"ระหว่างเป็นผู้พิพากษากับเป็นเมียผู้พิพากษาอันไหนเป็นง่ายกว่ากันคะ?"
"...เอาเวลาที่จีบฉันไปอ่านหนังสือจะดีกว่าไหม..."
รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ผู้ใหญ่,nc,เย็นชา,เด็กฝึกงาน,ผู้พิพากษา ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
"ยัยลัลน์แกกินอะไรหน่อยนะ แกอย่าเป็นแบบนี้เลย ลัลน์ยังมีพ่อแม่มีฉันอยู่ไง" ทำไมเพื่อนเธอถึงได้อาการหนักขนาดนี้ หลังจากที่เธอไปรับลัลน์มาจากคอนโดพี่มาร์ค ลัลน์ก็ร้องไห้ไม่หยุดพอมาถึงคอนโดก็เหม่อลอยไม่พูดอะไรกับเธอ แม้กระทั่งข้าวที่เธอเตรียมไว้ให้ลัลน์ก็ไม่ชายตามองสักนิด
"ก็แค่ผู้ชายชั่วๆ คนเดียวทำให้แกเป็นไปได้ขนาดนี้เลยหราว่ะ ฉันรู้ว่าแกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ฉันขอให้เธอมีสติกว่านี้ได้ไหม" หนูนาพูดไปพลางเขย่าตัวเพื่อนไป เพื่อให้เพื่อนที่ตกอยู่ในภวังค์มีสติมากกว่านี้
"ฮึกก ฮือออ หนูนาาาา ฮึกก พี่เขาทำกับลัลน์แบบนี้ได้ไง ฮึก ทำไมต้องทำร้ายจิตใจเราขนาดนี้ ฮึก ที่ผ่านมาคือพี่เขาไม่เคยรักเราใช่ไหม เขาถึงได้ทำแบบนี้ ฮืออ " หญิงสาวพูดกับหนูนาด้วยเสียงสะอึกสะอื้น คำถามนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวลัลน์ อกหักครั้งแรกนี้เธอทรมานยิ่งนัก รู้สึกจุกแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกจนถึงกระทั่งตอนนี้
"ไม่เป็นไรนะลัลน์ ตอนนี้แกมีฉันอยู่กับแก แกรู้สึกไม่ดียังไง ไม่ไหวยังไงแกยังมีฉันอยู่เคียงข้างเสมอ ช่วงนี้แกก็นอนอยู่ที่คอนโดกับฉันนี่แหละ แต่ตอนนี้แกต้องกินข้าวแล้วนอนก่อนนะ ชีวิตเรามันต้องเดินหน้า อย่าไปจมปักอยู่กับผู้ชายเฮงซวยคนเดียว" ว่าแล้วเธอก็ดึงลัลน์มากอดเพื่อให้เพื่อนอุ่นใจบ้างว่าเธอไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ลัลน์พยักหน้าตอบรับเพื่อน แล้วลุกขึ้นไปกินข้าวที่หนูนาเตรียมไว้ให้ ถึงแม้ว่าเธอจะกินอะไรไม่ลงก็ตาม แต่ด้วยความกลัวเพื่อนเป็นห่วงจึงฝืนกินลงไป เมื่อเธอฝืนกินไม่ไหวแล้วจึงรวบช้อนรอหนูนากินเสร็จเพื่อจะนำจานไปล้าง
"แกอิ่มแล้วรึไงยัยลัลน์ แกกินไปได้นิดเดียวเองนะ"
"อืม ลัลน์ฝืนไม่ไหวแล้ว"
"งั้นลัลน์ทิ้งจานไว้นี่แหละเดี๋ยวหนูนาล้างเอง เธอตาโรยเหมือนจะเป็นไข้เลย รีบไปอาบน้ำกินยานอน แล้วลัลน์อย่าคิดมากด้วยล่ะ ฝันดีนะจ๊ะเพื่อนรัก" หนูนาตัดบทไล่เพื่อนให้ไปจัดการตัวเองไม่ต้องรอเธอ ดูเหมือนว่าลัลน์จะต้องการเวลาทบทวนอยู่คนเดียวสักพัก คงไม่ดีขึ้นเร็ววันนี้ แต่เวลาจะช่วยเยียวยารักษาแผลใจเพื่อนเธอเอง และเวลาจะนานเท่าไหร่ที่คนๆหนึ่งจะทำใจลืมใครสักคนคงขึ้นอยู่ที่ตัวของลัลน์เองว่าจะปล่อยวางเลิกยึดติดกับความรักนี้ได้เมื่อไหร่
เมื่อลัลน์อยู่คนเดียวความเศร้าก็โถมกระหน่ำเข้ามาโจมตีอีกครั้ง หญิงสาวร้องไห้อย่างหนักปิดปากแน่นเพื่อไม่ให้เสียงร้องไห้ของตนได้ยินออกไปข้างนอก เธอนั่งพิงประตูห้องกอดเข่าร้องไห้ คิดถึงคนที่ทำร้ายจิตใจ เสียงของคนใจร้ายยังคงดังก้องหลอกหลอนในหู เธอรู้ว่าผู้ชายไม่ใช่ทุกสิ่งในชีวิต แต่เพียงแค่ตอนนี้เธอยังทำใจกับการถูกหักหลังไม่ได้เท่านั้น เธอหวังว่าเมื่อผ่านพ้นคืนนี้ไปเธอขอให้ความเจ็บปวดของเธอทุเลาเบาบางลงบ้างแค่นั้นเอง
แสงอรุณสาดส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างซึ่งไม่ได้ปิดม่านบังแสงไว้ ใบหน้าอิดโรย ตาแดงกล่ำบวมช้ำหันหน้าไปมองแสงอาทิตย์อย่างเหม่อลอย หญิงสาวไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อเธอเห็นว่าสมควรแก่เวลาจึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปติดต่อที่ฝึกงานเป็นเพื่อนหนูนา ดีที่เธอได้ไปติดต่อขอฝึกมาก่อนหน้านี้แล้ว
“ลัลน์กินอะไรลองท้องหน่อยไหม ดูซิผ่านไปคืนเดียวแก้มแกซูบตอบไปหมดแล้ว” หนูนาลูบใบหน้าเพื่อนสาวของเธอที่สีหน้าดูซีดเซียว ดวงตาปูดโปนและช้ำ คงไม่พ้นว่าเมื่อคืนร้องไห้อย่างหนัก เมื่อมือเธอสัมผัสใบหน้าเพื่อนรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวๆจากแก้มเพื่อนเธอ
“ลัลน์แกไม่สบายแน่ๆเลย วันนี้แกไม่ต้องไปเป็นเพื่อนฉันหรอก กินข้าวแล้วนอนพักเถอะ หนูนาไปคนเดียวได้”
“ไม่เป็นอะไรหนักหรอกหนูนา นี่ลัลน์แต่งตัวเสร็จแล้วอย่าให้ลัลน์แต่งตัวเก้อซิ” เสียงแหบของลัลน์ตอบเพื่อนสาว หนูนาผละตัวออกจากลัลน์แล้วไปนำแซนวิชด์ที่เตรียมไว้พร้อมกับยามาวางไว้ตรงหน้าลัลน์
“อ่ะ นี่ค่าคุณผู้หญิงเชิญรับประทานอาหารที่ทางเราจัดเตรียมไว้นะคะ” หนูนาพูดเสียงทะเล้นฉีกยิ้มให้กับเพื่อนตน
“ขอบใจเธอมากนะหนูนา รบกวนมาอยู่ด้วยแล้วยังลำบากต้องหาอะไรให้กินอีก” หญิงสาวก้มหน้ามองจานแซนวิชด์ตรงหน้าอย่างสำนึกผิดที่มาเป็นภาระลำบากให้เพื่อนเธอดูแล
“โอ๊ยยยย ยัยลัลน์ถ้าแกเห็นฉันเป็นเพื่อนแกห้ามพูดแบบนี้อีกเป็นอันขาด ไม่งั้นหนูนาจะโกรธแกจริงๆด้วย ลัลน์รีบกินเถอะเดี๋ยวรถติดไปถึงสำนักงานช้า”
“ได้ค่าาาา จะรีบทานเดี๋ยวนี้ค่าคุณนันท์นพินนน” เสียงเจื้อยแจ้วชวนคุยของหนูนาดังขึ้นตลอดมื้ออาหารเช้า เรียกรอยยิ้มแรกของลัลน์นับตั้งแต่เกิดเรื่องได้เป็นอย่างดี
บรรยากาศกดดันภายในห้องพิจารณา มีเสียงทนายความต่างโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใคร ชายหนุ่มซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาเกินบรรยาย ใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนา หางคิ้วชี้ขึ้นเล็กน้อยสมเป็นผู้นำ จมูกโด่งรับกับใบหน้าและสันกรามที่เห็นชัด ตาคมสีน้ำตาลเข้มกวาดสายตามองทนายความทั้งสองฝ่ายซึ่งเถียงกันจนหาที่ยุติไม่ได้
“ศาลว่าทนายทั้งสองท่านไปตกลงไกล่เกลี่ยกันให้ลงตัวเสียก่อน แล้วนัดหน้าแจ้งข้อตกลงที่ไกล่เกลี่ยให้ศาลทราบด้วย” เสียงเรียบทุ้มเอ่ยขัดอย่างเย็นชา พาทำให้บรรยากาศภายในห้องกดดันยิ่งกว่าเดิม นอกจากเสียงแป้นพิมพ์ของหน้าบัลลังก์และเสียงแอร์แล้วก็ไม่ปรากฏเสียงใดในห้องพิจารณาอีก ร่างสูงหนากำยำภายใต้ชุดครุยผู้พิพากษากล่าวจบแล้วเดินออกจากห้องพิจารณาไป
“หืมพี่ ท่านคิณณ์น่ากลัวจริง ผมพึ่งเคยมาบัลลังก์นี้ผมนี่เกร็งมากเลยพี่”
“ท่านไม่มีอะไรหรอกแค่ดูเข้าถึงยาก แต่พอพลาดอะไรท่านก็เตือนนะเพียงแค่ท่านติดเย็นชาเลยดูน่ากลัวไปงั้นเอง”
“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปตกลงกับลูกความผมก่อนว่ายอมชำระค่าเสียหายสองแสนก่อน รายละเอียดส่วนที่เหลือเดี๋ยวผมพาลูกความผมไปตกลงที่สำนักงานพี่นะ” เสียงทนายความทั้งสองฝ่ายที่โต้เถียงกันอย่างไม่ยอมกันในตอนแรก ตอนนี้กลับเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย เมื่อเจอผู้พิพากษาท่านนี้ไปทำเอาทั้งสองสามารถเจรจาหาข้อยุติกันได้และต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับสำนักงานของตน