"ระหว่างเป็นผู้พิพากษากับเป็นเมียผู้พิพากษาอันไหนเป็นง่ายกว่ากันคะ?"
"...เอาเวลาที่จีบฉันไปอ่านหนังสือจะดีกว่าไหม..."
รัก,ชาย-หญิง,ยุคปัจจุบัน,ไทย,ผู้ใหญ่,nc,เย็นชา,เด็กฝึกงาน,ผู้พิพากษา ,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย
หญิงสาวลงจากรถหรูเดินไปตามทางอย่างงุนงง เธอไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมที่เขาส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เธอ หญิงสาวยังคงไม่อยากเชื่อสายตาของตนเมื่อเสือยิ้มยากอย่างคิณณ์ส่งยิ้มมาให้เธอ
ลัลน์เดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงตึกสำนักงาน แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมาเช้าเกินไปยังคงไม่มีใครมาไขกุญแจเปิดประตูให้เธอ หญิงสาวหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้รอพี่ๆมาทำงาน คำถามมากมายผุดพรายเข้ามาในหัวสรุปแล้วคิณณ์จีบเธอใช่หรือไม่ เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยปากเธอจึงไม่กล้าคิดความสัมพันธ์นี้ไปไกล ไม่ว่าจะฐานะทางสังคมหรือหน้าตาเธอนั้นก็ไม่ควรกันกับเขา ก่อนที่เธอจะคิดฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ลัลน์เอามือตบแก้มสองข้างเบาๆ เรียกสติของตนให้อยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน
"น้องลัลน์มาเช้าจังเลยคะวันนี้หรือเมื่อคืนนี้นอนไม่หลับกลุ้มใจอยากเปลี่ยนสำนักงานแล้ว" หญิงสาวรุ่นพี่ในสำนักงานเอ่ยสัพยอกนักศึกษาสาวตรงหน้า
"พี่นกก็เย้าหนูไปเมื่อคืนลัลน์นอนหลับสบายดีค่ะเลยตื่นเช้า ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลยมาสำนักงานเลยค่ะ" ลัลน์เอ่ยตอบเนตรนภาอย่างกลั้วหัวเราะในความช่างหยอกของพี่เขา ทำให้เธอไม่รู้สึกเกร็งและกดดันมากนัก
"อ่ะนี่ ลองเอาสำนวนไปอ่านก่อนว่าเขาร่างฟ้องกันยังไง ใช้เอกสารอะไรบ้างในการฟ้องคดี ถ้ามีข้อสงสัยอะไรถามพี่ได้เลยนะจ้ะลัลน์ เดี๋ยวพี่ขอตัวทำงานค้างของพี่ก่อน ตอนบ่ายพี่มีไกล่เกลี่ยจะไปดูกับพี่ไหม" เนตรนภาวางสำนวนหลายเล่มวางไว้ตรงหน้าลัลน์ เอ่ยชวนหญิงสาวไปศาลกับตน
"ขอบคุณค่ะ ส่วนตอนบ่ายหนูขอรบกวนไปกับพี่นกด้วยนะคะ" ร่างบางเอ่ยอย่างดีใจที่จะได้เรียนรู้สิ่งแปลกใหม่
ลัลน์วิ่งวุ่นตลอดทั้งวันจนแทบไม่ได้จับโทรศัพท์ วันนี้เธอรู้สึกเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด ข้อเท้าที่ยังไม่ทันหายดีก็มีอาการงอแงเมื่อเจ้าของร่างใช้งานมันหนักไป ใครว่าทำเอกสารแล้วจะสบาย เธอคนหนึ่งขอแย้งเลยว่ามันไม่จริง!!!
กว่าหญิงสาวจะว่างนั้นก็เป็นเวลา 5 โมงเย็น มือคว้าโทรศัพท์เช็คข้อความเผื่อมีใครมีเรื่องสำคัญติดต่อมากลับพบแต่เพียงข้อความที่คิณณ์ส่งมาตั้งแต่ 4 โมงเย็น
Pkin: เลิกงานยัง?
Lanlalit: ใกล้แล้วค่ะ หนูพึ่งว่างจับโทรศัพท์
คุณไม่ต้องไปส่งหนูก็ได้นะคะ เดี๋ยวหนูนั่งรถกลับไปเอง
Pkin: รออยู่ที่นั่น อีกครึ่งชั่วโมงจะไปรับ
Lanlalit: ขับรถดีๆ นะคะ
เห็นข้อความชายหนุ่มแล้วทำเอาความเหนื่อยล้าทั้งวันของเธอหายเป็นปลิดทิ้งราวกับมีเวทมนตร์ ลัลน์นั่งอมยิ้มอ่านข้อความเขาเหมือนได้ยินเสียงเขาลอยมา
"ลัลน์กลับยังไง ให้พี่ไปส่งไหม" เมื่อเลิกงานทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พักของตนไปคงเหลือแต่เพียงลัลน์กับเจษฎาที่ยังคงไม่กลับไปพักผ่อน
"ไม่เป็นไรค่ะพี่เจษพอดีมีนัดพอดีด้วยไม่รบกวนพี่"
"อืม กลับดีล่ะๆ ก่อนกลับอย่าลืมล็อกประตูสำนักงานให้หมดด้วยนะ"
"รับทราบค่ะ สวัสดีค่ะพี่เจษ" หญิงสาวลุกขึ้นยืนไหว้ลาผู้ใหญ่อย่างมีมารยาท
ลัลน์มองนาฬิกาเรือนเล็กที่ข้อมือเห็นว่าสมควรแก่เวลาที่คิณณ์จะมารับแล้วจึงปิดสำนักงานลงไปหาชายหนุ่มด้วยใบหน้าเบิกบาน กลับพ่อว่าเขาจอดรถรอเธออยู่หน้าสำนักงานแล้ว
"รอหนูนานไหมคะ" หญิงสาวพนมมือไหว้คิณณ์ก่อนเอ่ยปากถามอย่างเกรงใจที่ต้องให้เขามารอ ทั้งๆที่เขาเสียเวลาวนรถมารับเธอ
"เปล่า พึ่งถึง" พ่อคนปากหนักประหยัดถ้อยคำเอ่ยตอบเธอ
"ความจริงแล้วคุณไม่ต้องมารับหนูก็ได้นะคะ รบกวนกันเสียเปล่าๆ ถึงแม้จะกลับทางเดียวกันก็ตาม" ใบหน้าหวานเอ่ยบอกชายหนุ่มข้างๆอย่างเสียไม่ได้ ไม่ได้เป็นอะไรกันแถมยังมาดูแลกันแบบนี้ยิ่งทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว
"เมื่อไหร่จะเรียกพี่?" เสียงเข้มเอ่ยติดดุเธอที่ไม่ยอมเรียกเขาว่าพี่เสียที
"ตะ แต่ว่า" หญิงสาวก้มหน้างุด ตอบเสียงอ้ำอึ้ง นิ้วเรียวยุกยิกไปมาอย่างทำตัวไม่ถูก
"ไม่มีแต่ค่ะ" ดวงตากลมโตของเธอเบิกโพลงหันไปหาคิณณ์เมื่อได้ยินเขาใช้หางเสียงคะขากับเธอ หัวใจเธอโลดแล่นสูบฉีดเลือดอย่างหนัก เกรงกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวนี้ของเธอ
“ค่ะพี่คิณณ์” คนตัวเล็กกลั้นใจอ้อมแอ้มเรียกชายหนุ่มเสียงแผ่วเบา ความรู้สึกแปลกๆ จู่โจมในหัวใจสาวน้อย
“เย็นนี้กินข้าวที่ไหน ไปกินกับฉันไหม” เขาเลิกคุยชำเลืองมองเธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูจะไปตลาดซื้อของเข้าตู้เย็นทำกับข้าวกินเอง พี่คิณณ์จะอยู่ทานด้วยกันไหมคะ” ลัลน์เอ่ยปากชวนเขาตอบแทนที่เขาไปรับส่งวันนี้
“ชวนฉันเข้าห้อง?” เอ่ยปากหยอกเย้าสาวน้อยวัยละอ่อนที่เอ่ยปากชวนเขาอย่างหวังดีแต่ไม่ได้คิดถึงว่าคำชวนของตนดูเป็นการเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไม่ใช่ครอบครัวขึ้นห้องนั้นดูไม่งาม
“ปะ เปล่าค่ะ หนูแค่หมายถึงอยากชวนทานข้าวด้วยกันตอบแทนที่พี่มารับมาส่งค่ะ” หญิงสาวกัดปากตัวเองแรงอย่างเขินอายที่ดูเหมือนชวนชายหนุ่มไปทำอะไรด้วย
"หรือจะไปคอนโดฉัน เลือกเอา!"
ชายหนุ่มเสนอทางเลือกที่ดูเหมือนจะใจดี หญิงสาวอ้าปากค้างกับข้อเสนอของเขา ถ้าเธอไปคอนโดกับเขาไม่เท่ากับว่าเธอเดินเข้าถ้ำเสือให้เสือตนนี้ขย้ำเล่นหรอกหรือ ถึงแม้เขาจะบอกกันว่าอยากได้ลูกเสือให้เข้าถ้ำเสือ แต่ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ลูกเสือตัวน้อยๆแต่เป็นพญาเสือโคร่งเสียมากกว่า
"ไปทานที่ห้องหนูเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ แต่อย่าลืมแวะตลาดให้หนูซื้อของด้วยนะคะ ของหนูหมดตู้แล้ว" ลัลน์เอ่ยย้ำเตือนให้คิณณ์ไม่ลืม
"ตลาดที่ไหน?"
"แถวหอค่ะ หนูว่าเราไม่ต้องแวะแล้วตรงไปที่หอลัลน์ก่อนดีกว่า เดี๋ยวหนูขี่รถมอไซค์ไปเองค่ะ" เธอต้องตัดสินใจใหม่เมื่อเธอลืมไปว่ารถที่เธอนั่งมาเป็นรถสปอร์ตหรู คงจะแปลกเป็นที่สนใจน่าดูถ้าไปจอดบริเวณตลาดที่คนฐานะแบบเขาคงไม่มีวันย่างกรายมา
"อืม"
เมื่อถึงหอพักของหญิงสาว คิณณ์ต้องจอดรถไว้ข้างทางหน้าหอพักเนื่องด้วยข้างในไม่มีที่จอดรถสำหรับคนนอก ชายหนุ่มเดินตามลัลน์ขึ้นห้องไปบนชั้น 3 ของตึก ร่างบางตัวหอบโยนหายใจถี่ยิบเห็นแล้วรู้ได้ว่าเธอไม่ชอบออกกำลังกาย
หญิงสาวเปิดประตูห้องเข้าไปภายในห้องนอนสีขาวโพลนได้รับการตกแต่งสไตล์มินิมอลอย่างคุมโทนที่เน้นหนักไปทางเทาเสียมากกว่า สายตาคมกวาดมองสำรวจห้องหญิงสาวอย่างสนใจ เตียงนอนขนาด 5 ฟุตผ้าห่มลายสุนัขพันธุ์ชิบะผืนสีเขียวที่บ่งบอกความชอบได้เป็นอย่างดีว่าเธอชอบสุนัขมากถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ภายในไม่ค่อยมีอะไรนอกจากโต๊ะอ่านหนังสือข้างหัวเตียงและชั้นหนังสือที่วางจัดเรียงอย่างแน่นเอี๊ยดไม่มีช่องว่างให้เพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปอีกได้ ห้องนี้นับว่าแคบมากเมื่อเทียบกับห้องเขาแต่สำหรับเธอแล้วคงจะพอดีสำหรับการอยู่คนเดียว
คิณณ์ทิ้งตัวลงนั่งโซฟาหน้าประตูรอหญิงสาวที่กำลังกุลีกุจอเก็บของอยู่ด้านในก่อนจะรีบคว้ากุญแจรถเพื่อไปตลาด แต่ไม่ลืมเปิดแอร์ให้ชายหนุ่มไว้ทั้งที่ปกติแล้วเธอไม่ค่อยเปิดแอร์เนื่องจากเธอเองเป็นคนขี้หนาวนอกจากหน้าร้อนแล้ว เครื่องปรับอากาศก็ไม่ได้ใช้งานอีกเลย
"พี่คิณณ์คะ เดี๋ยวลัลน์ออกไปตลาดสักครู่ก่อน พี่รอหนูอยู่ในห้องนี้นะคะ หนูไปไม่นาน" เธอรีบเอ่ยกับเขาก่อนที่ตลาดจะวายไปเสียก่อน
"ฉันไปด้วย" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบลุกขึ้นตามหญิงสาวไป
"คะ?" เอ่ยถามเสียงใสอย่างงุนงง ตั้งแต่เธอเจอกับเขามาไม่กี่วันเธอตั้งคำถามกับเขาไม่รู้กี่สิบรอบแล้ว แล้วเธอจะพ่วงเขาไปตลาดได้หรือไม่หรือจะล้มกันคลุกฝุ่นอยู่ข้างทางเสียก่อน
"ช่างสงสัยอะไรนักหนา ไม่รีบไปรึไง" ว่าแล้วก็จูงมือหญิงสาวไปยังลานจอดรถข้างล่าง ก่อนที่ร่างหนาจะพยักหน้าพร้อมเลิกคิ้วให้เธออย่างสื่อว่ารถเธอจอดอยู่ที่ไหน
หญิงสาวเดินนำชายหนุ่มไปยังรถมอเตอร์ไซค์คันสีขาวใกล้กับประตูทางออก เมื่อเธอกำลังสอดขาก้าวค่อมรถติณณ์คว้ากุญแจรถไว้ก่อนที่จะเป็นฝ่ายสตาร์ทรถพ่วงหญิงสาวเสียเอง
"เธอคิดว่าฉันจะให้เธอพ่วงไปรึไง ได้ล้มข้างทางกินฝุ่นกันพอดี" ปากคอเราะร้ายนักนะ ลัลน์บ่นค่อนขอดเขาอยู่ในใจก่อนที่จะก้าวขึ้นนั่งตะแคงข้างให้ชายหนุ่มขี่ไปยังตลาดตามทางที่เธอบอก
เมื่อจอดรถเสร็จชายหนุ่มพาเธอเดินท่ามกลางแผงขายอาหารริมทางหญิงสาวกวาดสายตามองอย่างตื่นเต้นอย่างไม่รู้ว่าจะเลือกทานอะไรดี ผู้คนเดินเสียดไปมากันตามทางเดินเล็กแคบ ชายหนุ่มดูเหมือนคนอยู่ผิดที่ผิดทางไม่ว่าจะใบหน้าหล่อเหลาคมคร้าม ร่างสูงกำยำที่ใหญ่โตกว่าชาวบ้านนัก ช่างดูโดดเด่นสะดุดตาผู้คนยิ่งนัก ดีที่เขานั้นถอดสูทถอดเน็คไทด์ออกไปแล้วไม่ฉะนั้นแล้วสาวๆตลอดข้างทางที่จ้องตาเขาเป็นมันจะพากันเอ่อล้นตลาดอย่างแน่แท้
กลิ่นหอมของอาหารชวนให้หญิงสาวหิวจนท้องร้องแต่ต้องตัดใจ เป็นฝ่ายเดินนำจูงมือชายหนุ่มไปเลือกซื้อผักด้วยกัน
"พี่คิณณ์อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ" ลัลน์หันไปถามคิณณ์เมื่อเห็นเขาเดินกลับมาพร้อมถุงหิ้วในมือหลายใบ
"เธอทำอะไรให้ฉันกินหมดนั่นล่ะ"
"แล้วซื้ออะไรมาเต็มไม้เต็มมือเลยคะ หรือว่าพี่ซื้อกลับคอนโด" เมื่อเห็นว่าคิณณ์ไม่ตอบรับอะไรเธอจึงเลือกซื้อผักของเธอต่อไปโดยไม่ได้สนใจเขาอีก
"ทั้งหมด 334 บาทจ้ะ" เธอกำลังจะยื่นเงินจ่ายตังต้องพลันชะงักเมื่อคิณณ์ยื่นธนบัตรสีเทาตัดหน้าเธอไป
"พี่คิณณ์!" คิณณ์รับถุงผักมาถืออย่างไม่หยีระกับเสียงแหวของลัลน์ พาเธอเดินไปซื้อปีกไก่ทอดที่หอมจนโชยกลิ่นให้หญิงสาวน้ำลายสอเมื่อมาถึงตลาดในตอนแรก
แสงไฟสว่างจากโคมไฟกระดาษเปิดขึ้นตลอดทางเดินเมื่อเป็นเวลาพลบค่ำ เสียงตะหลิวขูดกะทะไฟลุกโชน เสียงเนื้อกำลังถูกย่างทำให้หญิงสาวต้องซื้อติดไม้ติดมื้อมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย และคนจ่ายเงินให้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนพ่อหนุ่มที่เดินถือของตามเธอต้อยๆ อย่างไม่อินังขังขอบ นี่คงเป็นการเดินตลาดเลือกซื้อของที่เธอมีความสุขตลอดอายุ 21 ปี
เมื่อมาถึงห้องลัลน์จึงเตรียมตัวไปทำอาหาร แต่ข้อมือเล็กนั้นกลับถูกรั้งโดยคนตัวโต คิณณ์ช้อนตัวหญิงสาวขึ้นแนบอกก่อนจะวางเธอไว้บนโซฟา
"อ๊ะ จะ เจ็บค่ะ ปล่อยเท้าหนูนะคะ" คิณณ์หาได้สนใจเสียงห้ามปรามของเธอเลยไม่ จับข้อเท้าแดงช้ำขึ้นพาดขาตนเอง ถอดผ้าพันแผลที่พันตั้งแต่เช้าแต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยก่อนจะทายาทำแผลพันข้อเท้าให้เธอใหม่
ลัลน์มองเสี้ยวใบหน้าคมอย่างเผลอไผล อบอุ่นหัวใจไปกับความอ่อนโยนของคิณณ์ในการช่างสังเกตว่าเธอเดินกระเผลก มือหนาใหญ่ที่กำลังพันผ้านั้นทำให้เท้าหญิงสาวดูเล็กไปถนัดตา คิณณ์พันผ้าเสร็จจึงลุกไปล้างมือในห้องน้ำ
ลัลน์ยังคงได้แต่นั่งเหม่อลอยมองแผ่นหลังแกร่งชายหนุ่ม เสียงหม้อข้าวดีดตัวเป็นสัญญาณว่าข้าวสุกแล้ว ทำให้หญิงสาวได้สติลุกขึ้นไปทำกับข้าวให้เขาได้ทาน ลัลน์ก้าวเท้าไปได้ไม่กี่ก้าวเสียงชายหนุ่มก็ดังไล่หลังมา
"อย่าดื้อ! ไปนั่งพักให้ดีๆ เดี๋ยวฉันทำเอง"
คิณณ์กดหญิงสาวนั่งบนโซฟาสั่งเสียงเรียบให้หญิงสาวนั่งรอทานข้าวเฉยๆ
"คนบ้า ทำแบบนี้จะไม่ให้หนูรักได้ยังไง" ลัลน์รำพึงรำพันกับตัวเองอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเป็นประกายเปื้อนรอยยิ้มฉายชัดอย่างมีความสุข