"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ลมห่วงรัก - บทที่ ๒๒ สายสืบสายสูบ โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง,แอคชั่น,สืบสวน ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

ลมห่วงรัก

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

รัก,แอคชั่น,ดราม่า,สืบสวนสอบสวน,ชาย-หญิง

แท็คที่เกี่ยวข้อง

แอคชั่น,สืบสวน

รายละเอียด

ลมห่วงรัก โดย ณ มหรรณพ @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

"แค่สี่ปีก็เหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ธิดารู้แล้วว่าตกนรกทั้งที่ยังมีลมหายใจมันเป็นยังไง...“

ผู้แต่ง

ณ มหรรณพ

เรื่องย่อ

เพียงเพื่อสร้างสุสานของตน ราณี ปรเมศศิวะวงศ์ หญิงโรยวัยจึงยื่นคำขอสุดท้ายให้หลายชายคนโต  ทำให้ปราณนารายณ์ ปรเมศศิวะวงศ์ หมั้น กับ ธิดา ฤทธิ์นาคา หญิงสาววัย 18 ปี เพียงเพื่อจองสิทธิ์ในที่ดินที่เธอเป็นเจ้าของตามพินัยกรรมประจำตระกูล

แต่สัญญาหมั้นหมายที่ดูเรียบง่ายนั้น กลับเต็มไปด้วยเงามืดที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิตเธอ

เพราะระหว่างสี่ปีของสัญญา ปราณนารายณ์ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ปกป้องเธอ จากอันตรายที่เธอไม่เคยรู้ตัว และเขาคือคนเดียวที่จะปกป้องเธอได้

จากการหมั้นที่เริ่มด้วยหน้าที่ จึงกลายเป็นการต่อสู้เพื่อ ความรัก และ การเอาชีวิตรอด เมื่อภัยร้ายที่เขาไม่เคยคาดคิดคืบคลานเข้ามา อันตรายที่แฝงอยู่ในทุกวันอาจเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ หรือเป็นจุดเริ่มต้นของหัวใจที่เขาไม่อาจปฏิเสธ

 

ปฐมบทแห่งซีรี่ย์พี่น้องตระกูลฤทธิ์นาคา ภาคแรกของกลพยาบาท จันทร์ซ่อนเงา

สารบัญ

ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ บทนำ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑ แรกเริ่ม ณ ดินแดนแห่งรัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒ แรกพบกับลมหวน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓ เธอคือ... ธิดา ฤทธิ์นาคา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๔ ลงทุน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๕ ความซวยมาเคาะประตู,ลมห่วงรัก-บทที่ ๖ แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๗ ก้านดอกอ้อเอนไหวตามสายลม,ลมห่วงรัก-บทที่ ๘ ปาปารัสซี่,ลมห่วงรัก-บทที่ ๙ ความหวังเดียว,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๐ หมั้นหมายที่หมางเมิน,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๑ เดือด 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 1/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๒ บุรุษปริศนา 2/2,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 1/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 2/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๓ เจ้ามะลิกลิ่นกำจร 3/3,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๔ ไฟ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๕ ปิดปาก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๖ แมลงปอปีกหัก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๗ ห่วง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๘ ยื้อ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๑๙ แถลงไขสัญญาหมั้น,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๐ วายุ ปรเมศศิวะวงศ์,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๑ ผู้ชายขี้แพ้,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๒ สายสืบสายสูบ,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๓ ขัดดอก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๔ ชิงนาง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๖ ตามหา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๗ ร่างปริศนา,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๘ บุก,ลมห่วงรัก-บทที่ ๒๙ เลือก,ลมห่วงรัก-บทที่ 30 สงบแต่ไม่สุข,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๑ แผนสองของคุณหญิง,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๒ ถอนหมั้น,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๓ จดหมายจากอดีต,ลมห่วงรัก-บทที่ ๓๔ แม้ไม่ได้ครอบครอง

เนื้อหา

บทที่ ๒๒ สายสืบสายสูบ

ปราณนารายณ์เพิ่งได้รู้ว่าในชีวิตของเขายังมีการตัดสินใจที่หนักหนาที่สุดมากกว่าเรื่องงานก็ตั้งแต่ไปมีพันธะพันผูกกับธิดา ยอมรับว่าดวงตากลมสวยสีนิลประกายนั้นสร้างความปั่นป่วนในจิตใจได้ทุกครั้งที่สมองเขาเว้นว่างจากการงาน และไม่ใช่เธอฝ่ายเดียวที่รู้สึกเหมือนตัวเองไร้อิสรภาพ เขาเองก็เป็นเช่นกัน

บ่อยครั้งทำเป็นเฉยเมยไม่สนใจ แต่ก็เป็นทุกครั้งที่อดเหลียวตามองใบหน้าเชิดแสนรั้นของเธอไม่ได้ ยิ่งนานวันอาการนี้ก็หนักขึ้นจนปฏิเสธใจตัวเองไม่ได้ว่าแคร์ความรู้สึกของเธอมากกว่าความต้องการของตน แค่น้ำตาหยดเดียวจึงเป็นดั่งน้ำกรดรดหัวใจ

“ขาดทุนติดต่อกันขนาดนี้ ถ้าควีนส์คอร์ปไม่ตัดท่อน้ำเลี้ยงคงไม่รู้ว่าเสี่ยบริหารงานยังไงถึงยังเปิดกิจการได้อยู่”

เสียงของผู้เป็นอาเตือนเขาว่ายังมีอีกเรื่องสำคัญของเธอที่รบกวนจิตใจ ชายหนุ่มถอนหายใจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เอ่ยเสริมข้อมูล “ไม่มีทั้งการซื้อเข้าและขาย สต็อกไม้ที่เก่าเก็บก็ไม่มีการเคลื่อนไหวแต่องอาจพาณิชกิจยังคงทำธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องเพราะมีรายได้อื่น ๆ เข้ามา ผมเดาเอาว่าเงินหนุนน่าจะมาจากนายพนา”

“แกกำลังจะหาคำตอบของคำว่า ‘หนี้ ดอกเบี้ย และของแลก’ ที่หลานอัชวินดักฟังจากบทสนทนาของเสี่ยกับ นายพนาวันนั้นใช่ไหม”

“ใช่ครับ ตอนที่ผมไปชลธารฯ ก็อธิบายให้คุณเกรียงไกรกับก้องปฐพีแล้ว พวกเขามีความเห็นเหมือนผมเรื่องประเด็นสำคัญของเงินสิบล้านที่ผมจงใจโอนเข้าบัญชีขององอาจพาณิชกิจ ไม่ได้โอนในบัญชีส่วนตัวของเสี่ย ข้อสังเกตคือเงินสิบล้านนั่นควรจะเอาไปใช้หมุนเวียนธุรกิจโดยลงบัญชีเป็นรายได้ขององอาจพาณิชกิจตามรายงานที่ผมขอจากฝ่ายบัญชี แต่เงินกลับย้ายไปอยู่ในส่วนรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น และคงไม่บังเอิญแน่ถ้ายอดเงินส่วนต่างจะเท่ากับสิบล้าน” ปราณนารายณ์อธิบายต่อ

“ถ้าใช่ เราก็ตีความหมายของหนี้และดอกเบี้ยได้ เสี่ยอาจกู้เงินนายพนาเพื่อมากอบกู้กิจการและอาจทำธุรกิจมืดกับนายพนาร่วมด้วย เลยมีตัวเลขของรายได้ที่เข้ามาผิดปกติกับรายจ่ายอื่นที่ไม่ถูกระบุ แต่คำว่าของแลกก็ยังตีไม่แตก คงต้องรอให้หลานของอัชวินที่แฝงตัวเป็นลูกน้องเสี่ยรายงานผลอะไรออกมา”

“ถ้าเราได้หลักฐานเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเงินสิบล้านก็รู้ได้แน่ชัดมากขึ้น” ปราณนารายณ์ยืนยันความคิดตัวเอง

“แล้วแกมั่นใจนะว่าจะให้ธิดาไปค่ายอาสาจริง”

แล้วก็เจอคำถามที่สร้างความหนักอกที่สุด และพอหวนนึกถึงคำพูดของเธอแล้วก็รู้สึกอ่อนใจ เพราะการให้เธอไปค่ายอาสามันเท่ากับปล่อยเธอไปหาอันตราย ความสุขที่เธออยากได้นั้นจึงกลายเป็นความทุกข์ใจของเขา

“ถ้าผมมีพลังวิเศษก็อยากยืดเวลาตัดสินใจออกไป” น้ำเสียงของรองประธานหนุ่มเบาจนคล้ายลมกระซิบ

“ตระเตรียมกับเจ้าสองคนนั้นแล้วใช่ไหมว่าพวกมันต้องทำยังไง”

“ครับ ผมย้ำตฤณกับกลางแล้วว่าให้อยู่ติดกับธิดาตลอด แต่ผมคงต้องขอเบิกอาวุธจากคลังของคุณอาให้ทั้งสองคนพกติดตัวไว้ป้องกันภัย”

ปราณนารายณ์จึงขอตัวกับเตชินแล้วเดินลัดเลาะสวนตรงไปยังเรือนกระจกที่ใช้เป็นที่เก็บซ่อนอาวุธ ซึ่งได้มาจากการยื่นเป็นหลักประกันแทนเงินของลูกหนี้พนันทั้งหลาย หลายต่อหลายชิ้นนั้นนับได้ว่าขึ้นแท่นวัตถุหายาก ราคาเหยียบล้านก็มี และเพราะใกล้ชิดกับเตชิน เขาจึงมีวิชาแม่นปืนติดตัวมาโดยไม่ตั้งใจ

แต่ถึงจะได้วิชาดีมาก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใช้มันปกป้องคนห่วงใยได้ ฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจทำคือการล่าตัวไอ้คนที่คิดคร่าชีวิตของหญิงสาว เพราะย่อมต้องดีกว่าให้เธอใช้ชีวิตอย่างหวาดกลัวและคอยระแวงอะไรก็ตามที่กำลังจ้องเล่นงานจากมุมมืด

ซึ่งถ้าไม่ได้เป็นการป้ายสีสารวัตรใหญ่ ชายหนุ่มคิดว่าสารวัตรเองอาจกำลังใช้ธิดาเป็นเหยื่อล่อ นั่นจึงทำให้เขา ไม่มั่นใจว่าสารวัตรห่วงจับคนร้ายมากกว่าปกป้องคนของเขา การให้ระพีพัฒน์และตฤณติดตามธิดาไปด้วยนั้นจึงถือว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุดแล้วในตอนนี้

เมื่อใกล้เรือนกระจก ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างแถบนั้นก็ลดจำนวนลงตามความลับที่เตชินต้องการปกปิด และเพราะเป็นเส้นทางอสัญจร ต้นหญ้าและวัชพืชจึงขึ้นปกคลุมหนาตลอดเส้นทางที่มืดมิด ดังนั้นเขาจึงต้องใช้แสงสว่างจากสมาร์ทโฟนเป็นไฟส่องทาง แต่มีความผิดสังเกตปรากฏชัดต่อสายตา

ชายหนุ่มย่อเข่าแล้วย่นคิ้วเมื่อเห็นพันธุ์พืชที่ไวต่อการสัมผัสลู่ใบของมันแนบสนิทเป็นวงกว้างจากจุดที่เขายืนอยู่จนไปถึงตีนต้นหางนกยูง เขาจึงแหงนมองขึ้นไปยังห้องที่ยังเปิดไฟห้องนั้น พบว่าหน้าต่างห้องถูกเปิดทิ้งไว้ ผ้าม่านผืนโปร่งไกวเบา ๆ ด้วยแรงลม

 

อาวุธออกจากที่ซ่อนหลังพุ่มไม้หนา เขาลอบถอนหายใจที่รอดสายตาชายหนุ่มเจ้าของบ้านมาได้อย่างหวุดหวิด สายสืบหนุ่มเดินลัดเลาะไปตามพุ่มไม้ครึ้มใช้ความมืดช่วยพรางตัวในการเคลื่อนไหว พยายามผ่านหญ้าอย่างเบาบางไม่ให้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ จากนั้นปีนป่ายไปขึ้นต้นไม้ใหญ่เพื่อไปพบหญิงสาวที่แสนคิดถึง

หน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้ราวกับต้อนรับการมาของเขา อาวุธมองลาดเลารอบด้านก่อนปืนข้ามหน้าต่างด้วยความไวแล้วตรงไปหาร่างงามที่นั่งกอดอกรอที่เตียง

“คิดถึงผมบ้างไหม”

หญิงสาวย่นจมูกสะบัดหน้าใส่เมื่อได้ยินคำทักทายคำแรก “คุณทำให้ฉันอยู่ในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่เสี่ยงต่อ การเป็นไข้เลือดออก”

“ผมก็จะมานอนปัดยุงให้คุณอยู่นี่ไง” ชายหนุ่มยิ้มโชว์เขี้ยวแหลม

“คุณพ่อฉันเป็นยังไงบ้าง”

“เสี่ยก็ยังมีแรงด่าลูกน้องได้ทุกวันนั่นแหละครับ”

คำตอบของเขาทำให้เธอทำเสียงจิ๊บจนชายหนุ่มหัวเราะขัน “คุณพ่อของคุณใช้งานผมหนักขึ้นทุกที ดีนะที่ผมเก่ง เรียนรู้ได้เร็ว แต่เสี่ยก็ยังไม่ยอมให้ทำงานสำคัญของนายพนาเสียที”

“นายพนายังมาหาพ่อของฉันอยู่อีกหรือ”

“แล้วคุณจะประหลาดใจทำไม คนเคยทำมาค้าขายกันมาหากันก็เป็นเรื่องปกติ” บอกแล้วล้มตัวนอนบนเตียงนุ่มข้างหญิงสาว

ถ้าไปมาหาสู่กันเพราะเรื่องค้าขายก็คงเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับเรื่องระหว่างบิดาของเธอกับนายพนานั้นควรจะมีแต่เรื่องหนี้ แล้วเธอมั่นใจว่าคืนเงินครบทุกบาททุกสตางค์ไปจนหมด แต่ทำไมโจรป่านั่นถึงยังแวะเวียนมาอีก

แล้วจู่ ๆ เขาก็เด้งตัวขึ้นนั่ง “จริงสิ ผมได้ยินเสี่ยกับนายพนาพูดถึงของแลกกันด้วย คุณรู้ไหมว่ามันหมายถึงอะไร”

“ของแลก?” เธอทวนคำ

“ใช่ ผมได้ยินเสี่ยคุยกับนายพนาเรื่องของแลก แล้วเสี่ยให้ลูกน้องคนอื่นติดตามผู้หญิงคนหนึ่งไปราชบุรี”

แววหวั่นวิตกที่ฉายชัดในดวงตาของหญิงสาวไม่รอดพ้นการสังเกตของสายสืบหนุ่ม เขามั่นใจว่าเธอต้องรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้

“พรุ่งนี้คุณมารับฉันได้ไหม ฉันอยากกลับบ้าน”

“คุณรู้ว่าพ่อคุณกำลังมีแผนอะไรกับนายพนาใช่ไหม”

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน” หญิงสาวอึกอักปฏิเสธ

สายสืบระดับเขาแค่มองใบหน้าก็รู้แล้วว่าเธอปิดบังความจริง แต่ยังไม่ใช่เวลาที่จะหาคำตอบ เขาบอกลาแล้วใช้หน้าต่างเป็นทางออกเหมือนตอนที่เข้ามาพบเธอ

เมื่อกระโดดถึงพื้นดิน อาวุธก็ย่อตัวต่ำลงเพื่อลดการถูกพบเห็น สายตาสอดส่ายหาทางออกจากที่นี่อย่างระวัง แม้ในสวนรกที่นี่จะมืดมิดก็ตามแต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรจะเข้ามาในยามวิกาล

ฟึ่บ!

สายสืบหนุ่มกลั้นหายใจ ทำตัวนิ่งแข็งเมื่อมีบางสิ่งเคลื่อนไหว

เมี้ยว...

ดวงตาวาววับส่องแสงของสัตว์ขนปุกปุยมองชายหนุ่ม เจ้าสี่ขาย่ำเบาบางเยื้องย่างเข้ามาใกล้ ส่งตาดุไล่มันก็ไม่ยอมไป แถมยังเอาหัวมาไถขาของผู้บุกรุกราวกับสนิทสนมกันมาแต่ปางก่อน

ฉับพลันนาทีนั้น ประสาทรับเสียงของสายสืบหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เจ้าเหมียวที่อยู่ในอุ้งมือดิ้นแล้วกระโดดลงวิ่งตรงไปเคล้าคลอเคลียขาของใครคนหนึ่งที่ทำให้อาวุธแทบหยุดหายใจ

“ท่าทางแมวบ้านผมมันเสน่ห์แรงจัดถึงได้มีคนรักแมวบุกเข้ามาเชยชม”

“ปราณนารายณ์”

สายสืบหนุ่มเอ่ยชื่อเจ้าของปลายกระบอกปืนที่กำลังยกเล็งหัวเขาอยู่พอดิบพอดี อาวุธลุกขึ้นช้า ๆ อยากจะยกมือขึ้นเหนือหัว

“คุณรู้ชื่อผม” เจ้าของปืนมีแววประหลาดใจในดวงตา

“ผมรู้จักคุณมากกว่าชื่อ” อาวุธตอบเสียงขรึม “ระวังปืนของคุณหน่อย ถ้ามันลั่นคุณจะถูกดำเนินคดีข้อหาฆ่า เจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่”

ปราณนารายณ์แสยะยิ้ม “คุณคือสายสืบที่เป็นหลานชายของสารวัตรนั่นเอง แล้วไม่ทราบว่าคุณมาปฏิบัติหน้าที่ทำอะไรแถวนี้ครับ”

“ก็...แค่หาทางมาสืบพยานแค่นั้น”

“มาสืบหรือมาสูบ” ปราณนารายณ์ถามย้ำอีกครั้ง

ผู้ต้องหายังปากแข็ง “คุณพูดอะไรเรื่องอะไร”

ปราณนารายณ์กระตุกยิ้ม “แต่ถึงจะมาสืบ คุณก็ควรจะเข้าตามตรอกออกตามประตูนะครับ”

สายสืบหนุ่มแค่นยิ้มเดินก้าวขาเข้าไปใกล้ระยะยิงมากขึ้น พูดอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า “เอาอะไรมาเป็นหลักฐานว่าผมไม่ได้เข้าตามตรอกออกตามประตู”

“หลักฐานก็อยู่ใต้ฝ่าเท้าแล้วไงครับผู้กอง”

คนถูกเรียกยศเลิกคิ้วแล้วก้มมองยกเท้าตัวเองขึ้น พบวัชพืชใบคู่หุบใบของมันแนบสนิทกับลำต้น เขาย่นคิ้วแล้วขยับเท้าไปด้านข้าง แต่ก็สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เมื่อกลุ่มวัชพืชบริเวณที่เขาเหยียบย่ำพร้อมใจกันหุบใบของมันเมื่อถูกสัมผัสหรือได้รับการกระเทือน

“พวกนี้คือต้นไมยราบ เป็นหลักฐานที่บอกผมว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาคุณกระโดดลงมาจากห้องเธอ แล้วเดินมาตรงจุดนี้ที่กำลังยืนคุยกับผม”

เมื่อไม่สามารถหาข้อแก้ต่างได้ สายสืบหนุ่มจึงได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ เป็นเพราะความมืดของสวนแห่งนี้ที่ทำให้เขาไม่สังเกตให้ดีว่ามีต้นไม้ผีพวกนี้ขึ้นอยู่เต็มไปหมด

“ผมถามคุณจริง ๆ เถอะว่าคุณทำอะไรอยู่ที่บ้านเสี่ย” ปราณนารายณ์เอ่ยถามแต่ยังไม่ยอมลดระดับปืนลง แม้ คนที่ยืนตรงหน้าจะเป็นสายสืบและมียศสูงแค่ไหน เขาก็ไม่อาจไว้ใจได้

“เขาเป็นคนขับรถของฉันเองค่ะ”

หญิงสาวร่างงามใบหน้าตื่นตระหนกปรากฏกายเผยจากเงามืด เธอรีบเดินเข้ามายืนขวางระหว่างชายหนุ่ม สองคน ดวงตางามแสดงความกังวลจนเห็นได้ชัด ไม่นับใบหน้าซีดที่ยอมยืนขวางเป้าหมายของปลายกระบอกปืน

ปราณนารายณ์ย่นคิ้ว เพ่งพินิจมองใบหน้าหญิงสาวที่ยืนปกป้องผู้ชายด้านหลัง เขาไม่ใช่คนโง่ที่ดูไม่ออกว่าผู้ชายคนนั้นสำคัญกับเธอมากแค่ไหน จึงลดระดับปืนลงแล้วเก็บเข้าที่ของมันเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้

แต่ก็เกิดความเงียบเข้ามาแทนที่ระหว่างคนทั้งหมด ปริมประภาเห็นท่าไม่ได้การหากปล่อยให้คนของเธออยู่นานมากไปกว่านี้ จึงอุ้มแมวที่พื้นขึ้นแล้วหาเหตุผลที่ชายหนุ่มผู้บุกรุกมาอยู่ที่นี่

“ฉันเรียกเขามาด่วนค่ะ พรุ่งนี้จะให้เขามารับ ฉันอยากกลับบ้านไปเยี่ยมคุณพ่อ”

“ไม่เห็นต้องลำบาก คุณให้คนของที่นี่ไปส่งก็ได้ แต่...ผมเพิ่งรู้ว่าคนขับรถบ้านเสี่ยเขาทำงานยี่สิบสี่ชั่วโมง”

อาวุธลอบถอนหายใจ ก็ยายคุณหนูปริมคงอยากหาข้อแก้ตัว แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้ผิดสังเกตมากขึ้น เขาจึงเป็น ฝ่ายหาเรื่องถอนตัวออกจากตรงนั้น

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับคุณหนู”

“ถ้าอย่างนั้นให้ผมเดินไปส่งคุณที่ประตูนะครับ” ปราณนารายณ์เสนอน้ำใจแล้วหันไปบอกหญิงสาว “ส่วนคุณก็รีบเข้านอนเสียเถอะ”

หญิงสาวกลืนน้ำลายขมลงคอ ปรายตามองไปทางคนที่ยืนด้านหลัง พยายามยิ้มกลับให้สดใสยังไง ก็ยังรู้สึกฝืนเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มดวงตาสีน้ำตาลที่มีแสงลุกวาวราวกับรู้อะไรบางอย่าง การเงียบปากแล้วทำตามที่เขาบอกดูจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการพูดเรื่องโง่ ๆ จึงพยักหน้าแล้วเดินกลับไปยังที่ของเธอ ไม่วายเอี้ยวหน้ามองด้วยสายตาเป็นห่วง

เมื่อหญิงสาวเดินลับตาไป ปราณนารายณ์จึงหันไปทางสายสืบผู้ยืนกอดอกมองรอการสนทนา แต่เขากลับ ไม่อยากพูดอะไรทั้งสิ้น ชายหนุ่มเดินนำทางผู้บุกรุกไปยังประตูทางออกด้านหลังคฤหาสน์แห่งนี้

“คุณสืบอะไรได้บ้างหรือยัง” ชายหนุ่มเจ้าบ้านเริ่มบทสนทนาเมื่อเดินมาถึงประตูทางออกด้านหลัง

สายสืบหนุ่มพ่นลมหายใจเมื่อโดนตั้งคำถาม เลือกจะไม่ตอบเพราะเขามีสิทธิ์ไม่ตอบ

“อย่าบอกนะว่าคุณทำได้แค่สูบ”

แต่คำพูดต่อมาทำให้อาวุธสะอึกทันที ทว่าพูดโต้ตอบอะไรไม่ได้นอกจากมองอีกฝ่ายด้วยแววตาขุ่น

“คุณควรจะเร่งมือได้แล้วนะครับคุณอาวุธ อย่าปล่อยให้อะไร ๆ มันนานเกินไป ผมเริ่มรู้สึกว่าพวกคุณกำลังดึงเวลา” ปราณนารายณ์เอ่ยพลางเดินไปปลดล็อกกุญแจประตูแล้วหันมาพูดกับสายสืบหนุ่มอีกครั้ง

“แต่ถ้าสิ่งที่พวกคุณกำลังทำมันทำให้คู่หมั้นของผมตกอยู่ในอันตราย ผมก็คงไม่ยอม คุณมีเวลาในส่วนของคุณไม่นานนัก และผมก็จะเริ่มทำในส่วนของผมบ้าง”

อาวุธกระตุกยิ้มเอ่ยเสียงเข้ม “ไม่ต้องบอกว่าให้ผมทำอะไร ผมรู้หน้าที่ดี”

“ครับ ผมรู้ว่าคุณก็รู้หน้าที่ดี แต่ที่ผมพูดไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นอย่างเดียว...”

เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเอ่ยพลางมองย้อนไปทางแสงสว่างของห้องหญิงสาวก่อนหันกลับมาทางสายสืบหนุ่ม คนเก่งผู้รับผิดชอบคดีใหญ่ แล้วพูดประโยคคล้ายยื่นเงื่อนไขที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายต้องยอมตกลง

“คุณจะไม่ได้ปีนหน้าต่างขึ้นไปบนห้องปริมประภาอีกจนกว่าผมจะได้เอกสารสำคัญที่เกี่ยวกับการเงินของเสี่ย”

อาวุธขบเขี้ยวอย่างเจ็บใจ ไม่คิดว่าตัวเองกำลังกลายเป็นเบี้ยล่างของใคร แม้ว่าเขามักจะฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาก็ตาม แต่ก็ไม่ขอทำตามคำสั่งคนที่ไม่ใช่หัวหน้า

“คุณกำลังเอาผู้หญิงเป็นข้อต่อรองเรื่องงานของผม แต่ถึงจะห้ามยังไง ถ้าผมจะลอบปีนขึ้นไปหาปริม คุณก็ ห้ามผมไม่ได้หรอก”

“ในที่สุดคุณก็ยอมรับแล้วว่าคุณปีนไปหาเธอ” ปราณนารายณ์ยิ้มอย่างมีชัย

แต่อีกฝ่ายกลับคำรามสบถในลำคอ “ปริมไม่ผิด ผมเป็นฝ่ายเข้าหาเธอเอง”

“ครับ ปริมไม่ผิด และยังไม่มีผู้ผิดจนกว่าหลักฐานจะถูกเปิดเผย และตอนนี้ได้เวลาแล้วที่คุณต้องกลับไปทำหน้าที่ตำรวจของคุณให้เสร็จ”

อาวุธมีสีหน้าเครียดกับคำสั่ง “พรุ่งนี้ผมจะมารับปริม ผมต้องใช้มือปริมเปิดเซฟของเสี่ย บางทีอาจได้ข้อมูลเพิ่ม”

ตำรวจหนุ่มพูดแล้วทำท่าจะปีนกำแพง

“เดี๋ยว”

แต่ชายหนุ่มเจ้าบ้านห้ามไว้แล้วชี้ไปที่ประตูที่เปิดรออยู่

“พอดีว่า...ไม่ค่อยชอบเข้าตามตรอกออกตามประตูสักเท่าไหร่” อาวุธยิ้มที่มุมปากตอบแล้วก็กระโดดปีนกำแพงข้ามหายไป

ปราณนารายณ์ยืนมองอาวุธกระโดดข้ามกำแพงไปแล้วถอนหายใจ ย้อนนึกใบหน้าของปริมประภาตอนที่เธอ เข้ามายืนขวางทางปืน

ปริมประภากลัวการพูดความจริงแต่เธอก็กล้าหาญมากทีเดียวที่ออกมาปกป้องผู้ชายคนนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวกับสายสืบหนุ่มเป็นไปในรูปแบบใด รวมถึงเด็กในท้องจะเป็นเชื้อกำเนิดของใครนั้น เขาก็ยินดีที่จะรับเป็นพ่อของเด็กจนกว่าความจริงจะเปิดเผยชัดเจน