"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
ลมห่วงรัก"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“
เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล
แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ
เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้
จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ
ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา
ปราณนารายณ์สงสัยเรื่องเด็กในท้อง
เป็นความคิดที่แวบเข้ามาในหัวปริมประภาเมื่อสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้ม แววตาของเขาแตกต่างไปจากเคย และเธอมั่นใจว่าไม่ได้คิดหรือรู้สึกไปเอง ยิ่งได้ยินว่าเขายังคงฝืนหมั้นกับธิดาต่อไปก็ยิ่งเกิดความรุ่มร้อนในอก เป็นเพราะอิจฉาริษยาในตัวผู้หญิงที่มาทีหลังหรือไม่นั้นเธอยังไม่แน่ใจ แต่ความรู้สึกเป็นใหญ่ในตอนนี้คือความหวาดกลัวเกินกว่าที่จะย้ายตัวเองไปอยู่ภายใต้การจับจ้องของสายตาคมกล้า
แต่ความลับก็ต้องเป็นความลับต่อไป เธอมาไกลเกินกว่าที่จะกลับตัว และพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงเธอต้องถึงหน้าประตูบ้านปรเมศศิวะวงศ์ ไม่ว่าจะเข้าไปอยู่ในฐานะไหนก็แล้วแต่ ขอแค่บิดาของเธอได้เงินไปล้างหนี้แล้วยุติเรื่องทุกอย่างที่จะเกิดจากน้ำมือของบิดา ซึ่งหากสิ่งที่วางแผนไว้นำพาไปถึงการได้กำจัดนายพนาออกไปจากชีวิต ก็ยังดีกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า
“คุณท้อง?”
เสียงทุ้มดังจากด้านหลังทำให้ปริมประภาหัวใจชาวาบ และได้ยินเสียงฝีเท้าเบาเข้ามายืนซ้อน ทั้งที่เป็นห้องนอนของเธอเองแต่เขาก็สามารถปีนป่ายเข้ามาทำลายความเป็นส่วนตัว
“คุณได้ยินแล้วนี่ จะถามฉันอีกทำไม” เธอตอบโดยไม่หันไปมอง
“กับใคร” แต่มือแกร่งหมุนเธอให้หันไปประจันหน้าให้เขาได้ใช้ดวงตาสายสืบสำรวจหาความจริงในดวงตาเธออย่างง่ายดาย
หญิงสาวจึงทำใจแข็ง จ้องตาสู้ “แทนที่คุณจะมายุ่งเรื่องของฉัน ทำไมคุณไม่ไปสืบเรื่องคดีที่คุณต้องการ”
อาวุธแค่นหัวเราะ “พอดีว่าผมจมูกไว ได้กลิ่นไม่ดีแถวนี้ก็เลยจะมาขอดมใกล้ ๆ สักหน่อย”
ปริมประภาเบนสายตาหนี แล้วปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่แทนทุกคำพูด สายสืบหนุ่มในคราบวายร้าย ปลอมแปลงจึงขอตีความกิริยาของเธออย่างเอาแต่ใจ
“ผมรู้ว่าคุณโกหกแต่คุณคงมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ มีอีกหลายคนที่ต้องโกหกเพื่อภาระหน้าที่หรือเพื่อความจำเป็นของชีวิต แต่ถึงจะเป็นความลับสุดหล้าฟ้าเขียวแค่ไหน ความลับมันจะเผยตัวของมันเอง”
เธอแค่นยิ้ม “ขอบคุณที่เทศนาสั่งสอนแต่ฉันเชื่อในคุณค่าของตัวเองและไม่เคยเปรียบตัวเองเป็นแร่ธาตุจากดิน ใด ๆ ฉันคือฉัน คือปริมประภา คือผู้หญิงที่กำลังจะมีชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ”
“แล้วในความต้องการของคุณมีผมอยู่ด้วยหรือเปล่า! บอกผมสิปริมประภาว่าความจริงแล้วคุณต้องการอะไรกันแน่!”
“คุณก็สืบหาเอาเองสิคะ!”
“แน่นอน ปริมประภา หลังจากผมทำงานสำเร็จแล้ว คุณคือคนต่อไปที่ผมจะสืบให้หมดทุกซอกทุกมุม!”
เปล่งวาจาแล้วปล่อยหญิงสาวเป็นอิสระ ถอยเท้าก่อนหมุนตัวปีนหน้าต่างกระโดดหายลับไปในกิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ ด้วยหวังว่าสักวันหนึ่งความจริงมันจะเผยออกมาด้วยริมฝีปากอิ่มเย้ายวนที่เธอใช้สร้างความรัญจวนให้แก่เขาไม่เสื่อมคลายในวันแรกที่พบกัน
ทว่าความขุ่นเคืองเรื่องเด็กในครรภ์ของปริมประภายังไม่สร่างซา ในวันต่อมาอาวุธก็ต้องสบถในใจอย่างหัวเสียเมื่อเขาไม่ได้ถูกเรียกใช้งานและไม่ได้เข้าไปฟังการสนทนาระหว่างเสี่ยใหญ่และโจรแห่งพงไพร
แต่ด้วยที่สายสืบหนุ่มคิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้เสมอ เขาจึงลอบเข้าไปติดเครื่องดักฟังไว้แล้วก่อนคืนที่นายพนาจะมา ถ้าวันนี้โชคดีเขาอาจได้หลักฐานทางวาจาที่แน่นหนาพอ และเมื่อทุกอย่างพร้อมที่เหลือก็คือขอหมายศาลเข้าจับกุม
เมื่อมีเสียงใครบางคนบอกถึงการมาของนายพนา อาวุธจึงพาตัวเองไปยืนหลบด้านหลังชายฉกรรจ์ร่างใหญ่โตเพื่อลอบมองใบหน้าของบุคคลที่กรมฯ ต้องการตัวมากที่สุดได้ถนัด ชื่อของโจรป่าตะวันตกคนนี้ถูกกล่าวขึ้นทุกครั้งที่เขาจับกุมพวกเดนนรกค้ามนุษย์ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถสาวถึงตัวนายพนาได้สักที เพราะพยานทั้งหมดยอมปลิดชีพตัวเองรักษาความลับที่ซ่อนตัวของเจ้านายชั่ว
สายสืบหนุ่มใช้สายตาคมแน่วนิ่งทันทีที่ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามเดินย่างกรายเข้ามา ใบหน้าคร้ามเหี้ยมมีไรหนวดรกครึ้มกับดวงตากร้าวคู่นั้นดูเยือกเย็นแต่ดุดันสมกับคำร่ำลือ แม้แต่ลูกน้องของเสี่ยก็ไม่มีใครคิดจะสบตา อาวุธจึงต้องหน้าก้มมองต่ำตามบุคคลอื่นเพื่อไม่ให้ผิดแปลกแตกต่าง
แต่เมื่อเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้จนเห็นปลายรองเท้าหนังส้นหนาของรองเท้าเดินป่า แล้วหยุดที่ตรงหน้าของเขา อาวุธสะกดลมหายใจให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้มีพิรุธ จนได้ยินเสียงแหบห้าวเอ่ยถาม
“เอ็งเป็นคนใหม่ของเสี่ย? "
“ครับ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบแต่ยังคงก้มหน้า
“เจ้าคนนี้มันคนใหม่แต่ทำงานใช้ได้ทีเดียว” เสี่ยองอาจเดินเข้ามาแล้วตบหลังเด็กใหม่อย่างแรง “ถ้าคุณพนาต้องการให้มันช่วยงานล่ะก็บอกผมได้”
“งั้นรึ แต่แย่หน่อยที่ฉันไม่ไว้ใจใครสักเท่าไหร่”
คำพูดที่ตามมาทำให้ชายหนุ่มต้องเก็บสีหน้ารวมถึงแววตาให้เรียบนิ่งกว่าเดิม
“ฉันไม่ต้องการคนเก่งแต่ต้องการคนที่ไว้ใจได้ คราวหน้าหากเสี่ยมีคนใหม่เข้ามาต้องบอกฉันก่อน ไม่อย่างนั้น ฉันอาจยิงมันทิ้งเสียก่อนที่เสี่ยจะเดินมาถึง”
“สวัสดีค่ะคุณพนา”
ผู้ถูกทักทายหันไปตามเสียงใส ปริมประภาเดินตรงเข้ามาหยุดยืนขั้นกลางไว้ หญิงสาวคลี่ยิ้มเอ่ยพูดกับแขกสำคัญของบิดาด้วยน้ำเสียงหวาน
“วันนี้เป็นวันที่พ่อของฉันกับคุณจะเจรจาตกลงเรื่องที่ค้างคาไว้ไม่ใช่หรือคะ อย่าเสียเวลากับลูกเบี้ยเรี่ยราดพวกนี้เลยค่ะ”
โจรป่าหัวเราะลั่นแล้วมองหญิงสาวด้วยแววตาหยัน “คราวที่แล้วที่เจอกัน ฉันบอกว่าเธอไม่ไร้สมองใช่ไหม แต่วันนี้ ฉันขอคืนคำพูด”
ปริมประภากำหมัดข่มความโกรธเอาไว้ โจรป่าชั้นต่ำอย่างเขามีสิทธิ์อะไรมาต่อว่าเธอ ถ้าเธอใช้สมองได้ในสถานการณ์นี้จริง เรื่องบ้า ๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น รวมถึงชีวิตในท้องนี่ก็ด้วย
ดวงตากร้าวถมึงทึงมองหญิงสาวพิศดูทั่วร่างงาม ริ้วรอยแผลหยักย่นขึ้นเมื่อเขาเหยียดยิ้ม มันไม่ได้ทำให้ใบหน้าลดความน่าสะพรึงกลัวลงเลยสัดนิด แต่ในทางตรงข้ามกลับดูน่าขนลุกขนพอง และปริมประภาถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อนายพนาหยิบล้วงกระบอกปืนขึ้นจ่อหัวโดยไม่ทันตั้งตัว ดวงตางามที่แต่งแต้มสีเทาหม่นเบิกกว้าง จ้องมองปลายนิ้วชี้ของชายโฉดแตะตรงตำแหน่งไก
หัวใจหญิงสาวสั่นระรัวด้วยความกลัวที่เพิ่งจะมาเกิดเอาตอนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความห่วงชายหนุ่มที่ยืนด้านหลังเธอคงไม่เข้ามาขวางไว้ แต่ใครจะคาดคิดว่านายพนาจะกล้ายกปืนจ่อหัวเธอต่อหน้าบิดา
“ฉันจะบอกอะไรเธอสักอย่าง เรารู้จักหน้าแต่ไม่รู้จักใจ แม้ขี้ข้าที่เลี้ยงดูมาแต่เก่าก่อนก็ยังพยศหักหลังได้ นับประสาอะไรกับแค่หนอนบ่อนไส้ตัวเดียวก็อาจทำให้เหม็นคละคลุ้งไปทั่ว” เสียงแหบห้าวพูดพร้อมกับใช้ดวงตาแกร่ง สีดำเข้มจ้องมองใบหน้าขาวซีดของหญิงสาว
ทุกคำพูดที่เอ่ยจากปากของโจรป่าพุ่งตรงยิงเข้าสู่หัวใจของชายหนุ่มได้แม่นยำ แต่อาวุธต้องทนทำตัวให้นิ่งสนิท เก็บความโกรธเดือดดาลยามที่ปลายปืนของโจรชั่วจ่อหัวหญิงสาว จำใจให้คำว่าหน้าที่ต่อบ้านเมืองต้องมาก่อนกลายเป็นกุญแจมือรัดร่างกายและจิตใจไม่ให้เปิดโปงตัวเอง
แต่ถ้าต้องแลกกับชีวิตของเธอ เขาคงทนไม่ได้แน่ มือหนาที่ประสานด้านหลังคลายออกขยับล้วงจับด้ามกระบอกปืนเล็กที่ถูกเก็บซ่อนไว้ แม้ดวงตาจะไม่เงยชำเลืองมองแต่ประสาทรับรู้ของสายสืบหนุ่มผู้โชกโชนประสบการณ์มีมากพอ หากว่ามันขยับนิ้วแม้เพียงนิดเขาจะกระโจนคว้าเธอหลบแล้วเสี่ยงชีวิตดวลปืนกับมัน
“คุณพนาครับ” คนเป็นพ่อรีบเอ่ยเสียงสั่น “ลูกสาวของผมคนนี้มันโง่ ไร้มารยาท ผมจะสั่งสอนเธอเอง ได้โปรดอย่าลงมือลงไม้กันเลยครับ”
“ฉันก็ไม่ได้จะทำอะไรคนสวยคนนี้หรอก แค่ให้ความรู้นิด ๆ หน่อย ๆ”
ปากหยักหนาเอ่ยตอบแต่สายตามองเลยไหล่หญิงสาว พินิจดูท่าทีของชายหนุ่มที่ยังคงยืนก้มหน้านิ่ง
“ฉันก็แค่อยากสั่งสอนแม่สาวคนนี้ไว้ว่า...คนที่ภักดีต่อเราจริงจะไม่ยืนมองเราตายไปต่อหน้าต่อตา”
นายพนาแสยะยิ้มพูด ลดปืนลงแล้วก้าวขาเดินนำเสี่ยองอาจออกไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนตัวสั่นและขาพับอ่อนแรงกะทันหัน ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงรีบเข้าประคองเอ่ยเสียงกระซิบ
“ซึ้งใจจังที่เข้ามาช่วย แต่คราวหน้าไม่ต้องนะครับคนเก่ง”
“ขอโทษที่แส่ ไม่รู้ว่าคุณอยากตาย”
เธอกัดฟันตอบให้เสียงเล็ดลอดเบา ๆ ก่อนเรียกสาวรับใช้มาช่วยพยุงตัวเองไปพักในห้องส่วนตัวให้หายใจสั่น แต่สายสืบไม่คิดจะเดินตามไปปลอบขวัญแม้ใจเป็นห่วงมากแค่ไหน อาวุธรีบปลีกตัวออกจากตรงนั้นให้เงียบที่สุด ตัดทุกความคิดในหัวทิ้งออกไปก่อน เขาเดินเลียบไปตามทางเดินแล้วหายเข้าไปยังห้องหนึ่งเพื่อหาที่เร้นตัวสำหรับดักฟังเสียงสนทนา
“นี่ครับคุณพนา เช็คสิบล้าน”
ใบหน้าเรียบเฉยของเจ้าหนี้ไม่ได้มีความรู้สึกยินดีให้เห็นแม้ตัวเลขบนเช็คจะมีมากถึงแปดหลัก แต่ดวงตาไร้แววปรานีมองเพียงชั่วแวบ ก่อนส่งยื่นให้กับลูกสมุนผมสีทองที่ยืนด้านหลังแล้วเอ่ยพูดกับลูกหนี้ร่างท้วม
“ทีนี้เสี่ยก็คืนเงินต้นให้ฉันหมดแล้ว ส่วนที่ยังขาดอยู่คือดอกเบี้ย”
“อะ...อะไรกันคุณพนา เช็คนี่รวมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยแล้วนะครับ” เสี่ยองอาจถามด้วยสีหน้าฉงน
“มันจะรวมได้ยังไงเสี่ย ก็สัญญาเงินกู้มันหมดตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว เสี่ยจำไม่ได้หรือ ถ้าหลังจากนั้นเสี่ยยังไม่จ่ายฉัน ดอกจะเพิ่มอัตราเป็นเท่าตัว” โจรป่าแห่งตะวันตกพูดเสียงเย็น หยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบมองสีหน้าของคู่สนทนา
ควันสีเทาลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องแต่เสี่ยองอาจยังคงนิ่งงันไม่มีการโต้ตอบ มีเพียงดวงตาตื่นกับปากสีซีดของคนไร้ทางสู้คล้ายกับเหยื่อของเสือที่อยากจะหนีก็ไม่มีทางรอด
“เสี่ยอย่าห่วงไปเลย ฉันก็ไม่ได้จะบีบคั้นอะไรมากนักเพราะอย่างน้อยเสี่ยก็ยังมี ‘ของแลก’ ดอกเบี้ยให้ฉัน”
ประโยคนั้นทำให้เสี่ยร่างท้วมใจชื้น “ฉะ...ฉันทำตามที่นายพนาบอกทุกอย่าง คอยติดตามเฝ้าดูไม่ให้คนของ พวกมันรู้ตัว”
“ฉันรู้ อย่างน้อยเสี่ยก็พยายามให้แล้ว ฉันไม่ถือโกรธ”
“แต่...ของแลกที่ว่านี่มันไม่ได้มาง่าย ๆ เลยนะครับ คุณพนาก็รู้ว่าผมเองก็ทำไม่สำเร็จเลยสักครั้ง”
นายพนาขยี้บุหรี่แล้วยกยิ้มที่มุมปากเหี้ยม “ฉันมีวิธีของฉัน ส่วนเสี่ยก็แค่คอยเฝ้าของให้ฉันก็พอ”
ของแลก?
อาวุธหัวเสียเมื่อจับใจความไม่ถนัด เสียงพูดคุยสลับกับเสียงสัญญาณแทรกราวกับว่าภายในห้องนั้นมี เครื่องป้องกันการดักฟัง ‘คืนหนี้’ ‘ดอกเบี้ย’ ‘ของแลก’
สองคำแรกที่พวกมันพูดถึงตีความได้ไม่ยาก แต่ของแลกของพวกมันคืออะไรกัน
เมื่อเห็นว่าควรผละตัวออกจากที่ตรงนั้นเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย สายสืบหนุ่มจึงย้อนกลับเข้าไปรวมกลุ่มกับลูกสมุนของเสี่ย พอดีกับที่นายพนาก้าวขาออกจากห้องแล้วมองเขาไม่วางตาก่อนเดินผ่านประตูออกไป
การมาของนายพนาครั้งนี้ยังไม่ได้หลักฐานอะไรมากไปกว่าเดิม แต่เขาจะวู่วามไม่ได้เด็ดขาด หากพลาดคงหาโอกาสต่อไปยากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องไม่ช้าเกินการณ์
หลังจากวายร้ายตัวพ่อกลับไป อาวุธจึงหาโอกาสลอบเข้าไปในห้องนั้น เขาพบว่ามีตู้เซฟถูกล็อกไว้ด้วยการตั้งรหัส...ซึ่งอาจต้องขอให้ปริมประภาช่วยเหลือ
สายสืบหนุ่มจึงแอบปีนขึ้นห้องหญิงสาวอีกครั้ง เขายิ้มอย่างย่ามใจเมื่อหน้าต่างห้องไม่ได้ล็อกเช่นเคย
“ปริม ผมมีเรื่องให้คุณช่วย” อาวุธเอ่ยทันทีที่เท้าเหยียบพื้นห้อง เห็นหญิงสาวนั่งหันหลังบนเตียงและเธอดูเงียบจนหวั่นใจ
“ปริม” เขารีบเดินเข้ามาหยุดยืนหน้าหญิงสาว พบใบหน้างามนองไปด้วยน้ำตา
“ฉันกลัว” เธอเอ่ยเสียงสั่น
อาวุธยิ้มอ่อนคุกเข่าลงจับมือบางไว้แล้วบีบเบา ๆ “ก็เล่นถูกปืนจ่อเสียอย่างนั้นนี่ครับ วีรสตรีของผม”
“ฉันกลัวนายพนาจะรู้ว่าคุณเป็นใคร”
หัวใจของเขาพองโตราวกับมีลูกโป่งอัดแน่นในอก “คุณ...เป็นห่วงผมจริง ๆ หรือ”
แม้เธอจะไม่ตอบคำถามแต่ดวงตาคู่นั้นทำให้เขาประจักษ์แก่ใจ “ผมบอกคุณแล้ว อาชีพของผมพร้อมตายในหน้าที่ เราถูกฝึกจิตใจมาเพื่อรับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ถ้าผมตายก็ตายอย่างมีเกียรติ”
“แล้วคนรอบตัวคุณ...เขาจะไม่เสียใจเอาหรือ ฉัน...ฉันไม่อยากให้ครอบครัวของคุณเสียใจ คุณถอนตัวจากงานนี้ก็ได้นะ”
“แล้วคุณได้สิ่งที่คุณต้องการหรือยังปริมประภา”
ปริมประภายกมือขึ้นลูบหน้าท้องริมฝีปากสั่น เม็ดน้ำตาร่วงเผาะ หน้าอกแน่นอึกอักที่จะตอบ “ฉัน...”
แต่อาวุธเลือกที่จะไม่รอฟังคำตอบของเธอเพราะเขามีคำตอบของเขาในใจอยู่แล้ว “ผมยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ หน้าที่ของผมมันยังไม่จบแค่นี้ แล้วถ้าคุณกำลังผลักไสไล่ส่งผมเพราะผมหมดประโยชน์แล้วล่ะก็...ผมเสียใจที่ต้องบอกคุณว่าคุณไม่มีทางสะบัดผมหลุดแน่ เรามีเรื่องที่ต้องสะสางกันต่อหลังผมทำงานสำเร็จ”
“คุณมันโรคจิต” เธอยิ้มแม้น้ำตากำลังพรั่งพรู
“ก็เหมาะกับผู้หญิงบ้า ๆ แบบคุณไง” อาวุธโน้มหน้าเข้าไปใกล้บอกเสียงนุ่มนวล “ไปอยู่ที่บ้านนั้นแล้วอย่าล็อกหน้าต่าง ผมจะแอบไปหา”
‘ฉันขอโทษที่ทำให้เธอยุ่งยากใจ และขอบใจที่ยังยอมทนหมั้นกับฉันต่อ จึงขอใช้ตั๋วเครื่องบินใบนี้เป็น คำขอบคุณส่งให้ไปพักผ่อนหนีความวุ่นวายจากคนที่ทำให้เธอไม่สบายใจ’
ตั๋วเครื่องบินกับข้อความเขียนตัวบรรจงในกระดาษได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์แล้วเมื่อเธอเดินทางมาวิมานอิงฟ้ากับภีฆาเนตร อีกหนึ่งรีสอร์ตในกลุ่มธุรกิจที่บริหารโดยควีนส์คอร์ปสร้างท่ามกลางขุนเขาเขียว และทันทีที่มาถึง ภีฆาเนตรก็พาเธอชมสถานที่จนครบทุกมุม ทั้งบริเวณตัวรีสอร์ตหรือแม้แต่แปลงปลูกผักปลอดสารพิษที่ใช้ส่งเข้าครัวของรีสอร์ตล้วนทำให้ว่าที่มัณฑนากรสาวลืมความโศกเศร้าไปได้บ้าง
กระทั่งถึงเวลาดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ สำรับอาหารเย็นแบบง่าย ๆ ถูกนำมาบริการให้ถึงห้องพักที่มีระเบียงกว้างที่ปูพรมขนสัตว์เทียมปูรองรับเท้าไม่ให้สัมผัสความเย็น บนพรมนั้นมีโถซุปมะเขือเทศกับขนมปังฝรั่งเศสหั่นชิ้นพอคำสำหรับสองที่กับแก้วทรงสูงสองใบและแชมเปญในโถน้ำแข็งเย็นจัด
หญิงสาวนั่งลงบนผืนพรมนุ่ม แหงนหน้ามองท้องฟ้าชมความตระการตาของดาวบนฟ้าที่พร่างพราวจนรำพึงออกมา
“สวยจัง”
“ดาวว่าสวยแล้วแต่ธิดาสวยกว่าดาวเสียอีก”
เสียงชายหนุ่มเรียกหญิงสาวให้หันไปมองร่างสูงที่เดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้า มองหญิงสาวด้วยดวงตาหวานคม ก่อนคลุมร่างเธอด้วยผ้าห่มผืนนุ่มก่อนนั่งลงเคียงข้างไหล่ชนไหล่
ธิดายิ้มเอ่ยคำขอบคุณแล้วกระชับผ้าห่มของชายหนุ่มผู้อารีแน่น “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงถูกเลือกให้เป็นที่พักผ่อนของแขกบ้านแขกเมือง ควีนส์คอร์ปทำอะไรก็ดีไปหมดเลยนะคะ”
“ก็ไม่ทั้งหมดหรอกครับ เท่าที่พี่ฟังมา คุณตาพี่ก็ล้มลุกคลุกคลานมาเยอะ”
“จริงหรือคะ” ดวงตากลมมีประกายฉายแววความสงสัย
ภีฆาเนตรแหงนตามองดาวบนฟ้า สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด “เดิมทีคุณตาของพี่ทำกิจการรีสอร์ตและโรงแรมมาก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่ามีจุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้คุณตาหันเหทิศทางมาทำธุรกิจเงินทุน”
“แล้วนอกจากวิมานอิงฟ้า ควีนส์คอร์ปมีที่ไหนอีกบ้างคะ”
ชายหนุ่มยังไม่ตอบในทันที เขาเปิดขวดแชมเปญแล้วรินของเหลวสีชมพูอ่อนใสลงในแก้วส่งให้หญิงสาว “นอกจากวิมานอิงฟ้าที่ยังไม่ได้ขายเก็งกำไร ก็เพิ่งจะมีโรงแรมเจ็ดดาวที่ชลธารฯ ทำนั่นไง”
เมื่อเห็นดวงตาสีนิลฉายแววสงสัย ชายหนุ่มจึงเอ่ยต่อ “พี่ก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก แต่เท่าที่ฟังจากคุณแม่ก่อนที่ คุณตาจะเปลี่ยนแนวทางธุรกิจ คุณตาเคยไปติดต่อหาที่หาทางที่ศรีราชาเพื่อซื้อที่ดินสวย ๆ”
“ศรีราชา...” หญิงสาวทวนคำ รู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้น
“แต่ก็ไม่มีโครงการอะไรเกิดขึ้น” เขาเล่าต่อพลางทอดสายตามองไปทางภูเขาที่นอนเรียงตัวยาวไกลออกไป “ธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตที่คุณตาทำถูกขายทอดตลาดตั้งแต่นั้น แล้วไม่กี่ปีต่อมาก็เกิดบริษัทเงินทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เวลา ไม่นานในการสร้างตัวจนผงาดล้ำนำหน้าธุรกิจเงินทุนอื่น ๆ ชื่อของวายุ ปรเมศศิวะวงศ์จึงเป็นที่กล่าวขานในวงการธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์เป็นต้นมา”
“คุณตาของพี่เนตรคงเป็นคนที่เก่งมาก ๆ เลยนะคะ”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “พี่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับคุณตานักหรอก เพราะในช่วงสุดท้ายของชีวิต ท่านเก็บตัวอยู่บนชั้นบนสุดของควีนส์คอร์ป กินนอนและใช้ชีวิตบนนั้น”
“ใช้ชีวิตบนนั้น?”
“ใช่ครับ ชั้นบนสุดเป็นห้องประธานที่คุณตาสั่งให้สร้างห้องพักไว้ คุณตาแทบจะไม่กลับไปที่บ้านเลยถ้าไม่ใช่ วันสำคัญ”
ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกเศร้าใจ ตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของปู่ตัวเองมากเท่าไร ท่านเสียไปตอนที่พี่ชายของเธอยังเล็กเสียด้วยซ้ำ
เรื่องเล่าต่าง ๆ ที่ได้ยินก็มีแต่การฟังจากปากของบิดาและมารดา ว่าท่านเป็นนักธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จ และเพราะพิษเศรษฐกิจจึงทำให้กิจการต่าง ๆ ล้มไม่เป็นท่า แต่ด้วยความมานะและกำลังใจจากคุณย่าจึงทำให้คุณปู่พลิกฟื้นลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง
“เราอย่าคุยเรื่องนี้เลย” เขาตัดบทแล้วยกแก้วของตัวเองขึ้น มองหญิงสาวด้วยดวงตาหวานซึ้ง “มาฉลองเวลาแห่งความสุขของเรากันดีกว่า”
ธิดาคลี่ยิ้มสดใส ยื่นแก้วของตัวเองไปชนกับแก้วของเขาเบาๆ แล้วรีบจิบเครื่องดื่มที่เธอไม่เคยลิ้มลองโดยหลบตาไม่กล้าสบมองดวงตาหวานซึ้งแฝงความหมาย
“รสชาติแชมเปญกุหลาบเป็นยังไงบ้าง” เขาถามเธอในขณะที่ยังไม่ลิ้มรสจากแก้วของตัวเอง
“หวานหอมจังเลยค่ะ ธิดาเพิ่งได้ลองครั้งแรก” แม้รสชาติของมันจะไม่รุนแรงแต่กลิ่นของแอลกอฮอล์จากการหมักก็ทำให้เกิดความรู้สึกมึนตามประสาของคนไม่เคยลิ้มลองของมึนเมา
“ดื่มแล้วจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น” ปากหยักคลี่ออกเป็นรอยยิ้มละมุน
ธิดาส่งยิ้มสดใส วางแก้วลงบนพื้นแล้วกระชับผืนผ้าห่มให้แนบตัว “แค่ผ้าห่มผืนนี้ก็อุ่นพอแล้วค่ะ”
“ยังหรอก... ยังไม่พอ”
ประกายในดวงตาของเขาทำให้หญิงสาวอกสั่น เขาโน้มตัวเข้าหากางสองแขนออกโอบกอดร่างบางไว้ ธิดารีบเบี่ยงหน้าหนีในตอนที่ริมฝีปากหยักเคลื่อนเข้าใกล้
“อย่าค่ะพี่เนตร”
ผิวสาวสะท้านซ่านเมื่อความร้อนของปากหยักกดแนบที่ลำคอ ขบเม้มลิ้มรสเธอก่อนทิ้งน้ำหนักตัวเองเอนทับร่างบางจนแผ่นหลังสัมผัสผืนพรม แม้จะทัดทานพยายามขัดขืน เสียงร้องขอก็มลันหายไปกับเรียวปากหยักที่เคลื่อนมาประกบเค้นคลึงทวีความถลำลึกดูดกลืนลมหายใจหญิงสาวให้ทรมาน
“ได้โปรด... อย่าทำแบบนี้”
เสียงครวญคล้ายขอชีวิตแทรกซึมผ่านกระตุกสติ เขาถอนริมฝีปากออกจ้องมองดวงตารื้นของหญิงสาวใต้ร่าง เธอยังหอบหายใจสั่นกัดริมปากตัวเองจนช้ำเลือด
“จูบพี่ไม่มีความหมายอะไรกับหัวใจของธิดาเลยหรือ”
หญิงสาวส่ายหน้าไหว “ธิดา... ธิดาไม่คิดว่าเราพร้อมที่จะคบกันเกินกว่าพี่น้อง”
“แล้วเมื่อไหร่... เมื่อไหร่จะพร้อม” คล้ายมีพายุหมุนในอก น้ำเสียงที่เปล่งออกไปจึงแข็งกระด้างไม่อ่อนหวานเหมือนเคย “พี่รักธิดา ธิดาน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
“รักของพี่เนตรที่มีต่อธิดาเป็นแบบไหนคะ” คำถามจากเสียงสั่นเครือ แต่แววตาสีนิลมุ่งมั่นต้องการคำตอบ “รักของพี่เนตรคือสิ่งที่พี่เนตรกำลังทำกับธิดาตอนนี้หรือคะ”
“แล้วรักของธิดา... เป็นแบบไหน” เขาข่มใจถาม
“รักของธิดา...” ดวงตากลมฉ่ำชื้น ริมฝีปากบางเอ่ยคำตอบ “คือความห่วง ความอาทร ต่อให้ไม่ได้ครองคู่กัน ก็ยังคงรักษาความรู้สึกนั้นไว้ ไม่ใช่แค่หลงในรูปลักษณ์รูปกาย แต่เฝ้าห่วงหาและคอยดูแลหัวใจกันและกัน... รักของพี่เนตรเป็นแบบนี้หรือเปล่า”
คล้ายกับถูกแส้ฟาดหัวใจ เขาขบริมฝีปากกัน คิดใคร่ครวญหาคำตอบ สิ่งที่กำลังทำกับเธออยู่ตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความรู้สึก และรักที่เขามีต่อเธอก็เป็นแบบชายคนหนึ่งที่อยากครอบครองหัวใจหญิงคนหนึ่ง แต่หากไม่ได้ร่วมคู่แล้วจะอยู่กันไปในฐานะอะไร
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดแล้วพลิกตัวล้มนอนหงายข้างหญิงสาว มองดวงดาวบนท้องฟ้าสีนิล “พี่ตกหลุมรักธิดาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน”
ในหัวใจของเขานั้นกำลังถ่วงน้ำหนักความคิดเอนเอียงว่าจะบอกเล่าเรื่องราวที่เธอไม่เคยรู้ ทั้งที่คิดว่าไม่ควรเล่า แต่หากมันจะช่วยคลายปมที่ขมวดขึงในใจตัวเอง แล้วได้แสดงความรู้สึกกับเธอแบบไม่มีอะไรปิดบังย่อมดีกว่าให้เธอเชื่อไปตลอดว่าเขาคิดกับเธอแค่พี่น้องตั้งแต่แรกที่พบเจอ
“แต่รู้อะไรไหมธิดา ที่เราเจอกันมันไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่เป็นแผนของใครคนหนึ่งโดยที่พี่ยอมทำเพราะต้องการตัวธิดาเป็นของแลก”