเงียบ ใบหน้าเฉยชาเก็บความรู้สึกไม่มีแสดงอาการตื่นตระหนกใด ๆ ให้เห็น ผิดกับสมาชิกคนอื่นในบ้านที่ต่างช็อกไปตาม ๆ กันเมื่อชายอาวุโสนิสัยโผงผางตรงดิ่งฝ่าคนของเธอเข้ามาบอกข่าวที่ไม่มีใครคาดคิด

“เสี่ยองอาจ ผมว่าเราควรพูดคุยกันดี ๆ ก็ได้” เตชินกล่าวเสียงขรึม เขาไม่คร้ามต่อเสียงกระโชกและไม่พอใจนักที่จะมีใครอื่นมาวางอำนาจภายในอาณาเขตที่อยู่อาศัยของครอบครัวภรรยา

“จะคุยกันดี ๆ เพื่ออะไร นี่ผมก็รอคำตอบมาเป็นชั่วโมงแล้ว คุณหญิงก็ได้แต่เงียบ ที่สำคัญคนต้นเหตุยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นแล้วแบบนี้จะให้ผมเข้าใจว่ายังไงกัน ถ้ามันจะหลบเลี่ยงไม่รับผิดชอบล่ะก็ คนเป็นพ่ออย่างผมก็ไม่ยอมหรอก!”

เตชินแค่นยิ้มเดินเชื่องช้าเข้าไปประจันหน้ามองดวงตาหลุกหลิกของเสี่ยองอาจ “ก็น่าจะขอเวลาให้คุณหญิงคิดบ้าง อยู่ ๆ คุณก็พุ่งเข้ามาบอกว่าลูกสาวท้องกับหลานชายของผม ขนาดตัวลูกสาวคุณเองเขายังไม่มาแสดงตัวเลย แล้วผมจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณไม่ได้กุเรื่องขึ้นมา”

คนถูกจ้องมองอึดอัดเหลือทน “หรือคุณหญิงจะรอให้ท้องลูกสาวผมป่องก่อนถึงจะรู้ว่าต้องตัดสินใจยังไง”

เสี่ยใหญ่เอ่ยเสียงเข้ม เคลื่อนตัวผ่านเตชินไปยืนค้ำหัวหญิงสูงศักดิ์ แต่เธอยังนั่งเงียบกริบไม่มีคำพูด เห็นแล้วรู้สึกเดือดดาล คับแค้น ทั้งที่เรื่องนี้ควรจะทำให้คุณหญิงเนื้อเต้นรีบออกปากขอรับผิดชอบหรือไม่ก็โวยวายบ่ายเบี่ยง

“ถ้าคุณหญิงไม่มีคำตอบ ผมจะเป็นฝ่ายบอกเอง คุณหญิงต้องยกเลิกการหมั้นหลานชายคุณหญิงกับผู้หญิง คนนั้นแล้วรีบจัดงานแต่งให้ลูกสาวผมเร็วที่สุด แต่ถ้าพวกคุณไม่รับผิดชอบ รับรองเรื่องนี้ต้องดังกระฉ่อน อย่าหาว่าผม ไม่เตือน”

“ที่คุณกำลังพูดด้วยคือคุณหญิงราณีนะเสี่ย จะพูดจาอะไรก็ควรให้เกียรติกันบ้าง” หัวหน้ามาเฟียคนเดิมเอ่ยแทรก

เสี่ยองอาจแค่นหัวเราะ เอ่ยวาจาที่ดูหมิ่นกว่าเดิม “จะคุณหญิงหรือคุณอะไรก็แล้วแต่ ผมมาบอกข่าวเรื่องหลานชายของผู้มีเกียรติทำลูกสาวผมท้อง จึงหวังว่าคุณหญิงผู้มีเกียรติจะเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อ”

“ถ้าผมทำจริง ผมรับผิดชอบเด็กในท้องปริมแน่!”

ในที่สุดบุคคลที่ควรจะได้รู้ข่าวนี้มากที่สุดก็ย่างเท้าเข้าสู่ห้องโถง หยุดทุกสายตาให้มอง

“มึงพูดแบบนี้ หมายความว่ามึงไม่เชื่อว่าลูกกูท้องกับมึงหรือไง!” เสี่ยใหญ่ถึงกับเดือด ยิ่งเห็นดวงตาคู่นั้นยิ่งทำให้เลือดร้อนพลุ่งพล่าน

“อย่าเพิ่งออกตัวแบบนั้นสิครับเสี่ย ผมรู้ว่าปริมประภาไม่มีข่าวกับใครเลยตอนที่เธอคบกับผม แต่ถ้ามันเป็นเรื่องสำคัญระหว่างผมกับปริม เธอควรจะบอกผมให้รู้คนแรก”

“ปริมคงกลัวมึงปัดความรับผิดชอบน่ะสิ แล้วกูเป็นพ่อ มึงอย่ามาอ้างความสำคัญเหนือกู”

“ปริมรู้จักผมดี” ชายหนุ่มหยุดพูด “อาจรู้จักผมดีกว่าพ่อของตัวเองที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวลูกสาวเลยด้วยซ้ำ!”

“ไอ้!” แขนใหญ่ง้างขึ้นเตรียมซัดหมัด

แต่เมื่อมีบุรุษชุดดำผู้ใต้บังคับบัญชาของเตชินดาหน้าเข้ามายืนเป็นกำแพงหนุนหลังให้เจ้านายน้อยของบ้าน เสี่ยองอาจจึงลดแขนลง ขบกรามแน่นจนเส้นเลือดตรงขมับขึ้นนูน

“แล้วมึงจะเอายังไง หรือว่ามึงคิดจะทำตามอย่างพ่อของมึงที่ทิ้งหน้าที่ความรับผิดชอบไปอย่างนั้นรึ”

“เสี่ย!”

คนที่อดทนฟังต่อไปไม่ไหวต้องลั่นเสียง เพราะคำพูดที่พ่นจากปากของชายก้าวร้าวนั้นมันไม่ได้ทิ่มแทงจิตใจ คนเดียวแต่มันสะเทือนถึงคนที่ไม่อยู่ในที่นี้

“ฉันเท่านั้นที่มีสิทธิ์ตำหนิลูกชายของฉัน!” คุณหญิงยืนขึ้นเอ่ยเสียงเข้ม เชิดหน้าปรายตามองหลานชายที่กลายเป็นชนวนเหตุของเรื่อง “แต่ฉันไม่ต้องการให้ใครเสียใจเพราะการกระทำไร้ความคิดไตร่ตรอง ใครทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ”

“ก็ดีคุณหญิง พรุ่งนี้ผมจะมาเอาคำตอบแล้วจะลากเอาผู้หญิงท้องก่อนแต่งมาให้ดูหน้ากันด้วย!”

เสี่ยองอาจสะบัดตัวหันหลังเดินออกจากที่ตรงนั้นโดยให้เวลาหนึ่งคืนสำหรับการตัดสินใจ สำหรับตัวเขาที่รอโอกาสนี้มาหลายเดือนกับอีกแค่หนึ่งคืนก็คงรอได้แต่มันต้องเป็นการรอที่คุ้มค่า และพรุ่งนี้จะเป็นวันชี้ขาดชะตาชีวิตคนหลายคน

เมื่อร่างท้วมหายลับจากคฤหาสน์ใหญ่ ร่างโปร่งของหญิงชราผู้สูงศักดิ์ก็ลุกเดินจากไปไร้คำพูดไร้อารมณ์และความรู้สึก คุณหญิงราณีขังตัวเองในห้องทำงานให้ความเงียบเป็นยาระงับความรวดร้าวไม่ออกมาพบหน้าใคร ๆ แม้จะถึงเวลามื้ออาหารก็ตามที

ข่าวใหญ่ของครอบครัวถูกรายงานถึงภีฆาเนตร ชายหนุ่มร้อนใจขนาดหนักถึงกับจับเครื่องบินไฟลท์ด่วนลัดฟ้ามาเมืองไทยในวันถัดมา ซึ่งเขาควรจะตีเกราะร้องเพลงจุดพลุต้อนรับโอกาสการได้ครอบครองหัวใจของธิดาแบบไร้เงื่อนไข แต่ภีฆาเนตรไม่ได้รู้สึกปรีดาแบบเต็มหัวใจ

เมื่อศิลปินหนุ่มมาถึงคฤหาสน์ใหญ่ ความตั้งใจแรกคือต้องการพบหน้าปราณนารายณ์เป็นอันดับแรก จึงมุ่งตรงไปห้องนอนของพี่ชาย หากแต่เสียงบรรเลงเปียโนดังแว่วลอยมา เขาจึงตามทางเสียงไปหยุดยืนหน้าห้องเปียโน บทเพลงที่กำลังบรรเลงนั้นเป็นบทเพลงที่เขาใช้บรรเลงในงานหมั้น ส่วนผู้บรรเลงนั้นคือพี่ชายของเขาเอง

ศิลปินหนุ่มหาคำพูดมาบรรยายความรู้สึกที่เกิดภายในใจไม่ถูก แต่สัมผัสถึงความโศกเศร้าที่ไหลเวียนรอบกายของปราณนารายณ์ผ่านปลายนิ้วที่เคาะตัวโน้ตแต่ละตัวฟังแล้วสะเทือนไปถึงขั้วหัวใจ บทเพลงแสนเศร้าจึงทวีความรุนแรงขึ้นไปได้อีกตามอารมณ์และความรู้สึกของผู้เล่น แม้จะไม่ใช่นักดนตรีระดับแชมป์ที่ไหนแต่ก็ดึงหัวใจของคนฟังให้ดิ่งต่ำลงสู่ความเศร้าได้อย่างทารุณ

“เล่นห่วยแบบนี้เอง รู้แล้วว่าทำไมมึงถึงชอบจับปืนมากกว่าจับเปียโน” ภีฆาเนตรตัดสินใจผลักประตูก้าวเท้าเข้าไปเอ่ยเสียงทำลายบทเพลงโศก

ปราณนารายณ์ไม่มีเสียงพูดตอบโต้ แต่หยุดนิ้วที่กำลังจะกดคีย์เปียโนตัวต่อไป ทิ้งสายตาเลื่อนลอยมองตรงปลายนิ้วตัวเองอย่างไร้จุดหมาย ชายหนุ่มผู้มาใหม่จึงวางมือลงบนคีย์แล้วบรรเลงบทเพลงนั้นด้วยฝีมือของนักดนตรีมืออาชีพให้ท่วงทำนองและอารมณ์ของบทเพลงกังวานดังไปทั่วคฤหาสน์ราวกับจะให้คนที่ห่างไกลออกไปได้ยินจนจบ

“ถ้ามึงรักปริมและไม่ได้สนใจว่าจะหมั้นกับธิดาด้วยเรื่องจองที่ดิน มึงก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์” แล้วเอ่ยบอกกับพี่ชายพลางเอี้ยวตัวไปสบตาร้าวที่กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน

“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น” แต่เสียงของรองประธานหนุ่มไม่หนักแน่นเอาเสียเลย

ภีฆาเนตรสูดหายใจเข้าลึก เอ่ยถามถึงความคิดที่อยู่ในใจของผู้มีศักดิ์เป็นพี่ “แล้วจะทำยังไงต่อ”

ปราณนารายณ์ถูนิ้วมือที่กำอย่างหลวม ๆ เป็นนิสัยที่ภีฆาเนตรรู้ว่าพี่ชายจะทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่คิดอะไรให้ลึกซึ้ง ซึ่งทำให้เขาจำต้องอดกลั้นความใจร้อนอยากได้ยินคำตอบ

“เรื่องที่ปริมท้อง ก็ต้องรับผิดชอบ... แต่...” ปราณนารายณ์กำมือแน่น แล้วหันมาสบมองด้วยดวงตาสีน้ำตาลผิดแผกไปจากพี่น้อง “แต่จะไม่มีทางถอนหมั้นเด็ดขาด จะยื้อให้ถึงที่สุด”

ภีฆาเนตรสูดหายใจลึกแล้วผ่อนออกเพื่อระบายความคับข้องในอก “นั่นขึ้นอยู่กับธิดาจะตัดสินใจ สัญญาไม่ได้เกิดเพราะมึงฝ่ายเดียว หรือกลัวว่าถ้าสัญญาหมั้นกับธิดาเป็นโมฆะแล้ว คุณยายจะทำอะไรชลธารฯ อย่างนั้นหรือ”

“คุณย่าทำอะไรก็ได้ถ้าอยากทำ ถึงแม้ตอนนี้งานของชลธารฯ จะใกล้เสร็จสมบูรณ์แต่จนกว่าเซ็นมอบงานขั้นสุดท้าย ชลธารฯ ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย”

ภีฆาเนตรจับจ้องมองดวงตาสีน้ำตาลด้วยต้องการค้นหาความจริงที่เก็บซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งถ้ารู้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร ในเมื่อคืนก่อนที่จะบินไปฝรั่งเศสก็ได้ฟังคำสารภาพบาปจากปากพี่ชาย แม้ไม่มีเหตุผลหรือถ้อยคำขยายความรู้สึก แต่แววตาของคนที่เขารู้จักมาทั้งชีวิตก็ขับสะท้อนทุกอย่างได้ดี

“เรื่องบางเรื่อง ยื้อต่อไปให้มันยืดเยื้อก็คงไม่มีปัญหา...” ภีฆาเนตรผ่อนน้ำหนักลมหายใจ “แต่เรื่องหัวใจ... ยื้อไปก็รังแต่จะทรมาน”

ศิลปินหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยืดตัวตรงใช้สองมือล้วงกระเป๋า ส่ายตามองไปรอบห้องเปียโนแล้วคลี่ยิ้ม “แล้วที่มึงกำลังยื้ออยู่ตอนนี้ บอกตามตรง ก็ชักเริ่มอยากถามคำถามเดียวกับปริมแล้วว่ามึงกลัวอะไร”

จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป ปล่อยให้พี่ชายใช้ความคิดทบทวน

 

หลายนาทีกว่าที่ภีฆาเนตรโยนคำพูดให้เขาได้คิดทบทวนแล้วเดินออกไป ย้อนนึกถึงวันเซ็นสัญญาที่ทำกันชั่วคราวแค่สี่ปีแล้ว แววตาเคืองแค้นของเธอยังอยู่ในหัวใจจนถึงวินาทีนี้ ซึ่งเรื่องการตั้งครรภ์ของปริมประภาอาจทำให้ธิดามีโอกาสยกเลิกสัญญาหมั้น แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าคุณย่าจะจัดการอย่างไรต่อไป

การยื้อเท่านั้นที่เขาทำได้ ทว่าไม่ได้เป็นการยื้อให้คู่หมั้นสาวทนทรมานอยู่กับเขา แต่เป็นการยื้อให้งานของชลธารคอนสตรักชั่นลุล่วงไปมากกว่านี้ และเมื่อถึงเวลานั้น เขาก็พร้อมปล่อยเธอเป็นอิสระ

ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้เปียโน ก้าวขาเดินมุ่งตรงไปยังประตูห้องทำงานของผู้เป็นย่า เขาผ่อนลมหายใจก่อนผลักประตูบานหนาหนักเข้าไป

“คุณย่าครับ” เอ่ยเรียกคนที่อยู่ในห้องก่อนแล้ว

แต่ผู้ถูกเรียกยังไม่ขยับเขยื้อนใบหน้าและยังคงจ้องมองรูปถ่ายใบเก่าในมือ แววตาเศร้าโศกฉายออกมาจนชายหนุ่มสัมผัสได้ หลายครั้งที่เขาเข้ามาพบเธอที่ห้องทำงานส่วนตัวมักจะเห็นเธอทอดสายตามองรูปถ่ายรูปนั้นอย่างอาลัย แม้เขาจะไม่เคยถามว่าเป็นรูปถ่ายของใครแต่ก็คงจะเป็นคนสำคัญสำหรับเธอ

“ถึงปริมประภาจะท้องกับผมจริง ผมก็จะพยายามหาทางให้ธิดาหมั้นกับผมต่อ แต่ถ้าผมทำไม่สำเร็จ ผมมีเรื่องอยากจะขอร้องคุณย่าสักเรื่อง”

“เรื่องที่ไม่ให้ฉันทำอะไรชลธารฯ ใช่ไหม” ใบหน้าที่มีร่องรอยน้ำตาเงยมอง

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นก่อนพยักหน้ายอมรับโดยไม่มีเสียงพูด

“บอกฉันที่สิว่าระยะเวลาตามสัญญาหมั้นที่ผ่านมา แกทำอะไรไปบ้าง” น้ำเสียงของผู้พูดเยือกเย็นจับหัวใจหลานชายคนโต

ปราณนารายณ์ข่มน้ำเสียงย้อนกลับ “ผมก็ทำตามเงื่อนไขสัญญาทุกข้อน่ะสิครับ คุณย่าก็น่าจะรู้”

“อย่างนั้นรึ” ผู้เป็นย่าแค่นหัวเราะ มองหลานชายดวงตาโรยแต่ยังเต็มเปี่ยมด้วยอำนาจ “ฉันรู้ว่าแกให้ธิดาฝึกปรือร่ำเรียนกับภีฆาเนตรก็เพื่อให้เขาช่วยงานพ่อกับพี่ชาย ฉันรู้ว่าที่แกยอมเซ็นสัญญาเงื่อนไขพิเศษของก้องปฐพีก็เพื่อเปิด ช่องโหว่ให้พวกเขาดิ้นได้ แกพยายามหาทางเอื้อให้พวกเขาทุกทาง”

ร่างผอมลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินมาหยุดตรงหน้าเพื่อเอ่ยคำพูดด้วยน้ำเสียงเบาแค่บาดลึก “แล้วก็หาทางออกด้วยวิธีการแสนมักง่ายที่สุดเพื่อให้ฉันพลาดที่ดินผืนนั้นด้วยการไปทำผู้หญิงท้อง! ”

ปราณนารายณ์ไม่หลบสายตาปวดร้าวของคุณหญิงราณี แม้จะรู้สึกเจ็บในอกที่คำพูดเหล่านั้นกลั่นออกจากปากของผู้มีพระคุณ

“เรื่องผมกับปริมมันไม่ได้เกิดจากความมักง่าย! ”

“แล้วเด็กในท้องที่นายองอาจมาตะโกนใส่หน้าฉันให้แอ่นอกรับผิดชอบเกิดจากอะไร แกตั้งใจอย่างนั้นหรือ! ”

เขายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เช่นกัน เพราะถ้าปริมประภาตั้งครรภ์จริง แล้วชีวิตที่ถูกปฏิสนธิขึ้นมานั้นเป็น เชื้อไขของเขา มันก็ไม่น่าเกิดจากความมักง่ายของผู้ใหญ่สองคนซึ่งมีความคิดความอ่านมากพอ แต่ในทางเดียวกัน ก็ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจแน่นอน ทว่าจะให้ปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองยังไม่แน่ใจเลยก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ถึงพร้อมด้วยสัมปชัญญะ

แต่กระนั้น ปัญหาที่เขาต้องจัดการ ณ วินาทีนี้ ไม่ใช่ปริมประภา ไม่ใช่ธิดา แต่เป็นคุณหญิงราณี ชายหนุ่มจึงสูดลมหายใจลึก เอ่ยกับผู้เป็นย่าให้ผ่อนคลายความวิตก

“คุณย่าโปรดวางใจ ผมหาทางออกให้กับเรื่องนี้แล้ว ถึงแม้ผมจะยอมรับเด็กในท้องของปริม แต่มันจะไม่ส่งผลต่อสัญญาระหว่างผมกับธิดา”

“ไม่มีผู้หญิงคนไหนหน้าด้านพอที่จะหมั้นกับผู้ชายที่ทำคนอื่นท้อง ถึงฉันจะเป็นนายทุนที่คิดถึงแต่เรื่องประโยชน์ของตัวเอง แต่ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เข้าใจจิตใจผู้หญิงด้วยกัน” แล้วรูปถ่ายที่ถือในมือก็ถูกวางลงบนโต๊ะ แววตากร้าว ก่อนหน้าสลับเป็นแววตาโศกมีหยาดน้ำไหลริน

“แกอยากรู้ใช่ไหมว่าบรรพตเป็นใคร แล้วเขาสำคัญยังไง” คุณหญิงราณีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเพราะสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนระบายออกมาพร้อมกับความหวังที่เก็บกลั้นมาแสนนาน

“บรรพต ฤทธิ์นาคาเป็นนักธุรกิจดาวรุ่งที่เก่งกาจมากในภาคตะวันออก แม้จะไม่ได้ร่ำรวยที่สุดแต่ใคร ๆ ก็มองว่าเขาต้องมีอนาคตไกลและพากิจการของฤทธิ์นาคาเติบใหญ่ต่อไปได้ในระดับประเทศ และเขาคงประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ถ้าไม่พบกับผู้หญิงคนหนึ่งเสียก่อน...”

ใบหน้าของผู้เล่าแสนหม่นหมองคล้ายมีม่านหมอกความเจ็บช้ำปกคลุมไปทั่วใบหน้า

“เขาและเธอคนนั้นรู้จักกันในฐานะคู่ค้าทางธุรกิจ ซึ่งความสัมพันธ์มันควรจะเป็นเพียงแค่นั้น แต่หญิงชายใด หากได้ใกล้ชิดกันมักเกิดความรู้สึกที่เลยเถิดเกินกว่าจะหักห้ามใจ ความรู้สึกระหว่างพวกเขานั้นแยกไม่ได้ว่าคือรักหรือหลงเพราะต่างฝ่ายต่างมีคู่ครองของตนอยู่ก่อนแล้ว...”

เกิดความเงียบงันขึ้นไปหลายวินาที ชายหนุ่มผู้ฟังรู้สึกได้ถึงมวลความอัดอั้นในอากาศจนทำให้หายใจติดขัดตัดสินใจไม่ถูกว่าจะขอฟังเรื่องเล่าจากปากของผู้เป็นย่าต่อไปหรือไม่

“ความสัมพันธ์ลับ ๆ ที่ทับซ้อนกับศีลธรรมมันน่าจะจบ หากต่างฝ่ายต่างยอมยุติแล้วหันหลังกลับไปหาคนรักของตน แต่...” คุณหญิงราณีกลืนน้ำลายอึกใหญ่สูดหายใจเข้าลึก

“เธอคนนั้นกลับไม่อยากเสียเขาไป แม้จะมีคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์ ส่วนเขาก็กำลังจะได้ทายาทจากภรรยาที่เพิ่งตั้งครรภ์ได้ไม่นาน...

เธอคนนั้นยังพยายามขอพูดคุยขอร้องเขา ร้องไห้ฟูมฟายคร่ำครวญขอให้เขายังมีเธออยู่ในหัวใจ แต่เขายืนยันความคิดที่จะไม่สานสัมพันธ์ใด ๆ เพราะรักที่มีในตัวภรรยามากเกินกว่าจะทำร้ายผู้หญิงที่เป็นคู่ชีวิตได้ บรรพตจึงขอหยุดความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องระหว่างกัน...

แต่ในคืนก่อนเข้าพิธีวิวาห์ของเธอ ความอาลัยอาวรณ์พาเธอไปพบเขาครั้งสุดท้ายเพื่อจูบลาแล้วจากกันไปโดยทิ้งทุกอย่างให้เป็นความลับจนกว่าใครคนหนึ่งจะตายจากกัน แต่...เหมือนทั้งสองคนมีบาปมีกรรม เพราะภาพตระกองกอดของพวกเขาถูกลอบเห็น”

ชายหนุ่มได้ยินเสียงสั่นเครือ มือผอมแกร็นของผู้เป็นย่าที่กำแน่น แค่ฟังมาถึงตรงนี้ เขายังปั่นป่วนในอก แล้ว คนเล่าล่ะจะไม่ยิ่งกว่าเขาหรือ

“ถ้าคุณย่าไม่อยากเล่าต่อ ผมก็จะไม่ฝืนถาม”

“ไม่ ฉันจะเล่าต่อ แกควรจะรู้” คุณหญิงราณีถอดแว่นสายตาออก ใช้นิ้วมือบีบนวดที่หว่างคิ้วเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก “เกสรคือผู้พบเห็นการลักลอบเจอกันโดยบังเอิญ แล้วโกรธแค้นมากจนไม่อาจทนให้ภรรยาของบรรพตถูกสวมเขาเพราะเกสรรักภรรยาของบรรพตดั่งน้องสาวแท้ๆ จึงไม่ยอมให้น้องของตนถูกทรยศด้วยน้ำมือของสามี...

และความผิดที่ไม่อาจปกปิดไม่ได้มีเพียงแค่ภรรยาของบรรพตเท่านั้นที่ต้องเจ็บปวด แต่คนรักของหญิงใจง่าย คนนั้นก็เช่นกัน พิษร้ายจากการถูกผู้หญิงที่รักหักหลังรุนแรงเปลี่ยนคนที่ใจเย็นดั่งน้ำแข็งให้กลายเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น แม้จะแพ้ในเกมรักแต่ไม่ยอมแพ้ในเกมธุรกิจ เขาจึงคิดแผนร้ายทำลายผู้ชายที่แย่งความรักไปจากเขา

บรรพตไม่ทันเหลี่ยมกลเกมธุรกิจของคนที่เจ้าเล่ห์ กิจการต่าง ๆ ที่มีทีท่าจะไปได้ไกลกลับล้มครืน บรรพต ฤทธิ์นาคากลายเป็นบุคคลล้มละลายในเวลาอันสั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีถูกกว้านซื้อด้วยกลเกมทางการค้า แต่ชายผู้ถูกแรงแค้นครอบงำรวมถึงฉันไม่รู้ว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่บรรพตเก็บรักษาไว้ให้ภรรยาและลูกหลานของเขาจนวันสิ้นใจ”

“ที่ดินบนเนินเขา...” ปราณนารายณ์รำพึง

คุณหญิงสบตาเป็นคำตอบแล้วเล่าเรื่องราวที่ไหลมาจากห้วงความคิด “แม้ว่าเธอผู้ผิดศีลธรรมจะไม่ได้เป็น ผู้ทำลายธุรกิจทั้งหมดของฤทธิ์นาคา แต่ต้นเหตุมันก็มาจากเธอ...

และสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดอยู่ในใจอย่างไม่มีวันจางหายคือการได้รู้ว่า ภรรยาของบรรพตยอมเก็บความระทมทุกข์ไว้ในใจเพื่ออยู่เคียงข้างชายที่ตนรักตราบสิ้นลมหายใจ แต่ในขณะที่หญิงเลวทรามคนนั้นไม่เคยคิดจะเวียนแวะไปให้เขาเห็นหน้าอีกเลย”

น้ำตาของผู้เล่าไหลเป็นสายคล้ายกับบ่อน้ำตานั้นไม่มีวันเหือดแห้ง “ฉันเป็นผู้หญิงเลวคนนั้น ผู้หญิงเลวที่อยากได้ของ ๆ คนอื่น ถึงไม่ได้ครอบครองตัวและหัวใจก็ขอให้ได้ครอบครองสิ่งที่เขามอบให้คนที่เขารัก”

ปราณนารายณ์เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคุณย่าถึงอยากได้ที่ดินผืนนั้น เขาหยิบรูปถ่ายอดีตชู้รักของคุณย่าขึ้นดู และ คล้ายกับว่ามีใบหน้าของธิดาปรากฏทับซ้อนบนใบหน้าของชายในรูปถ่าย ดวงตาสีนิลของเธอเหมือนกับดวงตาของชายที่ชื่อบรรพตแทบไม่ผิดเพี้ยน

“มีแค่อติภพที่รู้เรื่องนี้ ปู่ของแกเล่าให้เขาฟังก่อนเสียชีวิต และคงทำให้อติภพอึดอัดคับแค้นแทนพ่อตัวเอง ในวันที่ฉันควรจะสละเก้าอี้ประธานควีนส์คอร์ป อติภพจึงสลัดทิ้งทุกอย่างที่พ่อสร้างมาให้ฉันแบกรับไว้เพียงคนเดียว ประโยคสุดท้ายที่เขาบอกฉันก่อนจะโยนเก้าอี้ประธานบริษัททิ้งไปคือเขาไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของ ๆ ตัวเอง”

คล้ายมีก้อนแข็งอัดแน่นหน้าอกของชายหนุ่ม “คุณย่าบอกผมหน่อยสิครับว่าการที่ควีนส์คอร์ปผงาดเหนือใคร ๆ ได้จนถึงทุกวันนี้เป็นเพราะความสามารถของคุณปู่ ไม่ได้เป็นเพราะผลของการแก้แค้นใช้เล่ห์เหลี่ยมชิงเอามา”

คุณหญิงราณีเม้มปากมองหลานชายผู้ตั้งคำถาม เธอหลับตาลงแล้วเอ่ยตอบตามความจริงโดยไม่คิดเฟ้นหาคำพูดให้สวยหรู

“ควีนส์คอร์ปเกิดจากความแค้นของวายุ ปู่ของแกคิดทำลายธุรกิจของบรรพตเสียย่อยยับจนบรรพตต้องยอมขายกิจการให้กับบริษัทที่เข้ารับซื้อในราคาถูก ซึ่งบรรพตไม่เคยรู้เลยว่าในเวลาต่อมาบริษัทนั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็นควีนส์คอร์ป มันเป็นความตั้งใจที่วายุมอบให้เป็นของขวัญแก่ฉันในวันปิดบัญชีหนี้แค้นคนทรยศรัก”

หัวใจของชายหนุ่มสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ณ วินาทีนั้น มันเป็นวันหนักที่สุดในชีวิตและเป็นวันที่เขาต้องใช้ความคิดทบทวนทุกอย่างเพื่อตัดสินใจ

ปราณนารายณ์ออกจากห้องนอนของคุณหญิงราณีหลังจากที่พาเธอเข้านอน และอยู่เฝ้าจนหญิงอาวุโสหลับไปพร้อมความอ่อนแอของหัวใจที่ไม่มีใครสามารถเยียวยาได้ คงต้องให้เวลาเป็นผู้ประคับประคองเธอให้หยัดยืนต่อไปพร้อมกับความหลังแสนทรมาน จนกระทั่งวันสุดท้ายที่เรื่องราวแห่งความหลังอันร้าวรานจะสูญหายไปจากความทรงจำ

ชายหนุ่มพาตัวเองมาหยุดยืนหน้าโซฟาตัวสีแดงในห้องเปียโนอีกครั้ง ความเงียบสงบในเงาสลัวไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ปกคลุมกระจายมีเพียงเสียงความคิดของเขาดังเซ็งแซ่ภายในหัว แต่ถึงแม้ความมืดจะปกคลุมทุกอย่างให้คลุมเครือแต่ความทรงจำของเขายังแจ่มชัดราวกับมันเพิ่งเกิด

มือหนาล้วงหยิบของเล่นที่ได้จากการหยอดเหรียญออกจากกระเป๋ากางเกง นานแล้วที่ยังพกมันติดตัวตลอดเวลา และไม่รู้ว่าจะได้มีวันมอบให้แก่เธอหรือไม่ เขาแกะเปลือกที่ห่อหุ้มมองแหวนพลาสติกรูปดาววงเล็กด้วยความรู้สึกยากที่จะอธิบาย คิดถึงโหยหาหรือแค่เอ็นดูในความไร้เดียงสา

ยังจำใบหน้าของยายเด็กแสนรั้นที่พบกันในวันวานได้ดี หรือในวันที่เธอแผลงฤทธิ์ไม่ยอมใส่ชุดสวยในวันหมั้น จะมีผู้หญิงคนใดบ้างที่ไม่อยากมีความสุขในวันหมั้นของตัวเอง เว้นเสียแต่จำใจยอมทำตามความต้องการของคนอื่น แล้วจะมีชายใดบ้างที่ไม่อ่อนระทวยเมื่อเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเธอหญิงสาวแสนสวยกับดวงตาสะกดใจที่ทำให้โลกของเขาสั่นสะเทือนเพียงแค่แรกพบ

สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและธิดาอาจเป็นผลพวงมาจากการกระทำของบรรพบุรุษ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลในอดีตไม่ใช่ตัวตัดสินชีวิตของเขาและเธอ แม้ว่าจะไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไขอะไรที่ผ่านมาแล้ว เขาไม่ใช่คุณปู่ ไม่ใช่คุณบรรพต แต่เป็นปราณนารายณ์ผู้จะไม่ทำความผิดซ้ำย้ำรอยเดิมของคนในอดีต